PANTIP.COM : K11364261 เรียนจบมหาวิทยาลัยสำคัญมั๊ย [การศึกษา]

ความคิดเห็นที่ 3

เราคิดว่าปริญญาเป็นสิ่งสำคัญในเมืองไทยนะเนื่องจากสังคมไทยไม่ค่อยวัดค่าของคนที่ผลของงาน

แต่เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญของปริญญาตอนเราอยู่ในประเทศอังกฤษ เพราะเราเคยทำงานระดับผู้จัดการสาขาบริษัทขององค์กรใหญ่ๆในประเทศอังกฤษได้่โดยไม่มีปริญญาเลยสักใบ และ John Major ก็เป็นนายกอังกฤษได้โดยไม่ต้องมีปริญญาเลยสักใบ

ส่วนที่ จขกท บอกว่า

"เพราะว่าเราเคยเห็นหลายคนอ้างว่า เรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้ แต่จะมีซักกี่คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ"
^
ตอบ
มีเยอะ เด็กอังกฤษไม่แข่งกันเข้ามหาลัยแบบเด็กไทย ใครรู้ตัวว่าไม่มีหัวทางด้านวิชาการก็ไปทำงานก่อสร้าง พวกเศรษฐีใหม่ของอังกฤษส่วนใหญ่มาจากกรรมกรก่อสร้าง
^
ที่คนอังกฤษเป็นกรรมกรก่อสร้างแล้วรวยได้เพราะค่าแรงกรรมกรก่อสร้างมันมากกว่าเงินเดือนคนจบปริญญาเอกมา ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากรรมกรก่อสร้างในอังกฤษเคยประท้วงเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมของประเทศอังกฤษ แล้วไม่โดนนักการเมืองสั่งทหารเอาอาวุธสงครามมายิงตาย

ในขณะที่กรรมกรไทยเคยประท้วงแบบนี้ แต่ทำไม่สำเร็จเพราะโดนรัฐบาลเผด็จการสั่งทหารเอาอาวุธสงครามออกมายิงตายเป็นเบือ คนไทยจึงต้องพยายามเรียนให้จบปริญญาให้ได้เพราะการเป็นกรรมกรมันไม่มีอนาคต เพราะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ดังนั้นจึงมีคนไทยเป็นจำนวนมากแทนที่จะเป็นกรรมกรหรือเป็นชาวนาที่ฉลาดและทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยได้ก็เลยต้องเรียนให้จบปริญญามาทั้งๆที่เรียนไม่เก่ง คือเรียนไปให้พ้นสภาพกรรมกร ดังนั้น บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตจากคนที่เรียนจบเพราะเหตุผลนี้ (แต่พวกเขาไม่เหมาะที่จะเรียนด้านวิชาการ) จึงไม่มีศักยภาพมากพอที่จะสร้างความเจริญให้แก่ประเทศไทยได้ ประเทศไทยจึงล้าหลังทั้งๆที่มีคนจบปริญญาตั้งมากมาย มากกว่าอารยประเทศซะอีกถ้านับตามหัวประชากร
^
ตามอัตราประชากรต่อหัวแล้วประเทศไทยมีคนจบปริญญามากกว่าประเทศอังกฤษตั้งหลายเท่า แต่ประเทศไทยกลับมีคนขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรกับขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นทางเท้าไม่เว้นแต่ละวัน ในขณะที่ประเทศอังกฤษซึ่งเต็มไปด้วยกรรมกรก่อสร้างที่ไม่จบปริญญา กลับไม่มีใครทำนิสัยมักง่ายแบบคนไทยแบบนี้เลย!

รายละเอียดอยู่ที่กระทู้นี้
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11332019/K11332019.html

ที่ จขกท พูดว่า

"อย่าปลูกฝังความคิดแบบนี้เลย ว่าไม่เรียนก็ประสบความสำเร็จได้ เพราะเรามองว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ"
^
ตอบ
เราแค่พูดว่า

"โปรดประเมินค่าคนที่ผลของงานและให้โอกาสคนเก่งๆที่ไม่จบปริญญาบ้าง ประเทศไทยอาจได้คนดีๆเข้ามาทำงานสำคัญๆบ้าง อย่างที่หลายๆคนอาจคาดไม่ถึงก็ได้"

แต่เราไม่ได้พูดชักชวนว่า

"เลิกเรียนมันเหอะปริญญา ไม่มีประโยชน์"

^
คุณต้องแยกแยะให้ดีๆว่าเราพูดอะไร

เรามีทั้งเงินและเวลาเพียบพร้อมที่จะกลับไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรีได้ในเมืองไทยเพื่อให้เราได้รับการยอมรับว่าเป็นปัญญาชนในสังคมไทย แต่เราไม่ไปเรียนต่อด้วยเหตุผลส่วนตัวก็คือ

