ความคิดเห็นที่ 1 เรียนกวดวิชา เฉพาะ วิชาภาษาอังกฤษ สิคะ เริ่มตั้งแต่พื้นฐานเลย จากคุณ : FunkyFox เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 18:54:16

ความคิดเห็นที่ 2 ลองอ่านกระทู้เหล่านี้นะครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11270331/K11270331.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11170008/K11170008.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11252221/K11252221.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11239530/K11239530.html ----------------------------------------------------------------------------------------- แถม สำหรับเด็กๆน่าจะชอบ mangafox.com >> เว็บอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นออนไลน์ฟรี มีเป็นพันๆเรื่อง แต่เป็นภาษาอังกฤษ!! อยากอ่าน นารุโตะ, hunter x hunter, onepiece อะไรก็เสริชเข้้าไป แรกๆจะเหนื่อยหน่อย ผ่านไปไม่กี่เดือนจะสบายเอง คราวนี้ละ มีศัพท์เทพๆติดตัวเพียบ สู้ๆครับ น้องชาย จากคุณ : Guiman เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 19:27:24

ความคิดเห็นที่ 3 จริงแล้วการเรียนให้เก่งทุกวิชา มันเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะถ้าเราเรียนเก่งเราก็มีโอกาสจะเลือกว่าอยากเรียนอะไรมากกว่าคนที่ไม่เก่ง ตอนนี้แค่เรียน ม.4 ยังมีเวลาอีกมากตั้งใจเรียนดี ๆ กวดวิชา ลองจัดตางรางอ่านหนังสือดี ๆ พอเรียน ม.6 ค่อยมาคิดกันอีกทีว่าอยากเรียนแพทยืหรือเปล่า เพราะในห้องสมุดนี้มีเด็กหลายคนอยากเป็นแล้วมาโพสสต์คล้าย ๆ น้อง บางคนตอนนี้ก็เรียนนิติศาสตร์ รามคำแหงก็มี บางคนก็เรียนวิทยาศาสตร์ที่ ลาดกระบัง แต่บางคนก็ได้เป็นแพทย์สมใจ สู้ ๆ ครับ จากคุณ : กล่องดำหมายเลข เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 19:54:54 A:118.173.71.137 X: TicketID:284516

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าพูดถึงจะสอบเข้าได้ ผมว่าไม่เก่งซักวิชานึง (คือพอผ่านเกณฑ์) ก็ยังสอบได้อยู่ แต่ที่จริงแล้วภาษาอังกฤษมีความสำคญมากๆในการเรียนหมอ เพราะเนื้อหาความรู้จำนวนมากต้องอ่านจากของฝรั่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ใหม่ๆ โดยความเห็นส่วนตัว ถ้าเพื่อการนำไปใช้ การเรียนภาษาอาจไม่จำเป็นมาก การฝึกอ่านบ่อยๆ จะอ่านจากหนังสือพิมพ์ หรืิอนิยาย ก็ได้ ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคจะได้ผลดีนะครับ อ่านจากการ์ตูนก็คงพอได้เหมือนกัน อย่างน้อยก็ได้คำศัพท์ แต่รูปประโยคยาวๆ ซับซ้อน อาจจะไม่ค่อยมีให้เห็นนัก จากคุณ : IceSwaN เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 20:04:58

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าจำพวกคำศัพท์ไม่ค่อยได้ เราก็ต้องหาแรงจูงใจค่ะ ดูรายการภาษาอังกฤษตลกๆ อย่าง คริส เดลิเวอรี่ ก็ดีค่ะ มีประโยชน์มากๆเพราะจะทำให้จำได้เร็ว เราก็ถนัดภาษา เกรดทุกอย่างออกมาดีหมด ยกเว้น เลข - -" ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆจขกท.(แต่ดูเหมือนหนักกว่าอีก) ฝากให้จขกท.แนะนำวิธีเก่งเลขกลับด้วยก็ดี 555555 แก้ไขมาเขียนปล.ไม่รู้ว่าคำศัพท์พวกนี้จะมีประโยชน์กับพวกหมอมั้ยนะ 555 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 05:17:20 จากคุณ : NWzephyr เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 02:37:14

