ความคิดเห็นที่ 1 สำคัญครับ เป็นเครื่องชี้อนาคต ในปัจจุบันแม้เป็นเพียงกระดาษใบเดียวแต่มันสร้างอาชีพ สร้างเงินนะครับ จากคุณ : Jacques เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 21:39:57

ความคิดเห็นที่ 2 มีทุกวันนี้เพราะปริญญา จากคุณ : ืืื (note24) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 21:52:21

ความคิดเห็นที่ 3 มันคือความสุขของครอบครัว ค่ะ ตอนแรกรเาไม่เคยสนใจใบปริญญาเรย คิดส่ะว่าเรียนให้มันจบๆไป ใบปริญญาก้แค่กระดาษใบนึง ไม่ได้มีค่าอะไรกับเรามากมาย จนวันที่เรารับปริญญา แล้วออกมาพร้อมใบปริญญา เราเห็น พ่อแม่ เรายิ้ม แบบมีความสุขมาก นั่นแหละเราถึงรู้ว่าใบปริญญามันสำคัญนะ เพราะ มันเป็นสิ่งนึงที่เราจะตอบแทนพ่อแม่เราได้ คือการเรียนให้จบ ทำให้พ่อแม่ ภูมิใจ จากคุณ : I am ceramist เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 22:41:04

ความคิดเห็นที่ 4 สมัครงาน อย่างแรกเลยต้องมีปริญญา มันเหมือนเป็นใบเบิกทางครับ จากคุณ : ผมขอชื่อนี้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 23:11:32

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่มีปริญญา ก็ไม่งานทำ :)) จากคุณ : ship9960 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 23:12:39

ความคิดเห็นที่ 6 ค่อนข้างเหมือน ค.ห.3 เลยครับ ผมเรียนจบปริญญาโท แต่ว่าเรียนจบคนละสายกับที่เรียนตอนปริญญาตรี ภูมิใจที่เรียนได้และเรียนจนจบได้ใบปริญญาทั้ง 2 ใบ มีความสุขและยังจำบรรยากาศในงานพิธีพระราชทานปริญญาบัตรได้เป็นอย่างดี เห็นรอยยิ้มของครอบครัวแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ทุกวันนี้ก็ทำงานฟรีแลนซ์เล็กน้อยกับสอนพิเศษซึ่งไม่ได้ใช้ใบปริญญาในการทำงานแต่อย่างใด บางครั้งก็นั่งคิดว่าทำไมไม่ใช้ใบปริญญาในการทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็คิดว่าทุกวันนี้เราก็มีความสุขดีกับสิ่งที่เราทำอยู่ครับ ไม่รู้ว่าตอบตรงตาม จขกท ต้องการหรือเปล่า จากคุณ : Nobitakun (Nobitakun) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 23:20:32

ความคิดเห็นที่ 7 มีปริญญา 3 ใบ กับ 1 ประกาศนียบัตรพระราชทาน ภูมิใจกับทุกปริญญา ไม่ใช่แค่เพราะทำให้พ่อแม่มีความสุข แต่เพราะภูมิใจที่ทำได้ด้วยตนเอง พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าได้มาเพราะความตั้งใจ ไม่ใช่เรียนให้ผ่านๆพอเรียกว่าจบได้   และปริญญาทุกใบกับประกาศนียบัตรประกอบกับความตั้งใจมุ่งมั่นก็ช่วยให้ได้งานที่ดีมากและเป็นที่ภาคภูมิใจแก่วงศ์ตระกูล อะไรที่ทำด้วยความตั้งใจ เราให้ความสำคัญทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นใบเบิกทางให้ได้งาน  มันคือรางวัลแห่งความตั้งใจจริงๆ จากคุณ : Volksrecht เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 23:42:50

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ ^ ผู้พิพากษาสนามจิ๋วน่ะเหรอ ถ้าบ้านรวย มีตังค์สักสี่ล้าน ส่งไปชุบตัวเรียน LL.M. 2 ใบ ก็เป็นได้แล้ว จากคุณ : พูดความจริง เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 23:57:28 A:58.11.9.76 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 9 ความคิดของผมตอนนี้อาจจะยังเด็กไป แต่เท่าที่เรียนมาปีกว่าๆในมหาวิทยาลัย ไม่เคยคิดถึงปริญญาเลยแม้แต่น้อยครับ จากคุณ : ท่าพระมูน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 02:21:25

ความคิดเห็นที่ 10 ก่อนจบป.ตรีใบแรก อยากได้นะ ของที่ไหนก็ได้แหละ ตอนกรอกข้อมูลหรือแบบสอบถามมีให้กรอกทุกที ถ้าอายุถึงแล้วไม่มีซักใบคงแปลกๆ พี่ๆน้องๆมีหมดอ่ะ มันกดดันถ้าเราไม่มี ตอนนี้ได้มาใบนึงละ สบายใจ ใบป.ตรีต่อไปนี่ใช้พิสูจน์ว่าเราอ่านหนังสือเอาความรู้เข้าหัว ไม่ได้เงินก็ไม่เป็นไร ป.โทจะเรียนไหมก็ยังไม่แน่ อาจจะเอาแค่ตรีก็ได้ จากคุณ : นางสาวคานทอง เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 06:20:12

ความคิดเห็นที่ 11 สำคัญมากเพราะมันเป็นใบเบิกทางในการทำงาน จะได้งานดี ๆ ปริญญาก็เป็นปัจจับหนึ่งที่ทำให้เราได้เปรียบอย่างมาก เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยรู้ถึงความสำคัญของมันหรอก มารู้ซึ้งถึงขั้วหัวใจก็ตอนเรียนจบนี่ล่ะครับ แต่สำหรับบางคนที่มีกิจการที่บ้านอยู่แล้วผมว่ามันก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นะ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 11:10:30 จากคุณ : Urashima เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 11:09:32

ความคิดเห็นที่ 12 ป.ตรี สตาร์ท 15,000 แต่ตอนนี้คงไม่มีแระ 555 จากคุณ : กินอะไรหรือยัง เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 11:19:18

ความคิดเห็นที่ 13 ใครคะสนามจิ๋ว ผิดคนแล้วมั้งคะ หึหึ ^__^ ว่าแต่ผู้ใหญ่บอกว่า สุนัขเห่าอย่าเห่าตอบ ไปที่ชอบที่ชอบละกันนะ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 12:24:44 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 12:17:14 จากคุณ : Volksrecht เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 12:16:06

