ความคิดเห็นที่ 1 ผมเคยถามนะ ว่าอ่านของตัวเองแล้วรู้เรื่องมั้ย เค้าตอบว่าไงรู้มั้ย "ไม่รู้เรื่องค่ะ" กรูจะบ้า งานแปลของตัวเอง ตัวเองยังอ่านไม่รู้เรื่องแล้วเอามาส่ง 55555555555555+ ขอโทษครับ มันตลกอะ กรณีทุกคนทำแบบนี้เหมือนกันหมด : ถ้าเป็นผม ผมจะไม่คอมเมนท์อะไรเลย แล้วส่งงานกลับเหมือนเดิมทุกคน จากนั้นใช้เวลา 30 นาทีหรือ 1 คาบ ชี้ให้ นศ. เห็นว่า google translate มันแปลยังไง (ผ่าน powerpoint, slide, projector อะไรก็ว่ากันไป)  จากนั้นให้ นศ แปลงานในคาบนั้นแหล่ะครับ แล้วส่งมาใหม่ตอนหมดคาบ :) ใครได้เท่าไหน ก็เอาคะแนนไปเท่านั้น :) จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 14:21:37

ความคิดเห็นที่ 2 อ.ที่ควบคุมวิชานี้ เน้นย้ำแล้วครับ แต่นศ.ก็เอาง่ายเข้าว่า ทำเสร็จปุ๊บก็ส่งทันที ไม่มีการทบทวนดูก่อนว่ามีอะไรผิดมั้ย ชื่อเชื้อที่เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ต้องเป็นตัวเอียง ก็ไม่เอียง พิมพ์เป็นตัวตรงมาปกติ มีนศ.มาส่งงานผมสองคนแล้ว (จากสี่คน) คนนึงทำได้ค่อนข้าง ok ผมก็แก้ไขไปให้ ผมถามเค้านะว่าใช้ google แปลหรือเปล่า เพราะบางประโยคมันแปลกๆ แต่โดยรวม ok เค้าก็รับแต่โดยดีว่าใช่ แสดงว่ามีการทบทวนและแปลใหม่ ไม่ได้พึ่ง google อย่างเดียว แบบนี้ยังพอให้ผ่านได้ แต่คนที่สองนี่ไม่ไหว เลยต้องส่งกลับให้ไปแปลมาใหม่ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 14:30:19

ความคิดเห็นที่ 3 ขอเรียนถาม จขกท ด้วยความเคารพ วิชาที่สอนคืออะไรครับ  ภาษาอังกฤษ  การแปล วิทยาศาสตร์ ก่อนเอางานไปให้เขาแปล บอกวิธีการ หลักการ ในการทำงานแปลให้เขาหรือเปล่า พออ่านงานเขาแล้ว ถามเขาหรือเปล่าว่าใช้อะไรแปล ซักเขาหรือเปล่าว่าทำไมงานเขาจึงอ่านไม่รู้เรื่อง เด็กนักเรียนบางทีต้องการให้เราต้อน ให้จนมุมครับ แล้วเราก็ให้เหตุผลเขาว่า การแปลมันไม่สามารถใช้สมองกลช่วยได้ มันต้องสมองคนเท่านั้นครับ  เพราะคอมพ์ฯ หรือโปรแกรมไหน ก็ไม่สามารถสกัด "สาร" จากข้อเขียนออกมาได้หมดจรดเกลี้ยงเกลา ได้เท่ากับสมองคน ลองใช้วิธี sight translation ดูสิครับ  พออ่านเสร็จ ให้เขาปิด text นั้นแล้วแปลเลยทันที ลองดูว่าจะได้ผลไหม จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:44:05

ความคิดเห็นที่ 4 กรณีนี้ กู เกิ้ล ไม่ผิดนะคะ มันคือโปรแกรม โปรแกรมหนึ่ง ไม่ใช่ไวรัสทำลายสมองใคร...ต้องโทษที่นักศึกษาไม่มีสามัญสำนึก ไม่ละอายใจ ไม่มีความพยายามมากกว่า ชาลีเรียนภาษาอังกฤษที่รามมา5 ปี...เคยใช้กูเกิ้ลแปลภาษาสี่ห้าครั้งเอง แล้วก็ตรวจสอบด้วยดิคฯ อีกสองสามเล่ม ถึงอย่างนั้นก็พยายามเกลาให้เป็นความคิดและสำนวนตัวเองอย่างสุดชีวิต กลัวอายเวลาอาจารย์ถามว่าได้ใช้โปรแกรมอะไรช่วยแปลหรือเปล่า จากคุณ : kiria chalee เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:52:40

ความคิดเห็นที่ 5 ต้องโทษนักเรียนสมัยนี้ที่เอาง่ายเข้าว่าค่ะ ถึงไม่ใช้โปรแกรมช่วย ก็ไปจ้างแปลอยู่ดีค่ะ จากคุณ : Kimerry เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:01:56

ความคิดเห็นที่ 6 #3 เป็นวิชาสัมนาครับ นศ.ต้องเอางานวิจัย (paper) ภาษาอังกฤษมานำเสนอหน้าชั้น ก่อนการนำเสนอต้องแปล abstract เป็นภาษาไทยก่อน อ.ที่ควบคุมกระบวนวิชาแจ้งแล้วครับว่าควรจะแปลอย่างไร และห้ามใช้ google translate ด้วยซ้ำ เพราะบ่นกันไว้มากแล้ว #4 ใช่ครับ google ไม่ผิด มันช่วยอำนวยความสะดวกดีมาก บางครั้งผมไปเจอภาษาอื่นก็ได้ google นี่แหละครับ พอเข้าใจคร่าวๆว่ามันหมายถึงอะไร ต้องโทษนศ. ที่มักง่ายเกินไป จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:42:28

