ความคิดเห็นที่ 1 จำเป็นอย่างยิ่งครับ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องจบปริญญาเอกเท่านั้น ยกเว้นสาขาขาดแคลน แต่ก็ต้องไปเรียนต่อปริญญาเอกให้ได้ นี้เป็นเกณฑ์มาตรฐานพื้นฐานของ สกอ เพราะมิฉะนั้นจะไม่สามารถเปิดหลักสูตร ป.โทได้เลย ถ้าไม่มี อาจารย์ ป.เอก ไม่เหมือนสมัยก่อนนะครับ ที่จบป.โท ก็สอนได้เลย และอาจารย์ที่เป็น รศ. จบป.โท ก็มีน้อยเต็มทีแล้ว ที่จะสอนหรือเป็น advisor ป.โทได้ เพราะอาจารย์รุ่นนั้นก็จะสูญพันธ์ไปในไม่ช้านี้แล้ว  เพราะฉะนั้นยังไงก็ต้องจบป.เอกครับ จะได้มีค่าตัวสูงขึ้น ...... จากคุณ : Jacques เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:17:02

ความคิดเห็นที่ 2 น่าจะประเมินตนเองอย่างคร่าวๆ โดยปราศจากอคติใดๆ ว่า ประเด็นต่อไปนี้ มีอะไรบ้าง ถ้าคนจบปริญญาเอกทำได้ แล้วเราทำได้ หรือไม่ได้อย่างเขา เน้นเฉพาะความรู้ และทักษะที่พึงมี ในสถานะอาจารย์ประจำวิชา ที่คุณรับผิดชอบ อยู่ขณะนี้และในอนาคต เช่นด้าน เนื้อหาสระของวิชาที่รับผิดชอบ เทคนิคและวิธีการสอน การวัดผลและประเมิน ผลการเรียน การวิจัย เช่น  กระบวนการวิจัย การเขียนรายงานการวิจัย (ไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาต่างประเทศ) และสามารถทำงานวิจัย ในสาขาตนเองได้อย่างอิสระ คือ ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น การเผยแพร่ความรู้สู่สังคม การรักษาประเพณีที่ดีงามของไทย ถ้าคุณมีความรู้ความสามารถ และทำได้จริง ในประเด็นหลักๆข้างบน คุณมีศักดิ์ศรี เหมือนอาจารย์ท่านอื่นๆ และไม่จำเป็น ต้องจบปริญญาเอกครับ อ้อ ! ที่สำคัญต้องมี อภัย ปราณี เมตตา ปรารถนา ให้คนอื่นได้ดี แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 54 11:08:30 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 54 11:07:56 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 54 10:43:55 จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:37:52

ความคิดเห็นที่ 3 การทำวิจัยถือเป็นหน้าที่หนึ่งของอาจารย์ การมีปริญญาเอกถือเป็นการประกันความสามารถขั้นต่ำด้านนี้ที่ง่ายที่สุด ความจริงถ้าถามว่าจำเป็นไหม คิดว่าไม่นะคะ เพราะความสามารถต่างๆ เรียนรู้เองหรือผ่านแนวทางอื่นได้ ไม่ได้มีทางเดียวสักหน่อย แถมที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติและความพยายามส่วนบุคคลต่างหากที่สำคัญจริงๆ แต่ปัญหาที่จะพบมากคือ กฏของ สกอ ที่ทำให้ยากมากที่อาจารย์จบโทจะพัฒนาด้านนี้ด้วยตนเอง จนถ้าจะต้องการความก้าวหน้าทางวิชาการ การต่อเอกถือเป็นหนทางหลักที่สะดวกที่สุดแล้วล่่ะค่ะ ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมคือมีกฏประหลาดเยอะมากโดยเฉพาะกฏที่ทำให้เกิดความแตกแยก แย่งชิงส่วนแบ่ง สนับสนุนการซิกแซก เน้นเอกสารไม่ใช่คุณภาพ  จนเหมือนกับตั้งไว้เพื่อไม่ให้มีความร่วมมือในการทำวิจัยหรือการพัฒนาทางวิชาการร่วมกัน รวมถึงสร้างแนวทางเดียวก้านความก้าวหน้า ทำให้ขาดความหลากหลายในการพัฒนาประสบการณ์และความสามารถของอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ต้องทำตาม แล้วจะเป็นตัวอย่างได้ไง บิดเบี้ยวชัดๆ จากคุณ : jackfruit_k เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 11:49:29

