ความคิดเห็นที่ 1 การที่คุณไม่รู้เรื่องไม่ได้ขึ้นกับไม่รู้ศัพท์แต่อย่างเดียว แต่ขึ้นกับความอ่อนแอเรื่องโครงสร้าง สำนวน และสไตล์การเขียนด้วย เพราะอย่างนี้ถึงต้องอ่านให้เยอะๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย จะได้เกิดทักษะ ทีนี้การอ่านถ้าไปเริ่มอ่านของยากก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่อง มันเหมือนมวยข้ามชั้น เพิ่งหัดมวยแล้วไปท้ามวยระดับแชมป์รองแชมป์มาชก มันก็หามลงเวทีลูกเดียว ถ้าจะฝึกอ่าน มันก็ต้องเริ่มฝึกจากระดับที่เรารู้เรื่อง แล้วเขยิบไต่อันดับไปเรื่อยๆ ไปเริ่มบทความวิชาการเลยก็เสร็จ เพราะนอกจากจะมีศัพท์แสงทางวิชาการแล้ว สไตล์การเขียนจะเป็นทางการมาก อ่านไม่สนุกหรอก ไปหา graded readers ที่สนุกๆมาอ่านก่อนนะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:42:36

ความคิดเห็นที่ 2 คือจริงๆแล้วอ่านนิยายอังกฤษอยู่อ่ะค่ะ อ่านล่ืนมาก ไม่มีปัญหาเลย  เลยไปเอาหนังสือ reading เตรียมสอบของ Cu tep มาทํา ก็ถูกบ้างผิดบ้าง คือพวกอ่านแล้วหาเมนไอเดีย อะไรแบบนี้พอไปได้ค่ะ แต่บางทีมันขัดใจว่าอยากอ่านแล้วรู้เร่ืองทั้งหมดเลยไม่ใช่แค่อ่านแล้วตอบคําถามได้เพียงอย่างเดียวอ่ะค่ะ ยังไงก็ขอบคุณค่า จากคุณ : katy,t เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:49:47

ความคิดเห็นที่ 3 "..อ่านนิยายอังกฤษอยู่อ่ะค่ะ อ่านล่ืนมาก ไม่มีปัญหาเลย.." >> แป่ววว จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 21:10:57

ความคิดเห็นที่ 4 คุณแอ็ดแนะนำดีแล้วครับ เราต้องฝึกอ่านจากเรื่องที่ความยากเหมาะสมกับเรา ตอนนี้คุณจขกท.อ่านนิยายคล่องแล้วแต่อ่านบทความวิชาการยังไม่ดี ดังนั้นสิ่งที่ควรอ่านก็ต้องมีความยากอยู่ระหว่างสองสิ่งนี้ ผมแนะนำให้ลองอ่านบทความสำหรับคนทั่วไปในเรื่องที่คุณสนใจ เช่นถ้าสนใจด้านวิทยาศาสตร์ก็ลองอ่าน Scientific American หรือ Popular Science ซึ่งเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์นี่แหละแต่เขียนสำหรับคนทั่วไป หรืออ่านบทความเชิงลึกของหนังสือพิมพ์ก็ได้ครับ พออ่านระดับนี้ได้ก็ค่อยไปอ่านบทความวิชาการจริงๆ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 21:38:30

ความคิดเห็นที่ 5 แนะนำให้ไปอ่านหนังสือติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือ TOEFL ครับ เพราะเขาจะสอนการอ่านโดยวิเคราะห์โครงสร้างประโยค การเดาศัพท์ การเรียนรู้ฝึกศัพท์ใหม่ เอาแบบสอนไวยากรณ์ ไม่ใช่อ่านเพื่อติวอย่างเดียว ประสบการณ์ผมข้ามการอ่านขั้นสูงมาได้ก็ได้เคล็ดลับการอ่านพวกนี้ ถ้าไม่มีพื้นฐานแบบนี้แล้ว ผมว่าอ่านไปเรื่อยๆ ก็ยากอยู่นะ แต่ถ้ามีพื้นแบบนี้ อ่านยากกว่าความรู้ก็จะมีหลักการวิเคราะห์ให้เข้าใจได้ ถึงเจอศัพท์ยาก ก็พอแปลได้ วิเคราะห์โครงสร้างอะไรเป็นประธาน กริยา กรรม ส่วนขยาย ลองหาศัพท์ GRE มาอ่านมาท่องเล่นๆ ก็ดี ฝึกศัพท์ใหม่ได้ดี ส่วนที่เหลือ ก็คือ ฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก อ่านตำราภาษาอังกฤษ อ่านการ์ตูน อานหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ จากคุณ : นายวุ้นกะทิ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 22:33:13

ความคิดเห็นที่ 6 เรียนภาษาอะไรก็ตาม คุณต้องเรียนมันหมดทุกทักษะ เริ่มจาก ฟัง พูด อ่าน และจึงเขียน คุณควรจะหัดฟังภาษาต่างประเทศที่คุณกำลังเรียนจนกระทั่ง คุณไม่ต้องมานั่งแปลในสมอง ฟังประโยคนี้แล้วเข้าใจได้ทันทีว่า ผู้พูดต้องการสื่ออะไรออกมา  ฟังของง่ายยยยยยยยยยยยยยยย ก่อนเลย เพลง เพลงรักนี่แหละง่ายสุดแล้ว แล้วค่อยฟังเพลงประเภทอื่นที่ยากขึ้น พูด อันนี้ก็ฝึกได้ เช่นการออกเสียงตาม ประโยคหรือสำนวนที่เราได้ยิน หากเป็นไปได้ก็อัดเทปไว้ฟังเทียบเคียงกับต้นฉบับที่ได้ยิน  หรือน่าจะมีโปรแกรมฝึกการพูด หรือออกเสียง ไว้ช่วยในการเรียนทักษะด้านนี้ อ่าน อ่านสิ่งที่ง่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่คุณรู้จักแล้วเป็นภาษาต่างประเทศนั้นๆ  เช่นนิทานที่คุณรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี อย่าง สโนว์ไวท์ เจ้าหญิงนิทรา เจ้าชายกบ  คุณจะได้ศัพท์ขึ้นมาโดยอัตตโนมัติ โดยไม่ต้องไปเปิดดิก การอ่านหนังสือไป เปิดดิก ไป มันทั้งเป็นการเสียเวลา และบั่นทอนกำลังใจในการอ่าน พร้อมตอกย้ำ ความด้อยความสามารถในการจับความ จากเรื่องที่อ่าน  การอ่านที่ดี และถูกวิธี คือ คุณต้องใช้ brain exercise คือให้สมองคุณได้คิด ได้เดา ได้วาดภาพ ได้สร้างจินตนาการจากสิ่งที่อ่าน  อ่านครั้งแรก เอาแค่ภาพรวมๆ ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร อ่านครั้งที่สอง เก็บความที่ละหน้า พยายามหาจุดเชื่อมโยงในแต่ละหน้า แต่ละอนุเภท(ย่อหน้า) อ่านเรื่องง่ายๆ ก่อน อย่างที่บอก หรือเรื่องที่ใกล้ตัว เช่นข่าวต่่างๆ ที่เราพอรู้เรื่องแล้วในภาษาไทย (อ่านหนังสือพิมพ์ไทยก่อน) แล้วก็ไปหาหน้งสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศมาอ่านประกอบในเรื่องเดียวกัน ศัพท์แสงใหม่ๆ มันจะงอกออกมาในหัวคุณเอง เรื่องเขียนคงยังไม่ขอแนะนะ เพราะมันเป็นเรื่องยาก และใช้เวลามาก  แต่หากคุณเป็นคนอ่านเยอะะะะะะะะะะะ พื้นฐานในการเรียนเขียนจะง่าย และสบายขึ้น เพราะคุณจะคุ้นชินกับลีลา การใช้คำ ศัพท์แสงจากเรื่องที่คุณอ่าน พูดง่ายๆ คุณจะมีคลังเครื่องมือที่พร้อมจะถ่ายทอดความคิดและความรู้ของคุณลงไปเป็นตัวอักษรได้นั่นแหละ ขอให้โชคดีในการเรียนภาษา(ต่างประเทศ) จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:02:36

ความคิดเห็นที่ 7 แอบมาเก็บเกี่ยว จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:11:08