ความคิดเห็นที่ 7 สงสัยด้วยคนว่าเป็นวิชาอะไรครับ ถ้าไม่ใช่วิชาการแปล และทักษะภาษานักศึกษายังไม่ถึงขั้นที่จะเริ่มหัดแปลได้ ผมอยากบอกว่า อย่าให้งานอะไรแบบนี้เลยครับ เปล่าประโยชน์และเสียเวลาด้วย แตถ้าเป็นวิชาการแปลก็เป็นหน้าที่ของคนสอนที่ต้องสอนวิธีการแปลให้เขาทราบ แต่ถ้านักศึกษามักง่าย ไม่สนใจเอาแต่จะหาตัวช่วย ก็นับว่าน่าห็นใจ จขกท เอามากๆ จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:43:34

ความคิดเห็นที่ 8 อาจารย์ควรบอกนักศึกษาให้ใช้สมองตัวเองในการแปลและทำแบบฝึกหัด เพื่อจะได้มีกระบวนการเรียนรู้ อะไรผิดก็แก้ไขแล้วจำ ก็จะมีการเรียนรู้และเพิ่มความสามารถของนักศึกษาเอง การใช้ google translate (ซึ่งแปลได้แย่มาก) ไม่ช่วยให้นักศึกษามีการเรียนรู้อะไรเลย เสียเวลาและเงินในการเรียนเปล่าๆ เรียนจบแต่ไม่มีความรู้ไม่มีประโยชน์อะไรต่อตัวศึกษาเอง จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:48:14

ความคิดเห็นที่ 9 อะ จขกท พิมพ์ตัดหน้าไปก่อน ^^ ด้วยความเคารพ ส่วนตัวมีความเห็นว่า ถ้าเป็นวิชาสัมมนา และนักศึกษายังอ่อนภาษาอังกฤษ และยังไม่เก่งพอที่จะแปลได้เป็นเรื่องเป็นราว (มีข้อจำกัดเรื่องภาษา) ผมว่าน่าจะให้ศึกษาเนื้อหาโครงสร้างงานวิจัยที่เป็นภาษาไทยไปก่อน(ดีๆ มีตั้งเยอะ) หรือถ้าทำส่วนนั้นไปแล้วอยากให้ศึกษาเรียนรู้งานวิจัยที่เป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่น่าให้ต้องแปลอะไรในลักษณะนี้เพราะผลที่คาดว่าจะเกิดก็เป็นเช่นอย่างที่รู้ๆ กัน (คนไม่รู้เรื่องแปลก็จะแปลมั่วหรือหาตัวช่วยแบบซั่วๆไป) ผมไม่เห็นประโยชน์ของการที่ให้นักศึกษามาแปลในวิชาสัมมนา เพราะมันไม่ใช่วิชาการแปล(การแปลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ)และมันเป็นเรื่องเกินกำลังเขาด้วย การสอนควรปรับวิธีให้เข้ากับคนเรียนเป็นสำคัญ คือแนวที่นักศึกษาระดับนี้น่าจะพอทำได้ เช่น แบ่งกลุ่มช่วยกันอ่านและสรุปสาระเอามานำเสนอน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมกับนักศึกษากลุ่มนี้มากกว่า เพราะวิธีนี้น่าจะช่วยให้เบาใจทั้งคนสอนและไม่เกินกำลังคนเรียน อีกทั้งยังได้วัดผลตรงจุดของวิชาสัมมนาที่เน้นการเรียนเกี่ยวกับกระบวนการค้นหา นำเสนอ อภิปราย และผลิตข้อมูลอะไรใหม่ๆ การรู้เท่าทันคนเรียนและวางแผนก่อนการสอนเพื่อวัดผลพร้อมกับให้นักศึกษาได้ความรู้จริงๆ จังๆ โดยไม่เสียเวลาสำคัญมากๆ ^^ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 17:16:45 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 17:13:34

ความคิดเห็นที่ 10 เรากลับรู้สึกว่า google เป็นโปรแกรมแปลที่ดีที่สุดเท่าที่มีในปทท. แต่เราต้องรู้วีธีการ handle มัน  บนรากฐานของภาษาไทย ปัญหานศ.ส่งงานโดยไม่ตรวจสอบ  เราว่าพวกเขากำลังลองของอจ. ถ้าไม่ส่งคืนให้ทำใหม่  พวกเขาก็ว่าอจ.สักแต่สั่งงาน  ไม่ตรวจ เราว่าจขกท.ทำดีที่สุด  การสอนวิธีแปลกับเด็กม.ดูจะ pampered จนเด็กไทยไม่รู้จักรับผิดชอบ  จขกท.อดทนดีจัง จากคุณ : renu2011 (renu2011) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 18:26:06