ความคิดเห็นที่ 4 ตามลักษณะงานของคุณจขกท. ผมคิดว่าความรู้ความสามารถตอนนี้ก็เพียงพอแล้วครับ เพราะวิชาที่สอนเน้นทักษะการนำไปใช้งานจริง ตัวคุณจขกท.เองก็มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้มาเป็นสิบปี ก็อย่างที่คุณบอกเองว่าสอนเรื่องพวกนี้ได้สบายๆ อ.ที่ควรมีป.เอกก็คืออ.ที่ต้องสอนด้านวิชาการ สอนป.โทป.เอก คุมการทำวิทยานิพนธ์ ทำงานวิจัย พวกนั้นครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 14:29:56

ความคิดเห็นที่ 5 ท้้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่า  คุณทำงานให้มหาวิทยาลัยประเภทไหน ในเมืองไทย หากคุณทำงานให้มหาวิทยาลัยที่เน้นวิจัย ทั้ง 9 แห่ง เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เกษตร มหิดล ฯลฯ ก็ต้องตอบว่า จำเป็น   เพราะมหาวิทยาลัยเหล่านี้ มุ่งที่จะมีความเป็นเลิศทางวิชาการ คือเปิดหลักสูตรการศึกษาให้ครบ ทั้ง ตรี โท เอก ซึ่งแน่นอน ก็ต้องใช้ดุษฏีบัณฑิต ในการการันตีคุณภาพการศึกษา ระดับหนึ่ง (ในทางทฤษฏี) หากมหาวิทยาลัยมีแต่ อาจารย์ที่จบเพียงปริญญาโท ก็ไม่สามารถเปิดหลักสูตร ปริญญาโท ได้  ก็จะทำให้คะแนนของมหาวิทยาลัยประเภทนี้ตก แต่หากคุณทำงานให้มหาวิทยาลัยที่เน้นการสอน คงไม่ต้องบอกนะ ว่าเป็นสถาบันแห่งไหนบ้าง การโฟกัส เรื่องความเป็นเลิศทางวิชาการจะเป็นรอง จากการผลิตบัณฑิตให้ได้ปริมาณมากกกกกกกกกกกกกกกกก ดังนั้นมหาวิทยาลัยประเภทนี้ จะรับนักศึกษาแต่ละหลักสูตรค่อนข้างมาก เพราะถือว่าเน้นการสอน (แต่คุณภาพการสอนจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง) เราตอบเท่าที่่เรารู้น่า  เราก็ไม่ทราบว่าสถาบันที่คุณทำงานอยู่ มันเข้าประเภทไหน เพราะเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยเอกชน กับรัฐบาล เราว่าก็มีอะไรต่างๆกันหลายอย่าง จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 14:54:08

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบในฐานะนักศึกษา ป.ตรีครับ เวลาที่เรียนกับ อ. ที่จบ ป.เอก รู้สึกว่าท่านสามารถตอบคำถามนักศึกษาได้กระจ่างกว่า และมีตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดกว่า อ.ที่จบ ป.โท ผมเคยเรียนกับ อ.ที่จบป.โทแล้วมาช่วยงานสอนในคาบของอ.ท่านหนึ่งเป็น ดร. รู้สึกว่าความรู้ที่จะถ่ายทอดให้นักศึกษายังมีสะดุดอยู่บ้าง ต้องค้นข้อมูลก่อนอยู่บ้าง ทำให้รู้สึกขาดตอน และงงกับตัวอย่างที่ยกมาในหลายๆครั้ง ผมรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์ที่จบป.เอกมีแต่ป.โทยังขาดอยู่ คือ ความเข้าใจเชิงลึกในเนื้อหาวิชาและการถ่ายทอดออกมาให้นักศึกษาเข้าใจได้ง่ายครับ จากคุณ : Draconyz เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 14:56:28

ความคิดเห็นที่ 7 ความคิดเห็นที่ 6 เป็นความคิดที่สร้างสรรค์ และสามารถนำไปเป็นแนวทางปรับปรุงแก้ไข ด้านการจัดการเรียนการสอนที่ดีกว่าเดิม เพื่อประโยชน์ของผู้เรียนโดยรวมนะครับ จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 15:25:55