ความคิดเห็นที่ 14 เหรอ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องมาร้อนรนสิ ผมใช้คำว่า "ถ้า" ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องมาเดือดร้อน ผมพูดลอยๆใครอยากรับก็รับไป ผมเองก็เห็นเสมอๆ ว่าวัวสันหลังหวะ มักจะเสียวเสมอเวลานกกาบินผ่าน จากคุณ : พูดความจริง เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 13:43:37 A:58.9.45.34 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 15 อ้อ ผมเคยอ่านหนังสือเจอเหมือนกัน ว่าอย่าไปยุ่งกับสุนัขตัวเมีย ช่วงลอยกระทง เดี๋ยวมัน "กัด" เอา นี่ก็ช่วง "ลอยกระทง" แล้ว ผมไม่ยุ่งด้วยดีกว่า จากคุณ : พูดความจริง เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 13:45:39 A:58.9.45.34 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าปริญญาสำคัญขนาดนั้นจริงผมเลยไม่รู้ว่ามีมหาเศรษฐี เหล่านี้มาได้ยังไงครับ และที่สำคัญผู้ที่คิดค้นวิชาความรู้ในศาสตร์ต่างๆตั้งแต่สมัยก่อนไม่เห็นว่าต้องจบอะไร ไม่มีมหาวิทยาลัยให้เรียนด้วย แล้วคนรุ่นหลังก็เรียนรู้จากท่านเหล่านั้น เลยไม่รู้ว่าท่านเหล่านั้นเรียนจบอะไร และมีปริญญาไหม ถ้าของไทยก็ สนุนทรภู่ ผมไม่รู้ว่าเข้าจบอะไรครับบอกหน่อยได้ไหม ถ้ายังมัวหลงไหลในปริญญาประเทศก็คงไม่พัฒนา และคนที่มีความฝัน จินตนาการ ความคิดคงไม่มีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานได้เลย มีแต่บ้านเรานะครับที่คิดกันล้าหลังแบบนี้ มี ดร. เยอะมาก แต่น้ำท่วมยังแก้ไม่ได้เลย มหาเศรษฐี ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย มานานพอสมควรแล้ว แต่วันนี้ หลังจากอ่านข่าว สตีฟ จ็อปส์ เสียชีวิต อยู่ๆก็นึกถึง forward mail ฉบับนี้ขึ้นมา (เพราะสตีฟ จ็อปส์ ก็เป็นหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จโดยที่ไม่มีใบปริญญา) และแล้วก็ได้เวลาค้นหาอีเมลล์มาให้เพื่อนๆ Sanook! Campus ที่ยังไม่เคยอ่านได้อ่านกัน เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะครับ คำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น บางครั้งไม่ต้องจบระดับปริญญาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่มีโอกาส ความเชื่อ และความพยายาม ตัวอย่าง 10 คนดัง ต่อไปนี้ที่ก้าวข้ามคำว่าใบปริญญาและประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่ตนเองได้เลือกเอง 1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น 2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Chanel เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง 3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน 4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ 5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก 6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์ 7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์ หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร 8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเองจนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า" 9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี 10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก *จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้นจริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญา?!? จากคุณ : somsu (somsu) เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 16:19:53

ความคิดเห็นที่ 17 ในประเทศไทยคนจบวุฒิสูงๆมาแล้วเก่งมากๆจริงๆก็มี แต่ถ้าไม่มีเส้นสายก็หลุดเข้าไปทำงานดีๆยาก อีกทั้งถ้านับจำนวนตัวเลขกันจริงๆแล้วคนไทยเป็นจำนวนมากจบวุฒิสูงๆมาจากมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆกับจบด้วยการว่าจ้างคนอื่นให้เขียนวิทยานิพนธ์ ประชากรกลุ่มหลังนี้มันมีมากจนล้นประเทศอย่างน่าตกใจ! ^ เพราะในวิถึชีวิตแบบไทยๆ ทุกคนต่างก็หวาดกลัวกันว่า "ถ้าไม่มีปริญญาจะต้องตกงานเพราะสังคมไม่ให้โอกาส และการไม่มีเส้นสายหนทางมันตัน" คนที่มีพรสวรรค์อย่างที่ คคห 16 หยิบยกมา ถ้ามาเกิดและเติบโตในประเทศไทย พวกเขาไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้เลย เนื่องจากกฎระเบียบอันยืดหยุ่นไม่ได้แบบไทยๆ จะละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการปิดกั้นไม่ให้พวกเขาได้ใช้พรสวรรค์ พรแสวง และความคิดแหกคอกซึ่งเรียนรู้ได้นอกมหาลัยในชีวิตจริง เพื่อประสบความก้าวหน้า ^ ด้วยเหตุดังนี้ประเทศไทยจึงพลาดโอกาสที่จะได้คนระดับมันสมองที่เก่งระดับอัฉริยะที่มาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (ซึ่งเก่งกว่าคนจบมหาลัยวุฒิสูงๆตั้งหลายเท่า)เข้าไปทำงานเพื่อพัฒนาประเทศชาติ มันเป็นวิถึชีวิตแบบไทยๆที่เต็มไปด้วยความคิดอันล้าหลัง ซึ่งในสังคมของประเทศด้อยพัฒนาจะถูกความคิดอันนี้ครอบงำไว้ จนพัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องแบบสุดๆยอด ได้ยากมากๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 20:17:22