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อก่อนเราเคยเป็นครูเภื่อนนะ คือเราสอนภาษาอังกฤษโดยไม่มีใบอนุญาตแล้วเราโดนเจ้่าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการจับ แล้วให้เราเลิกสอนภาษาอังกฤษ เว้นเสียแต่ว่าเราจะขอใบอนุญาตได้ ซึ่งเราก็ไม่มีทางขอใบอนุญาตได้เพราะว่าเราไม่ได้จบปริญญาตรีมา คือเราเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองน่ะ เริ่มเรียนกระเตาะกระแตะตั้งแต่สมัยไปอยู่ต่างแดนได้เมื่ออายุ 16 จนกลับมาเมืองไทยเมื่ออายุเกือบๆ 40 แต่ก่อนเราจะปิดโรงเรียนไปนะ เราเคยสอนนักเรียนให้อ่านภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีนี้นะ จขทก จะจำไปสอนตัวเองก็น่าจะพอได้นะ แต่มันคงใช้เวลาช้ากว่ามีคนสอนให้ เราหาบทความสนุกๆมาให้นักเรียนอ่าน เวลาอธิบายศัพท์แต่ละคำ เราไม่บอกว่ามันแปลว่าอะไรเป็นคำโดดๆ แต่เราจะเขียนบน whiteboard อย่างรวดเร็วออกมาเป็นประโยคกว่า 10 ประโยคว่าคำศัพท์พวกนั้นในแต่ละประโยคมันแปลว่าอะไรบ้าง นักเรียนจะจดคำแปลทั้งประโยคหรือไม่จดก็เรื่องของนักเรียน แต่หัวใจสำคัญก็คือ ไม่มีการแปลคำต่อคำ เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษเกือบทุกคำแปลเป็นประโยค พอเปลี่ยนรูปประโยค เปลี่ยนโครงสร้างไปความหมายก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอนักเรียนจดตัวอย่างประโยคไปมากๆ เราจะกลับมาทวนว่าคำศัพท์หลักพวกนั้น แต่ละคำมีความคล้ายคลึงกันหรือตรงกันข้ามกันอย่างไรตาม Greek and Latin roots นั่นก็คือให้นักเรียนทำ cross-references โยงคำศัพท์ที่มาจาก Greek and Latin roots อันเดียวกัน หรือตรงกันข้ามกัน และศัพท์ที่ใช้สร้างประโยคด้วย sentence structure types ที่คล้ายกันหรือตรงกันข้ามกัน ^ เพราะการที่เราจะจำอะไรได้ทีละมากๆนั้น เราต้องหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เราพยายามเรียนรู้กับสิ่งที่พยายามเรียนรู้  และกับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว (ซึ่งเรียกว่า memorization by association) ยกตัวอย่างเช่น คุณรู้ a แล้วต้องการเรียน b กับ c คุณก็ต้องหาความสัมพันธ์ระหว่าง a b และ c จากนั้นเราจะสอนนักเรียนให้เอาประโยคตัวอย่างที่เรียนไป มาหัดเขียนหัดพูด โดยวิธีการที่เรียกว่า improvisation คือเปลี่ยน subject, verb, object และ modifier ไปเรื่อยๆ การสอน reading comprehension กับสอน writing เป็นสิ่งเดียวกัน ครูหรือติวเตอร์ที่สอนศัพท์เป็นคำโดดๆ พอนักเรียนรู้ศัพท์หลายๆพันคำ กลายเป็นนักเรียนเขียนภาษาอังกฤษผิ ดธรรมชาติหมด แต่ถ้าสอน reading comprehension กับสอน writing เป็นสิ่งเดียวกัน นักเรียนจะเขียนภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติ สมัยนั้นเราสอนเด็กตัดแปะบทความ โดยใช้กรรไกร กาว และกระดาษ แต่สมัยนี้เราพัฒนาวิธีการเป็น "ใช้ software ตัวเก่งๆทำบนคอมพิวเตอร์หมด" แต่เราเก็บวิธีการใหม่ไว้สอนตัวเอง โดยไม่เคยออกไปสอนภาษาอังกฤษใครอีกเลย เพราะเราเป็นครูเถื่อนไม่มึใครรับเราเข้าทำงาน เราก็เลยทำงานแปลเอกสารบ้าง (ให้แฟนใช้วุฒิปริญญาโทด้านภาษาหางานเป็นชื่อเธอแล้วเอาให้เราทำ) หรือไม่ก็สมัครงานแปลหนังสือพอได้บ้างเพราะสำนักพิมพ์ไม่เอาปริญญาแต่เอาผลงานเราก็เลยพอมีงานทำบ้างเล็กๆน้อยๆ ถ้า จขกท ฝึกตามวิธีเรานะ เรียนด้วยตัวเองมันยากอีตรงที่ 1. Greek and Latin roots ต้องค่อยๆหาเอาเองจาก dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ 2. ตัวอย่างประโยคที่สาธิตความหมายศัพท์ต่างๆ ที่เราเขียนพรึดเดียวได้ตั้งหลายสิบตัวอย่างสำหรับคำศัพท์แต่ละตัวนั้น จขกท ต้องค้นเอง จาก dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ ^ สิ่งเหล่านี้ถ้ามีครูเก่งๆ (ไม่ใช่เราเพราะเราเป็นครูเถื่อน เราสอนใครไม่ได้) สอนให้ จขกท น่าจะอ่านภาษาอังกฤษยากปานกลางได้หมดภายใน 1 ปี แต่ถ้าเรียนด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่มีใครมาป้อนให้แบบไวๆ น่าจะทำได้ภายใน 5 ปีนะ แต่ตอนเราเรียนเองเราใช้เวลานานกว่า 10 ปี เราพยายามจะถ่ายทอดความรู้พวกนี้ให้คนไทย แต่เผอิญมันผิดกฎหมายไทย เพราะเราไม่มีปริญญา เราก็เลยต้องเลิกสอน จริงๆแล้ววิธีการสอนของเราได้ผลมากๆ ก่อนที่เราจะถูกเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาจับ แล้วโดนปิดโรงเรียนนะ นักเรียนเราหลายๆรุ่นจากความรู้แค่ ม.6 เรียนแค่ปีเดียงเอง แต่พอไปเรียนต่อปริญญาตรีโท ทุกคนอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษได้ฉลุยเลยหละ เรารักการสอนภาษาอังกฤษมากๆ แต่เผอิญเราไม่มีปริญญา เราก็เลยเป็นครูไม่ได้ เพราะมันผิดกฎหมายไทย เสียใจด้วย! รายละเอียดอยู่ในกระทู้นี้ว่าคนที่มีความสามารถอย่างเราทำไมจึงทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติไม่ได้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11364261/K11364261.html#17 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 23:37:40 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 23:33:01 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 23:25:29 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:23:10

ความคิดเห็นที่ 9 วิธีสอนอ่านอย่างรวดเร็ว งัดมาจากกระทู้เดิมคืออันนี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/05/K10525003/K10525003.html เอามาฉายใหม่ ไม่เน้นทำข้อสอบ! เราเคยสอน reading comprehension ให้คนที่อ่อนมากๆ วิธีสอนไม่ได้เอาข้อสอบมากางแล้วฝึกทำ แต่เราประเมินระดับความยากง่ายของข้อสอบ แล้วไปหา passages จากสื่อต่างๆมาให้นักเรียนอ่านให้หลากหลายมากที่สุด โดยขณะสอนอ่าน จะสอน 1. Greek and Latin roots เพื่อช่วยในการจำศัพท์ 2. collocations โดยสาธิตว่าคำศัพท์แต่ละคำเมื่อเปลี่ยนรูปประโยคไป มันเปลี่ยนความหมายอะไรไปบ้าง 3. สอน sentence structure เพราะรูปแบบประโยคหลายๆรูปแบบ ถ้าผู้เรียนไม่รู้จริงในเรื่องโครงสร้าง ถึงรู้ศัพท์ทุกคำก้ออ่านไม่รู้เรื่อง 4. ความหลากหลายของเรื่องที่อ่านสำคัญมากๆ เนื่องจากประโยคบางประโยค ถ้าไม่มีความรู้รอบตัวที่จำเป็นก้อตีความไม่ออก 5. สอน memorization by association นั่นก้อคือการที่จะจำอะไรได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัพท์เป็นจำนวนมาก) ผู้เรียนจำเป็นต้องหาความสัมพันธ์กันระหว่าง 5.1 สิ่งที่จำได้แล้ว 5.2 สิ่งที่พยายามจำ ขั้นตอนที่ 5 เมื่อก่อนเราใช้สมุดจดศัพท์ธรรมดาๆ แต่อีกหลายสิบปีต่อมาเราใช้ computer software การจดศัพท์จะต้องไม่จดคำแปล แต่จดเฉพาะประโยคที่มีศัพท์ยากๆเท่านั้น เพื่อบังคับให้ตัวเองกลับไปอ่านซ้ำๆหลายๆรอบ และงัดประโยคหรือ paragraphs ที่จดมา (ด้วยวิธีการตัดแปะเพราะใช้แต่ software ล้วนๆ) ไปรื้อใหม่ เล่นแร่แปรธาตุ เพื่อหาทางเขียนใหม่ด้วย sentence structure types ที่พลิกแพลงแตกต่างกันออกไป การเรียน reading comprehension โดยการอ่านแล้วพยายามแค่ตีความมันเป็น passive learning วิธีสอนที่ดีผู้สอนต้องชักจูงให้นักเรียน discuss เรื่องที่อ่านมา โดยพูดภาษาอังกฤษล้วนๆ แล้วนำข้อความเหล่านั้นไปหัดเขียนใหม่ ซึ่งเป็น active learning สอนให้นักเรียนฝึกคิดว่าหลังจาก discuss เนื้อเรื่องแล้ว พวกเขาจะ ใช้ logic and creative imaginations คำนวณ probability ได้ยังไงว่า สมองคนออกข้อสอบม้นจะคิดคำถามพลิกแพลงได้กี่อย่าง... นั่นมันคืออดีตที่เราพัฒนาวิธีการสอนภาษาอังกฤษขึ้นมา (เมื่อสมัยเคยสอนภาษาอังกฤษเป็นอาชีพเมื่อหลายปีมาแล้ว) โดยที่เราไม่เคยเรียนปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 (เราเรียนเอก bookmaking (วิชาคณิตศาสตร์ที่ใช้คำนวณความน่าจะเป็นไปได้ในการพนัน)เมื่อหลายสิบปีก่อนใน college แห่งหนึ่งใน London ซึ่งมันเอามาใช้งานอย่างอื่นได้อย่างน่าประหลาด) แต่ในยุคพัฒนาขีดสุดยอดที่ใช้ digital media ล้วนๆเราไม่เคยกลับไปสอนภาษาอังกฤษให้ใครอีกเลย  ได้แต่เก็บวิธีการที่คิดค้นได้เอาไว้สอนตัวเองเท่านั้น...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:46:09