ความคิดเห็นที่ 11 จริงแล้วเราว่าถ้านักศึกษาไม่ได้เรียนศิลปศาสตร์หรืออักษรศาสตร์เอกภาษาอังกฤษหละก้อ ไม่จำเป็นต้องให้แปลงานมาส่งจะดีกว่า แต่อาจารย์ช่วยติวเข้มเรื่อง reading comprehension เพื่อให้นักศึกษาอ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่องอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ค้นข้อมูลจากสื่อต่างประเทศมาเขียนรายงาน (ไม่ใช่ลอกมานะ) แต่อ่านให้เข้าใจแล้วเขียนมาเองโดยใส่ความคิดตัวเองลงไป แล้วมาอภิปรายกันก็น่าจะได้ประโยชน์ แต่การให้งานแปลแก่นักศึกษานี่เราว่ามันนำพาไปสู่เรื่องยุ่งๆหลายๆอย่างนะ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่สมัยหัดแปลอังกฤษเป็นไทยใหม่ๆ เราอ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่องแตกฉาน ถ้าให้อ่านจับใจความภาษาอังกฤษแล้วมาเล่าเรื่อง เราเล่าได้ถูกต้อง แต่ถ้าให้แปลละก้อ "ออกมากลายเป็นคนละเรื่องไปเลยหละ" กว่าเราจะเรียนการแปลจนแปลอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเราใช้เวลาหลายปีมากๆ และตอนเรียนมี editors หลายคนคอย edit คำแปลให้ตั้งหลายรอบ (ซึ่งเราเก็บงานที่โดนแก้กลับไปศึกษาอยู่นาน) กว่าตัวเองจะแปลอะไรให้คนอ่านๆรู้เรื่องได้  นี่พูดถึงแปลอังกฤษเป็นไทยนะ แต่กรณีแปลไทยเป็นอังกฤษนี่ยิ่งยุ่งใหญ่เลย ปัญหาที่ต้องตามเก็บตามแก้นอกจากนักศึกษาจะขาดทักษะในการเขียนภาษาอังกฤษแล้ว นักศึกษายังเขียนภาษาไทยแบบ "ขุดหลุมฝังศพตัวเอง" คือเขียนมาให้แปลเป็นอังกฤษผิดเพี้ยนนั่นเอง อย่างเช่น classic example อันนี้ นักศึกษาเขียนภาษาไทยมาแบบนี้ "การทดสอบสมมุติฐานพบว่า..." แล้วแปลเป็นอังกฤษมาว่า The tests of hypothesis found that ....(แล้วก็รายละเอียดเรื่องที่พบ)... นักศึกษามาจ้างเรา edit คำแปล เราแก้ตรงส่วนนี้เป็น การทดสอบสมมุติฐานพบว่า... Hypothesis test findings: ....(แล้วก็รายละเอียดเรื่องที่พบ)... อีกไม่กี่วันต่อมานักศึกษาส่ง mail งานเดิมที่เธอแปลเพิ่ม มาให้เรา edit เพิ่ม แล้วนักศึกษาบอกว่า "พี่ๆ ถ้าข้อความเดิมที่พี่ edited ไว้มันเปลี่ยนไปนะ ไม่ต้องตกใจ อาจารย์หนูแก้ใหม่เอง" ไอ้แก้ประโยคอื่นของเรานี้ไม่อยากวิจารย์ว่าแก้แล้วดีขึ้นหรือเลวลง แต่สะกิดแผลเก่าอีตรงประโยคเดิมนี่แหละ อาจารย์แก้ การทดสอบสมมุติฐานพบว่า... กลับไปเป็น The tests of hypothesis found that ....(แล้วก็รายละเอียดเรื่องที่พบ)... ^ คือแก้กลับไปเหมือนที่นักศึกษาแปลมาตั้งแต่แรก พอเราเห็นแล้วอยากจะร้องออกมาดังๆว่า "อาจารย์ครับคนที่ทำกริยา found น่ะ มันคือ researcher นะครับ ไม่ใช่ tests อาจารย์ถูกภาษาไทยหลอกเอาซะแล้ว เพราะภาษาไทยเอา subject ของ verb ไปซ่อนไว้" แต่ก็ตัดสินใจอธิบายให้นักศึกษาฟังเฉยๆ แล้วบอกนักศึกษาว่า "ให้เงียบๆไว้ แล้วปล่อยอาจารย์แก้คำแปลภาษาอังกฤษไปให้อาจารย์มีความภาคภูมิใจเหอะ อาจารย์จะได้ให้นักศึกษาผ่านๆไปซะแล้วไปรับปริญญาโทเอาไปขึ้นเงินเดือนไวๆ (นักศึกษาเป็นข้าราชการซึ่งเรียนปริญญาโทในมหาลัยที่ผลิตครูปีละมากๆจนล้นประเทศ) เพราะถ้านักศึกษาไปทักท้วงอาจารย์ละก้องานนี้ drama ยาวเรียนไม่จบไม่ได้รับปริญญาโทแน่ๆ แล้วเราจะพลอยซวยไปด้วยทีไปทำให้นักศึกษาเรียนไม่จบ ตกลงเงียบไว้เป็นดีที่สุด" นักแปลที่ชำนาญมากๆเวลาเห็นภาษาไทยที่นักศึกษาเขียนไว้เพื่อเอาไปแปลเป็นอังกฤษ จะเหมือนนกรู้ คือบอกได้ล่วงหน้าก่อน edit คำแปลเลยหละว่าจะต้องแก้ตรงไหนบ้่าง และแก้อย่างไร เพราะรู้ว่านักศึกษาจะตกหลุมพรางตัวเองตรงจุดไหนบ้าง การที่อาจารย์ต้องตรวจคำแปลไทยเป็นอังกฤษของนักศึกษาทีละตั้งมากๆ ขนาดตรวจงานของนักศึกษาปริญญาโทการแปลอาจารย์ยังแทบทึ้้งผมหลุดหมดหัวแล้ว (แฟนเรามีเพื่อนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกันที่สอนปริญญาโทการแปล...โหเราเคยเห็นหน้าอาจารย์พวกนี้นะพวกเขามักจะผมฟูๆอ้ะ สงสัยอาจารย์จะ edit งานนักศึกษาจนสติเฟื่องไปซะแล้ว) แล้วถ้า edit คำแปลของนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนการแปลเป็นวิชาเอกหละก้อถ้า edit งานแปลของนักศึกษาหลายๆสิบคนรับรองว่าอาจารย์ต้องซัดพาราวันหนึ่งหลายๆกำอย่างแน่นอน! ดังนั้นเราจึงคิดว่า "ในหลักสูตรที่ไม่ใช่เอกอังกฤษแต่เป็ตนเอกวิชาอื่น ก็น่าจะหลีกเลึ่ยงการจ่ายงานแปลให้นักศึกษาทำ" แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 18:47:19 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 18:41:02 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 18:33:45

