ความคิดเห็นที่ 1 เชลย เครื่องศาตรวุธต่างๆ สัตว์เลี้ยงพาหนะ เช่น ช้าง ม้า ทรัพย์สิน จากคุณ : CrazyMc เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 19:57:22

ความคิดเห็นที่ 2 พม่าได้ความเย้อหยิ่งทรนงไปครับ.....และเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ "ราชวงศ์อลองพญา" เป็นอันต้องพินาศดับสูญไป..... ภายหลังพม่าตีกรุงศรีแตกในครั้งนั้น....นับเป็นครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าเป็นมหาอำนาจแห่งอุษาคเนย์โดยแท้จริง....ราชวงศ์พม่าภูมิใจต่อชัยชนะในครั้งนี้มากเพราะการมีชัยเหนืออโยธยามิใช่เรื่องง่าย.....และความภาคภูมิใจเหล่านั้นทำให้พม่าปฏิเสธความยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งแสงยานุภาพของโลกตะวันตกที่กำลังแผ่อิทธิพลปกคลุมทั่วอุษาคเนย์....พม่าปิดประเทศและท้าทายต่อโลกตะวันตกอย่างก้าวร้าวรุนแรง....เพราะความเย้อหยิ่งทรนงถือว่าตนเคยเป็นใหญ่เหนืออุษาคเนย์มาก่อน....ชัยชนะที่มีเหนือกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นยังคงหอมหวนหลอกหลอนจิตใจกษัตริย์แห่งราชวงค์อลองพญาเลื่อยมา.....ราชสำนักพม่าจึงปฎิเสธแสงยานุภาพแห่งโลกตะวันตกและยังคงรูปแบบการปกครองแลกองทัพเฉกเช่นเมื่อครั้งเคยมีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยา แต่ทว่า ความภูมิใจเหล่านั้นไม่อาจปิดกั้นความเป็นจริงได้เมื่อเรือปืนของอังกฤษได้ขึ้นไปถึงมัณฑะเลย์....และนั้นเป็นวันสุดท้ายของราชวงค์อลองพญา....ราชวงค์ที่มีประวัติอันยาวนาน....ราชวงค์ที่เคยมีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยา....ราชวงค์สุดท้ายแห่งพม่า....พม่าสูญสิ้นระบบกษัตริย์นับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนทรัพย์สินเงินทองที่พม่าได้ไปจากการตีกรุงศรีอยุธยาได้ในครั้งนั้น....ก็กระจัดกระจายสูญหายไปในคราวที่พม่าเสียเมืองนั้นเอง....บ้างก็ถูกฉกชิงไปโดยชาวบ้านที่เข้าไปปล้นพระราชวัง....บ้างก็ถูกทหารอังกฤษยึด....บ้างกษัตริย์สีป่อก็ได้นำติดตัวไปขายใช้ที่อินเดีย.....สุดท้ายแล้วสมบัติทั้งปวงก็เป็นอนิจจัง แปรสภาพเปลี่ยนมือไปตามธรรมดา....ไม่อาจคงสภาพเป็นของผู้หนึ่งผู้ใดได้อย่างแท้จริง ส่วนเรื่องทองคำที่หุ้มองค์เจดีย์ชเวดากองนั้น.....เป็นของเดิมของชาวพม่าเค้า....มิใช่ทองที่ได้มาจากการตีกรุงศรี....เพราะทองที่ได้จากการปล้นชิงเค้าไม่นำไปถวายพระเจดีย์อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอยู่แล้ว....เพราะถือว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่บริสุทธิ์....เป็นทองเชลยไม่คู่ควรต่อการนำมาบูชาพระ......ซึ่งเรื่องนี้เป็นการจงใจให้คนไทยยุคหลังเข้าใจผิดเพื่อผลทางประวัติศาสตร์ชาตินิยมของผู้ปกครองในยุคก่อน....ซึ่งยังคงฝังรากมาถึงอนุชนคนไทยในปัจจุบัน.... แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 54 20:40:55 จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 20:32:05