ความคิดเห็นที่ 10 วิธีการที่ว่านี้ใครเอาไปใช้เรียนเองก้อได้ โดยการจำลองสถานการณ์ การเรียนแบบนี้เราเรียกมันว่า reading towards writing นั่นก็คือฝีกอ่านเพื่อนำสิ่งที่อ่านเจอไป (ดัดแปลง) เขียน (ใหม่) ให้พลิกแพลงกว่าเดิม โดย exhaust all possibilities (หาความเป็นไปได้ทั้งหมด คล้ายๆกับการคำนวณตาเดินหมากรุกหรือคำนวณความน่าจะเป็นไปได้ทั้งหมดในการทำนายผลม้าแข่งเหมือนในวิชา bookmaking ที่เราเรียนมา นั่นแหละ) ความสำเร็จมันอยู่ที่การอ่านภาษาที่หลากหลาย และจำนวน sessions ของการตัดแปะ ตัดแปะ โดยอาศัยขีดความสามารถของ software ล้วนๆ ซึ่งก้อต้องมีการทดสอบ software กันอย่างหนักโดยอาศัยความเป็นเทพในเรื่อง computer ซึ่งมันกลายพันธ์ไปเป็นกระบวนการที่เรียกว่า computer assisted language learning ไปซะแล้ว การตัดแปะ บรรดา sentences และ paragraphs ที่มีศัพท์ยากๆ และมี sentence structure types ที่น่าสนใจ และจำนวนครั้งที่ไป "ทบทวน" เพื่อทำความเข้าใจและหัดนำไปใช้งาน (learn to understand and to compose) พัฒนาทักษะด้าน writing ได้อย่างน่าประหลาด เมื่อก่อนเราเคยอ่านแต่หนังสือแนว nonfiction เคยลองแปลนิยายได้รับการตีพิมพ์ไป 2-3 เล่มก้อหยุดแปลเพราะไม่ค่อยชอบนิยายมากนัก แล้วกลับไปแปลเอกสารจากไทยเป็นอังกฤษ แล้วพยายามหัดเขียนให้ดีกว่าเดิมโดยเรียน writing จากตำราต่างประเทศ แต่เรียนๆไปแล้วเบื่อ เลยหาวิธีเรียนลัด... แล้วอยู่ดีๆงานแปลไทยอังกฤษราคาแพงๆไม่ค่อยมีเราเลยไปรับจ้างเป็น ghost translator รับแปลนิยายเป็น draft แรกให้พวกเพื่อนๆที่แปลหนังสือให้สำนักพิมพ์  เราช่วยพวกเขาโดยการแปลศัพท์ยากๆให้ถูกต้องก่อน (พวกเขาจะได้ไม่ต้องออกแรงไปหาศัพท์ให้เหนื่อย) แล้วรีบพิมพ์คำแปลภาษาไทยม้วนเดียวจบแต่ไม่ประดิบประดอยให้สวยงามนัก แล้วส่งไปให้เจ้าของงาน edit (ตรวจแก้) คำแปลภาษาไทยให้สวยงามขึ้นเอาเอง ก่อนส่งสำนักพิมพ์ จากการที่ต้องอ่านนิยายเรื่องยากๆที่เขียนโดยนักเขียนฝรั่งระดับอัฉริยะที่ได้รางวัลงานเขียนดีเด่นหลายๆเรื่อง มันทำให้จำนวน sessions ที่เราตัดแปะ ตัดแปะ sentences และ paragraphs ที่มีศัพท์ยากๆ และมี sentence structure types ที่ซับ0ซ้อนเอาไว้ศึกษา แพร่พันธ์ใน hard disk ของเราอย่างรวดเร็ว ตาลายหาลำบาก จนถึงกับต้องใช้โปรแกรมพวก database มา organize มัน การกลับมาทบทวนอีกหลายๆรอบเพื่อนนำข้อความเหล่านั้นไปดัดแปลงเขียนใหม่เป็นถ้อยคำของตนเอง โดยการ paraphrase ช่วยการเรียนรู้ได้มาก คือเรียนทั้ง reading and writing ไปพร้อมๆกันในเวลาเดียวกันนั่นเอง ผลจากการทำเช้นนั้น กลายเป็นเราลงเอยเขียนภาษาอังกฤษได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิมอีกหลายเท่า แต่ช่วงหลังๆนี้เราขี้เกียจมาก กลายเป็นพยายามใช้ google เรียนภาษาอังกฤษวิธีลัด ด้วยสมองอัน devious ของเรา กรรมวิธีค่อนข้างซับซ้อน อธิบายลำบาก มันเป็น special senses หรือ intuition อะไรทำนองนั้น...ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นทดลอง... สรุปแล้วเราเรียนภาษาอังกฤษและเรียนวิธีการสอนภาษาอังกฤษค่อนข้างหนัก แต่เรียนนอกมหาลัยด้วยตนเอง...เพราะมันท้าทายดีกว่าไปเรียนในมหาลัย...อีกทั้งการเรียนด้วยตัวเองมันเป็นอิสระดี เราไม่ชอบอะไรเราก้อไม่เรียนมัน แต่เราหาอย่างอื่นที่มีประสิทธิภาพพอๆกันหรือมีประสิทธิภาพมากกว่าบทเรียนในมหาลัยมาผสมผสานกัน เพื่อ design courses ขึ้นมาไว้สอนตัวเอง... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:47:17

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ เรื่องกา ข้อเดียวรวดนี่ เรายังคิดว่า "เป็นปริศนา" นะ เมื่อหลายปีก่อนมีเด็กที่เป็นอัฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์มาเรียนภาษาอังกฤษกับเรา เขาบอกเราว่าเขาได้รับหน้าที่ให้เขียนโปรแกรมตรวจข้อสอบให้สถาบันที่เขาเรียนอยู่ policy ก้อคือตัว computer program มันจะมีหน้าที่ "detect any patterns ซึ่งเกิดจากการเดา" เช่นเดาเป็น cyclic order คือ ข้อ 1 ตอบ a ข้อ 2 ตอบ b .... เดาเป็นทุกข้อกา b หมด หรือเดายังไงที่เป็น patterns ถ้า computer program detects ได้ มันจะไม่ให้คะแนนข้อนั้นๆ แต่นั่นมันสถาบันของเด็กคนนั้น เราไม่รู้ว่าข้อสอบต่างประเทศจะเป็นอย่างไร? ไม่แน่ใจ? การเรียนการสอนของเราไม่เน้นวิธีทำข้อสอบ แต่เน้นจำนวน sessions ของการ organize passages ที่อ่านเจอมา เพื่อจัดเป็น sections ตาม chronological, alphabetical and logical order โดยจะแยกเป็น subsections คือจัดตาม Greek and Latin roots ซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดอันเดียวกัน ตาม sentence structure types และตามกฎกติกาอื่นๆอีกหลายอย่าง ซึ่งจริงๆแล้วใช้ software ทำหน้าที่ sort ได้ และการทบทวนโดยการหาเหตุผลและความสัมพันธ์กันในกระบวนการที่เรียกว่า memorization by association โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "พัฒนา special senses และการใช้ intuition" ซึ่งจะเป็นตัวนำทางไปว่า ควรจะจัดการกับข้อสอบอย่างไร เนื่องจากว่าในกระบวนการเรียนรู้ ได้ exhaust all possibilities ไว้แล้ว "โดยการฝึกเอา passages ที่อ่านเจอมาอย่างหลากหลาย มาตั้งคำถามโดยจำลองสถานการณ์ว่าผู้เรียนเป็นคนออกข้อสอบ" เพื่อคำนวณตามหลักวิชา probability ว่า "สมองคนออกข้อสอบมันจะคิดไปได้กี่ความเป็นไปได้ เท่าที่มันจะ humanly capable!" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:48:46

