ความคิดเห็นที่ 1 ช่วงที่ประชากรจีนเสียชีวิตจากความอดอยากเป็นจำนวนมากนั้น น่าจะเป็นช่วงนโยบายธงแดง 3 ผืน มากกว่าครับ เพราะภัยธรรมชาติและภัยแล้งอย่างรุนแรงมาก รวมไปถึงการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของพรรคอีกด้วย ส่วนในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น มีการปะทะกันระหว่าง แนวคิดเหมา-พวกเอียงขวาลัทธิแก้, แนวคิดสังคมนิยม-ศักดินาแอบแฝง รวมไปถึงการปะทะกันทางสังคมและความเชื่ออื่นๆ จำนวนผู้เสียชีวิตจากการปะทะกันทางแนวคิดและอุดมการณ์นั้น มีเท่าใดก็ตอบได้ลำบาก.......... แต่ต้องยอมรับว่า พวกลัทธิแก้ และศักดินาแอบแฝง ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการปฏิวัติวัฒนธรรมแน่ๆ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 18:47:59

ความคิดเห็นที่ 2 ปะทะกันระหว่างแนวคิด???? แบ่งพวกตีกันเหมือนนักเลงมากกว่า อ.มหาวิทยาลัยต้องรวมกลุ่มรวมพรรคถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันอาจจะโดนสอยได้อย่างนี้เหรอ? จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 19:37:31

ความคิดเห็นที่ 3 ใช่มันโหดร้าย แต่มันก็ยังดีกว่ารัฐประหารของไทยตั้งหลายรอบที่ทหารก็ฆ่าประชาชนตายไปตั้งมากมายเหมือนกัน แต่ไม่ทำให้ประเทศไทยดีขึ้นมามากนัก สิ่งดีๆของ cultural revolution (ปฏิวัติวัฒนธรรม) ของจีนก็อยู่บ้าง เช่น pinyin กับอักษรจีนตัวย่อ ทีแรกต้องเถียงกับพวกอนุรักษ์นิยมมาเป็นร้อยๆปีแล้ว ทำไม่ได้ แต่เหมาเจ๋อเผด็จการเลยเดินหน้าลุยได้จนสำเร็จเลย  จีนระดมนักภาษาศาสตร์ชั้นนำหลายร้อยคนเพื่อมาทำงานนี้โดยเฉพาะ ผลงานออกมาดีเยี่ยม ถ้าไม่ได้ pinyin ป่านนี้ keyboad ของจีนยังมีปุ่มตั้งหลายร้อยปุ่ม (เหมือนพิมพ์ดีดจีนโบราณ (ที่เราเคยเห็นมัน) กดปุ่มกันตาลาย)  ถ้าเทียบกับของไทยนะ  Thai romanization ที่นักวิชาการราชบัณฑิตสถานทำออกมา เอาอักษรโรมันสะกดคำไทยจนรุ่มร่ามดูอัปลัษณ์สิ้นดี มันสมองและระดับความสามารถทางด้านภาษาศาสตร์แพ้จีนขาดลอยเลย! การแพทย์จีนแผนโบราณซึ่งเมื่อสมัยก่อนเคยเป็นของเถื่อนเช่นเดินๆไปบนถนนเห็นคนจีนเอาเข็มแทงเข้าไปจะรักษาโรคแล้วดึงเข็มออกมาเช็ดกับรองเท้าสกปรก แต่เดี๋ยวนี้ในมหาลัยจีนมีการสอนการแพทย์แผนโบราณกับการแพทย์แผนปัจจุบันแบบเอามาประยุกต์ใช้งานประสานงานกันตามหลักวิชาการ ไม่ใช่ทำแบบข้างถนน (จนหมอฝรั่งเลื่อมใสต้องบินไปเรียนศาสตร์นี้ที่จีน) อันนี้ก็เป็นผลพวงของ cultural revolution เช่นกัน เปลี่ยนยุคที่ผู้หญิงทำงานได้เหมือนผู้ชายอย่างรวดเร็ว ดูข่าวเห็นผู้หญิงจีนปีนเสาไฟฟ้าซ่อมสายไฟ ได้อย่างน่าทึ่ง แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 54 22:34:59 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 22:29:52

