 |
1. เจียงไคเช็คขึ้นสู่อำนาจในปี 1927-28 และก็ปกครองจีนยาวนานถึง 22 ปี จนถึงปี 1949 เมื่อเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยินในทุกสมรภูมิบนแผ่นดินใหญ่ - เจียงไคเช็คปกครองจีนมา 22 ปี แต่เขาประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนจีนที่ยากจน 400 ล้านคน แต่กลับประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเพิ่มความร่ำรวยให้แก่พวกพ้อง, เหล่าขุนศึกและเจ้าที่ดินอีก 40 ล้านคนทั่วประเทศครับ ตรงนี้เองก็มองได้ว่า ทำไมก๊กมินตั๋งถึงพ่ายแพ้ ทั้งๆที่ก่อนเริ่มสงครามปลดแอกในปี 1945 ก๊กมินตั๋งมีพื้นที่ยึดครองมากกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน 10 เท่าตัว, มีกองทหารมากกว่า 4 เท่าตัว และยุทธโธปกรณ์กับปัจจัยในการทำศึกมากกว่า 5 เท่าตัว - มีคำเปรียบเปรยว่า ตอนเจียงไคเช็คขึ้นเป็นผู้นำของจีน เงิน 1000 เหรียญซื้อวัวได้ 1 ตัว, 10 ปีผ่านไปภายใต้ยุคของเจียง เงิน 1000 เหรียญ ซื้อไก่ได้ 2 ตัว, 20 ปีผ่านไปในยุคของเจียงเงิน 1000 เหรียญ ซื้อกระดาษได้แค่แผ่นเดียว..... - 4 ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดแห่งยุคนั้นของจีนคือ เจี่ยง, ข่ง, ซ่ง, เฉิน ซึ่งก็คือพรรคพวกของเจียงไคเช็คทั้งสิ้น แล้วประชาชนที่ยากจนอีก 400 ล้านคนจะมองอย่างไรว่า เจียงไคเช็คได้คิดจะช่วยเหลือหรือยกระดับความเป็นอยู่ของพวกเขาสักนิดหรือไม่
2. พรรคก๊กมินตั๋งก่อตั้งขึ้นจากการร่วมมือของปัญญาชนที่เป็นนักเรียนต่างประเทศ, ปัญญาชนหัวใหม่ในจีน, เหล่าชาวจีนโพ้นทะเลที่ร่ำรวย และคนรักชาติอีกจำนวนมาก เพื่อดำเนินการปฏิวัติสร้างจีนใหม่ที่เข้มแข็ง ตามแนวทางไตรราษฎร์ของท่านซุนยัตเซนครับ
แต่เนื่องจากพรรคก๊กมินตั๋งในระยะแรก มีแต่อุดมการณ์ของวีรชนรักชาติจำนวนมาก แต่ทว่าขาดอำนาจทางการเงิน, อำนาจทางทหาร และอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง ทำให้ ดร.ซุน จำเป็นที่จะต้องไปพึ่งพาเหล่าขุนศึกตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อช่วยให้รัฐบาลของก๊กมินตั๋งมีเสถียรภาพและสามารถรักษาอำนาจรัฐเอาไว้ได้ครับ ทว่าพวกขุนศึกนั้นฉ้อฉลและไร้อุดมการณ์ เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ทำให้เกิดการทรยศหักหลังแปรพักตร์กันบ่อยๆ รัฐบาลฝ่ายใต้ในช่วงแรกจึงไร้เสถียรภาพอย่างยิ่ง ซึ่งสาเหตุนี้เองที่ทำให้ ดร.ซุน ได้จัดตั้งโรงเรียนทหารหวงผู่ขึ้นมาครับ เพื่อสร้างของกองทัพของก๊กมินตั๋งขึ้นมาเอง เอาไว้พิทักษ์และบังคับใช้อำนาจรัฐ โดยไม่ต้องพึ่งพาพวกขุนศึกไม้หลักปักขี้เลนอีกต่อไป
แต่เมื่อเจียงไคเช็คขึ้นสู่อำนาจนั้น เขาต้องการที่จะกุมอำนาจสูงสุดของพรรคเอาไว้ แต่ตอนนั้นก๊กมินตั๋งเองไม่ได้เข้มแข็งมากนักครับ กำลังทหารส่วนใหญ่ของประเทศยังกระจัดกระจายอยู่ในมือของขุนศึกภูธรกลุ่มต่างๆ ทำให้เจียงไคเช็คต้องเล่นการเมือง โดยยอมให้พวกขุนศึกดูแลเขตปกครองของตัวเองเอาตามใจชอบ ขอแค่สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งและยอมรับว่ารัฐบาลที่นานกิงเป็นรัฐบาลกลางก็พอ ตรงนี้เองที่เจียงไคเช็ค ได้ขายพรรคก๊กมินตั๋งที่เหล่าวีรชนผู้รักชาติช่วยกันก่อตั้งขึ้นมา ให้พวกขุนศึกเข้ามายึดครองพรรคตามใจชอบครับ แต่นั้นมา พรรคก็เต็มไปด้วยขุนศึกที่มีอำนาจทหาร ร่วมกันกดขี่บีฑาประชาชนจีนที่ยากจน 400 ล้านคนยาวนานถึง 22 ปี.........
3. ดังนั้นความวุ่นวายในจีน ช่วงปี 1927-1949 นั้น ที่ก๊กมินตั๋งไม่อาจจะแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้ ก็เพราะพรรคต้องตกอยู่ในมือของพวกขุนศึกนั่นเองครับ และเจียงไคเช็คก็ต้องเล่นการเมือง มองเหล่าหน้าอินทร์หน้าพรหมพวกนี้โกงบ้านกินเมืองอย่างไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะเจียงไคเช็คก็ต้องพึ่งพวกเขาเป็นมือเป็นเท้าในการรักษาอำนาจให้ตนเหมือนกัน
4. ซึ่งดูสถานการณ์ในปี 1945 ก็ได้ครับ พรรคก๊กมินตั๋งก็ยังเต็มไปด้วยขุนศึกภูธรที่ปกครองเขตต่างๆทั่วประเทศจีนเอาไว้ โดยมีเจียงไคเช็คเป็นหัวหน้าใหญ่ หากไม่มีสงครามปลดแอกกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว รัฐบาลกลางที่นานกิงก็ยังเต็มไปด้วยเหล่าขุนศึกอยู่ดี
พวกขุนศึกเหล่านี้มีกำลังพลมหาศาลและเขตปกครองที่กว้างใหญ่ เจียงไคเช็คไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง เพราะอาจจะทำให้อำนาจของเขาพังครืนลงมาทันที....... ดังนั้นผมจึงเห็นว่า หากพรรคก๊กมินตั๋งยังได้ปกครองประเทศต่อหลังปี 1949 สถานการณ์ก็ไม่แตกต่างไปจากเดิมครับ ประเทศจีนก็จะยังยากจน อ่อนแอ และเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหมือนเดิม แถมยังจะเกิดสงครามภายใน ระหว่างเจียงไคเช็คก๊กมินตั๋ง และขุนศึกภูธรที่จะขึ้นมาท้าทายอำนาจอยู่ร่ำไปไม่จบไม่สิ้น
จากคุณ |
:
อุ้ย (digimontamer)
|
เขียนเมื่อ |
:
9 พ.ย. 54 08:28:50
|
|
|
|
 |