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะจำเป็นครับ ในปัจจุบันและอนาคตคนจบปโทก็เยอะมากมายแล้ว หากมุ่งทางนี้การเรียนปเอกน่าสนใจไม่น้อยเลยที่เดียวครับ จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 17:20:24

ความคิดเห็นที่ 9 แวะมาอ่านความเห็นของท่านๆทั้งหลาย ขอบคุณมากๆครับ มหาวิทยาลัยที่ผมสอน เป็นเอกชนชั้นกลางนะครับ ในสาขาผมคือ ภาษาอังกฤษธุรกิจ มีอาจารย์ทั้งหมด 12 ท่าน จบ เอก 4 ท่าน ที่เหลือ จบโท มีนักศึกษาชันปีละประมาณ 30-50 (เอกอังกฤษธุรกิจ) แต่อาจารย์ในภาคจะต้องสอนภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาทุกคณะ เพราะไม่มีสถาบันภาษาอย่างจุฬา ธรรมศาสตร์ นักศึกษาที่เอกอังกฤษ ก็ค่อนข้างอ่อน เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยปิด ในคณะไม่มีเปิด ปริญญาเอก โท แต่อย่างใด ที่เปิด ปริญญาเอก โท ก็จะมีเฉพาะ รัฐศาสตร์ บริหาร และศึกษาศาสตร์ ตอนแรกๆผมตั้งใจว่าจะสอนอย่างไรดีให้เด็กในเอกเราพูดได้ เขียนได้ คือจบออกไปแล้วสามารถใช้งานในสายธุรกิจได้จริง เราไม่เน้นวิชา วรรณคดี และภาษาศาสตร์ มีแค่ ตัว 2 ตัว เพราะฉนั้นที่ผมสอนก็คือเน้นจากที่ผมทำงานมา ประกอบกับตอนทำงาน ผมจะรับนักศึกษาเอกอังกฤษไปฝึกงานทุกปี แล้วก็พบว่านักศึกษา ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุย หรือ ไม่แน่นในการฟัง พูด เท่าที่ควร ก็เลยเอาประสบการณ์ตรงนี้มาสอน แต่ มาเจอ ไอ้เรื่อง การประกันคุณภาพการศึกษา แล้วมีเกณฑ์อยู่ 2 ข้อ ที่คณะ ผมได้คะแนนต่ำ ก็คือ สัดส่วนของจำนวนอาจารย์ที่จบป เอก และ งานวิจัยของอาจารย์  บวกกับความคาดหวังจากคณะอื่นๆ คณะบดี ก็เลยพยายามกระตุ้นให้เรียนต่อกัน แต่ไม่มีทุนให้นะ ลาไปเรียนเองก็ไม่ได้เงินเดือนแม้เรียนในไทย ก็เลยคิดหนักว่าจะต่อเอกดีหรือไม่ ด้วยอายุอานามก็ย่างเลข 4 ละปีนี้ ตอนนี้ก็พยายามทำงานวิจัยชิ้นเล็กๆแทน ประเภทงานวิจัย เชิง action research สงสัยปีหน้านี้ต้องพยายามต่อ ด๊อกเตอร์กะเค้าด้วยแล้วละ ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : เจ้าของกระทู้ครับ (At Your Service) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 17:36:14

ความคิดเห็นที่ 10 "ก็เลยพยายามกระตุ้นให้เรียนต่อกัน แต่ไม่มีทุนให้นะ ลาไปเรียนเองก็ไม่ได้เงินเดือนแม้เรียนในไทย" อันนี้ไม่ต้องคิดหนักเลย  ควักตังค์ไปเรียนเอง??????????  ไม่รู้เอาส่วนไหนของอวัยวะมาพูดเนี่ย ถ้าทำได้คงไม่ต้องมาเป็นอาจารย์แล้วกระมัง หลักสูตรเรียน ป เอก ในบ้านเมืองเรา ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าแสน ถ้าจำไม่ผิด หากในทางปฏิบัติ จขกท ไม่ได้ถูกกดดันเรื่องรายได้ ก็ทำต่อไปเถิดงานนี้ ไอ้นโยบาย เอาแต่ได้ เยี่ยงนั้นไม่ต้องไปใส่ใจ  เราสอนให้ดีที่สุด ผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ ปั้นดินให้เป็นดาว (หากทำได้) ก็พอแล้ว เรื่องวิจัย ทำได้ก็ทำไป   แต่หากอยากเรียนต่อจริงๆ เพื่อความก้าวหน้า ต้องเปลี่ยนที่ทำงานเลย ย้ายมาอยู่มหาวิทยาลัยของรัฐ หากเป็นเไปได้ แต่ปริญญาโทของ จขกท ต้องเป็นแบบแผน ก นะ คือทำวิทยานิพนธ์ อายุแม้ เลขสี่แล้ว แต่ยังไม่เกิน 45 น่าจะต่อรองได้ในการเรียน ป เอก ยังมีมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่งที่ยังขาดแคลน อ สอนภาษาอังกฤษ พลิกดูในเว็บของสถาบันต่างๆไปเรื่อยๆ  หากได้ไปเรียนจริง สถาบันเหล่านี้มักจะมีทุนสนับสนุน ไม่มากก็น้อย อันนี้ นอกเรื่องนิดหนึ่ง คงไม่ถามหล่ะนะ ว่าสอนสถาบันไหน แต่อยากรู้ว่า เกณฑ์การตัดเกรดเด็ก่ผ่านเท่าไร 40 หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น   และ ข้อสอบมีคณะกรรมการประกันคุณภาพตรวจดูก่อนพิมพ์หรือเปล่า จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 18:13:46