ความคิดเห็นที่ 4 หลังปฏิวัติวัฒนธรรมการศึกษาจีนก็แซงหน้ากระทรวงศึกษาพิการของไทยไปตั้งหลายช่วงตัวแล้ว เราเข้าไปดูทีวีจีนบ่อยๆ เห็นคนจีนที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมให้สัมภาษณ์พูดอังกฤษชนะครูที่มีใบอนุญาตครูของไทยแบบขาดลอยเลยหละ จนป่านนี้เรายังไม่รู้เลยว่าผู้บริหารกระทรวงศึกษาพิการไทยใช้ cells สมองส่วนไหนในการพิจารณาว่าจ้างครูภาษาอังกฤษระดับมัธยม ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ จบศึกษาศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษ (จากมหาลัยที่ผลิตครูปีละตั้งมากมาย) และเรียนต่อปริญญาโท (เพื่อเอาวุฒิไปขึ้นเงินเดือน) แต่พูดหรือเขียนภาษาอังกฤษผิดหมดเกือบทุกประโยค ซึ่งจริงๆแล้วจับคนไทยที่เคยไปล้างชามที่อเมริกามา 10 ปี หน่วยก้านดีๆ แต่ไม่มีปริญญาเลยสักใบ (ทดสอบความสามารถเพื่อคัดเลือกแบบของจริง เช่นให้ผู้สมัครลองเขียนภาษาอังกฤษให้ฝรั่งนักหนังสือพิมพ์เก่งๆอ่านดู)  เอาคนไทยแบบนี้มาอบรมแค่ 6 เดือนยังจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมได้ดีกว่าเสียอีก แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 54 22:47:08 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 22:40:56

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนอยู่จีน แล้วก็เห็นด้วยกับท่าน fortuneteller จากคุณ : Fred_Flintstone เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 23:49:08

ความคิดเห็นที่ 6 ปัจจุบัน จีนก็ยังโหดเหี้ยมป่าเถื่อนอยู่ค่ะ แม้ว่าอารยธรรมพวกเขาจะเก่าแก่ย้อนไปกี่พันปี   เป็นต้นธารอารยธรรมมากมายรายรอบ แต่...พวกเขาก็ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ค่ะ ชาวธิเบต และอุยกูร์   ต่างตายเป็นผักปลา มีทารกเพศหญิงถูกฆ่าตายมากมาย   จนอัตราส่วนประชากรชาย-หญิง ในประเทศไม่สมดุล ค่าแรงขั้นต่ำน้อยนิด   มณฑลห่างไกลบางแห่งมีคุณภาพชีวิตไม่ต่างอะไรกับชาวแอฟริกาบางประเทศ สมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นร่ำรวย  นั่งกิน  นอนกิน   ต่างกับคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นแรงงานราคาถูก ไม่นับการเป็นแบคอัพลับ ๆ ให้เกาหลีเหนือและพม่า เราว่า  คนด่าว่าประเทศไทย  ก็มักเห็นใครดีไปเสียหมด ยกเว้นชาติของตัวเองนะเราว่า แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 04:25:02 จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 54 04:24:09