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าอยากเรียนหมอและเก่งวิชาวิทย์ทั้งหลายตามที่บอกมานะ แต่ไม่เก่งแค่อังกฤษ วิธีแก้มันง่ายมากๆ แต่ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่าทักษะภาษาอังกฤษที่จำเป็นในการประกอบอาชีพด้านภาษาอังกฤษเช่นเป็นล่ามหรือนักแปลนั้น มันต้องออกแรงเรียนเยอะมากๆ เพราะมันมีทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งกว่าจะเรียนรู้จากแทบไม่กระดิกหูเลยจนเก่งนั้น ต้องใช้เวลาหลายปีมากๆ แต่ในทางกลับกันคุณจะบรรลุเป้าหมายในการเรียนหมอให้จบนะ ในกรณีที่เรียนในมหาลัยในเมืองไทย คุณจำเป็นต้องมีแค่ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเท่านั้น ^ ซึ่งทักษะนี้มันเรียนได้ง่ายๆมากๆ ถ้าคุณหาติวเตอร์เก่งๆ สอนพวก Greek and Latin roots (รากศัพท์ภาษากรีกและละติน) และสอนวิธีจำศัพท์เป็นจำนวนมากโดยการหาความสัมพันธ์กันระหว่างคำศัพท์ทั้งหลาย โดยการอ้างอิงจาก Greek and Latin roots และสร้าง cross-references อ้างอิงโยง ถึงกัน และรู้วิธี index คำศัพท์สำคัญๆเป็นจำนวนมากเพื่อโยงตัวอย่างประโยคที่ต้องจดจำเป็นจำนวนมาก (โดยการหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่จำได้แล้วกับสิ่งใหม่ๆที่พยายามจะจำ) เพื่อการตีความทำความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษยากๆ คุณก็จะอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษยากๆรู้เรื่องสบายๆ (เพราะการจะเรียนหมอให้จบคุณต้องอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษตั้งมากมาย แหงๆ) แต่คุณอาจพูดหรือเขียนอังกฤษไม่ค่อยจะได้เรื่องนะถ้าเรียนแต่อ่านอังกฤษแบบอัดแน่นอย่างเดียว เพราะพูดกับเขียนอังกฤษมันเป็นทักษะอื่นที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ^ ข่าวดีก็คือ การเรียนแบบ cram course นี้ถ้าได้ติวเตอร์เก่งๆระดับอาจารย์สงวน วงสุชาติ คุณสามารถเรียนรู้ศัพท์พอที่จะอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษยากๆรู้เรื่องภายในเวลา 1 ปี ได้ (แต่สมองหนักยัดแน่นหน่อย) ถ้าจะเอาแบบไม่ยัดแน่น แต่ให้มีเวลาหายใจบ้าง เอาสัก 2 ปี ก็พอไหว เรียนแบบนีนะ grammar เอานิดหน่อย (เอาแค่ในส่วนที่จะช่วยในการตีความเวลาอ่านภาษาอังกฤษ) แต่ conversation กับ writing แทบไม่มีเวลาฝึกเลย เพราะอาจทำให้เรียนวิชาอื่นไม่ทัน ^ แค่นี้คุณก็รู้อังกฤษพออ่าน textbooks ภาษาอังกฤษให้เรียนหมอได้จบแล้ว พอจบมาเป็นหมออยากเรียน conversation ตอนนั้นคุณมีรายได้มากแล้ว จ้างฝรั่งระดับชาวบ้านๆธรรมดาๆ มาคุยด้วยทุกวันก็ยังได้เลย แล้วค่อยหาเงินไปเรียน writing กับฝรั่งที่เก่งๆระดับเทพๆที่คิดค่าสอนแพงๆทีหลังก็ยังได้ เรียนไว้เผื่อจะต้องเขียนงานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษในอนาคต (ถ้าจะไปเรียนต่อสูงๆต่างประเทศ) แต่ถ้าเป็นหมอรักษาคนไข้ในเมืองไทยอย่างเดียว ไม่ต้องเขียนอังกฤษเก่งก็หาเงินได้แล้ว ลองติดต่อสอบถามข้อมูลเรื่องโรงเรียนของอาจารย์สงวน วงศ์สุชาติดู ไม่รู้ว่าตอนนี้แกยังสอนอยู่หรือเปล่า เพราะแกดังมากๆเรื่องสอนศัพท์ มีคนเล่าลือว่าอาจารย์สงวนรู้ศัพท์มากราวกับเป็น dictionary เดินได้ และแกสร้างหลักสูตรสอนหัดอ่านอังกฤษได้เข้มข้นมากๆ ^ แต่ถ้าคุณไม่อยากไปเรียนเป็นกลุ่มหรือไม่อยากเรียนกับวิดิโอที่โรงเรียนอาจารย์สงวน จะลองมาเรียนตัวต่อตัวกับเราก็ได้ เรามีเทคนิคเฉพาะตัวในการสอนศัพท์แบบอัดแน่นไม่แพ้อาจารย์สงวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราได้คิดค้นและพัฒนาวิธีสอนอัดแน่น โดยการใช้ computer software เป็นเครื่องทุ่นแรงในการจำศัพท์เป็นจำนวนมาก  และคิดค้นวิธีสอนอ่านให้ผู้เรียนเอาสิ่งที่อ่านไปเขียนได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเราตั้งชื่อเทคนิคนี้ว่า reading towards writing แต่เราไม่เคยไปเปิดสอนที่ไหน ได้แต่ทำงานแปลเอกสารและแปลหนังสือ ถ้าสนใจอยากจะทดลองเรียนกับเราก็ติดต่อเรามาได้ รับประกันว่าถ้าเริ่มเรียนตอน ม.4 พอจบ ม.6 คุณจะอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษยากๆรู้เรื่องหมด และเขียนภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควรด้วย ส่วน conversation นั่นก็จะต้องพอได้บ้าง เพราะเวลาอธิบายศัพท์เราจะพยายามอธิบายเป็นไทยปนอังกฤษและจะพยายามกระตุ้นให้คุณหัดโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ ^ คือรับรองผลการอ่านภาษาอังกฤษยากๆ 100% เต็ม แต่เขียนกับพูดอังกฤษ สอนเสริมให้เป็นเป็นเป้าหมายรองๆ ซึ่งคุณอาจบรรลุเป้าหมายได้หมดถ้าคุณแบ่งเวลาทบทวนเป็น โดยไม่ให้เวลาไปชนกันกับวิชาอื่นๆ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 03:58:11 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 03:51:44