ความคิดเห็นที่ 3 สิ่งที่สำคัญที่สุดคืนคน    พม่าน่าจะได้เชลยจากการศึกครั้งนั้นไปเกือบๆแสน (ที่ไปถึงอังวะ) ทรัพย์สมบัติต่างๆในอยุธยาเหลือคณานับ     เพราะอยุธยาก่อนเสียกรุงนั้นร่ำรวยจากการค้าต่างประเทศมาก ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ถูกใช้ไปในการสงครามต่อๆมา    ไม่ว่าจะเป็นสงคราม9ทัพ    การปราบขบถยะไข่      การศึกกับอังกฤษ     ชำระค่าปรับให้อังกฤษ      จนกระทั้งสุดท้ายเมื่อสิ้นสุดสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่3 (ตรงกับสมัยร.5ของไทย)      อังกฤษก็ยึดครองพม่าทั้งหมด    จับพระเจ้าสีป่อไปอยู่อินเดีย      จากนั้นก็ขนสมบัติต่างๆในวังมาประมูลขายกันเป็นที่สนุกสนาน      (น่าจะโดนขนไปเกลี้ยงวัง)       รวมไปถึงเครื่องศาสตราวุธต่างๆที่พม่ายึดไปได้จากอยุธยาคือปืนใหญ่จำนวนมาก     อังกฤษก็จัดการขนไปไว้ที่เชนไนอินเดียเกลี้ยง     อันนี้น่าเสียดายนะที่ไปอยู่อินเดีย    ถ้าเป็นไปได้เราน่าจะไปเจรจากับอินเดียขอปืนใหญ่เหล่านั้นมาไทย    เพราะยังไงมันก็แทบไม่ได้มีความหมายอะไรกับอินเดียอยู่แล้ว       แต่มันมีคุณค่าทางจิตใจและประวัติศาสตร์ต่อเรามาก จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 21:17:03