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ ^ ทางการไทยกับจีนสั่งทหารฆ่าประชาชนตายเหมือนๆกันแต่ประชากรจีนมันเยอะกว่าก็เลยตายเยอะกว่า ก็เลยมาวัดความโหดร้ายกันที่จำนวนศพ แต่สมองคนที่สั่งการออกมาน่ะมันมีความโหดเหี้ยมพอๆกัน ที่ คคห 6 พูดว่า "เราว่า  คนด่าว่าประเทศไทย  ก็มักเห็นใครดีไปเสียหมด ยกเว้นชาติของตัวเองนะเราว่า" ^ อันนี้ไม่ได้ด่า แต่ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาที่ว่าจ้างคนตามหลักการซึ่งเป็นตัวหนังสือระบุอยู่ในกฎระเบียบ และตีความตามตัวอักษร ว่าใครควรทำงานอะไร แต่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงว่า ตัวอักษรในกระดาษมันระบุว่า "จบปริญญาโทและมีใบอนุญาตครูเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้" แต่จริงๆแล้ว "มันไม่มีความสามารถเพียงพอเพราะคนๆนั้นพูดเขียนภาษาอังกฤษผิดธรรมชาติทุกประโยค" (ซึ่งหลักการคัดเลือกคนตามตัวอักษรบนกระดาษแบบนี้สมควรได้รับการแก้ไขเพื่อการพัฒนาประเทศ) ส่วนเรื่อง Thai romanization ที่ด้อยกว่า pinyin นั้นเป็นเพราะนักวิชาการราชบัณฑิตสถานไม่คำนึงถึงว่าภาษาไทยมีการถอดเป็นอักษรโรมันตามหลักบาลีสันสกฤตมาอย่างสวยงาม ซึ่งพวกปราชญ์อินเดียกับฝรั่งทำไว้อย่างสวยงามชาญฉลาดตั้งแต่โบราณกาลแล้ว แต่นักวิชาการราชบัณฑิตสถานคิดว่าตัวเองเก่งก็เลยไปรื้อของดีๆทิ้งไป แล้วเอาของห่วยๆมาใช้แทน ซึ่งอันนี้ต้องนับว่าเป็นการประเมินความเก่งของตัวเองเกินความจริง ในขณะที่ pinyin ของจีน sure กว่าเพราะใช้นักภาษาศาสตร์ระดมกำลังกันหลายร้อยคนช่วยกันคิด ช่วยกันทำอย่างเป็นระบบ จึงทำให้การเรียนการสอนภาษาจีนและการผลิต software ที่ใช้พิมพ์ภาษาจีนพัฒนาก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว คือถ้าเทียบกันเรื่องความโหดเหี้ยมเราก็ว่าทางการไทยกับจีนโหดเหี้ยมพอๆกัน แต่ถ้าเทียบกันระหว่างการพัฒนาด้านการศึกษาและเทคโนโลยีเราต้องยอมรับว่าจีนยังชนะไทยขาดลอยทุกประตู ^ แต่ถ้าเรามัวแต่ชาตินิยมชมว่าของไทยดีพร้อมทุกอย่าง เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดและไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ ^ คนที่ไทยที่ได้รับรางวัลดีเด่นในอดีตหลายๆคน ได้รับรางวัลเพราะเผยแพร่เกียรติ์คุณและคุณงามความดีของวัฒนธรรมไทย แต่คนที่มองเห็นสิ่งที่ไม่ดีแล้วติเพื่อก่อซึ่งน่าจะช่วยพัฒนาประเทศกลับได้รับการรุมด่าว่าติเตียน ^ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากๆก็คือ คนที่ "คิดแบบแหกคอก" คือ "คิดออกมานอกกล่อง" มักจะได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จในประเทศที่เจริญแล้ว แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 09:30:41 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 09:20:17 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 54 09:09:34

