ความคิดเห็นที่ 1 ครุศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี ซึ่งน่าจะมีนโยบายต้องสอบใบประกอบเอง (แต่เดิม ถ้าเรียนหลักสูตร 5 ปี พอจบจะได้ใบประกอบเลย)  เลือกเอกตามความถนัด มีสอบครูราชการ ครู กทม. ครูเทศบาล ครูเอกชน (แบบอัตราจ้าง และสังกัด สช.) เด็ก-ดี.คอม/content/admissions/26470/ครู-มหาศาลน่าเรียนรู้-ตอน-ใครว่าง่าย.php มีสองตอนค่ะ น่าจะพอเป็นข้อมูลให้คุณแม่ได้ค่ะ จากคุณ : ปาบู่ผู้พลิ้วไหวไปกับสายลม (PaBo) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 09:19:52

ความคิดเห็นที่ 2 ขออนุญาตแก้ข้อมูล ความเห็นที่ 1 นะคะ นักศึกษาที่เรียนหลักสูตรครูสายตรง 5 ปี ที่ได้รับการรับรองจากคุรุสภาโดยสมบูรณ์ ณ วันนี้ ยังคงรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้ตามปกติโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสอบอะไรอีกค่ะ ส่วนกรณีการทดสอบนั้น ยังคงมีอยู่ ให้สำหรับผู้เรียน ป.ตรีอื่น และผู้ที่เข้าสู่กระบวนการเทียบโอนฯ ทีสนใจจะเข้าสู่วิชาชีพ ส่วนกรณีการสอบที่เป็นข่าวทางสื่อนั้น ยังอยู่ในขั้นแนวทางการพิจารณา ยังไม่มีมติเป็นเอกฉันท์ และถึงแม้จะประกาศใช้ ก็จะคุ้มครองสิทธิ์ผู้ที่เข้าเรียนอยู่ก่อน จนถึงการเตรียมการรับนักศึกษาในปีนั้นๆ  ณ วันที่ประกาศใช้ ส่วนการเข้ารับราชการเป็นครูนั้น ยังคงมีการสอบบรรจุเหมือนเดิม ยกเว้นโครงการขาดแคลนที่หน่วยงานผู้ใช้ครูจัดตั้งขึ้นที่จะสามารถบรรจุได้ทันที ต้องคอยติดตามประกาศของมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือปรึกษาครูแนะแนวนะคะ จากคุณ : somkamol เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 10:58:26

ความคิดเห็นที่ 3 โบราณคดีกับมานุษยวิทยาถ้าใจรักจริงๆก็เรียนไปเหอะ แต่เราว่าโอกาสหางานมันไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณคดี จะเรียนสูงๆและเขียนงานวิจัยได้ภาษาอังกฤษต้องเก่งมากๆจริงๆ แต่ถ้าเก่งจริงๆมันก็คงหางานได้หละน่ะ เราคิดว่าถ้าจะให้ลูกเรียนมหาลัยจบมาทั้งทีเสียทั้งเวลา 4 ปี และเสียเงินอีกตั้งมากมาย แล้วก็ควรเรียนอะไรให้มันโดดเด่นใช้ประกอบอาชีพได้จริงๆ อย่างเช่น ถ้าจะเอาวิทย์ ก็เก่งมัน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หรือคณิตศาสตร์ หรือถ้าจะเอาดีด้านภาษาก็เอามันสักอย่างเช่นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน หรือถ้าสายอื่นที่เห็นชัดๆว่าหางานง่ายๆก็คือบัญชี หรือคอมพิวเตอร์อะไรอย่างนี้   แล้วถ้าอยากเป็นครู ก็สอนวิชาที่ตัวเองเชี่ยวชาญสิ โดยเปิดสอนพิเศษอยู่กับบ้าน แบบนี้การเงินจะไปได้สวยกว่า เราว่าไม่ควรไปเรียนครูและไม่ควรเข้าระบบครู เพราะ 1. สอบเข้าบรรจุยาก แฟนเก่าเราจบครุศาสตร์จุฬาเอกการสอนดนตรี เก่งดนตรีมากๆแต่ สอบบรรจุครูเท่าไหร่ก็ไม่ติดทั้งๆที่เรียนเก่ง พอถามเพื่อนๆที่สอบติด