ความคิดเห็นที่ 12 เพิ่งเหลือบขึ้นมาดูชื่อกระทู้ เห็นว่าเป็น "ผมช้ำใจกับ google translate มาก" ^ มันทำให้เราคิดถึงกระทู้เก่าอันหนึ่งที่เราเขียนไว้ ซึ่งเราน่าจะตั้งชื่อมันว่า (แต่ตอนนั้นตั้งชื่อเป็นอย่างอื่น) "ผมใช้ google เก่งเกินไป ผมจึงต้องช้ำใจ!" ลองไปอ่านดูดิ จี้เส้นดี ตาม link ข้างล่างนี้ไป http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/09/K9640831/K9640831.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 19:06:29

ความคิดเห็นที่ 13 #11 การแปลอังกฤษยังเป็นเรื่องจำเป็นครับ (IMHO) เนื่องจากนศ.สายวิทย์ยังต้องใช้เอกสารภาษาอังกฤษเยอะมาก แล้วอาจจะมีความจำเป็นต้องถ่ายทอดมาเป็นภาษาไทยครับ การแปลที่ว่านี่ก็ไม่จำเป็นต้องระดับสละสลวย แต่อย่างน้อยก็ให้มันอ่านรู้เรื่องไม่ผิดความหมายก็พอเพียงครับ ที่ผมเบื่อมากก็คือนศ.ใช้ภาษาไทยได้ค่อนข้างดี ให้เขียนอะไรเป็นไทยมาเลยก็เขียนได้ แต่พอให้แปลจากอังกฤษมาไทย แล้วถึงไม่อ่านที่ตัวเองแปลมาเลย (หรือให้อากู๋แปล) ว่ามันรู้เรื่องมั้ย มันตลกๆ มันแปลกๆมั้ย เหมือนกับบอกว่าให้ไปสร้างจักรยานมาคันนึงเอามาขี่ จักรยานมีส่วนประกอบดังนี้นะ ....... ล้อ โครง โซ่......... พอถึงเวลาก็เอาส่วนประกอบจักรยานที่ว่านั่นมัดๆรวมกันมาส่งโครมให้ตรงหน้า นั่นไม่ไม่ใช่จักรยาน อย่างน้อยถ้าประกอบมาแล้วเป็นโครงร่างจักรยานแต่ว่าสปก.ไม่ครบ ขันน็อตไม่แน่น ประกอบยังไม่เนียนนี่ยังพอทำเนา แต่นี่ เฮ้อ ก็เหมือนกับที่ผมว่าใน post แรกนั่นแหละครับ อ่านเองยังไม่รู้เรื่อง แล้วเอามาส่งได้ยังไง จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 08:34:45