ความคิดเห็นที่ 8 1.อย่างที่เราทราบกันดีว่า จุดประสงค์แรกๆของการปฏิวัติวัฒนธรรม ที่ท่านประธานเหมาผลักดันนั้นก็คือ การกำจัดพวกลัทธิแก้และพวกเอียงขวาในพรรคครับ เนื่องจากตอนนั้น อำนาจและการบริหารของพรรคแตกแยกมาก (ท่านประธานเหมากล่าวว่า ทุกคนต่างคนต่างทำ พอมีการประชุมกันทีไรก็พูดถึงแต่เรื่องความผิดพลาดในนโยบายธงแดงสามผืน ไม่มีอะไรคืบหน้ามากไปกว่าการขุดเรื่องเก่าๆ) และเมื่อพวกหลิว-เติ้ง คิดจะรวมหัวกันปลดอำนาจในการชี้นำการปฏิวัติของท่านประธานเหมาในช่วงปลายปี 1965 ถึงต้นปี 1966 ทำให้ท่านประธานเหมาตัดสินใจที่จะดำเนินการแตกหัก เพื่อขจัดลัทธิแก้ออกไปจากพรรครับ ดังนั้นในช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม จึงเป็นการปะทะกันของกลุ่มสังคมนิยมแบบประธานเหมา กับพวกลัทธิแก้ของหลิว-เติ้ง โดยอาศัยขุมกำลังใหม่ที่ท่านประธานเหมาผลักดันออกมา ซึ่งก็คือเหล่าเยาวชนหนุ่มสาว ผู้มีจิตใจและพลังในการปฏิวัติอย่างเหลือเฟือ พวกเขารณรงค์ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทางปรัชญาสังคมนิยมกันอย่างกว้างขวาง และโจมตีพวกลัทธิแก้อย่างรุนแรง เมื่อการปฏิวัติวัฒนธรรมช่วงแรกดำเนินไป กลุ่มแรกๆที่ต้องประสบความยากลำบากก็คือ พวกลัทธิแก้ (ของหลิว-เติ้ง) แต่ทว่าตอนนั้นในพรรคยากที่จะแบ่งชัดว่าใครคือผู้ยึดมั่นในแนวทางของสังคมนิยม ใครคือพวกลัทธิแก้ หรือใครคือพวกที่เหยียบเรือสองแคม ทำให้สหายนำในพรรคจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้เป็นพวกลัทธิแก้ ต้องพลอยถูกร่างแหไปด้วย....... 2. ทีนี้ภายหลังปี 1967 เมื่อท่านประธานเหมาเห็นว่า พวกลัทธิแก้ในพรรคถูกขจัดออกไปหมดแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอครับ เพราะท่านได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า "เป้าหมายของพวกเรา คือการขจัดแนวคิดเอียงขวาและศักดินาทุนนิยมให้หมดไปจากสังคม มิใช่การมุ่งเน้นที่ตัวบุคคลหรือเฉพาะกลุ่ม เพราะหากเราไม่ขจัดแนวคิดอันเป็นอุปสรรคของการสร้างสังคมนิยมแล้วไซร้ ต่อให้วันนี้กำจัดพวกลัทธิแก้ไปร้อยคน อีกไม่นานพวกนี้ก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกพันคนไม่รู้จบ" ดังนั้น ท่านจึงขยายการปฏิวัติวัฒนธรรมออกสู่สังคมจีนด้วยครับ เพื่อขจัดแนวคิดอันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสังคมนิยมออกไปจากมวลชนทั้งผอง ซึ่งก่อให้เกิดการปฏิรูปและปฏิวัติอย่างมากมายในวงการต่างๆอย่างกว้างขวาง การปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคต่อมาคือหลังปี 1967-1977 นั้น จึงมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนแนวคิดของมวลชน เร่งให้เกิดการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อก่อร่างสังคมนิยมอย่างเต็มที่ 3. การสร้างสรรค์สังคมนิยมนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อขจัดแนวคิดของพวกเจ้าที่ดิน, นายทุน, ศักดินา ออกไปจากผู้คนก่อน พร้อมๆไปกับการปลูกฝังค่านิยมเรื่องสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของมวลชนต่อสังคม เพื่อให้มวลชนนั้นล้มเลิกแนวคิดเรื่องการครอบครองทรัพย์สินหรือปัจจัยการผลิตแบบปัจเจคชนไปเสีย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการเปลี่ยนถ่ายสู่สังคมนิยมขั้นต้นหน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 11:53:26 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 54 11:49:55