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ อ่านข้างบนแล้วเหมือน โฆษณา อย่างไงอย่างนั้นเลย - -" พี่จะบอกน้องว่า ถ้าน้องเรียนสายวิทย์ระดับป.ตรี ไม่ว่าคณะอะไร น้องก็ต้องอ่าน text หมดอะครับ (อาจจะแค่ปีหนึ่งที่เป็นวิชาพื้นฐานที่ยังไม่ต้องอ่าน) แต่พอข้นปีสูงๆ แล้ว ตัวเนื้อหาแทบทุกวิชาต้องอ่านจาก textbook หมดครับ ซึ่งการอ่าน textbook มันไม่ยากเท่าไรครับ เพราะศัพท์ที่เจอของแต่ละสาขาจะซ้ำไปซ้ำมา แล้วเขียนค่อนข้างอ่านง่าย ตรงไปตรงมาไม่มีการเล่นคำ หรือมาพรรณนาให้ยืดเยื้อครับ แต่ตอนที่เริ่มอ่านแรกๆ อาจจะอ่านได้ช้าซักนิดหน่อย แต่หลังๆจะเริ่มจับ trick ได้แล้วครับ ลองหยิบ text วิชาที่ชอบมาลองนั่งอ่านดูครับ ถ้าอยากเรียนหมอ ลองไปห้องสมุดยืม text biology ของ campbell มาลองอ่านเซิฟๆดูก็ได้ครับว่าเข้าใจขนาดไหน จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 15:18:17