พวกเพื่อนๆให้ข้อมูลมาเลยว่าจะต้องไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ชื่ออะไร นั่งอยู่โต๊ะไหนถึงจะได้บรรจุครู พวกลูกพี่ลูกน้องเราเป็นครูตั้งหลายสิบคน (เผลอๆเป็นร้อย) เป็นพวกชาวนาชาวสวนเรียนไม่เก่งเลยต้องไปเข้าวิทยาลัยครู (ตอนนี้กลายเป็นราชภัฎไปแล้ว) กันหมดเพราะใช้คะแนนสอบเข้าต่ำสุด การสร้างวิทยาลัยครูมันเป็นนโยบายรัฐบาลในการช่วยคนเอ็นเข้ามหาลัยไม่ติดไม่ให้เป็นกรรมกร คือแทนที่จะช่วยลูกชาวนาชาวสวนให้ทำนาทำสวนแล้วรวยแบบในอารยประเทศกัน ลูกพี่ลูกน้องเราหลายๆสิบ (เผลอๆเป็นร้อย) คงไม่ต้องทิ้งนาทิ้งสวน มาเรียนครูกันหรอก ลูกพี่ลูกน้องเราตั้งหลายสิบ (เผลอๆเป็นร้อย) พอพบปะกันก็จับกลุ่มคุยกันว่าพวกเขาแทบไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิชาที่ตัวเองสอนเลย ส่วนใหญ่สอนแบบดำน้ำไป และก้าวหน้าก็ลำบากถ้าไม่เอาเงินยัดใต้โต๊ะให้เจ้านาย ตามระบบราชการแบบไทยๆ 2. พวกสวนสุนันทา,บ้านสมเด็จฯ...(รู้สึกจะเป็นราชภัฎไปหมดแล้วนะ) พวกนี้อ่อนมากๆ อาจารย์ที่สอนก็อ่อนมากๆด้วย ลูกพี่ลูกน้องเรามีแฟนเรียนอยู่สวนสุนันทา โดนอาจารย์จับให้แปลจิตวิทยาครูเป็นหนังสือเล่มโตๆจากอังกฤษเป็นไทย เพื่อแลกกับปริญญาตรี หนังสือเขียนด้วยศัพท์วิชาการยากๆ แถมคนเขียนยังเขียนตลก เป็น pun (ตลกเล่นคำ) แฝงไปด้วยภาษา American slang กับพวกสำนวนยากๆ พิศดาร ผสมผสานไปด้วย similes and metaphors (พวกอุปมาอุปมัย) ยากๆแบบหลุดโลก ซึ่งคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ยากที่จะอ่านเข้าใจได้ ซึ่งอาจารย์ที่สอนก็คงไม่รู้ว่าต่อให้ตัวอาจารย์เองอ่านก็ยังอ่านไม่รู้เรื่องเพราะพวกเพื่อนๆเราที่เรียนจบเมืองนอกและอยู่เมืองนอกนาน 30 ปี ชะโงกหน้าดูหนังสือเล่มนั้น ที่นักศึกษาเอามาขอร้องให้เราแปลส่งอาจารย์เพื่อแลกกับปริญญาและใบอนุญาตครู พวกเพื่อนๆเราก็หัวเราะว่า "เหลือเชื่อ" สรุปแล้วพวกเราพอจะเดาได้ว่าอาจารย์ให้นักศึกษาแปลเพราะอาจารย์กะจะเอาไปเป็นผลงานเลื่อนตำแหน่ง เนื่องจากอาจารย์เองก็อ่านภาษาอังกฤษยากๆโหดๆระดับนั้นไม่รู้เรื่อง เลยให้นักศึกษาไปแปลมาแลกกับปริญญาตรี เพราะรู้ว่า "ไงๆนักศึกษาก็ต้องไปจ้างคนอื่นแปลอยู่ดี อาจารย์จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าแปลเอง" ^ ที่เรารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้เพราะสมัยนั้นมันมีกฎทบวงมหาลัยหรืออะไรเนี่ย (เราเคยแปลมันจากไทยเป็นอังกฤษให้ลูกค้ารายหนึ่ง) ที่ระบุว่าพวกอาจารย์จะเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหรือผู้ช่วยศาสตร์จารย์ และเป็นศาสตราจารย์ได้นี่ต้องมีผลงานแปลทางด้านวิชาการจากภาษาต่างประเทศ ดังนั้น พวกพวกสวนสุนันทา,บ้านสมเด็จฯ...