"การไม่มีปริญญามันเป็น drive (แรงขับเคลื่อน) อย่างหนึ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆอย่างบ้าคลั่ง ถ้าเราจบปริญญามาป่านนี้เราคิดว่า 'ของตายแล้ว เราจะหยุดเรียนรู้' "

เราใช้ความรู้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพ (เป็นนักแปล) เราเคยถกและปะทะคารมเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษกับคนที่เรียนด้านภาษาอังกฤษระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกในมหาลัยมาแล้วใน pantip บางคนก็ใจกว้างยอมรับว่าเราถูก

แต่ก็มีคนที่คิดว่า "เราไม่มีทางเก่งกว่าพวกเขาได้เพราะเราไม่ได้จบมหาลัย"

ดังนั้นเราจึง "ฮีดสู้ โดยการพยายามเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งๆมากๆกว่าพวกเขา"
^
เราก็เลยคิดแบบแหกคอกแผลงๆของเราว่า

"มันต้องมีวิธีการลับๆที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองนอกมหาลัยให้เก่งกว่าเรียนในมหาลัยได้"

^
จากการพยายามคิดแหกคอกเช่นนี้ ทำให้เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา (หลังจากที่เราปฏิเสธโอกาสที่จะเข้าเรียนปริญญาตรีเอกภาษาอังกฤษในมหาลัยแห่งหนึ่ง) มันทำให้เรากลายเป็นใช้สมองพลิกแพลงสะสมอาวุธประหลาดๆในการเรียนรู้เอาไว้ค่อนข้างมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่เราใช้คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องทุ่นแรงเพราะเราเป็นนักทดสอบ software (ซึ่งเราก็เรียนคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองเหมือนกัน) อีกทั้งเรายังสะสมสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเอาไว้ในมือมากมายไม่แพ้เนื้อหาสาระและจำนวนที่นักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกเรียนกันในมหาลัยต่างประเทศ

^
แต่ตอนนี้ความคิดบ้าๆอันนี้มันกลายเป็นความคิดอย่างอื่นไปซะแล้ว (คนเรามันเบนเข็มกันได้) สมองเราตอนนี้ไม่ได้คิดอยากจะแข่งภาษาอังกฤษกับใคร เราเริ่มเรียนภาษาจีนด้วยตัวเอง แล้วคิดว่าเรียนแค่ 1-2 ปีเราก็เก่งพอทำงานแปลจีนเป็นอังกฤษได้ ไม่แพ้คนเรียนเอกภาษาจีนในมหาลัย 4 ปี

^
แต่นี่มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เรา exercise สมองเท่านั้นเอง

^
ซึ่งจริงๆแล้ว มันมีเรื่องอะไรเร้นลับมากกว่านั้นอีกตั้งหลายเท่าที่เราใช้เวลาเรียนรู้และค้นคว้าด้วยตัวเองมาตลอดชีวิต ที่เราใกล้จะประสบความสำเร็จในเร็วๆวันนี้อยู่แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นมันก็ได้เวลาที่เราจะจากประเทศไทยไปแล้วโดยไม่กลับมาอีก ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนำความสามารถพิเศษที่เราพัฒนาขึ้นมาไปใช้ประโยชน์ในประเทศอื่นที่เขาไม่รังเกียจเราที่เราไม่มีปริญญา

^
เราไม่ได้ชักชวนให้ใครยึดแนวทางของเราเป็นเยี่ยงอย่าง ใครอยากเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็เรียนไป แต่ถ้าใครเรียนๆไปแล้วเขียน research papers ภาษาอังกฤษไม่ผ่าน ก็มาเรียกให้เราช่วยได้ ยินดีเสมอ