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับชาวสยาม....การเสียกรุงศรีในครั้งนั้นกลับให้ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พม่าได้รับ.....นั้นคือ "บทเรียน" และ "ความเจียมเนื้อเจียมตัว" ชาวสยามหลังจากกอบกู้บ้านเมืองขึ้นมาใหม่แล้วได้เปลี่ยนวิถีการปกครองไปจากเดิมเมื่อครั้งกรุงเก่าอย่างสิ้นเชิง.....กรุงธนบุรีและกรุงเทพมิได้ เย้อหยิ่งทรนง เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุง....เพราะความพ่ายแพ้ปราชัยของกรุงศรีอยุธยาอย่างราบคาบทำให้สยามไม่ยึดติดกับความยิ่งใหญ่ของตนเองเมื่อครั้นในอดีตอีกต่อไป .....เพราะไม่มีอะไรหลงเหลือให้ยึดติดอยู่แล้ว  ไม่มีเศษซากแห่งความยิ่งใหญ่หลงเหลือในจิตใจอีก....มีก็แต่บทเรียนอันมีค่าซึ่งจะนำพาให้สยามประเทศรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากได้สร้างบ้านแปลงเมืองสถาปนากรุงธน-กรุงเทพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว....สยามจึงยอมเปิดประเทศรับวัฒนธรรมของต่างชาติมากยิ่งขึ้น   ราชสำนักสยามยอมปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแห่งสากลนิยม....มีการยกเลิกประเพณีโบราณ....พระมหากษัตริย์สยามทรงให้ใช้ธรรมเนียมอย่างชาติตะวันตก....เช่นทรงจับมือต้อนรับชาวตะวันตกอย่างไม่ถือพระองค์....ทรงโอนอ่อนผ่อนตามมหาอำนาจแห่งตะวันตก....จนเป็นที่มาของคำว่า "การทูตแบบสยาม"..... แม้กระทั้ง "พระมหาพิชัยมงกุฏ" ซึ่งเป็นเครื่องราชเบญจกกุธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของพระมหากษัตริย์ อันเป็นสัญญาลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่และพระเกียรติยศในฐานะพระราชา.....พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม (ร.๔) ก็ทรงจำลองและส่งเป็นเครื่องราชบรรณาการให้แก่ชาติตะวันตก....อันเป็นการอ่อนน้อมยอมตนต่อโลกตะวันตกอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน.... ทั้งหมดก็เพื่อให้กรุงสยามรอดพ้นจากความเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจแห่งตะวันตกนั้นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ "ราชวงค์อลองพญา" ผู้มีชัยเหนืออโยธยาไม่อาจทำได้....เพราะยังยึดติดในชัยชนะเหนืออโยธยาอยู่นั้นเอง ดังนั้น...บนความพินาศย่อยยับของกรุงศรีอยุธยา....อนุชนคนไทยกลับได้สิ่งที่มีค่ายิ่งขึ้นมา นั้นคือ "บทเรียน" และ "ความเจียมเนื้อเจียมตัว" ซึ่งภายหลังสิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ทำให้สยามประเทศไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก....และสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยยังคงสืบสานได้ต่อไป.....ไม่สิ้นสูญเหมือนราชวงค์อลองพญา ซึ่งก็ไม่แน่ว่าหากสยามไม่เสียกรุงศรีในครั้นนั้น....ปัจจุบันจะยังมีประเทศไทยอีกหรือไม่ ก็ไม่ทราบ....หรือจะแตกเป็นชนกลุ่มน้อยอีกสักกี่กลุ่มก็ไม่อาจทราบได้.... สุดท้ายนี้... อยากจะกล่าวถึงผู้ที่ยังไม่เข้าใจบทบาทความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์....ให้จงดูตัวอย่างของประเทศพม่า....เมื่อสถาบันกษัตริย์สูญสิ้นไปประเทศชาติก็ไร้ซึ่งสิ่งสูญสุดอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ.....ไม่มีจิตวิญาณร่วมของความเป็นชนชาติเดียวกัน....เพราะไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ....ขุนศึกต่างๆ ต่างก็แย่งชิงความเป็นใหญ่  ไม่ยอมตนต่อการปกครองของผู้ใดเพราะไร้ซึ่งกษัตริย์เสียแล้ว.....ไม่มีใครที่จะหยุดยั้งการใช้อำนาจและแย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนศึกได้อีกต่อไป....ประเทศชาติก็ไม่มีวันผาสุขได้อย่างแท้จริง "ไทย" ก็จะไม่ต่างอะไรกับ "พม่า" เช่นกันหากว่าวันนี้เราไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์.....เพราะบริบททางสังคมของไทยและพม่าก็มิได้ต่างกันมากมาย.....ไทย เป็น ไทย ทุกวันนี้ได้ก็ด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์....เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ  เป็นแกนหลักของความเป็นชาติ...ซึ่งไม่สามารถหาสิ่งใดที่จะมาทดแทนได้.....(หรือท่านคิดว่านักการเมืองคนใด ขุนศึกคนใด จะเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติได้หรือ?) ของทรงเป็นร่มโพธิร่มไทรให้แก่สังคมไทยตราบนานเท่านาน.... แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 54 22:12:56 จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 22:03:24

ความคิดเห็นที่ 5 พม่า นั้น เย้อหยิ่งทะนงตน เหรอครับในสมัยยุคอาณานิคม และไทยเรา ไม่ได้เย้อหยิ่งทะนงตน จริง ๆ หรือครับ แสดงว่าเรื่องเย้อหยิ่งทะนงตนส่งผลต่อนโยบายการทูต ของรัฐเหรอครับ จากคุณ : อุบาสกฉางชุน เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 22:17:47