(รู้สึกจะเป็นราชภัฎไปหมดแล้วนะ) น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ คือถ้าเอ็นเข้ามหาลัยดีๆกว่านี้ไม่ได้แล้วถึงเลือกด้วยความจำเป็น  จริงๆแล้วถ้าเอ็นไม่ติดจริงๆไปลงเรียนรามคำแหงมาตรฐานสูงกว่าตั้งเยอะแยะแน่ะ คนที่เก่งวิชาที่ตัวเองถนัดเป็นครูสอนพิเศษเปิดสอนในบ้านตัวเองได้เงินตั้งมากมายก็มี อ.สงวน วงสุชาติ สอนภาษาอังกฤษมีเงินจากการสอนเป็นร้อยๆล้านบาท อ.อะไรอีกคนสอนเคมี รู้สึกจะดังมากเคยได้ยินชื่อจำไม่ได้แล้ว นี่ก็รวยเละ กับนายแพทย์อะไรเนี่ยรู้สึกจะปะกิต เผ่านี่ก็สอนพิเศษฟิสิกส์จนรวยเละ กฎหมายเรื่องใบอนุญาตครูมีไว้ปกป้องคนเรียนไม่เก่งที่ต้องไปเรียนครู ไม่ให้คนเก่งๆจากสาขาอื่นมาแย่งอาชีพครูไป ในขณะที่เราใช้สมองคิดค้นวิธีสอนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นมาได้ แต่เรากลายเป็นครูเถื่อนไป เพราะโดนเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษามาจับเราข้อหาไม่มีใบอนุญาต และเราขอใบอนุญาตก็ไม่ได้เพราะเราไม่มีปริญญา เราก็เลยใช้ความรู้และมันสมองที่คิดพลิกแพลงของเราโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติโดยการสอนภาษาอังกฤษให้คนไทยไม่ได้ ไปดูวิธีคิดการสอน reading comprehension กับ writing ให้กลายเป็นวิชาเดียวกัน ซึ่งคิดจากมันสมองของคนที่เรียนไม่จบปริญญาและไม่เคยเรียนครูอย่างเราได้ว่าเก่งพอที่จะเอาชนะคนเรียนครูที่มีใบอนุญาตครูได้หรือไม่ ไปดูรายละเอียดได้ที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11367327/K11367327.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 12:54:15

ความคิดเห็นที่ 4 เรียนครูก็ดีครับ เรียนหลักสูตร 5 ปีตามที่คุรุสภารับรอง ได้ใบประกอบวิชาชีพเลย ณ เวลานี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะสอบเอาใบประกอบวิชาชีพ มีสอบบรรจุทุกปีครับ ทั้ง ครู สพฐ.   ครู กทม. ทุก 2 ปี  ครูเทศบาล แต่หลายคนที่มาสอบบรรจุได้เป็นข้าราชการครู ส่วนใหญ่จะเป็นครูเอกชน ครูอัตราจ้าง พนักงานราชการมาก่อน เพราะข้อสอบจะถามในลักษณะงานประจำที่ทำในโรงเรียน เป็นข้าราชการครูดีอย่างไร ข้อเสียก็มีครับ เพราะมันคือระบบราชการ ข้อดี 1. มีเงินเดือนขึ้นทุก 6 เดือน โดยเฉลี่ย 2-6% 2. รับราชการมาประมาณ 6 ปี ทำผลงานเลื่อนวิทยฐานะ ครูชำนาญการ ได้เงินประจำตำแหน่ง 3,500 บาท 3. ต่อจากครูชำนาญการ อีก 2-3 ปี ทำผลงานเลื่อนวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ได้เงินประจำตำแหน่ง 5,600 บาท บวกกับเงินตอบแทนพิเศษ อีก 5,600 บาท  หรือจะทำวิทยฐานะเลื่อนต่อไป มีเงินประจำตำแหน่ง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 4. ได้รับสิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล 7 คน คือ ตัวเอง คู่สมรส บิดามารดา บุตรอีก 3 คน 5.มีเงินออมสะสมในรูปของ กบข. เงินตอบแทนไม่เยอะแต่เป็นหลักล้านนะครับ 6.