^
ที่เราคิดแบบนี้ แล้วทำตัวแบบนี้ แล้วอยู่รอด นั่นก็เป็นเพราะว่าเรามีแหล่งหางานของเรา บางทีแฟนเราที่เรียนจบปริญญาโทด้านภาษาอังกฤษมาก็หางานแปลเอกสารโดยใช้ชื่อเธอเป็นคนรับงาน (เพราะคนไทยชอบคนจบปริญญาปริญญาโทเธอรับงานได้หน้าละ 1000 บาท ถ้าเราใช้วุฒิ ม.ต้นเรารับงาน เรารับได้แค่หน้าละ 200 บาทเองทั้งๆที่ฝีมือการทำงานแปลเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์มหาลัยที่สอนปริญญาโทการแปล) แล้วแฟนเราก็โยนงานมาให้เราแปล ให้เรามีรายได้ บางทีสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงก็ไว้ใจเราแล้วจ้างให้เราแปลหนังสือหรือทำงานเป็นบรรณาธิการต้นฉบับตรวจหนังสือแปล สำนักพิมพ์เคยไว้ใจให้เราตรวจงานแปลของอาจารย์ที่สอนการแปลในมหาลัยด้วย (เพราะสำนักพิพม์หลายๆแห่งเรียนรู้มาแล้วหลายปีว่างานแปลหนังสือ "จะจ้างใครทำควรดูผลงานแปลจะดีกว่าดูปริญญาด้านภาษาอังกฤษ")
^
ซึ่งเราก็มีรายได้พอเลี้ยงตัว บางทีเราก็รับจ้างเขียน theses, dissertations หรือ research papers เป็นภาษาอังกฤษให้คนไทยที่เรียนปริญญาโทและปริญญาเอกในมหาลัยทั้งต่างประเทศและในประเทศ (คือเรามีแหล่งหางานว่างั้นเหอะ) ปีนี้เราทำสถิติเขียน research papers มากหน่อย เขียนให้ลูกค้ารายหนึ่งวิชากฎหมายมหาลัยต่างประเทศระดับปริญญาโท เขียนให้ลูกค้าอีก 6-7 รายเป็นวิชาการตลาดระดับปริญญาโท และศึกษาศาสตร์ระดับปริญญาเอกมหาลัยไทย (หมายเหตุเรามีคุณสมบัติต้องห้าม เป็นครูไม่ได้เพราะวุฒิไม่สูงพอ แต่เราเขียน research papers ภาษาอังกฤษให้คนไทยจบศึกษาศาสตร์ระดับปริญญาเอกมามากมายนับไม่ถ้วนแล้วจนเราเขียนภาษาอังกฤษสาขานี้ชำนาญมากๆ) และบางทีพ่อเราก็แบ่งเงินให้เราใช้บ้าง บางทีแฟนเราเงินเหลือใช้ก็แบ่งเงินให้เราใช้บ้างก็มี
^
คนบางคนที่ไม่มีทางหนีทีไล่แบบเราถ้าไม่มีปริญญาอาจอยู่ไม่รอดก็ได้ เรากลับจากต่างแดนมาประกอบอาชีพในเมืองไทย 24 ปีแล้วโดยไม่มีปริญญา เรายอมรับว่ามันลำบาก ถ้ามีปริญญาชีวิตเราคงง่ายกว่านี้ แต่เราก็ขอต่อสู้แบบบ้าๆของเราโดยไม่ยอมไปเรียนเอาปริญญาอย่างเด็ดขาด

^
เพราะมันท้าทายดี มันทำให้ชีวิตตื่นเต้นมีรสชาติดีมากๆ!
^
ซึ่งเราก็ไม่ได้ชักชวนให้ทุกคนต้องมาใช้ชีวิตเสี่ยงๆแบบเรา ใครอยากเรียนหรือไม่อยากเรียนปริญญามันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน

ไปดูกระทู้ข้างล่างนี้ (ที่ให้ link ไว้) ที่เราใช้สติปัญญาของคนไม่มีปริญญาอย่างเราโต้วาทีกับคนมีปริญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมีปริญญาที่ใจแคบ ถ้าใจแคบๆมากๆและคิดว่าคนไม่มีปริญญาจะต้องโง่เสมอไป มันก็ต้อง "สั่งสอนกันซะบ้าง"
^
เราว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด มันไม่ถึงกับทำให้เราสมองทึบหรอกน่ะ เพียงแต่จะมีใครใจกล้าๆเอาความรู้ความสามารถของเราไปใช้ประโยชน์ (โดยการรับเราเข้าทำงาน) ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
^
ถ้าได้เราก็คงใช้ชีวิตบั้นปลายเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยได้ ไม่ต้องเตรียมตัวกลับไปใช้ชีวิตต่างแดนในเร็วๆนี้หรอก ตอนนี้เราอยู่เมืองไทยก็แค่อยู่ดูแลพ่อจนกว่าพ่อจะจากโลกนี้ไปเท่านั้น ถ้าไม่มีพ่อเราก็จะรีบๆขายๆทรัพย์สินทั้งหมดแล้วบินออกนอกประเทศไทยเพื่อเอาความรู้ความสามารถของเราไปตั้งต้นชีวิตใหม่ในประเทศอื่นให้มีความสุขมากกว่านี้

ตาม link นี้ไปอ่าน แล้วตอบคำถามเราดิว่าผู้หญิงคนที่มีปริญญาโทและมีใบอนุญาตครูที่พูดกับเขียนอังกฤษผิดหมดเกือบทุกประโยค กับเราซึ่งไม่มีปริญญาและไม่มีใบอนุญาตครูแต่เราเขียนภาษาอังกฤษดีพอที่องค์กรใหญ่ๆต่างประเทศยอมรับผลงานเราได้น่ะ ใครสมควรเป็นครูสอนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยพัฒนาประเทศชาติมากกว่ากัน?