ความคิดเห็นที่ 6 ^ จากที่ดูเรื่องที่เกิดขึ้น     คงต้องบอกว่าพม่าทะนงตนซ่าไม่เลือกเองครับ       ตอนนั้นพม่าไปปราบขบถยะไข่    แล้วตามตีต่อจนเลยเข้าไปในอินเดียที่อังกฤษปกครองอยู่       อังกฤษก็ส่งทูตมาเตือนให้พม่าถอนทัพออกไป    แต่พม่าไม่ยอมถอน      จนในที่สุดอังกฤษทนไม่ไหวก็รบกันจนได้ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 22:31:16

ความคิดเห็นที่ 7 ...ได้แมววิเชียรมาศไปครับ  รู้สึกจะได้ไปจนหมดวังเลย จากคุณ : LegalisM เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 02:04:27

ความคิดเห็นที่ 8 เสียกรุงครั้งที่ 1   ได้พระนางสุพรรณกัลยาไปทำเมียครับ จากคุณ : ภูติสายลม เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 03:02:26

ความคิดเห็นที่ 9 ้บ้างก็ว่าเจ้าสีป่อเองก่อนครองราชเล่นฆ่าญาติพี่น้องทิ้งทั้งหมด คล้ายๆกับพระที่นั่งสุริยาศอัมริทร์ก่อนครองราชนั่นละครับ ไทยเองก็เกือบเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสเหมือนกันติดตรงที่ว่าเยอรมันเข้าตีฝรั่งเศสไปก่อน หลังจากพระเจ้าซาร์ตายฝรั่งเตรียมแบ่งเค้กสยามอยู่แล้ว ร.5 ท่านก็ตรอมใจตรงนี้ ว่าจะเสียเอกราชแต่ท่านคงรู้แล้วว่าคนรุ่นหลังรักษาไว้ได้ พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสมัยรัชการที่ 6 ฝรั่งเศสเลยไม่มีโอกาสเข้ามาตีไทยอีก จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 04:26:50

ความคิดเห็นที่ 10 สงครามโลกครั้งที่ 2 มันในสมัยรัชกาลที่ 8 ครับ   ส่วนสมัยรัชกาลที่ 6 คือ สงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ ที่ฝรั้งเศษไม่มาตีไทยหลังจากนั้น เพราะ ไทยได้ส่งทหารไปร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ร่วมกับ สัมพันรมิตร ทำให้ไทยมีอำนาจต่อลองกลับ มหาอำนาจมากขึ้นและ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทางยุโปน เศรษฐกิจตกต่ำจากสงครามมากๆ ทำให่ไม่สามารถก่อสงครามไรได้มากมายครับ จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากคุณ : takpiboon เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 05:52:12

ความคิดเห็นที่ 11 พม่าได้ศิลปะวัฒนธรรมไทยเข้าไปผสมกับศิลปะพม่าเต็มๆเลยครับ ทั้งจิตรกรรม นาฏศิลป์ การร้องรำทำเพลง บทละคร รวมทั้งพุทธศิลป์แบบไทยด้วย จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 09:42:26

ความคิดเห็นที่ 12 พม่า ดันรบชนะจีนด้วย ซ่ากันไปใหญ่ จากคุณ : นักเลงสวรรคโลก เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 10:33:29

ความคิดเห็นที่ 13 เคยผ่านตามาจากไหนจำไม่ได้ ว่าทองคำและเครื่องประดับต่างๆ ที่ใช้ตกแต่งองค์พระพุทธบาท สระบุรี นั้นได้ไปสามลำเรือเลยทีเดียว จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 12:05:41

ความคิดเห็นที่ 14 สิ่งของหรือทรัพย์สมบัติโบราณ ที่แพ้สงครามไม่ควรเอาคืน เพราะไม่งั้นอยุธยาก็ต้องเอาไปคืนต่อเมืองอื่นอยู่ดี   ที่เขาคืนๆกันนั้นมันเกิดจากการขโมยในสมัยหลังๆนี่เอง แต่เห็นด้วยว่าพม่าได้ความฟุ้งเฟ้อของราชสำนักไทยไปจนพม่าเสียเมือง ส่วนไทยเหลือไว้แต่บทเรียน จนสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ และตอนนี้ไทยเริ่มบทเรียนใหม่อีกแล้วร่วมกับทั่วโลกคือระบบทุนและระบบการปกครองที่ใช้อยู่ เรื่องสีทางการเมืองนั้นเป็นside effectเฉยๆ จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 12:19:27