ความคิดเห็นที่ 11 อ.ผมเคยบอกว่า ถ้าเราเรียนในประเทศเราจะได้เรียนกับลูกศิษย์ของปรมาจารย์ แต่ถ้าเรามีโอกาสได้ไปรับการถ่ายทอดจากปรมาจารย์โดยตรงเลย ไม่ดีกว่าเหรอ การเรียนในหรือนอกประเทศผมไม่ค่อยเห็นความต่างนะสำหรับ อ. ที่จบป.โท แต่อ.ที่จบเอกจะเห็นชัดมาก แม้แต่จบเอกจากอังกฤษกับอเมริกาเทคนิคการถ่ายทอดความรู้ ยังไม่เหมือนกันเลย  เคยเรียนกับอ.ที่จบมาจาก Harvard ตอนแรกผมงงไปเลยว่าแกสอนอะไร มาถึงแกแนะนำแนวคิดแล้วสั่งให้ไปเขียนบทวิจารณ์แนวคิดมาทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องไรเลย  แต่วิธีการสอนแกทำให้ผมจำได้มาถึงทุกวันนี้เลย จากคุณ : กินอะไรหรือยัง เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 18:24:43

ความคิดเห็นที่ 12 ตอบ คุณ ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝงครับ คือ นักศึกษาที่ผมสอนอยู่เนี่ย บอกได้ว่าเป็นนักศึกษาที่ (ส่วนใหญ่นะ) ถูกกรองมาจาก admission จากราชภัฏ จาก ม เอกชนเกรด A แล้วถึงค่อยมาถึงผม เคยคุยกันในคณะ เหมือนกันว่า บางทีเราก็รู้สึกว่า นักศึกษาเราเหมือนกับพวกที่ใครไม่เอาแล้ว ตอนผมเข้าไปใหม่ๆอาจารย์ในภาคพูดให้ฟังว่า นักศึกษาเราเป็นแบบ "walk in" เข้ามา แต่ผมมองว่า การที่นักศีกษาเหล่านี้ไมสามารถสอบเข้า ม อื่นๆได้ ก็ไม่ได้แปลว่า พวกเค้าเหล่านี้จะต้องหมดสิทธิ์ในการเรียน พวกเด็กเหล่านี้ก็คืออนาคตของประเทศเช่นกัน ดังนั้นในเมื่อพวกเค้ามาที่เรา หน้าที่ของเราก็ปั้นพวกเค้าให้ดีที่สุด หลักสูตร รายวิชา จะมีคณะกรรมการภายนอก ประกอบด้วย อาจารย์คณะอักษรจุฬา และ จากมหิดล ส่วนตัวข้อสอบจะเป็นจากคณะมนุษย์ศาสตร์เกษตร แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะเนื่องจากว่า อาจารย์อักษร จุฬา ก็จะยึดมาตรฐานของเค้า ซึ่งนำมาใช้กับคณะผมไม่ค่อยได้เพราะต้องยอมรับว่า เด็กผมอ่อนกว่ามากนัก แม้แต่ข้อสอบที่เราออก เราก็อยากให้มันยากเท่าทีอื่นๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เราก็ต้องปรับตามศักยภาพของนักศึกษาเรา ส่วนเกณฑ์ ยึดเกณฑ์มหาวิทยาลัยคือ 50 ผ่าน มันมีข้อจำกัดเยอะ เช่น เงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยไม่มีเลย เวลาพวกผมไปข้างนอก แม้แต่นำข้อสอบไปให้คณะกรรมการวิพากษ์ ก็ต้องไปเอ่งจ่ายเอง กินเอง อุปกรณ์ก็ไม่ค่อยพร้อม ทุนเรียนต่อไม่ต้องพูด ถ้าใครจะลาเรียนในประเทศก็จะได้รับเงินค่าสอน เป็นรายชั่วโมงแทน ด้วยเหตุนี้มีอาจารย์หลายๆท่านก็ลาออกไปเรียนต่อแล้วก็กลับมาก็สอนที่อื่น หรือ เด็กๆหน่อยก็สอนหาประสบการณ์แล้วก็ไปขอทุน ม อื่นๆ บางทีก็อดสงสารนักศึกษาไม่ได้เหมือนกัน ส่วนตัวผมเอง