ข้าราชการยังคงได้รับบำเหน็จบำนาญ ยืนยัน 100 % 7. มีสิทธิกู้เงินได้จำนวนมาก เพื่อลงทุน (กู้เยอะอาจมีหนี้เยอะ) 8. โรงเรียนหลายแห่ง มีสวัสดิการอาหารเช้า อาหารกลางวันด้วย 9. มีโอกาสได้รับทุนศึกษาต่อ ปริญญาโท-เอก 10. มีโอกาสก้าวหน้าในวิชาชีพสูง ตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียน มีสอบทุกปี 11. หลายคนไม่อยากเป็นผู้บริหารโรงเรียน และยี้กับผู้บริหารอายุน้อย แต่ลืมว่า ผู้บริหารเป็นผู้ประเมินขั้นเงินเดือน ความดีความชอบของครูทุกคน แน่นอนคนที่เรียนครูอาจไม่ใช่คนที่เรียนเก่งที่สุด ก็ต้องเลือกว่าอยากสบายตัวตอนหนุ่ม หรือสบายตอนแก่ และไม่ไม่สบายคนเดียว ลูกเมีย พ่อแม่ สบายด้วย แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 20:41:56 จากคุณ : Mr.Review เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:31:23

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนครูจากสภาบันใดก็เรียนได้ทั้งหมดแหละครับ เชื่อว่า ปัจจุบันแต่ละสถาบันได้พัฒนาหลักสูตรของสถาบันตัวเองให้เข้มข้นอยู่แล้ว และ เมื่อเรียนจบ5ปี สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่ระบบการสอบบรรจุแข่งขัน เมื่อสอบบรรจุได้แล้ว  เงินเดือนเท่ากันหมดครับ เพื่อนๆของผมไม่มีใครใช้ระบบเส้นสายสักคน ก็สอบถบรรจุผ่านกันครับ หรือบางคนก็รอถูกเรียกตัว ไม่เกิน1ปี ก็เห็นเรียกตัวบรรจุแล้วนะครับ ไม่มีการใช้ระบบเส้นสายทั้งสิ้น ระบบเส้นสาย คงเป็นส่วนน้อยของสังคมจริงๆ อย่ามองระบบราชการติดลบไปเสียหมด แต่ถ้าเรียนครู อยากแนะนำสาขาที่เป็นต้องการของตลาด และแต่ละปีสาขาที่เปิดรับเยอะๆ ก็จะเป้นพวก คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี ชิววิทยา สังคมศึกษา  เพราะในดรงเรียนทุกโรงเรียนต้องมีสอยวิชาพวกนี้  อย่างคณิตศาสตร์ บางทีแค้ ระดับชั้น ม.1 อาจจะมีทั้งวิชาคณิตพื้นฐาน  และวิชาคณิตเพิ่มเติม เป็นต้น ส่วนสายทางด้านเกษตรกรรม  แนะแนว  นาฏศิลป์  ดนตรี ศิลปะ อะไรพวกนี้ ค่อนข้างเปิดรับน้อย  เเละเป็นสาขาเฉพาะ การสอบแข่งขันก็เลยดุเดือดหน่อย  เพราะรับคนน้อยจริงๆ อยากสนับสนุนให้เรียนครูครับ  แต่ถ้าจะให้ดีมีให้เลือก คณะครุศาสตร์  จุฬา   คณะศึกษาศาสตร์ มศว คณะศึกษาศาสตร์ ศิลปากร คณะศึกษาศาสตร์  เกษตรศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ บูรพา คณะศึกษาสาสตร์ เชียงใหม่ คณะศึกษาศาสตร์ ขอนแก่น ส่วนโบราณคดี ศิลปากร  คณะนี้เค้ามีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทางด้านวิชาชีพมายาวนานแล้วครับ ผลิตบัณฑิตไปมากมายเหลือเกิน    ซึ่งมุมมองจากภายนอกอาจคิดว่าไม่มีงาน  แต่ลองเข้าไปเรียนดูจะค้นพบ อาชีพการงาน ที่เรียนจบแล้วเราต้องทำเองแหละครับ  หรือบางทีอาจมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องดึงตัวไปทำงาน ตามพิพิธภัณฑ์ กันก็ได้ครับ จากคุณ : psycho_thai (psycho_thai) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 10:18:38