ความคิดเห็นที่ 15 ส่วนหนึ่งที่สำคัญมากคือ พม่าได้ขจัดอิทธิพลของสยามในหัวเมืองมอญทางใต้อย่างเด็ดขาดเลยครับ เพราะก่อนหน้านั้นหัวเมืองมอญทั้ง 3 ทางใต้อย่าง ทวาย, มะริด และตะนาวศรี เป็นประเทศราชของสยามมานับร้อยปี อย่างตอนศึกอลองพญา แม้จะตี 3 เมืองนี้มาได้ แต่พออลองพญาถอยทัพกลับ หัวเมืองพวกนี้ก็กลับมาสวามิภักดิ์อยุธยาอีก แต่พอทำลายอยุธยาได้แล้ว อำนาจในหัวเมืองมอญทั้ง 3 ของพม่าก็มั่ืนคงขึ้นอย่างมาก ขนาดในสมัยรัชกาลที่ 1 กองทัพไทยเข้าตีมะริดและทวายได้ แต่เจ้าเมืองกลับไม่เต็มใจที่จะยอมจำนนต่อสยามอีกแล้ว และพอไทยถอยทัพกลับ เจ้าเมืองทวายก็ไปขอให้พม่ามาปกครองเช่นเดิม และตั้งแต่นั้นมา ไทยก็ไม่ได้มีอิทธิพลเข้าไปครอบครองหัวเมืองมอญทางนั้นได้อีกเลย จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 14:32:03

ความคิดเห็นที่ 16 คุณเวย์คุง เข้าใจผิดไปหลายอย่างครับ - ไทยเองก็เกือบเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสเหมือนกันติดตรงที่ว่าเยอรมันเข้าตีฝรั่งเศสไปก่อน ฝรั่งเศสกับเยอรมันทำสงครามกันครั้งสุดท้ายก่อนจะเกิดสงครามโลกคือ Franco Prussian War ปี1870 - 2413     ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเริ่มเอาจริงเรื่องบีบไทยเป็นอาณานิคมหลายปีครับ - หลังจากพระเจ้าซาร์ตายฝรั่งเตรียมแบ่งเค้กสยามอยู่แล้ว ร.5 ท่านก็ตรอมใจตรงนี้ ว่าจะเสียเอกราชแต่ท่านคงรู้แล้วว่าคนรุ่นหลังรักษาไว้ได้ ซาร์นิโคลาสตายในปี 1918 - 2461      ปลายช่วงสงครามโลกครั้งที่1    ซึ่งเป็นสมัยร.6แล้วครับ     ร.5สวรรคตในปี 1910 - 2453 - พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2ในสมัยรัชการที่ 6 ฝรั่งเศสเลยไม่มีโอกาสเข้ามาตีไทยอีก สมัยรัชกาลที่6คือสงครามโลกครั้งที่1ครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 17:41:09

