ที่ จขกท พูดว่า
"ผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศข่าว ต้องสอบใบอนุญาตค่ะ และการอ่านแบบกร่อนเสียงให้สั้น (ขออ้างอิงในความเห็นที่8นะคะ) สอบไม่ผ่านแน่ๆค่ะ"
^
ตอบ
อันนี้เรายอมรับว่าจริง แต่ถ้าใครเชื่อกฎเกณฑ์การสอบก็ต้องถือว่า
"คิดในกรอบหรือคิดในกล่อง ไม่มีความคิดแหกคอกสร้างสรรค์ของตนเอง ทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนาเหมือนอารยประเทศ"
^
จริงๆแล้วภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติเหมือนๆกันคือ
พูดช้าๆเน้นคำมันออกเสียงอย่างหนึ่ง
แต่พูดเร็วๆตามธรรมชาติมันออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง
การพูดเร็วๆตามธรรมชาติคำศัพท์ในวิชา phonetics เขาเรียกว่า connected speech
ใน connected speech จะมีปรากฏการณ์ทางด้านภาษา 3 อย่าง (มีทุกภาษา)
คือ
Sounds disappear (เสียงบางเสียงหายไป)
Sounds join together (เสียงบางเสียงมาต่อเชื่อมกัน)
Sounds change (เสียงบางเสียงเปลี่ยนไป)
...........................................................................
ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมามีพวก "พลเมืองดี" เป็นจำนวนมากที่แสดงความรักชาติแบบผิดๆ
"เพราะคิดในกรอบหรือคิดในกล่อง"
นั่นก็คือพยายามจับผิดคนที่พูดเร็วๆแบบ connected speech แล้วตำหนิติเตียนว่าพวกเขา
"ทำลายภาษา"
ส่งผลทำให้คนไทยเป็นจำนวนมากที่คิดด้วยสมองตนเองไม่เป็น และไม่รู้ธรรมชาติของภาษา "โดยเฉพาะผู้อ่านข่าว" ได้ช่วยๆกันทำลายภาษาไทยโดยการพยายามอ่านข่าวให้เร็วๆโดยไม่พูดเป็น connected speech
"ส่งผลทำให้ภาษาไทยกลายเป็นภาษาที่ผิดธรรมชาติเพราะพูดช้ากับพูดเร็วดันออกเสียงเหมือนกัน"
^
คนที่ออกกฎว่าผู้อ่านข่าวต้องออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ ก็เป็นพวกที่ไม่มีความรู้เรื่องธรรมชาติของภาษา ดังนั้นจึงออกกฎเกณฑ์ผิดๆมาเพื่อทำลายภาษาไทยให้ย่อยยับไป
เรามาดูตัวอย่างกัน
"ยี่สิบเอ็ด" พูดช้าๆมันก็ "ยี่สิบเอ็ด" พูดเร็วๆพอออกเสียง "บ" ตรง "สิบ" ปากมันปิด การพูดพยางค์ต่อไปเป็น "เบ็ด" ซึ่งทำให้ออกเสียงเป็น "ยี่สิบเบ็ด" ต้องถือว่า "ถูกธรรมชาติตามหลักวิชา phonetics"
ในภาษาอังกฤษก็มีคล้ายๆกัน เช่น "do it" พูดช้าแยกพยงค์กันเป็น "ดู อิท" พูดเร็วๆแบบ connected speech ตอนพูด "ดู" จริงๆแล้วปากมันจู๋ยื่นออกมา ดังนั้น พยางค์ต่อไปแทนที่จะเป็น "อิท" มันเลยกลายเป็น "หวิด" เลย "do it" พูดเร็วๆกลายเป็น "ดูหวิท"
^
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อยูดีๆชาวบ้านพูดผิดๆแล้วโมเมมา แต่นักภาษาศาสตร์ซึ่งสังเกตการณ์ปรากฎการณ์ทางด้านภาษาบอกว่า "มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ"
ในภาษาอื่นอย่างเช่นภาษาญี่ปุ่นก็มี ครูสอนโยคะชาวญี่ปุ่นเคยบอกเราว่า ชื่อนามสกุลเธอคือ "โค ไฮ ยา ชิ" แต่นั้นมันอ่านช้าๆ ถ้าอ่านเร็วๆมันกลายเป็น "โคบายาชิ"
^
เพราะอะไร?
คุณลองพูดคำว่า "โค" แล้วพยายามพูดต่อคำว่า "ไฮยา" สิ จะสังเกตได้ว่า ปากคุณจะปิดเหมือนกับจะออกเสียง "บ" ไปเลย ดังนั้น "โค ไฮ ยา ชิ" พูดเร็วๆแบบ connected speech มันถึงกลายเป็น "โคบายาชิ" ไปได้
สรุปแล้วพวกพลเมืองดีทั้งหลายรวมทั้งคนที่ตั้งกติการการสอบใบอนุญาตผู้ประกาศข่าวต่างก็เป็น
"ผู้ที่ไม่รู้จักธรรมชาติของภาษา ไม่รู้ว่าภาษาแต่ละภาษาต่างก็มีปรากฎการณ์ของมันด้วยกันทั้งสิ้น "
ถ้าคุณดูรายการประกวดร้องเพลงในเมืองไทย พอผู้ประกวดร้องเสร็จ ฟังครูเพลงให้คะแนนแล้ววิจารณ์ดูสิ ส่วนใหญ่จะได้คำติดชมแบบ
"สมองครูเพลงติดอยู่ในกรอบ"
นั้นก็คือ
"พูดแต่เรื่องการออกเสียงอักขระเพราะครูเพลงหลายๆคนสมองทึบคิดอะไรที่สร้างสรรค์กว่านั้นไม่เป็น"
แต่ในทางกลับกันในการประกวดร้องเพลงของฝรั่งกรรมการเก่งๆจะไม่พูดถึงเรื่องการออกเสียงอักขระเลยแม้แต่นิดเดียว แต่จะพูดประเด็นอื่นๆทางด้านวิชาดนตรีหรือการแสดงที่สำคัญมากกว่าการออกเสียงอักขระตั้งหลายเท่า นั่นก็เพราะว่าพวกเขามีจินตนาการก้าวไกลกว่า โดยการคิดนอกกรอบหรือคิดนอกกล่อง
หมายเหตุ
เวลาผู้ประกวดร้องเพลงร้องจบ แล้วครูเพลงไทย วิจารณ์การร้องโดยคำนึงถึงเรื่องการออกเสียงอักขระ ถ้ามีการหักคะแนนผู้ประกวดที่ร้องไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ร้องเป็น connected speech จึงโดนหักคะแนน ก็ต้องถือว่า
"ครูเพลงตั้งข้อจำกัดในเรื่องวิชาดนตรีและวิชาการแสดง ทำให้นักร้องมิสามารถใช้ลีลาตามจินตนาการที่สร้างสรรค์ได้ ซึ่งก็จะเป็นการปิดกันพรสวรรค์ของนักร้องด้วย..."
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 07:57:54
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 01:09:54
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 01:03:17
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 00:55:31
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 00:52:15