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้านึกถึงเด็กไทยที่เรียน ม.6 กำลังจะเอ็นเข้ามหาลัยต้องเครียดว่า "นี่เป็นการตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองตลอดชีวิต" แล้วมันตลกสิ้นดี เราลองมาดูชีวิต Thomas Edison ที่ตรงกันข้ามกันไปเลย เขาไปเรียนหนังสือตอนเด็กๆแล้วครูบ่นๆว่า "เด็กคนนี้สมองเลอะเลือนเรียนอะไรก็ไม่ได้เรื่อง" ^ ถ้าเขาเจอแบบนี้ในประเทศไทยพ่อแม่คงตรอมใจตาย แต่เขาเจอแบบนี้ในอเมริกา แม่เขาเลยให้เขาลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่เด็กๆและรับเขามาสอนหนังสือเองที่บ้าน แม่เขาเก่งมากๆที่สอนเขาจนเขาเรียนทุกอย่างได้ด้วยตัวเองโดยทั้งหมด งานประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมาได้อย่างอัฉริยะ เขาก็เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเองโดยไม่ได้ไปเรียนเอาวุฒิสูงๆในมหาลัย อีกทั้งเขายังมีความเพียรพยายามอันน่าทึ่งซึ่งคนไทยที่จบวุฒิสูงๆน้อยคนนักที่จะทาบรัศมีได้ นั่นก็คือในการพยายามค้นคว้าว่าจะใช้สารอะไรผลิต filament (ใส้หลอดไฟ) ให้สำเร็จ เขาใช้ความเพียรพยายามอย่างแสนสาหัสโดยการนำพันธ์ไม้ประมาณ 5000 - 6000 ชนิดจากทุกมุมโลกมาทดสอบคุณสมบัติทางฟิสิกส์และเคมี จนกระทั่งประสบความสำเร็จได้ในที่สุด! แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 20:35:18 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 54 20:32:19

ความคิดเห็นที่ 19 เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม ถ้าคุณมีลูกจะให้ลูกเรียนหนังสือตามระบบ หรือ ไม่ให้เรียน แล้วคุณสอนเอง ? ไม่ต้องเรียนถึงปริญญา ต้องถามว่ามีคนไม่จบปริญญากี่คนที่ทำได้อย่างคนในรายชื่อ คคห.16 แล้วเหตุใดบุคคลดังกล่าวถึงจ้างลูกน้องที่จบปริญญาเต็มไปหมด ไม่จ้างคนที่แค่พออ่านออกเขียนได้มาทำงาน ถ้าปริญญาไม่สำคัญ ทำไมผู้นำประเทศของชาติใหญ่ๆ ถึงจบปริญญา ทำไมไม่เอาคนจบแค่ประถมมาเป็นผู้นำ คำถามสุดท้าย คุณก็มีปริญญา ใช่หรือไม่ ? แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 54 01:53:40 จากคุณ : mrdew เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 01:52:13

ความคิดเห็นที่ 20 ปริญญาคือแค่คำห่อหุ้มปัญญา เหมือนๆกับ packaging ล่ะครับ มันทำให้เราดูดี น่ายกย่องศรัทธา แต่สาระสำคัญคือ การที่เราสามารถมีสรรพคุณดังฉลากปริญญาที่ระบุไว้ นั่นล่ะคือสาระ การมีปริญญาแปะข้างหน้า อย่างน้อยก็พอช่วยให้สังคมคาดหมายได้ น่าจะมีความสามารถอะไรบ้าง แต่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่านั้น ขึ้นที่ตัวบุคคลนะครับ ใช่ว่าคนได้ปริญญาเดียวกัน จากสถาบันเดียวกันร้อยคนจะเก่งเหมือนกันทุกคน ก็เปล่านะครับ อย่างน้อยมันก็จะมีระดับขั้นต่ำบ้างล่ะน่ะ ว่าถ้าจบสาขานี้ก็ต้องทำงานนี้ได้บ้าง สำหรับผม ก็คงให้ความสำคัญที่การมีความสามารถพร้อมๆกับมีปริญญาครับ คงไม่สามารถเลือกเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรอกครับ อันนั้นออกจะสุดโต่งเกินไป เพราะว่าปริญญาที่ผมเลือกเรียนมันจะเป็นเครื่องกำหนดทิศทางความสามารถไม่ให้สะเปะสะปะ แถมผลพลอยได้ของเครื่องระบุความสามารถนั่นคือ ความมั่นคงในการทำงาน ยิ่งถ้าเรามีปริญญาหรือเครื่องระบุการฝึกอบรมมาก มันก็บ่งบอกปริมาณความรู้ความสามารถตามไปด้วย สรุปแล้ว ผมอยู่ตรงกลางครับ เอาทุกอย่างทั้งปริญญาและความสามารถครับ จากคุณ : GSK เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 10:50:30