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ในส่วนตัวผมคิดว่า ทองที่ชเวดากองอาจจะมีส่วนที่มาจากไทยบ้าง แต่ผมคิดว่า ไทยเราไม่ได้มีความรู้สึกว่า ทองดังกล่าว จะต้องไปทวงคืน เพราะไม่เคยได้ยินมาตลอดชีวิต แต่เหมือนว่าสมัยก่อน พยายามถ่ายทอดให้เกิดความรู้สึกรักชาติ แต่ผมคิดว่า ถ้าศึกษาลงไป เราก็พอจะทราบว่า ประเทศนี้ ปัจจุบัน ก็ไม่ใช่พวกที่เคยมาตีเราแล้ว และผู้ที่เคยมาบุกอโยธยาในสมัยนั้น ก็สูญสลายไปหมดเสียแล้ว (หมายถึงราชวงศ์อลองพญา หรือคองบอง) ส่วนที่ได้อะไรจากเราไป ก็คงได้เหมือนที่เป็นผู้ชนะสงคราม เพียงแต่รักษาไว้ไม่ค่อยจะได้ แต่เห็นมีพระพุทธรูปที่ขนจากอยุธยา เป็นพุทธลักษณะ แบบขอมไป และได้อัญเชิญเจ้านายสมัยอยุธยาไป (คงรวมถึงนักปราชญ์ราชบัณฑิต รวมถึงข้าทาสด้วย) ผมยังอยากจะให้สื่อมวชชนไทยลองย้อนรอยคนไทยในพม่า หรือในมาเลเซีย บ้าง คืออยากรู้ว่า พี่น้อง (จริงๆ )ของเราที่ยังอยู่ในประเทศเหล่านัั้นเป็นอย่างไร จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 19:19:02

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ส่วนตัวผม   คิดว่าถ้าอยากจะได้อะไรคืนมาบ้างจริงๆ    น่าจะไปขอปืนใหญ่อยุธยาจากอินเดียดีกว่า    ยังพอจะมีทางเป็นไปได้และน่าสนใจกว่าเยอะ     เพราะอินเดียเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย    อังกฤษขนจากพม่าไปไว้ที่อินเดียเท่านั้น จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 20:51:03

ความคิดเห็นที่ 19 ปรบมือให้กับคุณ ดอกหญ้าสีนวล ครับ บทความย่อหน้าท้ายๆ...เนื้อๆ และสาระครับ นับถือครับ จากคุณ : น้องกี้...ความรู้แค่คืบ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 23:05:25

ความคิดเห็นที่ 20 เสริมหน่อยนึง ตอนนั้น พม่า ห้าวมากครับ เพราะรบชนะทั้ง อยุธยา จีน และยะไข่ ซึ่งยะไข่นั้น ไม่เคยมีกษัตริย์ของพม่าองค์ไหน ตีได้มาก่อน แม้จะมาพลาดท่า เอาตอนสงครามเก้าทัพ แต่พม่ามองว่าที่ต้องยกทัพกลับนั้น ไม่ใช่เพราะไทยเราเข้มแข็ง แต่เพราะว่าทัพของตัวเอง ไม่ได้มาพร้อมกันตามที่ตกลง หลังจากตีอัสสัม ก็มีปัญหากับอังกฤษ ที่มีเมืองขึ้นและทำการค้าอยู่แถบนั้น ด้วยความที่พม่าไม่เกรงกลัวอังกฤษ สุดท้ายก็เลยรบกัน และพม่าก็เลยเสียเมือง อันที่จริงทางอังกฤษนั้น ก็เจรจาให้ไทยเราเข้าร่วมด้วย แต่ทางไทยเองก็ระแวงๆกับอังกฤษ รวมทั้งผลประโยชน์ที่ตกลงกันไม่ลงตัว ไทยเราก็เลยไม่ได้ไปตีพม่า ซึ่งก็นับว่าโชคดี ไม่งั้นก็เป็นประเด็นยาวถึงปัจจุบันแน่ๆ ปล. บริษัทอังกฤษที่เข้ามาคุมพม่าหลังเสร็จสงคราม ก็รายเดียวกับตัวร้ายในหนัง ไพเรท ออฟ เดอะ คาริบเบียนนั่นแหละ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 14:13:16 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 13:53:43 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 13:50:33 จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 13:43:19

ความคิดเห็นที่ 21 ที่แน่ๆ ๆ ได้ความยำเกรงจากไทยครับ ปกติไทยจะถือตนว่าสูงกว่าเพื่อนบ้าน จะมีทัศนคติทางลบต่อชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นของเรา และมักจะแสดงทัศนคติดังกล่าวออกมา จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่กับพม่านี่ ไม่มีเลยครับ จากคุณ : โบกี้บอย เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 11:45:07