คุณคิดว่ามันถูกหรือผิดที่เราจะต้องถูกกีดกันไม่ให้แสดงผลงานที่มีตัวตนจริงๆแทนแสดงปริญญา เพื่อสมัครงาน

อยู่ในกระทู้ล่างอันนี้ ตาม link นี้ไป

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11311472/K11311472.html
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 03:10:44

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 02:37:58

ความคิดเห็นที่ 16

^
^
^
ที่คุณต้น พูดใน คคห 15 ว่า

"กฏของจักรวาลข้อหนึ่งที่เป็นความจริงในระดับสูงสุดที่พระพุทธเจ้าค้นพบ"

^
เราว่าจริงๆแล้วคุณก็คงคิดไม่ต่างจากอีกตาหมอฟันที่เขียนหนังสือเรื่อง "ไอนสไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น" หรอก คือเห็นแต่ข้อมูลภาษาไทย แล้วตีความคำสอนพระพุทธเจ้าไปคนละทิศคนละทางก้บปราชญ์อินเดียและนักพรตเต๋าที่ก็ศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้ามาเหมือนกัน

อยากจะบอกว่า

"คนชาติอื่นๆ (ถ้าคุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธในหลายๆภาษา) ตีความคำสอนพระพุทธเจ้าไม่เหมือนคนไทย!"

และสิ่งที่คุณคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนนั้น ถ้าคุณอ่านแต่ภาษาไทย คุณจะพลาดอะไรไปหลายๆอย่าง

คนที่หลังไมค์มาคุยกับเราเรื่องวิชา sublimation ของนักพรตเต๋า (ตามที่เราเล่าให้ฟังใน คคห 11) ตอนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเมื่อเราพูดว่า

"คำสอนพุทธแบบเถรวาทแบบไทยๆที่บอกว่า ละนิวาสถาน ละกิเลศ ไปบำเพ็ญเพียร อุทิศตนน่ะ ที่ใครๆบอกปฏิบัติไป แสวงหาความวิเวกไป เรียนรู้พระไตรปิฏกไป คนไทยคิดว่า บรรลุอรหันต์"

^
เราบอกว่า "มันเป็นไปไม่ได้ เพราะแค่นี้ยังไม่รู้วิธีอุดอาการรั่วของ sexual energy! ดังนั้นร่างกายจะผ่านกระบวนการที่เรียกว่า biological transmutation เพื่อเป็นพระอรหันตฺ์หรือพระโพธิสัตว์ (เทียบเท่าเซียนในคำสอนเต๋า) ไม่ได้เด็ดขาด!"

เพราะปราชญ์ชาติอื่นๆเช่นฮินดูหลายๆท่านที่บรรลุระดับพระพุทธเจ้า หรือนักพรตเต๋าที่บรรลุระดับเซียน หลายๆท่านพูดว่า

"พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร (ตามที่พวกเขาตีความ) เมื่อเทียบกับคำสอนของฮินดูและของเต๋า"

^
แท้จริงแล้วมันไม่หนี sublimation ไปได้หรอก นั่นก็คือว่าการอยู่ดีๆไปนั่งสมาธิจนแก่เฒ่า ผู้ชายก็จะสูญเสีย sexual energy โดยการหลั่งน้ำกาม ถึงไม่มีจิตติดอยู่ในกามก็ฝันเปียกน้ำกามเคลื่อนที่ตอนนอน หรือถ่ายอุจจาระ (ถ้ากินมากเกินไป) ก็น้ำกามเคลื่อน เวลานั่งสมาธิและจิตสงบมากๆร่างกายจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า positive vitality ขึ้นมา ซึ่งถ้า positive vitality มันเต็มเปี่ยมมากๆอยู่ดีๆมันกลายเป็นน้ำกามไหลออกมาในขณะนั่งสมาธิและไม่มีจิตติดอยู่ในกาม (เรื่องนี้เป็นมีบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์โบราณของจีน) การสูญเสียน้ำกามทำให้สูญเสียพลังแห่งการเรียนรู้ หากจะเรียนรู้ถึงขั้นเพิ่ม the height of human ability (ขีดความสามารถของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสติปัญญา และสัมผัสพิเศษที่เหนือธรรมดา) ผู้ฝึกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง sublimate พลังที่มาจาก sexual energy ด้วยวิธีการเดินลมปราณแบบเร้นลับ และวิธีสกัดจุดเป็นจุดตาย ส่วนผู้หญิงนั้นก็สูญเสีย sexual energy ไปกับเลือดที่ออกตอนมีประจำเดือน ทั้งผู้ชายผู้หญิงจะอุดการรั่วต้องมีการฝึกวิชา alchemy (เล่นแร่แปรธาตุ) คือเปลื่ยน sexual energy ให้กลายเป็น elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า sublimation นั่นเอง ซึ่งปราชญ์ฮินดูกับนักพรตเต๋าพูดว่า