ความคิดเห็นที่ 14 ที่คุณ จขกท บอกว่า "การแปลอังกฤษยังเป็นเรื่องจำเป็นครับ (IMHO) เนื่องจากนศ.สายวิทย์ยังต้องใช้เอกสารภาษาอังกฤษเยอะมาก แล้วอาจจะมีความจำเป็นต้องถ่ายทอดมาเป็นภาษาไทยครับ" ^ ประเด็นนี้น่าสนใจ คือเราคิดว่าคุณกับเราอาจเข้าใจไม่ตรงกันในเรื่องคำว่า "แปล" กับคำว่า "ถ่ายทอดมาเป็นภาษาไทย" ก็เลยจะขอชี้แจงดังนี้ ถ้าคุณกำลังสอนเด็กปริญญาตรี ตัวแปรที่สำคัญที่จะทำให้ จขกท มีชีวิตที่ง่ายหรือปวดหัวนั้น มันก็คือครูระดับมัธยมสอนภาษาอังกฤษเด็กพวกนี้มายังไง ถ้าสอนมาดีครบถ้วนเด็กพวกนี้จะอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษได้ไปแล้ว ซึ่งถ้าเด็กออกแรงขยันเพิ่มในมหาลัยก็จะอ่านเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ^ ซึ่งถ้าเด็กมีทักษะ reading comprehension ที่ดี "การถ่ายทอดเป็นไทย" มันทำได้โดยไม่ต้องแปล เพราะแค่อ่านภาษาอังกฤษเพื่อค้นข้อมูลและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้ข้อมูลและความรู้ไปแล้วเวลาจะทำการบ้านส่งอาจารย์เป็นภาษาไทยก็จะเขียนความรู้จากสมองออกมาเป็นภาษาไทยได้เลย  "โดยไม่มีการแปลแต่อย่างใด" ^ สาเหตุที่นักศึกษาต้อง "พยายามแปล" นั่นก็เพราะว่านักศึกษาแทบไม่มีทักษะ reading comprehension เอาซะเลย (ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรงพอ) ก็เลยอ่านภาษาอังกฤษแทบไม่รู้เรื่องเลย ก็เลยต้องเปิด dictionary แปลเรียงตัวมาคำต่อคำ ต่อให้อาจารย์ไม่คาดหวังสูงโดยบอกว่า "แปลไม่ต้องสละสลวย" แต่คำแปลมันต้องออกมาเละแน่ๆ เพราะขนาดคนเก่ง reading comprehension มากๆ แต่ไม่เคยฝึกแปล ก็ยังแปลออกมาแล้วดูเละเทะมากๆได้ คือเราเคยติวภาษาอังกฤษให้เด็กระดับมัธยม (ด้วยวิธีการสอนที่เข้มข้นพิศดาร) จนพวกเขาอ่านภาษาอังกฤษแตกฉานไปแล้ว พอพวกเขาไปเรียนวิทย์ระดับปริญญาตรีกัน ทุกคนไม่ต้องแปล แต่อ่าน textbooks ภาษาอังกฤษแล้วเขียนงานค้นคว้าส่งอาจารย์เป็นภาษาไทยโดยคิดออกมาจากสมองได้เลย แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนพวกเขาเรียนจบปริญญาโทกับเอกไปตั้งหลายคนแล้ว ^ แต่ในทางกลับกันนักศึกษาที่อ่านภาษาอังกฤษแทบไม่กระดิกหูเลย จำเป็นต้องแปลเรียงคำจาก dictionary มันถึงอ่านไม่รู้เรื่อง และถ้าท้อใจมากๆนักศึกษาก็ต้องพึ่ง google translate ของตายอยู่แล้ว ^ วิธีเยียวยาทำได้โดยการติวเข้มวิชา reading comprehension นอกเวลาเป็นการเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้นักศึกษาอ่านภาษาอังกฤษจับใจความอย่างรวดเร็ว (แต่ไม่ใช่สอนการแปล) มันจะแก้ปัญหาที่ตรงจุดได้ ^ แต่ในเชิงปฏิบัติแล้ว ไม่หมู เพราะคนที่จะสอนภาษาอังกฤษแบบอัดแน่นให้นักศึกษาอ่านภาษาอังกฤษแตกฉานในระยะเวลาอันสั้น นอกจาก อ.สงวน วงสุชาติที่โด่งดังแล้ว คนอื่นๆในประเทศไทยมีน้อยคนนักที่จะทำได้ ^ ในเมื่อไม่หมูภาระมันจะมาตกหนักอยู่ที่อาจารย์คนที่สอนระดับปริญญาตรี เพราะนักศึกษาอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษไปไม่รอดอยู่แล้ว จะให้นักศึกษางัดทักษะ reading comprehension มาหรือ งัดทักษะ translation มา มันก็ไม่มีเลยสักอย่างเดียว ก็เลยไปไม่รอดนั่นแหละ ^ คุณ จขกท สอนวิทย์ แต่ประเด็นมันก็คือ นักศึกษต้องอ่านภาษาอังกฤษจับใจความเพื่อการค้นข้อมูลในการเรียนรู้ และการ "ถ่ายทอดเป็นไทย" มันถ่ายทอดจากความรู้ที่เรียนไปแล้ว (โดยอาศัยทักษะ reading comprehension ไม่ใช่ทักษะ translation) และความรู้มันอยู่ในสมองแล้ว ก็ต้องถ่ายทอดออกมาเป็นไทย มาส่งอาจารย์ได้ "โดยไม่มีการแปลแต่อย่างใด" ^ แต่มันจะราบรื่นหรือไม่ราบรื่น ก็ตามที่เราบอกไปแล้วว่า "ครูระดับมัธยมเขาสอนเด็กกันมายังไงก่อนส่งมาให้ จขกท" ^ จะเยียวยาได้หรือไม่นั้น ก็ตามที่บอกไว้แล้ว แต่การเยียวยา ต้องเยียวยาที่เพิ่มทักษะ reading comprehension ไม่ใช่พยายามสอนทักษะ translation แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 12:07:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 12:02:41

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนเด็ก ป.ตรี ทำให้รู้สึกว่า นักศึกษาสมัยนี้ส่วนหนึ่งก็สักแต่ว่าเรียนให้จบเอาวุฒิเ่ท่านั้นครับ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 15:27:34

ความคิดเห็นที่ 16 ที่เราพูดใน คคห 14 ว่าการสอน reading comprehension แบบอัดแน่น (cram course)ให้นักเรียนอ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่องโดยเร็วที่สุด ที่ว่า อ.สงวน วงสุชาติเก่งมากๆนี้ นั้น จริงๆแล้วเราก็เคยคิดวิธีสอนอัดแน่นตามแบบฉบับของเรา และเคยสอนเด็ก ม.6 ที่กำลังจะสอบ Entrance เข้ามหาลัย มาหลายรุ่น เราประสบความสำเร็จในการสอนอัดแน่นโดยใช้เวลาแค่ 1 ปี การศึกษา จนนักเรียนสอบเข้าไปเรียนมหาลัยได้ แล้วนักเรียนหลายๆคนตอนกำลังเรียนมหาลัยแวะมา Say hello. กับเราพวกเขาบอกว่า "ไม่มีปัญหาในการอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่นิดเดียว" ^ แต่อย่าลืมว่าที่พวกเขาเอาข้อมูลยัดเข้าสมองจำได้รวดเร็วภายในเวลาสั้นขนาดนั้น (อย่างว่าแต่ 1 ปีการศึกษาเลย ครูบางคนสอน 5 ปียังไม่ประสบความสำเร็จเลย ถ้าไม่รู้เคล็ดลับ) มันมี drive (พลังขับเคลื่อน) นั่นก็คือ "ความกลัวว่าจะเข้ามหาลัยดีๆไม่ได้แล้วจะเสียอนาคต" ^ drive อันรุนแรงตัวนี้ มันทำให้นักเรียนพวกนั้น จำพวก Greek and Latin roots ที่เราสอนไป ทำให้ออกแรงเรียน collocations ไปตั้งมากมาย และ เรียนประโยคตัวอย่างที่พลิกแพลงหลายๆรูปแบบ ซึ่งสาธิตความแตกต่างของ subtle nuances of meaning of each word ที่เราให้พวกเขาจดไปอ่านซ้ำๆ และทบทวนหลายๆรอบจนจำได้หมด จนใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษคล่องไปแล้ว ^ แต่ถ้าเอาวิธีนี้มาสอนเพื่อเยียวยานักศึกษาปี 1 ที่อ่านภาษาอังกฤษแทบไม่รู้เรื่อง จะสอนให้สำเร็จ ถ้าเป็นมหาลัยระดับรองๆที่นักศึกษาอ่อนๆมากๆมารวมกลุ่มกัน รับรองว่าสอนยากมากๆ เพราะก็อย่างที่ คคห 15 พูดนั่นแหละ คือ "...นักศึกษาสมัยนี้ส่วนหนึ่งก็สักแต่ว่าเรียนให้จบเอาวุฒิเท่านั้นครับ" ^ คือไอ้ติวเข้มเพื่อเยียวยาเด็ก ปี 1 ก่อนสายไป มันติวได้ก็จริง แต่ถ้าเด็กโดนยัดข้อมูลทีละมากๆที่ต้องอ่านทวนให้เข้าใจและจดจำจนนำไปใช้การได้ แล้วเด็กแค่อยากเรียนเอาวุฒิแบบง่ายๆ มันกลายเป็นว่า "ใจไม่สู้ซะแล้ว เพราะมันออกแรงเยอะ" ^ ก็อาจเยียวยาไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าคนสอนจะมีวิธีหลอกนักศึกษาให้เรียนไปสนุกไป เช่นเอาเรื่องอะไรสนุกๆมาให้หัดอ่าน จนหัวเราะกันฮาแตก หรือคนสอนมีลูกเล่นแพรวพราวเช่นสอนไปสอนมาทำหน้าตาท่าทางสุดตลก...เป็นต้น...555+++...แต่ก็มีนะเคยเห็นครูเก่งๆทำอะไรแผลงๆแบบนี้ได้...เราเคยเห็นครูฝรั่งคนหนึ่งสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทย แค่แกเดินเข้าห้องเท่านั้นหละนักเรียนเห็นหน้าแกก็หัวเราะสนุกไปซะก่อนแล้ว...เหลือเชื่อจริงๆ คนที่เป็น born teacher แบบนี้ เราเคยเห็นแล้วทึ่งมากๆ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 18:55:27 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 18:50:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 18:47:58