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ mrdew (คคห 19) บอกว่า ต้องถามว่ามีคนไม่จบปริญญากี่คนที่ทำได้อย่างคนในรายชื่อ คคห.16 แล้วเหตุใดบุคคลดังกล่าวถึงจ้างลูกน้องที่จบปริญญาเต็มไปหมด ไม่จ้างคนที่แค่พออ่านออกเขียนได้มาทำงาน ^ 1. ทำได้อย่างคนในรายชื่อ คคห. 16 ทำได้เยอะในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเช่นในอังกฤษ อเมริกา และยุโรป แต่ในประเทศไทยทำได้ยากเพราะระบบแบบไทยๆไม่ค่อยวัดคนที่ความสามารถจริงๆ 2.  เหตุใดบุคคลดังกล่าวถึงจ้างลูกน้องที่จบปริญญาเต็มไปหมด ^ ข้อความนี้คุณจำเอามาจากอาจารย์คนหนึ่ง (เคยมีคนแปะข้อความนี้ไว้ในกระทู้เก่าๆ) ซึ่งอาจารย์คนนี้พูดถึง Bill Gates และ Microsoft ซึ่งจริงๆแล้วงานคอมพิวเตอร์มีทั้ง hardware และ software  อย่างแรกคือ hardware ใช้คนจบปริญญาเยอะเพราะขั้นตอนการเรียนรู้ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยราคาแพงที่มหาลัยมีให้ทำให้เรียนมหาลัยสะดวกกว่า แต่อย่างที่สองคือ software เรารับประกันได้ว่าตอนนี้ยังมี programmers ระดับอัฉริยะ "ที่ไม่มีปริญญา" อีกเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ที่ทำงานกับบริษัท microsoft และบริษัท softrware อื่นๆอีกหลายๆแห่งทั่วโลก! ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า     2.1 ทักษะการเขียนโปรแกรม แพ้ชนเะกันที่ precise logic and creative imaginations (ตรรกะที่แม่นยำและจินตนาการอันสร้างสรรค์) programmer ไม่ว่าจะจบหรือไม่จบปริญญาต่างฝ่ายต่างก็รู้ syntax คือ (ไวยากรณ์) ของ programming language ที่จะใช้เขียน programs พอๆกัน แต่การเขียน programs ให้ใช้งานถูกต้องรวดเร็วแม่นยำนั้น มันใช้ precise logic and creative imaginations เหมือนๆกับการเล่นหมากรุกฝรั่ง ซึ่งไม่มีหลักประกันอันใดว่าปริญญาจะช่วยให้ผู้ใดเป็น progrmmer ระดับอัฉริยะได้ ซึ่งในการแข่งหมากรุกฝรั่งระดับชิงแชมป์โลกในแต่ละครั้ง ซึ่งต้องมีการใช้สมองห้ำหั่นกัน ผู้เข้าแข่งมีตั้งแต่วิศวะ แพทย์ นักคณิตศาสร์ นักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ รวมถึงคนเรียนจบแค่ระดับประถมหรือมัธยมก็มี แต่ผลของการแข่งขันหมากรุกฝรั่งก็มีคนวุฒิการศึกษาต่ำๆใช้สมองอันทรงพลังเอาชนะคนเรียนจบสูงๆและคว้าตำแหน่งแชมป์โลกไปครองได้  2.2 บริษัท software ในประเทศที่เจริญแล้วเข้าใจเรื่องที่เราพูดใน 2.1 เป็นอย่างดี ดังนั้นเวลารับสมัคร programmers เขาจะให้ผู้สมัครงานทุกคนทดลองเขียน programs แข่งกัน  และคนที่เขียน programs ที่ run ได้รวดเร็วที่สุด ไม่มี bugs (ข้อผิดพลาด ที่ทำให้โปรแกรมรวน) และทำงานที่ซับซ้อนมากๆได้ด้วย algoritms (ลำดับขั้นตอน) ที่ถูกต้องแม่นยำในเชิงตรรกะมากที่สุด ก็จะได้งานทำ  ไม่ใช่ใครวุฒิการศึกษาสูงกว่าจะได้งานทำเสมอไป  นี่คือโลกของคอมพิวเตอร์ที่อาจารย์คนที่พูดเรื่องนี้และที่คุณ mrdew (คคห 19) ไม่รู้  2.3 ท่อนสุดท้ายของข้อความนี้ ที่ว่า " แล้วเหตุใดบุคคลดังกล่าวถึงจ้างลูกน้องที่จบปริญญาเต็มไปหมด ไม่จ้างคนที่แค่พออ่านออกเขียนได้มาทำงาน" ^ อันนี้ต้องถือว่ามี logical flaws (ข้อผิดพลาดในเชิงตรรกะ) และเป็น leading question (คำถามนำ) ซึ่งถือว่าเป็นการ cheat (โกง) กัน โดยหลอกให้คนตอบคำถามเขว เพราะอะไร?  ตามที่เราบอกไปแล้วว่าบริษัท software จ้างคนที่มี precise logic and creative imaginations มาเขียน programs ซึ่งหลายๆคนอาจไม่มีปริญญา แต่ก็ต้องมีคุณสมบัติตามนี้ แต่คุณดันไปเอาคำพูดยัดใส่ปากเขาบอกว่า  "แค่พออ่านออกเขียนได้" นั่นก็แสดงว่าคุณพยายามบิดเบือนประเด็น และหลงคิดว่าคนอื่นจะรู้ไม่ทัน  เพราะคุณไม่ใช่นักคิดที่ใช้ตรรกะอย่างแม่นยำมากพอทีจะอ่านความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้เหมือนนักหมากรุกระดับเซียน ในประเทศไทยก็มีบริษัทบางแห่ง (แต่ไม่มากนัก) ที่รับพนักงานโดยการวัดความสามารถจริงๆมากกว่าวัดปริญญา เช่น คุณ K.Senior เล่าให้ฟังบ่อยๆในกระทู้ pantip ว่า หนังสือพิมพ์ Bangkok Post ที่เขาทำงานอยู่มีหัวหน้างานที่ตำแหน่งเหนือกว่าเขาซึ่งเป็นคนไทยที่ไม่จบปริญญาเลยสักใบแต่เขียนภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่งเจ้าของภาษาระดับเทพๆซึ่งขนาดคนจบด้านภาษาอังกฤษระดับปริญญาเอกมาก็ทาบรัศมีไม่ได้ และเจ้านายเขาทั้งๆที่ไม่จบปริญญาแต่เงินเดือนสูงกว่าคนจบวุฒิสูงๆตั้งหลายเท่า     ในบริษัทแปลเอกสารที่เราเคยทำงานอยู่เมื่อหลายปีมาแล้วก็มีนักแปลอาวุโสหลายๆท่านซึ่งเรียนจบแค่ ม.ปลายในประเทศไทย แต่แปลไทยเป็นอังกฤษแล้วเขียนภาษาอังกฤษเก่งกว่านักแปลรายอื่นๆที่เรียนจบปริญญาโทหรือปริญญาเอกจากต่างประเทศ และเจ้าของบริษัทนี้ก็ทำเท่ นั่นก็คือ "จ่ายเงินตามความสามารถในการทำงาน ไม่ได้จ่ายตามวุฒิการศึกษา" ส่วนคำถามข้ออื่นๆที่คุณถามมานั้น เราขี้เกียจตอบ เพราะเรามองเห็น lame logic (ตรรกะเป๋ๆ) กับ leading questions (คำถามนำ) ค่อนข้างมาก  เราขี้เกียจเสียเวลามานั่งแก้ไขกระบวนการคิดของคุณ  ให้มีประสิทธิภาพ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 16:53:41