ความคิดเห็นที่ 12 แรกเริ่มเดิมทีเราพิจารณาเห็นว่าความรู้ภาษาอังกฤษเราถ้าไม่ทำอะไรกับมันบางอย่างมันคงไม่เก่งสุดๆได้ และเราเห็นจุดอ่อนของผู้เรียนหลายๆคน (รวมทั้งตัวเราเองด้วย) พบว่า จริงๆแล้วความรู้หลักๆเรื่องต่างๆ เช่น syntax ต่อให้ชำแหละ structure ของประโยคได้พลิกแพลง ผู้เรียนมันก้อมาตายน้ำตื้นอีตรงที่ว่า "usage แบบนี้ ไม่เคยเห็น (เพราะอ่านหนังสือมาไม่มากพอ)" นั่นเอง ภาพที่ยังฝังตาเราอยู่นั่นก้อคือรายการทีวีในประเทศอังกฤษที่แข่งกันเรื่องการงัด usage แปลกๆในภาษาอังกฤษมาดวลกัน (ฝรั่งเจ้าของภาษาแข่งกันเอง) แล้วเจอแม่บ้านคนหนึ่งที่ไม่มีปริญญาแต่อายุมากเกือบๆจะ 90 อ่านหนังสือมามากเหลือเกิน มาดวลกับผู้ชายคนหนึ่งที่เรียนจบเอกอังกฤษระดับปริญญาเอกแต่อายุแค่ 40 ...โห ดวลกันแล้วสูสีอ้ะ เพราะแม่บ้านแกรู้เยอะเหลือเกิน.... เราก้อเลยคิดว่าเราน่าจะทำ dictionary ขึ้นมาใช้เอง และเผื่อเอาไว้ขายตอนอายุมากๆ เก็บกินไปได้ ก้อเลยใช้ google ค้น software ต่างๆเพื่อใช้ทำงานนี้ (ค้นคว้าอยู่ 2-3 ปี แต่ไม่สาหัสเท่า Thomas Edison ค้นคว้าและทดลองกับพันธ์ไม้กว่า 6,000 ชนิดกว่าจะสร้าง filament (ไส้) หลอดไฟฟ้าได้) software บางตัวที่ได้มา มันไม่ user friendly เอาซะเลย บางตัวทดสอบไป ทดสอบมาเราไปเจองานแปลด่วนเข้า วางๆไว้แล้วเผลอลบทิ้งไป เลยตอนจบ ยิ่งค้นก้อยิ่งกลายเป็นมี SERPs (search engine result pages)  ตั้งมากมาย จนกระทั่งเราต้องใช้โปรแกรม Access มาสร้าง database ควบคุมโครงการนี้ทั้งหมด...ม่ายงั้นหาข้อมูลอะไรไม่เจอ เราจะแนะนำ software ที่ใช้ง่ายๆ เช่น PrimaSoft.Dictionary.Organizer.Deluxe.v3.41 software ตัวนี้มันเป็น database ที่ใช้สร้าง dictionary ได้ โดยที่ user สามารถเปลี่ยนชื่อเพิ่มลบ fields และ records ต่างๆได้ง่ายดาย เอาไว้จดศัพท์ได้ดีเยี่ยม มี function ที่ใช้เก็บ webpages ที่ค้นเจอได้ด้วย ส่วนไอ้ตัวที่ใช้ยากๆ เห็นทีจะเป็น Trados Multiterm ตัวที่ใช้ร่วมกันก้บ Trados ซึ่งเป็น computer assisted translation tool (CAT tool) ที่พวกนักแปลใช้กันนั่นแหละ จริงๆแล้วเรามีอาวุธล้บอีกตัวหนึ่งคือ IBM Translation Manager ซึ่งเป็น CAT tool ที่ IBM เมื่อก่อนเคยผลิตขายแต่ตอนนี้มีไว้ใช้กับ inhouse translation ของเขาเท่านั้น ไม่ขาย ซึ่งคนที่เคยทำงานให้กับ IBM เท่านั้นจึงจะได้ CAT tool ตัวนี้มา software ตัวนี้ใช้สร้าง dictionary ขนาดใหญ่ได้สบายๆเลยหละ... ถัดมาอีกตัวหนึ่งก้อคือพวก Mindmanager ทั้งหลาย พวกนี้ก้อใช้ช่วย organize ideas ต่างๆ และ เก็บรวบรวมพวก SERPs ได้ดีเยียม Onenote ที่อยู่ใน MS Office 2007 หรือ MS Office 2010 ก้อใช้ได้ เพราะมันแบ่งเป็น sections และ subsections ได้ดีเยี่ยม แถมยัง insert files เกือบทุกประเภทได้ มี search function ทำให้หาอะไรที่จับเก็บไว้ซับซ้อนเจอได้ง่ายๆ เวลาเรียนด้วยตัวเองแล้ว organize ideas ต่างๆ  แต่เวลาจะเอาไปสอนใคร (หรือเอาไป present ที่ไหน) ยกไปได้แบบนั้น แล้วเอาไปใช้งานได้เหมือน powerpoint เลย แต่ทรงพลังมากกว่า powerpoint หลายเท่า ส่วนคนที่ไม่อยากเล่นกับ software ให้ปวดหัว ก้อใช้วิธีจดศัพท์แบบ low tech หน่อย แต่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ที่เราคิดไว้นั่นก้อคือ ใช้ Windows Explorer ธรรมดาๆนี่แหละ โดยการสร้าง main folder ขึ่นมา แล้วสร้าง index file ขึ้นมา จากนั้นก้อสร้าง subfolders ขึ้นมา แล้วจดศัพท์เป็นคำๆ 1 คำต่อหนึ่ง file เอาไว้ (จดแต่ศัพท์กับตัวอย่างประโยค ไม่จดคำแปล เว้นเสียแต่ว่าคุณจะทำ dictionary ขาย) ใน subfolders ต่างๆ (แยกประเภท) โดยการ mark จุดต่างๆไว้ในแต่ละ file แล้วจาก index file และจาก files อื่นๆแต่ละ file ก้อให้ทำ hyperlinks โยงกันไปเหมือนใยแมงมุม เพื่อทำ cross references นั่นเอง ^ จริงๆแล้วเราใช้วิธีการแบบข้างบนนี้ (รวมทั้งใช้ software ตัวอื่นที่ใช้ยากๆแต่ไม่ได้ระบุชื่อ) ประสานงานกัน (เพื่อใช้งานจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อนของ software แต่ละตัว)  โดยการตัดแปะ webpages ที่ค้นข้อมูลเจอ โดยการตัดแปะ paragraphs ที่มีศัพท์และ structure น่าสนใจ โดยการตัดแปะ files (บางทีเป็น mp3 หรือ video clips ที่น่าศึกษา) เอาไว้ ตั้งมากมาย และเพื่อไม่ให้เกิดความส้บสน เราใช้โปรแกรม Access ทำ database ควบคุมกลไกการทำงานของ software และการจัดกับ data จาก software เหล่านีี้ทั้งหมด ซึ่งเราสามารถเรียกใช้งานข้อมูลของ software เหล่านี้ได้จาก Access อย่างง่ายดาย ถ้าสาธิตให้ดูบนเครื่องคอมพิวเตอร์จริงๆจะง่ายกว่า เพราะอธิบายแบบนี้แล้วเข้าใจยากมากๆ ทีแรกเราเลยสองจิตสองใจว่าจะตอบดีหรือเปล่า เพราะยิ่งตอบก้อยิ่งอ่านแล้วปวดหัว...แต่เผอิญเราเพิ่งรับสอนเด็กคนหนึ่งที่เก่งภาษาอังกฤษพอสมควรอยู่แล้ว (เขาเรียนเอกอังกฤษ) และเราจะลองสอนเขาพัฒนาศัพท์กับการอ่านการเขียนด้วยวิธีนี้ แต่เขาจะมึนหัวหรือจะเก่งนี่ ก้อต้องลองสอนดูก่อน แล้ววัดผลดู แล้วจะมาเล่าให้ฟัง เพราะเราไม่เคยสอนภาษาอังกฤษให้ใครมาตั้ง 15 ปีแล้ว ได้แต่คิดค้นวิธีการใหม่ๆขึ้นมา แต่ก้อยังหาหนูตะเภาไม่ค่อยจะได้...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:50:04

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนเราเรียนวิชาหมากรุกฝรั่งเราต้องใช้มันเยอะเลยเวลาจะเลือกทางเดินที่ดีที่สุด ถ้าจำลองสถานการณ์เป็น flowchart แล้วมันจะแยกเป็น tree ว่าเราต้องไปทางกิ่งก้านสาขาไหน ซึ่งทักษะแบบนี้เอามาใช้ทำข้อสอบพวก multiple choice ได้ จริงๆแล้ว POE (Process of Elimination) มันก้อคือ reductio ad absurdum นั่นเอง สรุปแล้วกระบวนการเรียนรู้ของเราเกือบทั้งหมด เนื่องจากเราเป็นเด็กเกเรหนีเรียนไปเล่นหมากรุกฝรั่งบ่อยๆ เราเลยต้องใช้วิชาหมากรุกเพื่อเรียนอะไรต่อมิอะไรอีกหลายๆอย่างในชีวิต รวมทั้งเอาไว้ใช้เรียนภาษาอ้งกฤษและเรียนการแปลอีกด้วย การใช้ POE ขจัดข้อที่ผิดจาก 4 ข้อจนเหลือ 2 ข้อแล้วเดานี่ยังนับว่า "ไม่เลวนัก" แต่ถ้าขจัดไม่ได้เลยสักข้อ แล้วต้องกาข้อเดียวกัน หรือกาแบบ cyclic order ทุกๆข้อนี่ก้อแสดงว่า candidate อาการสาหัส เพราะเตรียมตัวมาไม่ดีพอ บางทีเตรียมตัวมาดีพอ รู้ศัพท์มากมายอ่านไวแต่มาเจอข้อสอบเก่งๆที่วัดไหวพริบบางทีถ้าขาดไหวพริบก้อทำไม่ได้เหมือนกัน... แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 08:07:40 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:50:43