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องเด็กเรียนภาษาอ.มีหลายมุมมอง จากนักแปลมืออาชีพที่เรียนด้วยตัวเอง, จากคนไทยไปอยู่เมืองนอกนานๆ จากคนไทนไปทำงานเมืองนอกหลายที่จนเข้าใจความแตกต่างของภาษา จากอ.สายวิทย์ป.ตรี,โท. เอก จากอ.สายอักษรปงตรี,​โท, เอก หรือแม้แต่อ.สอนชั้นประถม, ม.ต้น หรือม.ปลาย ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานการศึกษาคนละแบบ ที่อ่านดูแล้วต้องส่งสารไปถึงเด็กว่า อ่านให้หมดของทุกคน  แล้วจืงเอาตะแกรงมาร่อนให้ได้แบบที่ตัวเองถนัด แต่เด็กเรียนเพื่อให้จบๆเป็นส่วนใหญ่  พอออกไปทำงานก็ไม่รุ่ง คิดเสียดายเวลา สรุป ครูบาอาจารย์ต้องใจแข็ง ถ้าเด็กอยากได้คะแนนก็ต้องไปทำมาให้ได้ อย่าไปโทษอ.ชั้นมัธยมเลย มาจากราชภัฏเอกภาษาอ. เด็กม.ต้นรร.คอนแวนต์ยังเก่งกว่าเลย จากคุณ : renu2011 (renu2011) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 20:05:01