ความคิดเห็นที่ 22 ว่าจะไม่ตอบอีก เพราะขี้เกียจแก้ไขกระบวนการคิดของคุณ mrdew (คคห 19) แต่เผอิญอันนี้พิมพ์ง่ายและอธิบายง่ายหน่อย ก็เลยยอมเสียเวลาตอบอีกหน่อย คุณ mrdew (คคห 19)  พูดว่า "ถ้าปริญญาไม่สำคัญ ทำไมผู้นำประเทศของชาติใหญ่ๆ ถึงจบปริญญา ทำไมไม่เอาคนจบแค่ประถมมาเป็นผู้นำ" ^ อันนี้ก็เป็นคำพูดยัดใส่ปากอีกนั่นแหละ เพราะใครจะพูดหรือไม่พูดว่า "ปริญญาไม่สำคัญ" เราไม่รับรู้ด้วย แต่เราไม่ได้พูดว่า "ปริญญาไม่สำคัญ" สิ่งที่เราพูดตีความได้ว่า "ประเทศไทยจะพัฒนาไปได้รวดเร็วก้าวไกลไปกว่านี้อีกหลายๆเท่าถ้าคนในสังคมไทยมีความคิดที่ยืดหยุ่น คิดออกจากกล่อง และตาแหลมพอที่จะรู้ว่าคนที่ไม่จบปริญญาบางคน (อาจจะหลายคนด้วย) ที่เขาเป็นอัฉริยะ มันก็มี และเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ได้เข้ามาทำงานสำคัญๆบ้าง ทั้งนี้โดยใช้วิธีการวัดความสามารถในการทำงานจริงๆได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ และมีเหตุผล" ท่อนต่อไป คุณก็ใช้กลยุทธ์เดิมคือ "เหมารวม" อีกนั่นแหละ ที่ถามว่า "ทำไมผู้นำประเทศของชาติใหญ่ๆ ถึงจบปริญญา" ^ แหมอะไรกันขนาดนั้น...นี่ถามจริงๆว่าคุณไม่เคยรู้เลยหรือว่า John Major เป็นชาวอังกฤษคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษทั้งๆที่ John Major ไม่ได้จบปริญญามาเลยสักใบ   ^ ข้อผิดพลาดของคุณคือ "เหมารวม" คุณวางหมากกลไว้อีกแหน่งหนึ่งคือ คำถามว่า "ทำไมไม่เอาคนจบแค่ประถมมาเป็นผู้นำ" ^ แหมพอเห็นคำว่า "คนไม่จบปริญญา" คุณจะต้องพยายามตีความว่า "จบแค่ประถม" ทำไมคุณไม่คิดถึงความเป็นไปได้ให้มันครอบคลุมมากกว่านี้ และมีเหตุผลมากกว่านี้  อันนี้มันน่าจะเข้าข่าย leading question อีกนะ ^ แต่จะว่าไปคุณก็อย่าไปตราหน้าว่าคนจบประถมจะต้องโง่เสมอไปนะ อย่าเหมารวม ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เราจะบอกให้ว่า Edgar Wallace เป็นนักเขียนชาวอังกฤษที่เรียนหนังสือจบแค่ระดับประถม  แต่เขาเขียนนิยายภาษาอังกฤษได้สวยงามและรวดเร็วเกินมนษย์ธรรมดา  เขาเขียนนิยายยาวประมาณ 80,000 คำ (ประมาณ 200 หน้า) โดยใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 7 - 10 วัน!  ภาษาอังกฤษของเขาสวยงามไฮโซมากๆทาบรัศมีคนจบวุฒิสูงๆได้สบายๆ  ทาง Hollywood ประทับใจภาษาอังกฤษอันงดงามของเขาจนถึงกับเชิญเขาบินจากอังกฤษไปเขียน scripts ภาพยนต์ที่อเมริกา  เขาทำเงินจากการเขียนนิยายได้มากมายจนมีเงินเช่าโรงแรมหรูๆอยู่แทนบ้านตลอดชีวิต (หมอนี่ไม่ชอบอยู่บ้านแฮะ)   จวบจนถึงวันนี้ Edgar Wallace น่าจะยังครองตำแหน่งนักเขียนนิยายภาษาอังกฤษที่เขียนได้ทั้งสวยงามมากๆไม่มีที่ติและเขียนได้รวดเร็วที่สุดในโลก   ^ นี่เป็นพรสวรรค์ของคนจบระดับประถมที่คุณคิดไม่ถึง  เพราะคุณมัวแต่ "เหมารวม" และ "ดูถูกคนไม่จบปริญญา" ^ เนื่องจากว่า "คุณคิดในกล่อง!" แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 54 17:38:34 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 17:29:03

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าคุณมีลูกจะให้ลูกเรียนหนังสือตามระบบ หรือ ไม่ให้เรียน แล้วคุณสอนเอง ? ไม่ต้องเรียนถึงปริญญา คำถามสุดท้าย คุณก็มีปริญญา ใช่หรือไม่ ? รบกวนช่วยตอบด้วยเหตุผลดีๆ สำหรับ 2 คำถามนี้หน่อยครับ ? ผมไม่เห็นคุณตอบ 2 คำถามนี้เลย หรือตอบแล้ว แต่ผมมองไม่เห็นเอง 5555+ เป็นพวกเกลียดปลาไหลกินน้ำแกงหรือเปล่า ? อยากรู้แค่นี้อ่ะ 555+ ถ้าคุณจะไม่ให้ลูกเรียนปริญญา และตัวคุณก็ไม่มีปริญญา แล้วตอนนี้คุณก็ประสบความสำเร็จในชีวิต  ผมจะยอมเชื่อที่คุณบอก แต่ดูจากภาษาที่คุณใช้ ก็น่ามีปริญญาตรี หรือ โท นะเนี่ยะ 555+ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 01:44:13 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 01:42:23 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 01:39:30 จากคุณ : mrdew เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 01:38:26

ความคิดเห็นที่ 24 ผมไม่ได้พูดดูถูกคนไม่จบปริญญาสักคำ แต่คุณคิดเป็นตุเป็นตะ พิมพ์ตำหนิผมซะยืดยาว เป็นอะไรมากไหมครับ ไหวหรือเปล่า ? คุณว่าแต่ผมดูถูกคนอื่น แต่ตัวคุณเองก็ดูถูกผม 5555+ ขำดีๆแท้ๆ น่าจะตรงกับสุภาษิต ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง หรือเปล่า? ไม่แน่ใจ คุณเข้าใจคำว่า "การแสดงความคิดเห็น" หรือเปล่า ? แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 01:59:47 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 01:59:11 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 01:54:43 จากคุณ : mrdew เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 01:52:28

ความคิดเห็นที่ 25 เอามาให้ดูเล่นๆ ผมเข้าใจคุณแล้ว เอาเป็นว่า คุณเก่งกว่าผมก็แล้วกัน 555+ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 02:10:28 จากคุณ : mrdew เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 02:09:36