"พวกเขาทำอย่างไรจึงบรรลุเป้าหมายได้ แล้วก็พูดว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ไว้อย่างไร เพียงแต่ใช้ถ้อยคำที่ต่างกันเล็กน้อยเท่านั้นเอง"

^
แต่คำสอนเหล่านี้ไม่มีในภาษาไทย เพราะคนไทยตีความภาษาแขกไม่เหมือนแขกตัวจริง และไม่เหมือนปราชญ์จีนที่เข้าใจภาษาแขกอยากแตกฉาน

เราบอกให้นักศึกษาปริญญาโทจีนศึกษาคนนั้น ค้นข้อมูล แล้วพิสูจน์ว่า

"สิ่งที่เราคิด และศึกษาค้นคว้ามาชั่วชีวิตน้้น เราพูดผิดคิดผิด หรือพูดถูกคิดถูก"

^
ถ้ามันผิดจริงๆ เราก็คงไม่เปลี่ยน cells สมองและร่างกายแบบ biological transmutation เพิ่ม iq เพิ่มพลังแห่งการเรียนรู้ และกลับกลายเป็นเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็ว และกลับเป็นรูปร่างหน้าตาเด็กขึ้นเรื่อยๆได้เมื่ออายุเกิน 61 หรอกนะ

คนไทยหลายๆคนที่ดูถูกเราว่าเราไม่มีปริญญาน่ะ เราไม่ได้คิดจะแข่งกับพวกเขาด้วยปริญญาหรอกนะ

แต่

"เราเคยอ่านงานวิจัยว่ามนุษย์พอเหนื่อยคุณภาพเลือดจะตกต่ำ แต่คนที่ iq สูงมากๆจะ 'ฟอกเลือด'ให้กลับมามีคุณภาพดีได้อย่างรวดเร็ว และซ่อมแซม cells ได้อย่างรวดเร็ว"

^
ดังนั้นถ้าเรามีวุฒิแค่ มัธยมต้น แต่เราจะแข่งขันกับคนจบปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกเรื่อง the height of human ability (ขีดความสามารถของมนุษย์ที่เกินธรรมดา) เราจะไม่แข่งที่ปริญญา แต่เราจะแข่งที่

"กระบวนการชีวเคมีเร้นลับเพื่อที่จะเปลี่ยนคุณภาพของเลือด ซ่อมแซมเสริมสร้าง cell สมองและร่างกายอย่างรวดเร็วที่สุด ด้วยการฝึกกินอาหารสุขภาพและการฝึกกำลังภายใน เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า biological transmutation"

^
และสาเหตุที่เราค้นคว้าเรื่องพวกนี้มาตลอดชีวิต ก็เพราะว่า

"เราโดนคนไทยดูถูกว่าเราด้อยกว่าพวกเขาเพราะเราไม่มีปริญญา"

ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาวิธีการแผลงๆแหกคอกนอกระบบ มาต่อสู้กับคนที่ดูถูกเรา

^
และตอนนี้งานค้นคว้าวิจัยส่วนตัวของเราใกล้จะบรรลุเป้าหมายสุดยอดแล้ว เพราะว่า

เราเริ่มเปลี่ยน cells สมองและร่างกายเราได้แบบ biological transmutation! แล้วตอนนี้เราอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆได้รวดเร็วมากยิ่งๆขึ้น และร่างกายเราเริ่มกระฉับกระเฉงเหมือนเด็กวัยรุ่นใหม่อีกรอบทั้งๆที่เรารับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (เดือนละ 500 บาท) มาตั้ง 2 ปีแล้ว

ถ้าไม่เชื่อก็ต้องมาดูตัวจริงเราว่าเรากำลังย้อนกลับเป็นเด็กวัยรุ่นได้จริงๆและเพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน!
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 07:55:09
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 23:00:05
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 22:40:13
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 22:38:45

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 22:32:44