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ ที่ คุณ renu2011 (renu2011)  พูดใน คคห 17 ว่า "อย่าไปโทษอ.ชั้นมัธยมเลย มาจากราชภัฏเอกภาษาอ. เด็กม.ต้นรร.คอนแวนต์ยังเก่งกว่าเลย" ^ ทำให้เราตกใจกลัวคนเข้าใจผิด เพราะเราพูดถึง อ.ชั้นมัธยมไว้ใน คคห 14 แต่พูดว่า "ถ้าคุณกำลังสอนเด็กปริญญาตรี ตัวแปรที่สำคัญที่จะทำให้ จขกท มีชีวิตที่ง่ายหรือปวดหัวนั้น มันก็คือครูระดับมัธยมสอนภาษาอังกฤษเด็กพวกนี้มายังไง ถ้าสอนมาดีครบถ้วนเด็กพวกนี้จะอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษได้ไปแล้ว ซึ่งถ้าเด็กออกแรงขยันเพิ่มในมหาลัยก็จะอ่านเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ" ^ ซึ่งตีความได้ว่า  อ.ชั้นมัธยม ปูพื้นภาษาอังกฤษไว้ให้เด็กดีๆก็มี หรือทำไว้ไม่ดีก็มี ลองไปดูอีกกระทู้หนึ่งที่เราชมว่า อ.ชั้นมัธยม ปูพื้นภาษาอังกฤษไว้ให้เด็กดีๆก็มี อย่างเช่นใน คคห 3 ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11338399/K11338399.html ....................................................................... แต่โดยภาพรวมแล้วปัญหาของ จขกท ไม่ใช่แก้ง่ายๆ จะแก้ได้มันต้องมีการประสานงานกันหลายๆฝ่าย ก็อย่างที่เราบอกแล้วว่า "การสอนให้เด็กอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วแบบ "อัดแน่น (cram course) นั้น มีคนเก่งๆสอนได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น" ถ้า จขกท หวังจะช่วยนักศึกษาจริงๆ จะไปแทรกเวลาติวเข้มวิชา reading comprehension ในหลักสูตรมันจะทำให้นักศึกษาเรียนรู้เนื้อหาในหลักสูตรน้อยเกินไป  มันต้องทำนอกเวลาเรียนเช่นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด แต่ี 1. จขกท จะติวฟรีหรือเปล่า? 2. ถ้าเก็บเงินค่าเหนื่อยนักศึกษาจะมิโวยวายหรือ 3. นักศึกษาจะยอมมาเรียนหรือเปล่า 4. ถ้า จขกท ไม่มีเวลา หรือไม่สันทัดกรณี จะให้คนอื่นสอน reading comprehension ปัญหาที่ตามมาก็คือ   4.1 คงไม่มีคนมาสอนให้ฟรีๆแน่ๆ แล้วใครจะรับภาระค่าใช้จ่าย   4.2 ถ้าค่าจ้างคนสอนต้องมาจากมหาลัยหรือมาจากนักศึกษา มหาลัยกับนักศึกษาจะยอมหรือไม่ ^ ปัญหาแบบนี้เราไม่เคยเห็นใครแก้แบบ "ทุกฝ่ายร่วมมือกันปรสานงานกัน" นะ แต่เราเห็นอาจารย์ส่วนใหญ่แก้ปัญหาด้วยการสั่งให้นักศึกษาไปแปลบทความทางด้านวิชาการมาจากอังกฤษเป็นไทย เพราะหลงคิดว่านักศึกษาจะได้เรียนรู้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นการแก้ที่ต้นตอ "เพราะว่านักศึกษาที่อ่านภาษาอังกฤษแทบไม่รู้เรื่องไม่กระดิกหูเลย ก็ต้องไปจ้างคนอื่นแปล (บางทีมาขอให้แปลฟรีใน pantip ก็มีเยอะ) หรือไม่นักศึกษาก็จะพยายามเปิด dictionary แปลเรียงตัวคำต่อคำ เมื่อท้อใจก็ใช้ google translate พอส่งอาจารย์ ถ้าอาจารย์มานั่ง edit (ตรวจแก้) คำแปลของนักศึกษา ทุกฝ่ายเสียเวลาหมด เพราะนักศึกษามัวแต่หัดแปลจนไม่ได้เรียนรู้อะไรอย่างอื่น อาจารย์เสียเวลาวางแผนและสร้างสื่อการสอนดึๆเพราะมัวแต่มานั่ง edit (ตรวจแก้) คำแปลของนักศึกษา ตกลงพัฒนาการด้านอื่นมันก็ไม่มีเลย นั่นก็เพราะว่าไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ดังนั้นทางออกที่หลายคนทำกันเมื่อที่สุดถึงที่สุด นั่นก็คือ "อาจารย์ปล่อยนักศึกษาให้ผ่านหมด เพราะถ้าไม่ปล่อยให้ผ่านหมด มีสถิตินักศึกษาไม่ผ่านเยอะๆ อาจารย์ก็ตกงาน" ^ เหตุผลทุกอย่างมันไล่กันเป็นลูกโซ่ และถ้าคิดย้อนกลับไปที่ต้นตอของปัญหา เราจะได้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า "มหาลัยระดับรองๆรับนักศึกษาที่อ่อนเกินไปเข้ามาเรียน และต้องปล่อยให้นักศึกษาจบกันไปมากๆทั้งๆที่ไม่ผ่านเกณฑ์ เพราะมหาลัยก็เหมือนอาจารย์คือถ้ามีนักศึกษาเรียนไม่จบกันเยอะๆ อีกหน่อยก็ไม่มีใครอยากเข้ามาเรียน เพราะคิดวาเสียเงินเปล่าแล้วไม่ได้ปริญญา มหาลัยก็จะต้องปิดไป" การแก้ไขปัญหาจะทำได้ก็ต้องตีความเหตุผลต่างเหล่านี้ที่ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 22:38:42

ความคิดเห็นที่ 19 ก็อย่าให้งานแปล ตรงๆ แค่ชั้นเดียว ดิคะ แต่ต้องแบบ ให้บทความ 5 ชิ้นเค้าไปใส่เครื่องแปลเอง มา แต่ละบทความ อ่าน ประมวล แล้วเอามาตอบอะค่ะ ไม่งั้น มันจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมาก สมมุติเราเป็นอาจารย์นะ เราเคืองมาก ให้แต่ละคนมารายงานภาษาอังกฤษหน้าห้องรายตัว แล้วเอาที่แต่ละคนรายงานนั่นน่ะ มาให้ทั้งห้องอภิปราย เพราะนักเรียนมีตัวช่วยแล้วอะ โจทย์ต้องยากขึ้นไปอีก จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 09:51:25

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้ข้อคิดดี แต่สารภาพว่าทำอย่างที่คุณ fortuneteller ว่าไม่ได้ครับ ประการแรกถึงผมจะอ่าน text อ่านบทความได้เข้าใจ แต่ให้ไปสอนให้คนอื่นทำได้อย่างผมนี่ยอมรับว่าทำไม่ได้ครับ ยิ่งในเวลาสั้นๆนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ที่ทำได้ก็แค่อ่านดู ถ้าตรงไหนที่ดูแล้วถูกต้องก็ผ่านไป ถ้าตรงไหนไม่ถูกต้องก็เรียกมาคุย มาอธิบายไป แก้กันไปเป็นจุดๆ ประการสองคือไม่มีเวลาครับ รู้ๆอยู่ว่าอ.มหาลัยมีภาระหน้าที่อย่างอื่นอีก งานวิจัยก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วมันก็เอาเวลาไปมากจริงๆ ไม่นับว่านศ.เองก็เรียนหนักอยู่แล้ว การมาสอนอ่านนี่มันเกินขอบเขตของวิชานี้ไปแล้ว คือเราคาดหวังแล้วว่านศ.ควรมีความรู้ในการอ่านดีพอสมควรแล้ว เราจึงให้นศ.ได้อ่านบทความวิชาการซึ่งจำเป็นสำหรับนศ. แต่ปรากฏว่านศ.บางคนอ่อนปวกเปียกจนน่าใจหาย บางคนก็ผ่านได้แบบสบายๆ และเคยเจออยู่คนนึง คนนี้เก่งอังกฤษอยู่ก่อนแล้ว คนนี้ทำได้ดีมากกกกก ดีจนเสียดายว่าน่าจะถ่าย VDO เก็บไว้ให้รุ่นน้องๆดู จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 12:29:47