ความคิดเห็นที่ 9 มุมมองของผม การปฎิวัติวัฒนธรรม คือการฆ่าผู้ต่อต้านเหมาและแก็งสี่คนโดย ใช้มวลชนมาเป็นเครื่องมือสาเหตุหลัก ๆ ก้น่าจะเป็นการรักษาอำนาจนั่นแหละ ที่มาน่าจะมาจากความสั่นคลอนในอำนาจของเหมา เนื่องมาจากการดำเนิน นโยบายที่ผิดพลาดทางเศรษฐกิจ ทำให้อำนาจในมือเหมาเริ่มไหลไปสู่มือ ของกลุ่มหลิวและเติ้ง แทนที่จะปล่อยวางอำนาจเหมาแก้ โดยการใช้แก็งสี่คน และ มวลชนเป็นเครื่องมือ ด็กๆที่โง่เขลาเกินกว่าจะแยกแยะอะไรได้ และการโฆษณาชวนเชื่อ การปลุกระดมซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาถนัดมากกว่าการ บริหารประเทศและเศรษฐกิจ นำไปสู่การโจมตีนโยบายของหลิว ที่ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้ามา ผสมเพื่อให้ได้การจัดการที่ดีขึ้นจึงถูกโจมตีว่าเป็นลัทธิแก้ (มันก็แก้จริงแหละ แต่ก็เพราะระบบเศรษฐกิจแบบคอม มันไม่เหมาะกับความเป็นจริงแหละ) ทำให้กลุ่มหลิวและเติ้งถูกกวาดล้าง สุดท้ายก็นำไปสู่ ยุคที่เลวร้ายทีสุดยุคหนึ่ง เมื่อเหมาตาย แก็งสี่คน ก็ถูกเช็คบิลตามระเบียบเป็นการจบการปฎิวัติวัฒนธรรม สุดท้ายเมือเต้ิงกลับมา จีนก็กลับไปสู่แนวทางทุนนิยมอยู่ดีและพญามังกรก็กลับ มาผงาดอีกครั้ง ภายใต้มือและแนวทางของเต้ิง ไม่ใ่ช่แนวทางของเหมา ถ้าพูดถึงการเหยียบ ประชาชนให้ราบ ไม่ว่าเหมาหรือเติ้งก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เพียงแต่แนวทางเติ้งประสบความสำเร็จ ส่วนแนวทางเหมาล้มเหลวแค่นั้นเอง การปราบปรามประชาชนเพื่อรักษาอำนาจเป็นเรื่องปกติของผู้มีอำนาจทุกคน ถ้าไม่ทำอำนาจก็จะหลุดลอยไป เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา(ลัทธิที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือ) กำลังทหาร การสมดุลของทั้ง 4 สิ่งนี้แหละที่เป็นรากฐานของประเทศ นายทุน ศักดินา เจ้าของที่ดิน บลา บลา ๆ  มันก็เป็นเรื่องตลกนะครับ คนที่พูดเรื่อง พวกนี้ในจีน เมื่อ 50 ปีก่อนตอนนี้ ลูกหลานพวกนนั้นก็คือ นายทุน ศักดินา และ เจ้าของที่ดินในจีนในปัจจุบัน ซึ่งในไทยก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นเรื่องทฤษฎีนะ อย่าไปติดมันมากเลยครับ สำคัญคือมองความจริงและปรับใช้ทฤษฎีให้ เหมาะสมมากกว่า เหมาชนะเจียงได้ก็เพราะ ปรับยุทธศาสตร์การปฎิวัติให้เหมาะสมกับประเทศจีน โดยไม่ยึดติดกับทฤษฎี ส่วน พคท ของไทยล้มเหลวก็เพราะติดแหงกอยู่กับทฤษฎี