ความคิดเห็นที่ 14 กระบวนความคิดของเราเรื่องวิธีพัฒนาการอ่านเพื่อการเขียน หรือวิธีเรียน reading comprehension กับ writing ไปพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งเราเรียกว่า reading towards writing นั้น ถ้า จขกท หรือใครที่อ่านกระทู้นี้ อ่านแล้วงง เพราะมันซับซ้อน ก็อย่างง แต่ให้เริ่มจากหลักการง่ายๆก็คือ ต้องรู้แหล่งข้อมูล! 1. dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ เล่มใหญ่ๆเช่นพวก OED ที่มี 23 เล่มใหญ่ๆขนาดสมุดโทรศัพท์ (เดี๋ยวนี้มีเป็น software) กับ  Webster's Unabridged Dictionary พวกนี้มีตัวอย่างประโยคสู้ esl dictionaries (ที่ระบุชื่อตามข้อ 2.) ไม่ได้ แต่มันให้ Greek and Latin roots ให้ศึกษา เพื่อช่วยจำศัพท์ แต่ถ้าเล่มมันใหญ่น่ากลัว จะลดขนาดลง ก็แนะนำว่าให้ลองใช้ Concise Oxford English Dictionary ดู เพราะมันให้ etymology (อธิบาย Greek and Latin roots) เอาไว้ในเชิงตรรกะที่เป็นระเบียบสวยงามและเข้าใจง่ายมากๆ 2. ส่วนตัวอย่างประโยคเพื่อเรียนความหมายพลิกแพลง และกลุ่มคำ (collocations) กับ sentence structure types ที่ทำให้คำศัพท์เปลี่ยนความหมายพลิกแพลงไปเรื่อยๆแบบที่เขาเรียกว่า the subtle nuances of the meanings of the words นั้น คุณต้องเรียนรู้จาก esl dictionaries คือ Oxford Advanced Learner's Dictionary Longman Dictionary of Contemporary English Collins Cobuild Advanced Learner's Dictionary Cambridge Advanced Leaner's Dictionary หรืออีกยี่ห้อที่ดีมากๆคือ Macmillan English Dictionary หมายเหตุ dictionaries ต่างๆที่เรากล่าวถึงสมัยนี้หาชนิดที่เป็น software จะมีหมด ซึ่งการใช้ software มันทำให้การค้นคว้าเพื่อเรียนรู้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ dictionaries ที่เป็นหนังสือเป็นเล่มๆตั้งหลายเท่า! การอ่านหนังสือเยอะๆ แล้วเรียน Greek and Latin roots กับเรียนประโยคตัวอย่างหลายๆประโยค จาก dictionaries พวกนี้ ที่เราเรียนด้วยตัวเอง เราใช้เวลานานมากๆ (เกิน 10 ปี) กว่าจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษแตกฉานแล้วเขียนภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติ ^ นั่นก็เพราะว่าเราเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายปี  แต่ถ้า จขกท หรือใครที่อ่านกระทู้นี้ เอาวิธีการและกระบวนความคิดที่เราเขียนไว้ในกระทู้นี้ ไปพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราว่าถ้าขยันมากๆ 4-5 ปี ก็น่าจะอ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่องแตกฉานแล้วหละ อย่าคิดว่านานนะ 4-5 ปีนี่นับว่าเร็วแล้วนะ เพราะเนื้อหามันเยอะมากๆ... ^ แต่ระยะเวลา 4-5 นี้ย่นลงเหลือเพียงแค่ 1 ปี ถ้ามีคนสอนให้เหมือนๆกับที่เราเคยสอนนักเรียนเมื่อหลายปีมาแล้วนี่หละ ^ ที่มันเร็วกว่าก็เพราะว่า 1. ตอนเราสอนนักเรียนทุกวันเราจำ Greek and Latin roots ได้มากมายจนเขียนออกมา และโยงความสัมพันธ์ของมันเพื่อช่วยความจำ (memorization by association) เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และจดจำอย่างรวดเร็ว โดยที่นักเรียนไม่ต้องไปออกแรงเปิด dictionaries ตั้งหลายเล่ม! (คือเราจำมันได้หมดในสมอง พอเดินเข้ามาสอนเราก็พูดๆๆๆ เขียนๆๆๆๆ ไปยาวเลยหละ) 2. ตอนเราสอนนักเรียนทุกวันเราจำ collocations กับ ตัวอย่างประโยคที่มี sentence structure types พลิกแพลงได้ตั้งมากมาย ที่จะสาธิตความหมายของคำศัพท์ต่างๆที่พลิกแพลงไป แบบที่เขาเรียกว่า the subtle nuances of the meanings of the words ซึ่งเราเขียนออกมาให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างรวดเร็ว โดยที่นักเรียนไม่ต้องไปออกแรงเปิด dictionaries ตั้งหลายเล่ม! (คือเราจำมันได้หมดในสมอง พอเดินเข้ามาสอนเราก็พูดๆๆๆ เขียนๆๆๆๆ ไปยาวเลยหละ) 3. เราสอนนักเรียนทำ index เพื่อ organize ข้อมูลที่เพื่อการเรียนรู้และจดจำโดยอาศ้ยความสัมพันธ์กัน (memorization by association) สมัยก่อนตอนที่สอน เราใช้วิธีตัดแปะ ด้วยกรรไกร และกาว ลงบนแผ่นกระดาษ ใน folder ที่จับคำศ้พท์และตัวอย่างประโยคเรียงตามตัวอักษรเพื่อไปค้นหา Greek and Latin roots และตัวอย่างประโยค ได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งจะมีการทวนให้เป็นระยะๆ โดยการเพิ่มตัวอย่างประโยคเข้าไปเรื่อยๆ (มันหาง่ายเพราะทำ index กับ cross-reference ไว้ แต่สมัยนี้เราพัฒนาไปเป็นใช้ software หมดแล้ว ซึ่งเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้มากกว่าเดิมตั้งหลายเท่า เพราะมันสั่งให้คอมพิวเตอร์ sort ข้อความตามลำดับเวลา (chronological order) หรือตามลำดับตัวอักษร (alphabetical order)ก็ได้ ^ วิธีการใหม่ที่ใช้ software ช่วยนี้ เราเก็บไว้สอนตัวเอง (ทุกวันนี้ ก็ยังสอนตัวเองอยู่) แต่ไม่ได้ออกไปสอนใครอีกเลย ^ มันเป็นเพราะเราไม่มีปริญญา มันทำให้เราขอใบอนุญาตทำการสอนภาษาอังกฤษจากกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ ทำให้ถ้าเราออกไปสอนใครอีก เราก็จะกลายเป็นครูเถื่อนไป แล้วเราก็จะโดนเจ้าหน้าที่กระทรวงฯตามมาจับเราได้อีก...555+++... เราเคยคิดจะช่วยพัฒนาประเทศชาติโดยการสอนภาษาอังกฤษให้คนไทย แต่กฎกระทรวงเรื่องใบอนุญาตเป็นข้อจำกัดซึ่งขัดขวางไม่ให้เราทำหน้าที่นี้ได้อีกต่อไป ก็เลยเสียใจด้วย เอวังก็มีด้วยประการฉนี้แล! แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 13:08:16 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 08:53:38 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 08:48:00

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ fortuneteller เขียนได้ละเอียดมากๆ ^^ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 01:15:23 จากคุณ : HaKucHOu เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:03:20

ความคิดเห็นที่ 16 งัดจากกระทู้เก่ามาฉายใหม่ เรื่อง Greek and Latin roots คือจากกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/01/K8772881/K8772881.html มีคนถามว่า cooperation and collaboration ความหมายต่างกันอย่างไร เราก็เลยสาธิตวิธีโยงความสัมพันธ์ของ Greek and Latin roots เพื่อช่วยจดจำศัพท์ไว้ดังนี้ ริงๆแล้ว cooperation  กับ  collaboration มันก็แปลว่า working together เกือบๆ จะเหมือนๆกัน แต่ก็ไม่เหมือนทีเดียว แต่ก่อนอื่นเรามาดูตาม Latin roots กันดิ ใน cooperation นะ co- คือ together และ operate นี่ ถึงจะแปลว่า work แต่ก็แค่ในระดับ "ปฎิบัติการ" ถึง cooperation มันจะแปลแค่การร่วมมือเฉยๆ แต่มันก็ยังแปลได้อีกว่า compliance (การปฏิบัติตาม (การยอมทำตาม) ก็ได้) เช่น cooperation with law enforcement ส่วนใน collaboration มันก็คือ co- together นี่แหละ แต่มันเผอิญมี l ตรง labor มันก็เลยต้องเบิ้ล l แล้วดูดีๆ ว่า labor คือ "แรงงาน" ดูๆแล้วมันจะออกแรงมากกว่าหน่อยๆ ใช่ไหมล่ะ แล้วมันก็เป็นจริงด้วยเนื่องจาก collaboration นี่มันเป็นร่วมแรงกันทำงานในกลุ่มเดียวกันก็ได้  (เช่นศิลปินหลายคนลงแรงกันทำบทละคร) แต่ก็กลายเป็นแปลออกไปไกลกว่านั้น ได้อีก ในความหมายว่า “เป็นการทรยศหักหลังพวกเดียวกันโดยการร่วมลงแรงกับฝ่ายตรงข้าม” ก็ได้เหมือนกัน คราวนี้เราลองมาดูศัพท์อีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ conspiracy (n) conspire (v) con- มันก็ไอ้ together ตัวเดิมนั่นแหละ แต่มันเปลี่ยนโฉมหน้าไปเรื่อยๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่า หลัง prefix จะตามด้วย root ตัวจริงที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรอะไร (ตอนก่อนเคยจำกฎได้หมด แต่ตอนนี้ขี้เกียจจำแฮะ คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว แต่เดี๋ยวว่างๆจะไปหามาใหม่ให้ได้) ทีนี้เรามาดู root กัน มันคือ spirare ที่แปลว่า “ breathe = หายใจ” นั่นเอง เมื่อมันมารวมกับ con- กลายเป็น conspire มันก็กลายเป็น breathe together = หายใจร่วมกัน = สมรู้ร่วมคิดกัน...แล้วพอแปลงโฉม โดยเปลี่ยน suffix เป็น conspiracy (n) มันก็กลายเป็นแปลว่า “การหายใจร่วมกัน = การสมรู้ร่วมคิดกัน”   นั่นเอง ถ้าเราตามไปสืบดูอีกนะ ว่า Latin root คือ spirare มันจะไปโผล่ที่ไหนอีก ค้นดีๆ เราก็จะเจอ aspire, aspiration, expire, respiration, respiratory และอื่นๆอีกมากมาย แต่วันนี้เอาแค่นี้ก่อน แค่นี้ก็จะบ้าตายหะอยู่แล้ว...เพราะตัวเราเองก็จำได้ไม่หมด เพราะสมองทึบมาตั้งแต่เด็กๆนั่นเอง...เหอๆๆ... มันก็ไอ้ root ตัวเดียวกันที่แปลว่า “breathe =หายใจ” นั่นแหละ แต่คราวนี้เปลี่ยน prefix เป็น a- ซึ่งแปลว่า forward ทำให้ aspire (v) แปลว่า breathe forward ก็เลยกลายเป็นแปลว่า “หายใจไปข้างหน้า” เฮ้ยมันยังไงกันหว่า หายใจไปข้างหน้า อ๋อ eureka! ตูแก้ผ้า มันแปลว่า  “เฝ้าปรารถนา” หรือ “ตั้งปณิธาน” นั่นเอง เฮ้อเหนื่อย เราไม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษนั่นแหละ ดีแล้ว จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:43:07