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ เรื่องเราเรียนรามฯเกิน 10 ปีไม่จบ (ที่คุณ mrdew แปะไว้น่ะ) เราว่ามันเท่ดีนะ เราจะช่วยแปะ link ให้อ่านกันมันๆ...ฮ่าๆๆๆ... http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11251109/K11251109.html ^ ^ จริงๆแล้วเราเคยเป็นผู้ป่วยโรคจิต ที่มี iq ต่ำกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป เราเลยเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง และเรียนไม่เคยจบปริญญาเลยสักใบ แต่เราไปค้นพบคัมภีร์โบราณของนักพรตเต๋าที่ทำให้เราฝึกวรยุทธ์แล้วย้อนเวลากลับกลายเป็นเด็กใหม่ได้ และเพิ่ม iq ได้ เมื่อตอนเป็นผู้สูงอายุ ไปอ่านประวัดิเราได้ที่นี่ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11276370/K11276370.html เราฝึกวรยุทธ์จีนและฝึกกำลังภายในจนเปลี่ยน cells สมองและ cells ร่างกายแบบ biological transmutation (แบบผ่าเหล่าผ่ากอ) ได้สำเร็จ หลังจากนั้น เราเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆด้วยตัวเองนอกมหาลัยได้ตั้งมากมายหลายอย่าง นั่นก็เพราะว่า "สมองผู้ป่วยโรคจิตแบบเรา คิดแหกคอก ไม่เหมือนใคร" เราเริ่มเรียนคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตด้วยตัวเองเมื่ออายุ 50 ลองไปดูความรู้คอมพิวเตอร์ของเราที่เราได้จากการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ที่ 2 กระทู้นี้ http://www.pantip.com/tech/software/topic/SO3037060/SO3037060.html http://www.pantip.com/tech/software/topic/SA3036667/SA3036667.html#25 พวกนักเรียนรุ่นเดียวกับเราที่เรียนเก่งสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา และสอบได้ทุน King's Scholarship ไปเรียนต่างประเทศแล้วจบมาระดับปริญญาเอก ตอนนี้สมองเสื่อมเพราะความชราภาพไปเรียบร้อยแล้ว (ทั้งๆที่อายุสูสีเราคือเกิน 61) การเรียนรู้นอกมหาลัยของเราถึงจะไม่ช่วยให้เราหางานได้ง่ายๆนัก แต่มันก็ช่วยให้เรามีสุขภาพดีตลอดกาล ว่างๆลองสละเวลามาเจอตัวจริงเรา แล้วคุณจะที่งว่าเราหน้าตาเด็กกว่าอายุจริงตั้งหลายเท่า! แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 03:10:22 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 03:08:27 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 02:59:29

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ขยายความ "เรื่องเราเรียนรามฯเกิน 10 ปีไม่จบ" ^ ก็มันจะจบได้ยังไงกันล่ะ เพราะเราไม่ได้ลงทะเบียนเรียน เราแค่ไปซื้อ textbooks จากรามฯ มาอ่าน ^ สาเหตุที่ลงทะเบียนเรียนรามฯไม่ได้ก็เพราะว่าเรามีวุฒิการศึกษาเพียงแค่มัธยมต้นเอง เราต้องใช้ภาษาอังกฤษทำงาน (ทำงานแปลเอกสาร แปลหนังสือ เป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปล และเป็นล่ามในศาลกับในที่ประชุม) แข่งกับคนที่เรียนจบด้านภาษาอังกฤษมาโดยตรงที่จบสูงๆถึงปริญญาโท และปริญญาเอก เราจึงใช้สมองพลิกแพลงในการค้นข้อมูลว่า "คนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกน่ะ เขาต้องเรียนเนื้อหาอะไรกันบ้าง" เราแค่อาศัย textbooks ของรามฯเพื่อเอา technical terms เกี่ยวกับวิชา English studies มาใช้เป็น keywords เพื่อใช้ google ค้นหาเนื้อหาวิชาจาก Internet จนในที่สุดเราล้วงข้อมูลลับตั้งมากมายจนได้ digital media เพื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเอามาใช้สอนตัวเอง จนเรากลายเป็นนักขุดของฟรีจากอินเตอร์เน็ตเอามาใช้เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะเราเชื่อว่าอีก 2-3 เราจะยิ่งหน้าตาเด็กมากยิ่งๆขึ้นกว่านี้! เราพร้อมที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่เป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องไปเกิดใหม่ เราต้องทำได้สำเร็จ เพราะว่า "เราคิดนอกกล่อง แหกคอกออกมา นั่นเอง" แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 03:24:04 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 03:23:02

ความคิดเห็นที่ 28 คราวนี้เราจะตอบคำถามเหล่านี้ของคุณ mrdew ถ้าคุณมีลูกจะให้ลูกเรียนหนังสือตามระบบ หรือ ไม่ให้เรียน แล้วคุณสอนเอง ? ไม่ต้องเรียนถึงปริญญา ^ คราวนี้เราจะเขียนประโยคเปรียบเทียบ แม่เราป่วยเป็นโรคจิต มี iq ต่ำกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป แม่ไปรักษากับจิตแพทย์ แม่รู้ว่าเราป่วยเหมือนแม่ แม่จึงเป็นห่วงเรา และพาเราไปหาจิตแพทย์คนเดียวกับที่รักษาแม่ แม่รักษาไปเรื่อยๆ จิตแพทย์ให้ยาแรงๆ แม่ไม่มียาหมอแม่ไม่เคยหลับ ยาที่กินมีผลต่อร่างกาย มันเลยกลายเป็นทำให้แม่ต้องรักษาร่างกายด้วย หมอตัดต่ออวัยวะแม่ด้วยศัลกรรม แม่ทรุดลงเรื่อยๆ จนแม่ตายไปในที่สุด จากการคลุกคลีกับแม่เรา และเราป่วยทั้งทางจิตกับทางกายเหมือนแม่เราหมด แต่เรากบถ เราไปหาจิตแพทย์แล้วเราไปทะเลาะกับจิตแพทย์ เราเลยพยายามรักษาอาการป่วยทางจิตของตนเองโดยการไปซื้อหนังสือทุกเล่มที่ Sigmund Freud เขียนไว้ มาศึกษาด้วยตนเอง  (เราอ่านฉบับแปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ) จากนั้นเราเปลี่ยนเป็นเรียนการแพทย์แผนโบราณของจีนแทน เพราะเราค้นข้อมูลเจอว่า "การแพทย์จีนแผนโบราณไม่มีแยกสรีระแพทย์กับจิตแพทย์ แต่แพทย์จีนโบราณศึกษาศาสตร์ที่เรียกว่า Wu Xing (ธาตุทั้ง 5) และค้นพบว่าอาการป่วยทางจิตทุกชนิตมีความสัมพันธ์กับอาการป่วยของอวัยวะภายใน  ดังนั้นการแทงเข็มหรือฝึกเดินลมปราณเพื่อรักษาอวัยวะภายในที่ป่วย ก็จะสามารถรักษาอาการป่วยทางจิตได้" สรุป จิตแพทย์กับศัลยแพทย์รุะดมกำลังกันรักษาแม่เราจนตาย พวกเขามีวุฒิการศึกษาสูงๆมากๆ แต่ขาด high judgment (ดุลพินิจอันสูงส่ง) จึงขีช้างจับตั๊กแตนรักษาโรคที่รักษาง่ายๆด้วยวิธีการยากๆที่สิ้นเปลืองเงินทองและทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลง high judgment สำคัญกว่าการเรียนหนังสือเก่งจนได้รับปริญญาตรี โท หรือเอก! เราไม่มีปริญญาตรี โท หรือเอก แต่เรามี high judgment เราจึงรักษาตัวเองได้สำเร็จและรอดตาย ตอนนี้ mrdew น่าจะใช้ precise logic + creative imaginations + high judgment เพื่อหยั่งรู้ได้ว่า คำถามว่า "ถ้าคุณมีลูกจะให้ลูกเรียนหนังสือตามระบบ หรือ ไม่ให้เรียน แล้วคุณสอนเอง ? ไม่ต้องเรียนถึงปริญญา" ^ ควรจะได้รับคำตอบเช่นใด ส่วนคำถามสุดท้าย คือ คุณก็มีปริญญา ใช่หรือไม่ ? ^ เราตอบไปแล้ว จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 03:46:00