โดยไม่ดูสภาพสังคมไทย ส่วนพวก ทุนนิยม ก็พยายามเปลี่ยนสังคมไทยให้เป็นอเมริกาโดยไม่ดูพื้นฐานของ คนไทย ประเทศไทยก็เลย ติดแหงกอยู่อย่างที่เป็นอยู่ ไม่รู้จะไปทางไหน แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 14:32:51 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 14:20:40 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 54 14:08:07

ความคิดเห็นที่ 10 ส่วนเรื่อง Thai romanization ที่ด้อยกว่า pinyin นั้นเป็นเพราะนักวิชาการราชบัณฑิตสถานไม่คำนึงถึงว่าภาษาไทยมีการถอดเป็นอักษรโรมันตามหลักบาลีสันสกฤตมาอย่างสวยงาม ซึ่งพวกปราชญ์อินเดียกับฝรั่งทำไว้อย่างสวยงามชาญฉลาดตั้งแต่โบราณกาลแล้ว แต่นักวิชาการราชบัณฑิตสถานคิดว่าตัวเองเก่งก็เลยไปรื้อของดีๆทิ้งไป แล้วเอาของห่วยๆมาใช้แทน . . . คุณ Fortune ช่วยยกตัวอย่างมาหน่อยสิครับ      ว่าการเทียบเสียงของไทยกับแขกนั้นมันต่างกันยังไง    เท่าที่ผมเห็นบาลีสันสกฤตไทยกับอินเดียก็ใช้การถอดแบบเดียวกัน    อย่าง สุวรรณภูมิ   ถอดตามบาลีสันสกฤตมันก็ต้อง Suvannabhumi เหมือนกันหมด       โพธิ  เราก็ถอดเหมือนกันหมดว่า Bodhi     ที่มันมาแปลกๆทุกวันนี้ จ ถอดเป็น J บ้าง CH บ้าง    เพราะเรามีพวกรู้ดี   อวดรู้ไปถอดตามภาษาอังกฤษ   ไม่ใช่อักษรโรมันเหมือนก่อน ซึ่งเทียบเสียงกันแล้ว    การเทียบเสียงของเราง่าย+ดีกว่าจีนมาก     คำ Pinyin ของจีนถ้าไม่มีพื้นมาก่อนนี่อ่านไม่ถูกเลย    Deng อ่านมาได้อย่างไรว่าเติ้ง       Wu  ออกเสียงมาได้ยังไงว่าอู่   Tung ทำไมบางครั้งก็ออกเสียงว่าต่ง แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 54 19:41:50 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 54 19:40:05

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ ^ ที่คคห 10 พูดว่า "ซึ่งเทียบเสียงกันแล้ว    การเทียบเสียงของเราง่าย+ดีกว่าจีนมาก     คำ Pinyin ของจีนถ้าไม่มีพื้นมาก่อนนี่อ่านไม่ถูกเลย    Deng อ่านมาได้อย่างไรว่าเติ้ง       Wu  ออกเสียงมาได้ยังไงว่าอู่   Tung ทำไมบางครั้งก็ออกเสียงว่าต่ง" ตอบ เราไม่ได้ complain ว่าการเทียบเสียงของราชบัณฑิตออกเสียงตรงหรือไม่ตรงกับเสียงที่อ่านหรือพูดกันจริง เพราะสัทอักษรในแต่ละภาษามันก็ต้องมีวิธีออกเสียงตามแบบฉบับของภาษานั้นๆอยู่แล้วอย่างที่คุณยกตัวอย่างภาษาจีนมาข้างบน  เพราะฉนั้นสิ่งที่คุณแย้งมา มันไปกันคนละเรื่องกับที่เราพูดเลยหละ แต่ที่การเทียบเสียงซี่งเป็นผลงานของราชบัณฑิตยสถานมันอัปลักษณ์นั่นก็เพราะว่าคำไทยหลายๆคำที่มีรากศัพท์มาจากบาลีและสันสกฤษถ้าสะกดเป็นอักษรโรมันตามแบบฉบับเดิม แบบที่ใช้สะกดชื่อนามสกุลเจ้า หรือที่สะกดสุวรรณภูมิเป็น  Suvarnabhumi  มันทำให้รู้ที่มาที่ไปของคำไทย อย่างเช่น ราชบุรี สะกดเป็น Rajabury