ความคิดเห็นที่ 17 คราวนี้เรามาดู expire (v) กัน prefix  ex- แปลว่า out   แล้ว root มันก็ไ อ้ Latin ตัวเดิมนั่นแหละคือ spirare ที่แปลว่า breathe นั่นเอง แหมดีใจจังเลย งานนี้รู้ Latin root แค่ตัวเดียว ตีกินคำศัพท์ได้บานเบอะเลยอ้ะ นี่เรากำลังจะหลอกคนอ่านหรือว่า supersonic English มีตัวตนในโลกนี้? stop press: เอ่อจริงๆแล้วสอนภาษาอังกฤษหรือเขียนบนเรียนภาษาอังกฤษนี่มันก็สนุกเหมือนกันนิ  แต่บางทีเราก็เขียนอะไรน้ำท่วมทุ่งไม่น่าอ่านเหมือนกันนะ สำนักพิมพ์ที่ไหนเอาไปพิมพ์ละก้อ เจ้าของสำนักพิมพ์ต้องผูกคอตายอย่างแน่นอน...555+++... เอ้ามา "หายใจกันต่อ" ก็เลย expire แปลว่า breathe out คือมัน “หายใจออกจนหมดลม” = “หมดอายุ(เช่นสัญญาหรือนมในกล่อง (ไม่ใช่นมคน)หมดอายุ” หรือ “หมดลมหายใจคือตาย(ภาษาวรรณกรรม)”   คราวนี้เรามาดู respiration (n) กับ respiratory (adj) แต่ปวดขมอง ก็เลยดูแค่ respire (v) ง่ายๆ จะดีกว่า มันก็ไอ้ Latin root ตัวเดิมนั่นแหละคือ spirare ที่แปลว่า breathe อะโห ทำไมภาษาอังกฤษมันโครตง่ายแบบนี้! ฮั่นแน่ะ ตอนนี้เราเริ่มใช้่ advertising gimmicks บ้างแล้วเนอะ...อิๆๆๆ... แต่คราวนี้ prefix re- มันแปลว่า again (แปลว่า again เฉพาะงานนี้นะ งานอื่น (อย่าไปไว้ใจทาง อย่าวางใจภาษาอังกฤษ จะปวดกบาลเอง...) มันอาจแปลพลิกแพลงกว่านี้ ก็มี ถ้าเห็นแล้วจะหนาว แล้วมาหาว่าเราโกหกว่ามี supersonic English ในโลกนี้ด้วย ฮาๆๆๆๆๆ..) เอาเป็นว่า สมองข้าน้อยจำได้แค่ re- แปลว่า again (ไปพลางๆก่อนนะ...) มันก็เลยแปลว่า breath in and out = หายใจเข้าหายใจออก(ซ้ำๆกันหลายรอบ) ยังไงล่ะ ...ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ... เห็นไหม "ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว (แต่ยากตั้งเยอะ)" รู้ Latin root แค่ตัวเดียวก็หากินได้บานเลยหละ นี่ตีกินศัพท์มาตั้งหลายตัวแล้วนะ ฮี่ๆๆๆ...เราก็พูดได้เหมือนกันละวา ว่า   “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” แต่ก็ไม่รู้ว่า “supersonic English ”... มันจะเร็วพอหรือไม่ โทษที...เปล่าหรอก จริงๆแล้วเราปัญญาอ่อนต่างหากล่ะ สมองเรามันจำได้ไม่เยอะ ก็เลย รู้ Latin root แค่คำเดียวอะนะ แต่หลอกตีกินมันแบบเนี้ย ไปเรื่อยๆ มันดีอ้ะ...อิๆๆๆ... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:45:18

ความคิดเห็นที่ 18 คือวิธีเรียน vocab ให้มันเป็น supersonic English ได้นะ แทนที่เราจะเจอคำไหนแล้วเปิดหาศัพท์มันทีละคำ (แล้วอ่านหนังสือต่อไป) เราก็ต้องเรียน derivatives ของมันทั้งหมด  (ทำให้ต้องหยุดอ่านหนังสือกลางคัน) และหาตัวอย่างประโยคที่จะสร้างได้ด้วย derivatives ทั้งหมด ของคำศัพท์ตัวนั้นมา หัดเขียนเพื่อจดจ่ำ  และไปตามหาคำศัทพ์ที่มีความหมายคล้ายๆกันรวมทั้งไปกวาดต้อนคำศัพท์ที่มี Greek and Latin roots ตัวซ้ำๆกันมา ให้หมด  แล้วก็ไปหา derivatives ของมันทั้งหมด และก็หาตัวอย่างประโยคมาหัดเขียนเยอะๆ แล้วก็จดจำไป ดัดแปลงเขียนใหม่ไปเรื่อยๆ นะ เช่นในกรณีนี้คุณก็ต้องหา derivatives คือ cooperate,  cooperation, cooperative, cooperatively, cooperativeness collaborate, collaborator, collaboration, collaborative, collaboratively พอโยงใยไปถึงคำที่มีความหมายคล้ายกันคือ conspire, conspiracy, conspiringly, conspirator, conspiracist แล้วดันไปเจอญาติมันที่มาจาก Latin root ตัวเดียวกัน ละทีนี้มากันใหญ่ expire, expiration, expiry, expiration respire, respirator, respiratory, respiration, respirometer แต่ขอโทษทีที่ขี้เกียจเขียนประโยคพลิกแพลงให้ดูทุกรูปแบบ  เพราะหมดแรงข้าวต้มแล้ว ไปหาประโยคตัวอย่างศึกษาเอาเอง จาก esl dictionaries ก็แล้วกัน จริงๆแล้วยังมีมากกว่านี้อีกเยอะ แต่นี่แค่เป็นการสาธิตแนวทางในการจำศัพท์อย่าง supersonic English คือเรียนแพล็บเดียวเก่งแบบไร้เทียมทานเลยหละ แต่... แต่อะไรกันล่ะ? ... “แต่สมองบานตายหะ น่ะสิ!”   มนุษย์ที่ไหมสมองมันจะไปจำไหวฟะ....ตอนเด็กๆเราหัดจำศัพท์แบบนี้ ฝรั่งเห็นเราเรียน แล้วตีหน้าเศร้าๆด้วยความสงสาร แล้วคิดว่า “อะโหข้าเรียนมาทั้งชีวิตไอ้บ้านี้มันจะเรียนแค่ไม่กี่วัน...555+++...” แล้วจริงๆเราก็เรียนไม่ได้หรอก เพราะสมองมันรับไม่ไหวอ้ะ แล้วจริงๆมันก็เคยมีนักเรียนที่อยากเก่งภาษาอังกฤษไวๆเหมือนชื่อบะหมี่ มาหาเรา แล้วพูดว่า “ขอเรียนหลักสูตรเร่งรัดครับ เอาแบบ เรียนไม่กี่วันอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้แตกฉานแบบอ่านภาษาไทยเลยนะครับ” คำตอบก็คือ “ได้สิ ไอ้หนู...เดี๋ยวจัดให้” พอสอนไปได้ 2 ชม. นักเรียนบอกว่า “เอ่อ ผมๆๆๆ...เปลี่ยนใจแล้วครับ ค่อยๆเรียนก็ได้ครับ...หลายปีก็ได้ครับ...แหะๆๆๆ” ไอ้เราก็งงว่า เอก็เธอจะเรียนไวๆ ฉันก็จะสอนไวๆให้ยังไงล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีปัญญาสอนไวแข่งกับติวเตอร์คนอื่น  แล้วมันยังไงกันล่ะ อีตอนนี้ไม่เอา supersonic English แล้วเรอะ...??!!! แต่หลังจากพล่ามมากจนน้ำท่วมทุ่ง จนคนอ่านรำคาญ แล้ว ก็ “จะบอกใบ้ให้ว่า” แท้จริงแล้ว คำศัพท์ตัวยาวๆ และ derivatives ของมัน แบบที่เอามาวางโชว์ให้ดูนี้  มันไม่ยากนักหรอกที่จะจำตัวอย่างประโยค นั่นก็เพราะว่า collocations (กลุ่มคำ ที่ทำให้คำศัพท์เปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆ) มันมีไม่มากนัก และไม่ซ้บซ้อนนัก  แต่ศัพท์ง่ายๆสั้นๆที่มีอักษรไม่กี่ตัวอย่างเช่นคำว่า get, look, take กลายเป็นมี collocations มากมาย น่าปวดหัวกว่าศัพท์ตัวยาวๆเสียอีก แค่มันเปลี่ยน prepositions ไป (คำศัพท์ตัวเดียวใช้กับ prepositions มากมายหลายตัว) มันก็เปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆ เสียแล้ว แถมยังหนังเหนียวเกินกว่าที่จะหั่นออกเป็นท่อนๆเพื่อดู Greek and Latin roots นั่นก็เพราะว่ามันสั้นเกินไปที่จะชำแหละ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:48:04