ความคิดเห็นที่ 8 ลองดูตามความ คห. 1 นะคะ เริ่มใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน บางทีอาจมีอะไรบางอย่างที่เราเข้าใจผิดก็ได้ค่ะ เพราะตอนเด็กพี่ก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษนะคะ ดีที่ลูกน้องพี่ลูกน้องเป็นอเมริกัน แล้วได้มีโอกาสไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ตอนไปใหม่ๆก็ยังไม่เก่งนะคะ แต่สิ่งที่สำนึกรู้ได้ตอนนั้นคือ สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจ สิ่งที่เราคิดว่ามันใช่ มันง่าย มันมีอะไรอีกเยอะที่เราเข้าใจผิด และก็รู้ความจริงอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่ได้ตอนเรียนที่เมืองไทย ข้อมูลที่ได้จากคนนั้นคนนี้ มีทั้งผิดและถูก ลองตามคห. 1 นะคะ เริ่มต้นพื้นฐานใหม่ ไม่น่าจะสายอะคะ จากคุณ : the last woman เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 15:55:32

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบ คคห 7 ใช่ มันฟังดูเหมือนโฆษณา แต่มันเป็นการให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมาว่า จากระดับ ม.ต้น กำลังจะขึ้น ม.ปลาย การฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องแตกฉาน ถ้าจะเรียนไวๆภายใน 1-2 ปีการศึกษา เรียนด้วยตัวเองค่อนข้างยาก ครูสอนภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาปกติส่วนใหญ่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการสอนได้ อย่าว่าแต่ 1-2 ปีเลย ต่อให้ 5 ปีครูส่วนใหญ่ก็บรรลุเป้าหมายยังไม่ได้ เหตุผลง่ายๆก็คือคำศัพท์ภาษาอังกฤษท่องแต่ศัพท์กับคำแปลเป็นคำโดดๆมันจะตีความผิดเยอะ เพราะภาษาอังกฤษต้องตีความเป็นกลุ่มคำและคำศัพท์มันเปลี่ยนความหมายตามโครงสร้างประโยคที่พลิกแพลงได้มากมาย ^ คนที่จะสอนได้รวดเร็วขนาดนั้นต้องพูดและเขียนภาษาอังกฤษเป็นธรรมชาติมากพอสมควร ซึ่งถ้าเก่งระดับนั้นก็มักจะเลือกที่จะไปทำงานอื่นที่ได้เงินมากกว่า ไม่มาเป็นครูในระบบอย่างเด็ดขาด ก็เลยทางออกของ จขกท ที่มีก็คือเลือกติวเตอร์ที่ชำนาญ ซึ่งในประเทศไทยมีไม่กี่คนเท่านั้นที่สอนอัดแน่นได้เร็วขนาดนั้น ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำงานสอนภาษาอังกฤษ แต่เห็น จขกท มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าก็เลยเสนอให้ลองหาติวเตอร์เก่งๆอย่าง อ.สงวนดู แต่ถ้าเขาเลิกสอนแล้วหรือ จขกท หาที่เรียนให้เก่งไวๆไม่ได้หรือขัดข้องประการเราพอจะช่วยได้ มันไม่ใช่การตลาดอะไรที่ยิ่งใหญ่นักหรอก เพราะจริงๆแล้วเราไม่ค่อยยอมรับสอนใครง่ายๆ แต่เห็น จขกท มีความตั้งใจมากๆก็เลยเสนอมา แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 17:21:27 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 17:20:03