ชาวต่างชาติที่มีความรู้ด้านอินเดียศึกษายังดูรู้เรื่องว่าแปลว่าอะไร แทนที่จะอุตริไปสะกดเป็น Ratburi แบบราชบัณฑิตยสถาน ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นระบบราชบัณฑิตยสภานดันเอาไปเขียนชื่อถนน แต่ถนนที่มาจากชื่อเจ้า เช่น วิภาวดีรังสิต ก็สะกดแบบราชบัณฑิตไม่ได้ เพราะบังอาจไปเปลี่ยนขื่อเจ้าไม่ได้ แถมยังมีเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศบางคนอวดรู้มาบังคับให้ประชาชนสะกดชื่อในหนังสือเดินทางแบบราชบัณฑิตซะอีก (โดยที่ไม่มีกฎหมายใดๆให้อำนาจพวกเขา) ทั้งๆที่ชื่อคนใหญ่ๆโตๆหรือคนมีชื่อเสียงก็ไม่ได้สะกดตามระบบราชบัณฑิตกัน มันก็เลยกลายเป็นเรื่องยุ่งยากหลายระบบซับซ้อน ทางที่ดีราชบัณฑิตควรเอาระบบเดิมที่ถอดจากบาลีสันสกฤตมาวางหลักการใหม่ให้ดีๆ จะเข้าท่ากว่าการสร้างระบบใหม่ให้รุ่มร่าม และทำลายข้อมูลเรื่องที่มาที่ไปของคำไทย ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างผลงานนักภาษาศาสตร์จีนกับผลงานราชบัณฑิตไทยนั้น ที่เราบอกว่าผลงานคนจีนดีเด่นกว่านั้น เราเปรียบเทียบโดยยึดเอาประเด็นที่ว่าภาษาจีนเขียนยากกว่าภาษาไทยตั้งหลายเท่าแต่ผลงานทั้ง pinyin ทั้งตัวย่อของจีน มีความโดดเด่นในด้าน 1. ทำให้การเรียนการสอนภาษาจีนง่ายขึ้น 2. ทำให้จำนวนคนจีนที่อ่านหนังสือไม่ออกลดลงไปอย่างมาก 3. ทำให้ผลิต software พิมพ์ภาษาจีนได้ง่าย แต่ในทางกลับกันราชบัณฑิตสถานของไทยไม่ได้ทำอะไรที่จะช่วยด้านการเรียนการสอนภาษาไทยหรือการใช้งานภาษาไทยให้มันง่ายๆเข้าเลย มีแต่ใช้เวลาวันๆไปนั่งบัญญัติศัพท์อะไรไร้สาระตั้งมากมายที่คนไทยก็ไม่อยากจะใช้กัน เพียงแต่ว่าอยากจะได้ชื่อว่า "เป็นคนไทยต้องมีคำไทย" ในอีกมุมมองหนึ่งลองมาดูประเทศญี่ปุ่นกัน ภาษาญี่ปุ่นมีการทับศัพท์จากอังกฤษตั้งมากมายถึงกับถ้าไม่ใช้คำทับศัพท์พวกนี้ละก้อถึงกับคุยกันไม่รู้เรื่องเลยหละ "แต่ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่เห็นจะวิบัติเพราะทับศัพท์เลย เพราะคนญี่ปุั่นก็ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี" ^ ความเป็นไทยมันไม่ได้อนุรักษ์กันไว้ด้วยการบัญญัติศัพท์บ้าๆบอๆขึ้นมาใช้ตั้งมากมายหรอก เราว่าไหนๆจะทำงานระดับประเทศกันทั้งทีแล้ว ราชบัณฑิตควรออกแรงทำการบ้านมาให้มากกว่านี้ แล้วเอาเวลาไปทำสิ่งอื่นที่มีประโยชน์ให้มากกว่านี้ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานนี่กี่ปีจะ update กันซักที ดู dictionaries ฝรั่งค่ายดังๆสิ lexicographers (คนผลิต dictionaries) ทำงานทุกวัน ปรับปรุงทุกวัน เพิ่มศัพท์ใหม่ๆทุกวันให้ทันต่อเหตุการณ์ และออกฉบับใหม่ทุกๆ 2-3 ปี ^ นี่ก็เป็นข้อด้อยอีกอย่างหนึ่งในการทำงานของราชบัณฑิตสถาน แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 54 01:24:14 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 54 01:23:28 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 54 01:18:18