ความคิดเห็นที่ 19 การที่คุณจะเรียน vocab ได้แบบ supersonic English นั้น มีหลักการคือ 1. จำ Greek and Latin roots ให้ได้เยอะๆ และรู้วิธีแยกแยะเหตุผลว่ามันสื่อความหมายแบบไหนได้เพราะอะไร แบบที่เราสื่อให้ดู Latin root "spirare" ที่แปลว่า “ breathe" นั่นแหละ ลองไปดู list ของ Greek and Latin roots ได้ที่เวปนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Greek_and_Latin_roots_in_English หรือจะเิปิดดูจาก Encarta Dictionary ก็ได้ที่นี่ http://encarta.msn.com/encnet/features/dictionary/dictionaryhome.aspx 2. จำตัวอย่างประโยคไว้เยอะๆ ซึ่งคุณค้นตัวอย่างประโยคได้จาก esl dictionaries เช่น 3 ยี่ห้อนี้ มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก Cambridge Advanced Learner’s Dictionary http://www.dictionary.cambridge.org/ Longman Dictionary of Contemporary English http://pewebdic2.cw.idm.fr/ Oxford Advanced Learner's Dictionary http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/?cc=th ................................................................. หลักการอันต่อไปคือ 3. memorization by association นั่นก็คือ "หาความสัมพันธ์กันระหว่างสิ่งที่คุณรู้แล้วกับสิ่งที่คุณกำลังจะเรียนรู้และจดจำ และหาความสัมพันธ์กันระหว่างหลายๆสิ่งที่คุณพยายามจะจดจำ" ซึ่งในกรณีนี้คุณจะต้องหัดทำ cross reference โยงระหว่างศัพท์ที่มีความหมายคล้ายกัน หรือตรงกันข้ามกัน และมี Greek and Latin roots ตัวเดียวกัน และถ้าคุณเก่ง sentence structure ด้วย คุณก็อาจจะลองเปรียบเทียบคำศัพท์ที่ใช้สร้างประโยคด้วย sentence structure ที่คล้ายๆกัน เช่น Computer science interests me. I am interested in computer science. Computer science is interesting. He bores me. I am bored. He is boring. ............................................................... ลองใช้ software พวก mindmap เช่น MindManager organize ความคิดดูก็ได้ วิธีจดศัพท์ อย่าไปจดความหมาย จดแต่ คำศัพท์กับตัวอย่างประโยค แล้วกลับไปอ่านทวนซ้ำๆกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า "เราเข้ายุคไฮเทค ที่ใช้ online dictionaries หรือ dictionaries ที่เป็น software ถ้าลืมคำศัพท์ก็ไม่ต้องกลัวเหมือนสมัยที่ใช้ dictionaries เป็นเล่มๆที่เชื่องช้า" แล้วอีกอย่างหนึ่ง "ผู้เรียนต้องค้นเอง และคิดหาความสัมพันธ์เอง เนื่องจากกระบวนการที่คิดและค้น และหัดนำมันไปใช้เขียนประโยคพลิกแพลง มันจะทำให้สมองจำได้ไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องไปออกแรงท่องศัพท์มากนัก" ลองตาม link นี้ไปดูตัวอย่างประโยคของคำว่า take ดู http://www.ldoceonline.com/dictionary/take_1 จะเห็นได้ว่า แค่ take 1 เอง ก็ยังมีวิธีการสร้างประโยคพลิกแพลงได้ มากมายซึ่งกว่าจะจำได้หมด ก็ต้องใช้เวลานานโข ดังนั้น supersonic English จะมีตัวตนได้จริงๆนั้น จะต้องมีการสอนวิชา parapsychology ใน class  ด้วย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถค้นคว้าได้ด้วยตัวเองว่า จะพัฒนา photographic memory ขึ้นมาได้อย่างไร หรือจะนั่งทางในแล้วเรียกวิญญาณของนักเขียนฝรั่งเก่งๆ ให้เข้ามาสิงในร่างเราได้อย่างไร ถ้าทำได้สำเร็จมันจะทำให้เราเรียนภาษาอังกฤษเหมือนมีนักวรยุทธ์ที่ฝึกกำลังภายในมา 100 ปีเอาฝ่ามือแนบหลังเด็กอายุ 15 แล้วถ่ายกำลังภายในให้หมดภายในพริบตาเดียวแบบในนิยายจีนนั่นแหละ...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:50:46

ความคิดเห็นที่ 20 ท่อนนี้ไม่ได้ copy ของเก่าจากคลังกระทู้มาเฉยๆ แต่เขียนเพิ่มเล็กน้อย จริงๆแล้วหลายๆคน พอจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ บางคนก็ไปเน้นที่ grammar ถึงการรู้ grammar เป็นเรื่องดี แต่ก็ควรตระหนักว่า จริงๆแล้วการรู้คำศัพท์โดยจำเป็น phrases และเป็น sentences (ห้ามท่องศัพท์เป็นคำโดดอย่างเด็ดขาด) ที่สาธิตความหมายต่างๆพลิกแพลง หรือที่เรียกว่า the subtle nuances of the meanings of the words ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ดี มันก็เป็นพื้นฐานที่เราจะเรียน writing ได้ ทั้งๆที่ไม่ต้องทำแบบฝึกหัด grammar อย่างบ้าเลือด แต่ก็ยังเขียนภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติได้อย่างน่าประหลาด เนื่องจาก "การอ่านนิยามของคำศัพท์ซ้ำๆ และดูตัวอย่างประโยคซ้ำๆ หลายๆรอบ มันช่วยพัฒนา 'สัมผัสพิเศษ'" ^ ซึ่งสัมผัสพิเศษอันนี้แหละ จะเป็นประทีบส่องนำทาง ให้พูดหรือเขียนอังกฤษได้ถูกธรรมชาติ และพอสงสัยเรื่อง grammar เราก็ใช้ google ค้นเอาเป็นเรื่องๆ เราก็จัดการกับ grammar ได้ ยกตัวอย่าง ดังที่เราทำในกระทู้อีก 2 กระทู้นี้ คือการใช้ google ไขปริศนาเรื่อง grammar (โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ตรวจประโยคที่เรากำลังเขียนถ้าต้องทำงานเขียนภาษาอังกฤษทุกวันนะ) ลองไปอ่านดูว่า google ช่วยได้มากแค่ไหน http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11357198/K11357198.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11342524/K11342524.html อีกทั้ง "การ learn to understand (เรียนให้เข้าใจ) กับการ learn to compose (เรียนให้ใช้ศัพท์สร้างประโยคให้ถูกต้องเป็นธรรมชาติ) มันก็เป็น grammar อยู่ในตัวเองของมันเอง..." ซึ่งผู้เรียนภาษาอังกฤษมักจะลืมเรียน เพราะไม่ตระหนักว่า "คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ถ้าคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองไม่เคยเห็นเจ้าของภาษาใช้มันพูดหรือเขียน ผู้เรียนก็ไม่มีทางใช้มันได้ถูกต้อง ดังนั้น esl dictionaries จึงมีความสำคัญมากๆ" อย่างเช่น ใครท่องศัพท์มาเป็นคำๆโดดๆคำว่า 'ransom' แปลว่า 'ค่าไถ่' แต่พอจะเขียนประโยคว่า พวกเขาจับเธอไปเรียกค่าไถ่ ถ้าให้คิด คิดแทบตายก็คิดไม่ออกว่า มันกลายเป็น The held her to ransom. ^ ซี่งในส่วนนี้ esl dictionaries จะช่วยท่านได้ เพราะเขาทำไว้สอนภาษาอังกฤษให้คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 (คำว่า esl ย่อมาจาก English as a second language) ใครที่ไม่หัดใช้ esl dictionaries ให้ชำนาญมากๆ ต่อให้เรียน grammar โดยการทำแบบฝึกหัด grammar จนแทบบ้าตาย คนๆนัั้นก็ยังไม่มีทางพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติได้ คือมันจะต้องมีการผิดแบบคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 เข้าจนได้นั่นแหละ เพราะว่า "เราบอกไปแล้วว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่แปลเป็นกลุ่มคำ และความหมายพลิกผันไปได้ตั้งมากมายตามโครงสร้างประโยค" และในทางกลับกัน เราก็ทำประโยคที่หน้าตาไม่เหมือนกันให้มันสื่อความหมายเหมือนกันได้ด้วย เช่น Not a single day goes by without me thinking of you. มันก็แปลว่า I think of you everyday.  นั่นแหละ แต่ประโยคแรกเขียนให้มันลวดลายเข้าไว้เท่านั้นเอง! คนที่ไม่ตระหนักถึง "เคล็ดไม่ลับ" อันนี้ หลายๆคนพอได้ยินได้ฟังมาว่า กฎของ grammar มากมายหลายกฎนั้น สามารถนำมาสรุปได้ เหลือเป็นเพียงแค่ไม่กี่กฎไม่กี่สิบข้อ ใน sheet หรืออยู่ดีๆร้องเพลงจำศัพท์ฟังดูน่าจะหมูซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดของโรงเรียนสอนภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  "คนขี้เกียจไม่ยอมออกแรง และชอบเรียนลัด" ก็จะเต้นแร้งเต้นกากระพือปีก ไปด้วยความปิติยินดี  คือ "หลงผิดคิดว่าเรียนลัดแบบง่ายๆไม่ยอมออกแรงแบบนี้ ก็เก่งแบบเซียนเหยียบเมฆ ไปได้" ซึ่งจริงๆแล้วกลายเป็นความรู้กลวง จริงๆแล้ว การตั้งเป้าหมายได้ว่าเราจะเรียนรู้คำศัพท์ไหนบ้าง มันก็จะช่วยให้เราเดินได้ถูกทาง ไม่หลงทางสะเปะสะปะ ลองไปสำรวจ คำศัพท์ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ในลำดับต้นๆกัน ตาม links พวกนี้ไปดู Basic English Word List (850 Words) http://www.manythings.org/vocabulary/lists/l/words.php?f=ogden Qualities – Descriptive Words (150 Words) http://www.manythings.org/vocabulary/lists/l/words.php?f=ogden-qualities Things – General Words (400 Words) http://www.manythings.org/vocabulary/lists/l/words.php?f=ogden-general_things Things – Picturable Words (200 Words) http://www.manythings.org/vocabulary/lists/l/words.php?f=ogden-picturable lists ข้างบนนี้ เป็นคำศัพท์พื้นฐานมากๆ ที่ต้องเรียนรู้ในลำดับต้นๆ จากนั้นก็ให้เรียน Defining Vocabulary (about 2000 Words) http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html เพราะการรู้ defining vocabulary จะทำให้ผู้เรียนสามารถเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษดีๆได้(เนื่องจาก dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษใช้ศัพท์พวกนี้เขียนนิยามอธิบายศัพท์) ซึ่งการรู้ defining vocabulary จะเป็นการเปิดประตูไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลของการเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง จากนั้น ก็ลองเรียนคำศัพท์พวกนี้ ก็จะช่วยให้ รู้ภาษาที่ใช้กันในชีวิตประจำวันได้เกือบหมด The Oxford 3000 wordlist http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/oxford_3000_list?cc=th 250 arts words http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/arts?cc=th 250 science words http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/science?cc=th 250 business and finance words http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/business_and_finance?cc=th แล้วก็ลองขยับไปเรียนคำศัพท์พวกนี้ 5000 Collegiate Words with Brief Definitions http://www.freevocabulary.com/ เพราะถ้าเรียนได้หมด ก็จะอ่านหนังสือระดับยากขึ้นมาอีกหน่อยได้ หรือเรียนต่อในต่างประเทศได้ง่ายๆ ^ แต่พอเรียนรู้มาได้แค่นี้ก็อย่าเพิ่งดีใจนะว่าเก่งแบบเทพฯแล้ว เพราะว่ามันยังมีศัพท์อีกเยอะที่จะต้องเรียนรู้ถ้าอยากจะเอาดีทางภาษาอังกฤษจริงๆน่ะ ซึ่งเราคาดว่าฝรั่งที่เป็นนักเขียนเก่งๆคงรู้ศัพท์ตั้งเป็นแสนๆคำหรือหลายแสนคำ! จริงๆแล้วในขณะนี้ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์มากเกินกว่า 1 ล้านคำ (และมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนับเป็นพันๆคำทุกๆปี)  นับว่าเป็นภาษาที่ร่ำรวยคำศัพท์มากที่สุดในโลก โดยมีภาษาจีนไล่กวดติดๆมาเป็นลำดับที่ 2 (ภาษาจีนน่าจะมีคำศัพท์ประมาณ 7 - 8 แสนคำในขณะนี้นะ และมันก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน...) ลองไปศึกษา และกำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ vocab ดูเอาเอง .................................................................... สรุปแล้วนะ เราไม่ใช่ครูสอนภาษาอังกฤษที่ดี และเราก็ไม่กระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษดังๆหรอก นั่นก็เพราะว่าเราเก่งแค่ทำ links ให้คนอื่นไปหาข้อมูลการเรียนภาษาอังกฤษได้ฟรีด้วยตัวเอง แบบที่เราเคยเรียนได้ด้วยตนเอง เท่านั้นเอง...ยังไงล่ะ...555+++... แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 15:35:27 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 15:24:01 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 15:13:13 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 15:00:22