ความคิดเห็นที่ 29 เราไม่ได้พูดว่าปริญญาไม่สำคัญ แต่เราพูดว่าคนไม่มีปริญญาที่เก่งๆมากๆก็มี ถ้าผู้คนในสังคมไทยไม่ใจแคบ ไม่คิดแบบอยู่ในกลอง (not narrow minded) ไม่กีดกันคนไม่มีปริญญา เพราะถ้าผู้คนในสังคมไทยรู้วิธีวัดค่าของคนด้วยผลของงาน และให้โอกาสคนที่ไม่มีปริญญาแต่เก่งและมีผลงานพิสูจน์บ้าง คนอย่างในรายการใน คคห 16 ก็จะแจ้งเกิดในประเทศไทยได้ และทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยได้ ประเทศไทยก็จะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ เพราะว่า "บางทีเราก็จำเป็นต้องมีคนคิดแหกคอกออกมานอกกล่องบ้าง!" ไปอ่านประวัติชีวิตเราที่เราต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยความยากลำบากในการใช้ความรู้ภาษาอังกฤษในการทำงานในประเทศไทย ทั้งๆที่ความรู้ภาษาอังกฤษของเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่จบปริญญาโทหรือปริญญาเอกจากต่างปรเะเทศ เพียงแต่เราโดนกีดกันเพราะเราไม่มีปริญญาเท่านั้นเอง เราเขียนประวัติการดิ้นรนทำงานหาเงินเอาไว้ในอีกกระทู้หนึ่ง รับรองว่ามันมากๆ เราเล่าให้ฟังว่าเราต้องใช้สมองพลิกแพลงมากแค่ไหนเพื่อความอยู่รอด ไปอ่านได้ที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11326016/K11326016.html#13 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 54 01:10:33 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 01:06:56

ความคิดเห็นที่ 30 หลายๆคนใน 10 คน ไม่ใช่เพราะว่าไม่เรียน เลยประสบความสำเร็จ แต่เพราะเห็นทางที่ทำให้ประสบความสำเร็จมากกว่าขณะเรียน เลยไม่เรียนต่อ (เช่นเกตส์ หรือซัคเกอร์เบิร์ก) หรือบางคนไม่เรียนแต่ประสบความสำเร็จ เช่นวูดส์ อย่าลืมว่าเขาเป็นนักกอล์ฟ นักกอล์ฟไม่ต้องใช้ความรู้วิศวกรรม แพทย์ ฯลฯ(ยกตัวอย่าง) จึงเทียบไม่ได้ว่า ไม่เรียนก็ประสบความสำเร็จได้ ไม่ชอบที่มักจะยกคนที่ไม่เรียนแล้วประสบความสำเร็จมาบอกว่าความรู้ไม่สำคัญ แต่เคยไหมกับการที่เอารายชื่อคนที่ไม่เรียนแล้วล้มเหลวมาให้ดู ลองคิดว่านี่เป็นแค่10คนจากกี่ร้อยล้านคนที่ไม่เรียนแล้วได้ดี ที่เหลือหายไปไหน? ปริญญาสำคัญไหม สำคัญแน่ล่ะ มันเปิดโอกาสให้คุณมากขึ้น ถึงไม่ได้เป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือชี้ชะตาชีวิต แต่คนที่จบปริญญา ก็มีทางไปมากกว่าคนที่ไม่จบ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็เรียนไปเถอะ จากคุณ : Chikau เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 14:09:08

ความคิดเห็นที่ 31 คนที่ไม่จบอะไรแล้วประสบความสำเร็จเนี้ยคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วอาจจะไม่ถึง 1 ในล้านด้วยซ้ำ แล้วคนธรรมดาอย่างเรามีอะไรเป็นหลักประกันให้กับชีวิตได้ไหมหล่ะ นอกจากการศึกษา คนชอบอ้างคำพูดไอสไตน์ว่า "จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" โดยที่ไม่รู้ว่าไอสไตน์ลืมบอกไปว่า จินตนาการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้เป็นพื้นฐาน ถ้า จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย โดยปราศจากรากฐาน อันนั้นเขาเรียก "เพ้อเจ้อ" !!! จากคุณ : Paradox-13th เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 03:27:09

ความคิดเห็นที่ 32 แบบ จบออกมาแทบไม่ได้ใช้ใบปริญญา แต่ความรู้ที่มันได้เข้ามาอยู่ในหัวตลอดระยะเวลาที่ร้ำเรียนมา ได้เอามาใช้ตรงตลอด เอาไว้พลิกแพลงแก้ปัญหาต่างๆ มหาลัยได้ทำให้รู้จักเพื่อน ครู หนังสือ โลกทัศน์ มุมมองหลายๆอย่าง ที่ยกระดับชีวิต ยกระดับความรู้ ไปตลอดชีวิต มันแทรกซึมในการใช้ชีวิต ตลอดไปจนการสื่อสารกับคนอื่น การทำกับข้าว ทุกๆอย่างในชีวิต สรุป การศึกษา จำเป็นมากจ้า  แต่ต้องเป็นการศึกษาที่ดี ครูที่ดี เนื้อหาที่ดีด้วย แล้วจะออกมาดีจ้า จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 14:19:51