ก็พยายามสอนให้ดีที่สุดและจะพยายามหาทุนเรียนต่อในประเทศแบบว่าทุนครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ได้เต็ม เพราะลำพังเงินเดือน 2 หมืนนิดๆ ไม่พอค่าเทอม แน่นอน ส่วนเรื่องไปเรียนเมืองนอก ผมปิดประตูไปแล้วด้วยอายุอานาม และฐานะ แต่ยังไงก็ยังตั้งใจจะสอนที่นี่แหละ เพราะว่า ผมตั้งไว้ก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็นอาจารย์แล้วว่า เราจะปั้นเด็กให้ทำงานได้ ให้ใช้ภาษาได้แม้ไม่เก่งเลิศก็ตาม มหาวิทยาลัยอื่นๆ มีอาจารย์เก่งๆเยอะแล้ว ผมจะอยู่ช่วยที่นี่ต่อไป เพราะ"ไม่อยากให้นักศึกษาผม ตกอยู่ในสภาพเด็กด้อยโอกาส" แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 54 20:20:10 จากคุณ : เจ้าของกระทู้ครับ (At Your Service) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 20:12:16

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นใจ จขกท จังครับ ถ้ามหาวิทยาลัยคุณมีแนวคิดว่า "พยายามกระตุ้นให้เรียนต่อกัน แต่ไม่มีทุนให้นะ ลาไปเรียนเองก็ไม่ได้เงินเดือนแม้เรียนในไทย" ผมขอเสนอว่า คุณคงต้องหาโอกาสในที่ใหม่ๆ แล้วล่ะครับ ในระยะยาว ถ้าจะคิดเป็นอาจารย์ระดับอุดมศึกษาต่อไป ควรต้องเรียน ป เอกเป็นอย่างยิ่งครับ อาจารย์วุฒิ ป โท คงถูกผู้บริหาร treat อย่างไม่ค่อยให้เกียรติเท่าไหร่ เพราะเขาสามารถหาคนมาแทนได้ง่าย จากคุณ : pokemon trainer เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 20:41:16 A:110.77.240.252 X: TicketID:000119

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 12 คิดถูกทำถูกแล้วครับ คนไหนที่มีปัญหา ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย อย่าทิ้งเขา ส่วนพวกที่เก่งและช่วยตัวเองได้ ก็หาทางสนับสนุนให้ดียิ่งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ในบั่นปลายชีวิต เมื่อนั่งทบทวนการทำงานที่ผ่านมา คุณจะรู้สึกมีความสุข ที่ได้ทำอะไรหรือได้ช่วยเด็กที่ปัญหา ไว้อย่างไรบ้าง และจะเกิดความภูมิใจมากกว่า การทำงานกับกลุ่มที่ไม่มีปัญหา ยึดหลักนี้ให้แน่นนะครับ แล้วคุณจะมีความสุข เมื่อนั่งนึกถึงเรื่องเก่าๆ อภัย ปราณี เมตตา ปรารถนาให้คนอื่นได้ดี จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 20:43:02

ความคิดเห็นที่ 15 เชื่อมั้ย เดี๋ยวต้องมีหมอดูมาบอกว่า ปริญญาเอกไม่จำเป็น คนไทยบ้าปริญญา บลา ๆๆๆ ตัวกุเจ๋งกว่าพวกนั้นเยอะเพราะกุเรียนเอง กุจบจากมหาลัย Google 555 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 54 09:12:00 จากคุณ : Severus' Lover เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 09:08:19