ความคิดเห็นที่ 21 เราเริ่มจากอ่านอะไรง่ายๆก่อนค่ะ เช่นหนังสือพิมพ์ หนังสือนิตยสาร gossip ดาราก็อ่าน อ่านมันหมดแหละ จากนั้นมาเป็นนิยาย ยิ่งของ Sidney Sheldon กับ Anne Rice มีทุกเล่ม อ่านมันไปทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่อาจจะโชคดีที่แกรมม่าพอได้อยู่แล้ว เลยไม่งง ขาดแค่การเพิ่มพูนความรู้เรื่องศัพท์ พอคำศัพท์ในหัวเพิ่มมากขึ้น มันก็ไปได้ฉิวเลย หนังสือ Time ก็เป็นอีกเล่มที่น่าอ่าน ถ้ารับประจำ อ่านประจำจะช่วยได้มากเลย คนเขียนคอลัมน์ของไทม์มีสไตล์การเขียนที่น่าติดตาม ใช้ศัพท์แสงดี อ่านไปแล้วถ้าอันไหนชอบ เราจะเอากระดาษมาคัดลอก ดูรูปประโยคต่างๆ ทำอยู่หลายปี ภาษาอังกฤษก็ค่อยๆดีขึ้นค่ะ จากคุณ : ดอกแก้วกะหนุงกะหนิง เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 18:28:53

ความคิดเห็นที่ 22 "..ทำอยู่หลายปี ภาษาอังกฤษก็ค่อยๆดีขึ้นค่ะ .." >> ง่า อย่ากระโตกกระตากสิครับว่ามันหลายปี เดี๋ยวไก่ตื่น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 19:51:49

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่อพอดู Latin root ใน #16 กับ #17 ที่เล่นแต่ เรื่อง "หายใจ" ตีกินศัพท์ไปได้ตั้งหลายคำ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีคำง่ายๆคือ inspire in- แปลว่า เข้าไปข้างใน มันก็เลยแปลว่า "หายใจเข้า" ก็ได้ แต่ลมหายใจทำให้เกิดความคิด ดังนั้น  inspire จึงแปลว่า "ดลใจ" ก็ได้ .......................................................................... จิตวิญญาณของความเป็นครูคืออะไร? คือการ "ขี้สงสัย" แล้ว "คิดค้นวิธีการใหม่ๆในการเรียนรู้ เพื่อให้ตัวเองเรียนรู้ แล้วก็นำไปสอนคนอื่นได้" นั่นก็หมายถึงว่ายิ่งแก่เฒ่าสมองก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ใครแก่แล้วหลงๆลืมๆ นั่นก็เป็น "พวกมนุษย์เสื่อมพันธ์" เราฝึกตัวเองเพื่อเอาชนะคนเรียนเก่งๆจบวุฒิสูงๆโดยการดูแลสุขภาพตัวเองดีๆด้วยความรู้เรื่อง esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) ที่เราศึกษาด้วยตัวเองนอกมหาลัยมานานหลายสิบปี เราก็แค่รอให้พวกคนเรียนเก่งๆจบวุฒิสูงๆอายุ 90 ซะก่อน แล้วเราก็อายุ 90 เหมือนกัน แล้วเราก็ไปท้าพวกมันคิดเลขในใจหรือท้าวิ่งแข่งกัน แค่นี้เราก็ชนะแล้ว เพราะเรายิ่งอายุมากขึ้นเรายิ่งทรงพลังมากยิ่งๆขึ้นทั้งร่างกายและสมอง นี่คือสิ่งที่เราได้กลับมาชดเชยกับการเรียนหนังสือไม่เก่งตอนเด็กๆจนเรียนไม่จบปริญญา...555+++... เราไม่คิดว่าหน่วยงานการศึกษาไทยที่มาไล่จับเราข้อหาเป็น "ครูเถื่อน" จะมาให้ใบอนุญาตครู เพราะมาเห็นเราใช้สมองพลิกแพลงในการสอนตัวเองเพื่อพร้อมที่จะไปสอนผู้อื่นนะ เพราะคำว่าครูในสายตาพวกเขา มันคือ "สอบไปมาตรฐาน 9 หรือ 10 อย่าง บ้าบอคอแตก เพื่อเอาใบอนุญาตครู แต่ไม่เคยมีการทดสอบกันอย่างเป็นรูปธรรมว่า "มีความรู้ในวิชาที่ตัวเองจะสอนมากน้อยแค่ไหน และมีความเพียรพยายามมากน้อยแค่ไหนที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง และคิดค้นหาวิธีแปลกๆใหม่ๆในเรื่องการเรียนการสอน อยู่ตลอดเวลา" ^ แทนที่จะ exercise สมองเพื่อคิดค้นเรื่องการเรียนการสอนใหม่ๆ (ไม่สอนใครก็เอาไว้สอนตัวเองก็ยังดี) แต่ครูไทยแห่กันไปเรียนเอาปริญญาเอกศึกษาศาสตร์เพื่อมาขึ้นเงินเดือน แต่เรียนจบมา น้อยคนนักที่จะคิดเป็น  ตลกดี...+++... ตกลงการศึกษาไทยมันคงดิ่งลงเหวไปอีกหลายสิบหรือหลายร้อยปี เพราะผู้บริหารด้านการศึกษา "มันคิดอยู่แต่ในกล่อง" มันไม่เคยคิดว่า the height of human ability (ขีดความสามารถของมนุษย์) มันไร้ขอบเขค มันพัฒนาโดยการเรียนด้วยตัวเองนอกมหาลัยได้ด้วยเช่นกัน! แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 07:28:52 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 07:26:31 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 06:59:55

ความคิดเห็นที่ 24 # คุณแอ๊ด no pain, no gain บอกคุณ จขกทไปเล้ย จะได้เตรียมตัวถูก จากคุณ : ดอกแก้วกะหนุงกะหนิง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 22:56:44

ความคิดเห็นที่ 25     โหวตและเก็บเข้่าคลังให้นะคะ เราใช้วิธีเดียวกับ คห 6 อะค่ะ สรุปโดยย่อคือ ฟังให้มากๆ เพลงรักนี่แหละง่ายสุดแล้ว แล้วค่อยฟังเพลงประเภทอื่นที่ยากขึ้น พูด อันนี้ก็ฝึกได้ เช่นการออกเสียงตาม อ่าน อ่านสิ่งที่ง่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่คุณรู้จักแล้วเป็นภาษาต่างประเทศนั้นๆ  เช่นนิทานที่คุณรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี อย่าง สโนว์ไวท์ เจ้าหญิงนิทรา เจ้าชายกบ อ่าน เรื่องง่ายๆ ก่อน อย่างที่บอก หรือเรื่องที่ใกล้ตัว เช่นข่าวต่่างๆ ที่เราพอรู้เรื่องแล้วในภาษาไทย (อ่านหนังสือพิมพ์ไทยก่อน) แล้วก็ไปหาหน้งสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศมาอ่านประกอบในเรื่องเดียวกัน  จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 12:56:58

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากเลยค่ะ ไม่ได้เข้ามานานนึกว่าจะไม่มีใครมาตอบแล้ว แต่มีเยอะมาก และยาวมาก อยากขอบคุณมากๆ เลยแต่ละท่านก็เป็รผู้รู้ทั้งนั้น ยังไงก็จะขอน้อมรับไปใช้แล้วกันนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : Katy,t (katy,t) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 11:43:06