ความคิดเห็นที่ 33 ความรู้ + จินตนาการ + ความสามารถในการประยุกต์ = ประตูแห่งความสำเร็จในชีวิต จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 06:59:21

ความคิดเห็นที่ 34 เราไม่เคยพูดว่า "ปริญญาไม่สำคัญ" แต่เราพูดว่า "ควรให้โอกาสคนที่ไม่มีปริญญาบ้างโดยพิจารณาค่าของคนที่ผลของงาน" แล้วประเทศไทยจะได้คนดีๆที่หลายหลายมากกว่านี้ให้เข้าไปทำงานที่สำคัญๆได้ ที่ คุณ Paradox-13th พูดใน คคห 31 ว่า "คนที่ไม่จบอะไรแล้วประสบความสำเร็จเนี้ยคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วอาจจะไม่ถึง 1 ในล้านด้วยซ้ำ" แล้วอยู่ดีๆมาสรุปเอาดื้อๆว่า "ถ้า จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย โดยปราศจากรากฐาน อันนั้นเขาเรียก "เพ้อเจ้อ" !!!" ^ นั่นก็แสดงว่า "สมองคุณยังคิดความเป็นไปได้ไม่มากจนครบทุกกระบวนท่าเพลง แต่อวดฉลาดอยากจะด่าว่าคตนอื่นเขาเพื้อเจ้อ จะบอกข้อมูลให้ว่า "เศรษฐีใหม่ในประเทศอังกฤษที่รวยมากๆส่วนใหญ่มาจากเด็กที่ไม่มีสมองทางด้านวิชาการก็เลยไม่เรียนมหาลัยแต่ไปทำงานก่อสร้างจนร่ำรวย" ^ ที่เป็นไปได้ก็เพราะว่า "ค่าแรงกรรมกรก่อสร้างในประเทศอังกฤษมันมากกว่าเงินเดือนคนจบปริญญาเอกมา" แต่ทำไมกรรมกรไทยยากจน? ^ ชาวนาฝรั่งก็เป็นพวกคนร่ำรวย ทำนา เลื้ยงสัตว์ ปลูกพืช ทุกอย่างครบวงจร แต่ทำไมชาวนาไทยยากจน? นั่นก็เพราะว่าคนจบวุฒิสูงๆแต่ไร้จินตนาการ แล้วหาว่าคนอื่นเขาเพื้อเจ้อ แบบคุณ ไม่มีมันสมองพอที่จะคิดได้ว่า "กรรมกรที่ดีก็มีความฉลาดในสายงานเขา (ฉลาดเรื่องทำงานช่างปูน ช่างไม้) สร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้" และ "ชาวนาที่ดีก็มีความเป็นอัฉริยะในสายอาชีพเขา เป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติได้" แต่กลไกสังคมไทย กำลังบีบบังคับให้กรรมกรก่อสร้างกับชาวนา เป็นมนุษย์ที่ไร้ค่า เพราะกดขี่ค่าแรงพวกเขา ^ กลไกเช่นนี้ "บีบบังคับให้คนที่น่าจะมีความฉลาดด้านงานก่อสร้างหรือการทำนา ต้องแห่กันไปเรียนเอาปริญญากันหมด เนื่องจากกลัวโดนกดขี่แรงงาน พอจบออกมาได้ปริญญาแล้วก็เลยไม่เก่ง  ทำให้คิดอะไรแบบอยู่ในกล่องเหมือนคุณ Paradox-13th นั่นแหละ เพราะพวกเขาโดนกลไกสังคมบีบบังคับให้ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด คืองานนั่งโต๊ะเท่ๆโดยใช้ปริญญาเป็นใบเบิกทาง..." ผลก็คือประเทศไทยถ้านับตามอัตราต่อประชากรต่อหัวแล้วมีคนจบปริญญามากกว่าประเทศอังกฤษตั้งหลายเท่า แต่ประเทศไทยก็ยังไม่เจริญเท่าอังกฤษ เพราะถึงอังกฤษจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยกรรมกร เพราะเด็กไม่แข่งกันเข้ามหาลัยแบบคนไทย แต่กรรมกรกับชาวนาอังกฤษก็ยังนับได้ว่าเป็นปัญญาชน ไม่ดูถูกคนวุฒิการศึกษาต่ำๆ จนคนอังกฤษคิดเองเป็นว่าใครเก่งไม่เก่งโดยไม่ต้องดูปริญญา คนอังกฤษจึงกล้าเลือก John Major ที่ไม่จบปริญญาให้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ ซึ่งนับว่าเป็น high judgement (ดุลพินิจอันสูงส่ง)คือไม่หน้ามืดตามัวจะเอาแต่ปริญญา ไม่หน้ามืดตามัวแบบ  คุณ Paradox-13th ที่ไม่รู้ว่าคุณให้สถิติผิดว่า "คนที่ไม่จบอะไรแล้วประสบความสำเร็จเนี้ยคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วอาจจะไม่ถึง 1 ในล้านด้วยซ้ำ" ^ ที่ให้สถิติผิด "เราคิดว่าคงเป็นเพราะคุณมีปริญญาแต่โลกคุณแคบ ไม่เคยดูสังคมอื่นในประเทศอื่นที่เขาเจริญกว่าเรา" แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 01:35:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 01:28:11

ความคิดเห็นที่ 35 ปริญญาสำคัญครับ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ถ้าได้ปริญญามาแล้ว งอมืองอเท้า ไม่หัดลับคมสมอง ไม่ขยันและขวนขวาย ก้อไม่มีวันประสบความสำเร็จ แม้ผมจะบอกว่าปริญญาสำคัญก็จริง แต่ชีวิตผมเอง ไมไ่ด้ขึ้นอยู่กับปริญญาเลยครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่า หลังจากปริญญา เรามีวิธีการดำเนินชีวิตอย่างไรทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงาน ปัจจุบัน ผมมีตำแหน่งในระดับเดียวกันกับผู้ที่สำเร็จระดับปริญญาเอก และผมมีฐานเงินเดือนที่สูงกว่า ทั้งๆที่ผมอายุน้อยกว่า และจบแค่ปริญญาตรี สรุปอีกครั้ง ปริญญาสำคัญครับ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 15:37:26