ความคิดเห็นที่ 21 เราก็เชื่อเหมือน จขกท พูดว่าการเพิ่มวิชา reading comprehension เข้าไปในหลักสูตรปกติมันทำไม่ได้แน่ๆเพราะมันจะทำให้เรียนไม่จบกันภายในเวลาที่กำหนดไว้   เราถึงคิดว่าวิธีเยียวยามีอยู่ทางเดียวนั่นก็คือสอน reading comprehension แบบเร่งด่วนและอัดแน่น (cram course) ในวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดเป็นหลักสูตรเสริม ซึ่งอาจต้องให้อาจารย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางทำหน้าที่นี้ ^ แต่ถ้าไม่สามารถกระทำได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จขกท พอจะแก้สถานการณ์ได้บ้าง (แต่ก็ไม่เต็มที่ 100%) นั่นก็คือ จขกท บอกให้นักศึกษาเปิด textbook ภาษาอังกฤษในส่วนที่จำเป็นต้องเรียนในแต่ละ topic ให้นักศึกษาดูภาษาอังกฤษไป แล้ว จขกท อธิบายเป็นภาษาไทยไป มันก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อจำกัดมันก็คือ "นักศึกษาไม่มีทางที่จะค้นคว้าเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ถ้า topics ต่างๆที่เรียนนั้น ยังไม่มีใครเขียน textbooks เป็นภาษาไทยออกมาตีพิมพ์" วิธีการสุดท้ายที่พอจะช่วยได้ นั่นก็คือ จขกท ต้องอธิบายให้นักศึกษาตระหนักว่าไม่มีอาจารย์คนไหนที่จะสอนนักศึกษาให้อยู่ดีๆเก่งพร้อมสรรพในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ไม่ว่าจะเป็นในสาขาไหนๆก็ตาม เพราะมันกว้างมากๆ(มีงานค้นคว้าวิจัยใหม่ๆออกมาตลอดเวลา) อาจารย์จะสอนได้ก็แค่หลักการพื้นฐานและสอนวิธีค้นข้อมูล ให้นักศึกษาไปค้นข้อมูลเรียนรู้ด้วยตัวเอง ^ ดังนั้น ทักษะ reading comprehension ในระดับที่อ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากถ้าจะเอาดีทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไปในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นในสาขาไหนๆก็ตาม (เพราะผลงานด้านนี้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่) ดังนั้น จึงแนะนำให้นักศึกษาไปหาที่เรียน reading comprehension แบบติวเข้มเอาข้างนอกมหาลัยที่ไหนสักแห่ง ^ แต่มันก็เหมือนแสงเทียนริบหรี่ เพราะไม่รู้ว่าจะมีนักศึกษาคนไหนยอมออกแรงมากถึงขนาดนั้น เพราะเด็กสมัยนี้มักจะคิดว่าไปเรียนอาจารย์ก็เอาความรู้มาป้อนถึงปาก เรียนจบรับปริญญาไปก็มีใบอะไรไปสมัครงาน แล้วก็จบกันแค่นั้น จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 16:12:08

ความคิดเห็นที่ 22 ใช่ครับ บอกไปแล้ว ไม่ค่อยมีนศ.ทำหรอก ผมพยายามชี้แจงว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญ ย้ำตั้งแต่นศ.อยู่ปี 1 บอกเขาว่าเรียนแค่ในหลักสูตรมันไม่พอ ให้ไปเรียนเสริมข้างนอกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องการทักษะการพูด อย่าว่าแต่นศ.ป.ตรีเลยครับ ตอนสัมนาเนี่ย บางครั้งนศ.ป.โทเนี่ยแย่กว่าป.ตรีอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่าที่เค้านำเสนอเป็นงานของตัวเอง จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 21:03:44

ความคิดเห็นที่ 23 ที่เราเคยเรียนจะเปิดงานอ่านด้วยกันไปเลยค่ะ ให้ไปเตรียมตัวมาก่อนเป็นการบ้าน แล้วอ่านด้วยกันเลย ถือชีทคนละชุด นศ.แปลไป อจ.ฟังไป ผิดตรงไหนแก้เลย อันนี้จะรู้เรื่องสุดๆ เพราะกูเกิ้ลก็ช่วยไม่ได้ เพราะแปลผิดได้แค่ความหมายมาเรียงๆ กันแต่ไม่รู้เรื่องก็รู้ตอนนั้นเลย ลดงานอาจารย์ที่ต้องมานั่งแก้ไปแก้มาด้วย อย่างคห.ข้างบนก็ดีนะคะ มาอ่านหน้าห้องเลย คนละครั้ง อจ.ก็ฟังด้วย ตรงไหนผิดแก้เลย ( ไม่ใช่ถือฉบับแปลนะคะ ถือฉบับภาษาอังกฤษ แปลกันประโยคต่อประโยคเลย ) เด็กต้องอ่านต่อหน้าเพื่อนเยอะๆ เค้าจะฮึด กล้วโดนแก้มาก อายค่ะ จากคุณ : PDF เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 14:31:23