ความคิดเห็นที่ 10 ที่จริงเรียนหมอก็ไม่ต้องเก่งภาษาอังกฤษนะคะ พี่เห็นคนที่ไม่เก่งอังกฤษก็เรียนจบกันมาได้ทั้งนั้น เพราะที่จริง ตอนเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ 6 ปีนี่แทบไม่ต้องอ่าน textbook ภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้ ทุกวิชามี lecture จากรุ่นพี่+เพื่อนร่วมชั้น+จดเอง, ชีทประกอบการสอน & power point, บางวิชามีหนังสือภาษาไทยให้อ่าน พอขึ้นชั้น clinic ความรู้ก็ได้จากการทำงานใน ward+พี่สอน (จดเอง) คือถ้าจะอ่าน textbook ได้ก็ดี แต่ไม่อ่านก็สอบผ่าน และมีความรู้ได้เช่นกัน อาจมีอ่าน paper บ้าง แต่ระดับ นศพ. ก็อาจจะยังไม่ได้ต้องอ่านเยอะๆ แบบ resident อีกอย่างการอ่าน textbook ภาษาอังกฤษไม่ได้ยากมาก เนื่องจากเป็นศัพท์เฉพาะทาง ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องสนใจภาษาอังกฤษนะคะ เพียงแต่ไม่อยากให้น้องคิดว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการเรียนแพทย์ จากคุณ : pinophilic เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 21:18:22

ความคิดเห็นที่ 11 เหมือน คห. 10 ค่ะ เด็กนักเรียนที่บ้านบางคน สอบได้แค่ 45 เต็ม 100 ยังสอบติดหมอเลยค่ะ แต่น้องเค้าได้วิชาอื่นเยอะนะคะ แต่ควรรู้ศึกษา และพัฒนาภาษาอังกฤษก็จะดีค่ะ จากคุณ : the last woman เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 00:34:54

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าเป็นเรา จะเอา medical series อย่าง  ER, Grey's Anatomy มาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ศัพท์แสง และประโยคที่ใช้บ่อยมาซึมซาบอาบสมองของเรา จนเวลาที่เราเข้าไปเรียนหมอจริงๆ ก็คงไม่ต้องมานั่งท่อง technical terms พวกนี้ แถมยังได้สแลงวงการหมอ หรือประโยคในระดับคนมีการศึกษาพูด ได้สาระและบันเทิงไปพร้อมกัน เรียนแบบไม่เครียด หรือยัดเยียดกดดันตัว   แล้วจะสนุกกับสุขกับการศึกษา จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 13:13:37

ความคิดเห็นที่ 13 ตาม คพ.10 นะค่ะ คนเรียนหมอไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษมากมายค่ะ เราเองก็เรียนหมอ แต่ไม่ได้เก่งอังกฤษมาก เพราะ หมอไม่จำเป็นต้องอ่าน text มากมาย จะอ่านต่อเมื่อไม่เข้าใจเนื้อหาตรงนั้นจริงๆ แค่เลกเชอร์ที่เรียน หนังสือภาษาไทยบางส่วน ก็อ่านไม่ทันสอบแล้วค่ะ เวลาอ่าน text ก็ไม่ได้ใช้ศัพท์ยากนะค่ะ ไอที่ศัพท์ยาก ส่วนมากก็คือศัพท์ทางแพทย์ค่ะ มันจะเป็นภาษาละตินส่วนใหญ่เลย เวลาเรียนหมอเนี่ย ไม่ใช่อ่านหนังสือรอบเดียวค่ะ ต้องอ่านหลายรอบกว่าจะจำได้ เพราะอ่านหลายรอบ ศัพท์พวกนี้ก็จำได้เองค่ะ เพื่อนเราไป AFS ที่อเมริกามา บางครั้งยังแปลบางประโยคในเลกเชอร์ไม่เข้าใจเลยค่ะ ถ้าจะสอบเข้า เราคิดว่า สอบอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์ก็พอค่ะ ยังไง จขกท. ก็เก่งวิชาอื่นอยู่แล้ว มันก็ไม่ยากที่จะสอบให้ติดค่ะ สู้ๆๆนะค่ะ :))) จากคุณ : KasVi :)) (KasVi) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 01:06:48