ความคิดเห็นที่ 12 คำว่าบุรี    ต่อให้คนอินเดียมาเองก็ไม่รู้หรอกครับ    เพราะคำว่าบุรีนี้มาจากรากเดิมว่า ปุระ     ที่อินเดียเขาใช้ปุระกันทั้งนั้นครับ       มีแต่แถบนี้ที่ใช้บุรี    ดังนั้นจะ Bury รึ Buri แขกเขาไม่รู้เรื่องหรอก    นอกจากเราจะไปใช้ว่า Pura Vibhavadi Rangsit Road     กรณีนี้ผมมองว่ามาจากนามของพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต    ดังนั้นต้องย้อนกลับไปดูว่าใครเป็นผู้แปลงนามนี้เป็นตัวโรมัน       ถ้าเจ้าของนามใช้แบบนี้เอง    ก็คงต้องมองว่าเป็นชื่อเฉพาะ       เพราะคนทุกวันนี้ก็ใช้กันมั่วไปหมด    ใช้ตามแบบโรมันบ้าง      ตามแบบอังกฤษบ้าง       ใช้กันเองไม่สนกฎเกณฑ์ อย่างราชสกุล สวัสดิวัฒน์     ร.6ตั้งให้เป็นตัวโรมันว่า Svasti-Vatana      แต่ผู้ขอพระราชทาน (จำไม่ได้ว่าใคร) เห็นว่ามันยาวไปเยิ่นเย้อ   เลยตัดทิ้ง  เหลือแค่ Svasti         นามสกุลผมมีคำว่า สิทธิ์ อยู่ด้วย      คนหลังๆมาใช้กันมั่วไปหมด  มีทั้ง  Sidh  Sit  Sitt   ทั้งๆที่ในใบพระราชทานนามสกุลก็มีให้เห็นอยู่ตำตาว่าใช้ว่า Sitthi การถอดเสียงแบบนี้ของไทยเราจะมี2แบบ    คือแบบที่ถอดตามความหมายรากศัพท์   กับถอดตามเสียง      ซึ่งคนไทยปัจจุบันก็ใช้กันมั่วไปหมด    ทั้งๆที่เราบัญญัติมาแต่อดีตแล้วว่าชื่อคนควรจะต้องใช้การถอดตามความหมาย       สรุปว่าเราต้องเลือกกันก่อน       ว่าการถอดภาษาไทยเป้นตัวโรมัน     เราจะเอาแบบไหน   ถอดตามความหมายรึถดตามเสียง       ทั้ง2ระบบเราทำได้หมดและชัดเจนมาก       แต่บังเอิญว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นเผด็จการแบบจีน     เลยสั่งโครมให้เปลี่ยนกันทั้งระบบไม่ได้ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 54 02:22:09

ความคิดเห็นที่ 13 คำทับศัพท์   คงต้องมองความคิดของแต่ละที่ละครับ     ญี่ปุ่นทับศัพท์เยอะก็จริง     แต่มันออกมาเป็นคำใหม่ที่แทบไม่รู้ที่มา   Convinience Store - คอมบินี Axel - อัคคุเซรุ ธนบุรี - ดงบุริ Macdonald - มาคุโดะนารุโดะ  เรียกสั้นๆว่า มาคุโดะ ซึ่งเทียบกับประเทศอื่นๆแล้ว     เขาก็มีคำสร้างคำมาใหม่      พยายามทับศัพท์แต่น้อย     อย่างฝรั่งเศส    โรค AIDS   เขายังบัญญัติคำเรียกใหม่เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า SIDA       CD-Rom เขาก็ยังให้ออกเสียงตามภาษาเขา   ไม่ออกตามอังกฤษ (เซ-เด-ฆอม) จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 54 02:29:40

ความคิดเห็นที่ 14 http://factdata.googlepages.com/comment9.pdf จากคุณ : jinxiana เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 08:26:46