ความคิดเห็นที่ 22 แอบชอบ #21 จะมีใครรู้ไหมเนี่ย จากคุณ : น้อยๆ (dongdon) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 13:37:20

ความคิดเห็นที่ 23 เรารู้ละ ลงให้อีกที เผื่อลบ เรามาเป็นสักขีพยาน ความคิดเห็นที่ 21 จากคุณ : โบกี้บอย ความคิดเห็นที่ 22 แอบชอบ #21 จะมีใครรู้ไหมเนี่ย จากคุณ : น้อยๆ (dongdon) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 13:37:20 เมื่อก่อน ไทย - พม่า นี่เท่าๆกันนะ รบ ผลัดกัน แพ้ชนะตลอด ช่วงอยุธยา อะ  ต้น รศ เริ่มแผ่วๆ แต่กษัตริย์พม่าองค์สุดท้าย นี่ดังจริงๆ มีคนมาศึกษาเรื่องเค้าเยอะมาก(ว่าตอนเสียกรุงทำไง ทำไงถึงเสียกรุง) คุณดอกหญ้าสีนวล เขียนดีจริงๆ คารวะ ของที่พม่าได้จากไทย ทอง พระ ไพร่พล สมบัติ อีกหลายๆอย่าง ที่เป็นความลับ หลายๆอย่างที่สำคัญ ที่ตอนนี้ยังอยู่ที่พม่าอยู่ ความเจริญจากไทย วัฒนธรรม การปรุงอาหารไทย จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 12:14:31

ความคิดเห็นที่ 24 zodiac28 ตอบคุณโซดิแอก ก่อนอื่นขอขอบคุณๆก่อนเพราะทุกกระทู้ที่ผมตั้งที่นี่คุณมาตอบให้ตลอด ฝรั่งเศสกับเยอรมันทำสงครามกันครั้งสุดท้ายก่อนจะเกิดสงครามโลกคือ Franco Prussian War ปี1870 - 2413     ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเริ่มเอาจริงเรื่องบีบไทยเป็นอาณานิคมหลายปีครับ อันนี้ขอค้านนะครับสมัยพระนารายณ์ฝรั่งเศสก็คิดยึดแผ่นดินสยามด้วยหาเหตุแปลงศาสนาพระเจ้าแผ่นดินอยู่เนืองๆครับ และสมัย ร.4 ก็เริ่มคิดแปลงศาสนาและพยายามมามีอิทธิพล จนกระทั่งพระองค์สิ้นลมไปเพราะกลับจากดูสุริยุบปราคาแต่หนังสือบางเล่มวิเคราะห์เรื่องนี้ว่าพระองค์ใช้เหตุเจ็บป่วยในบ่ายเบี่ยงการพบปะกับฑูตฝรั่งเศสด้วย หลังจากพระเจ้าซาร์ตายฝรั่งเตรียมแบ่งเค้กสยามอยู่แล้ว ร.5 ท่านก็ตรอมใจตรงนี้ ว่าจะเสียเอกราชแต่ท่านคงรู้แล้วว่าคนรุ่นหลังรักษาไว้ได้ อันนี้ผมเขียนให้เข้าใจผิดครับยอมรับ-*- รัชกาลที่ 5 ตรอมใจตามสารคดี ที่ดูอะครับและหลังจากนั้น เราก็ไปช่วยฝรั่งเศสรบ เรื่องพระเจ้าซาร์จำมาจากล็อกอิืนๆนึงเคยบอกว่าถ้าพระเจ้าซาร์ไม่ตายฝรั่งเศสไม่มาบุกไทย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ผมยังคิดว่าเป็นสมัย ร.6 นะ-*-มั่วไปแล้ว จริงๆ ขอบคุณที่แย้งนะครับ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 13:45:09