ความคิดเห็นที่ 16 เพื่อความมั่นคงในสถานภาพอาจารย์มหาวิทยาลัย ถ้ามีโอกาส ผมว่ารียนป.เอกให้จบดีกว่าครับ นึกเสียว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่มีอะไรเสียหาย ไหนๆ ก็ตั้งใจทำงานวิชาการงานสอนอยู่แล้ว คนอื่นยังเรียนกันจบได้เลย ว่าไปคอร์สเวิร์คป.เอก เรียนแป๊บๆ ไม่กี่เทอมก็จบแล้ว วิทยานิพนธ์ป.เอก ก็ค่อยๆทำไป เรียนไปทำงานสอนไป เดี๋ยวก็จบได้สักวัน จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 13:00:16

ความคิดเห็นที่ 17 To Severus' Lover (#15): I haven't said anything yet. Don't try to start another argument. You're not my match even if you have a doctorate or whatever degree. จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 09:58:35

ความคิดเห็นที่ 18 อย่าแหย่เสือหลับ  ได้เรื่องเลย เห็นไหม   ความคิดกันคนละแนว ก็ RESPECT กันได้ เอ้า เอาเพลง Aretha Franklin ไปฟังหนึ่งเพลง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 15:22:03

ความคิดเห็นที่ 19 ผมมองว่าถ้าม.ไหนไม่มีงบให้อ.ไปเรียนป.เอก ก็แปลว่าม.นั้นยังไม่เอาจริงกับเรื่องประกันคุณภาพด้านคุณวุฒิของอาจารย์น่ะครับ เลือกที่จะเน้นด้านอื่นมากกว่า แบบที่เรียกว่า vote with your wallet คือใส่ใจอะไรก็ลงเงินไปที่จุดนั้น คุณจขกท.ลองหาทุนเรียนจากที่อื่นก็ได้ครับ บางมหาวิทยาลัยอาจจะมีทุนให้นิสิตป.เอก ทางรัฐบาลเองบางทีก็มีทุนพวกนี้ให้เช่นทุนกาญจนาภิเษก ผมเองไม่ค่อยรู้เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่คุณจขกท.ลองเช็คดูครับ จากนั้นก็ถามทางม.คุณว่าขอลาเรียนป.เอกได้ไหม อาจจะมีเซอร์ไพรส์อีกรอบ ส่วนเรื่องงานของทางคณะแต่พวกอาจารย์ต้องออกเงินเอง แบบนี้เข้าขั้นเอารัดเอาเปรียบกันแล้วครับ ค่าเดินทางหรือค่าเชิญอ.ภายนอกมาวิพากษ์ข้อสอบนั้นอยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน ไม่ใช่ค่าลงทุน(แบบงบเรียนต่อ) ไม่ยอมลงทุนหรือไม่มีเงินลงทุนนี่พอฟังได้ แต่ไม่จัดสรรค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานนี่ไม่ไหวนะครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 15:44:35

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับผม จากคุณ : จขกท (At Your Service) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 07:37:05

ความคิดเห็นที่ 21 ข้อมูลปี 53 รวมทุกวิทยาเขตครับ แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 54 22:07:47 แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 54 22:06:57 จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 22:06:02

ความคิดเห็นที่ 22 ลืมรูป -..- จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 22:08:31

ความคิดเห็นที่ 23 ขอแชร์ แค่มุมมองบางส่วน ผมมองที่หน้าที่ของอาจารย์ครับ ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง ถ้าคุณเติมเต็มหน้าที่นั้นได้ครบ ไม่ว่าใครก็เป็นอาจารย์ได้ ผมเจอคนเก่งๆ ที่ไม่มีอีโก้ เค้าพูดว่า เราต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เพราะผมก็ไม่ได้เก่งกว่าคุณเพียงแต่รู้มาก่อนเท่านั้น ไทเกอร์ วูด ก็ต้องเริ่มจากการ เด็กฝึกหัดเช่นกัน เราไม่รู้หรอกว่า คนที่เราคุยอยู่ตรงหน้าน่ะ จะมั ศักยภาพซ่อนเร้นไว้แค่ไหน เรื่องการศึกษาไทย เอ่อ.....ไม่พูดดีกว่า จากคุณ : earth tone เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 11:34:36