ความคิดเห็นที่ 1 บอกยากนะครับ ถ้าจะให้แนะนำในสิ่งที่ไม่ชอบ  แต่ให้แนะนำจริง ๆ ผมแนะนำหนังสือ ของ cambridge english grammar essential เล่มสีแดง แล้วต่อด้วย grammar in use เล่มสีน้ำเงิน สองเล่มนี้ครับ ผมเรียน grammar และฝึกฝนด้วยตัวเองด้วยหนังสือสองเล่มนี้ครับ จากคุณ : Plus Size+ เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 16:19:19

ความคิดเห็นที่ 2 คุณฝืนใจหยิบหนังสือไวยากรณ์มาอ่านด้วยความคิดว่ามันจะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษ ถ้าคุณทำแค่นี้โดยไม่ทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ชาติหน้าตอนบ่ายๆโน่นแหละถึงจะเก่ง การ "เก่ง" ภาษาอังกฤษ มีนัยอยู่ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญชำนาญหรือทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งด้านการนำเข้าคือการอ่านและการฟัง และด้านส่งออกคือการเขียนและการพูด ขึ้นชื่อว่าการฝึกเพื่อให้เกิดทักษะ หนทางเดียวที่จะทำได้คือการทำซ้ำๆซากๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อยๆ ทำจนมันติดหูติดตาติดปาก นึกอยากใช้งานเมื่อไรก็ทำได้ทันทีอย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง พูดง่ายๆคือต้องไปอ่านเขียนฟังพูด การอ่านหนังสือไวยากรณ์เป็นเพียงหลักการชี้นำ ผมเองใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องก็ยังจำหลักการไวยากรณ์ได้ไม่หมด ต้องไปเปิดตำราบ่อยๆเมื่อจำเป็นต้องยืนยันหลักการบางอย่างเผื่อจะโต้แย้งหรือจะแนะนำน้องๆ ความชำนาญของผมได้จากการอ่านเขียนฟังพูดจริงๆดังกล่าวมาแล้ว คุณเคยเห็นคนเก่งฟุตบอลได้เพราะการอ่านตำราเล่นฟุตบอลอย่างเดียวหรือ? เขาก็ต้องลงสนามซ้อมสนามเล่นทั้งนั้นถึงจะเก่ง อ่านตำราเป็นหลักไว้ก่อนเท่านั้นแล้วไปลงมือ ถ้ายังไม่แม่นกติกาไม่แม่นหลักก็กลับมาเปิดตำราแล้วกลับไปฝึก การจะทนฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกนานๆโดยที่เกลียดสิ่งนั้นๆเป็นใส้เดือนกิ้งกือ ไม่มีทางทำได้ ทางเดียวคือคุณต้องแสวงหาความสนุกในสิ่งที่คุณทำ ต้องได้ประโยชน์ ทำไปสนุกไป มันถึงจะทนลำบากได้ อ้อ อย่ามองหาทางลัด ความชำนาญจะเกิดได้ก็ด้วยการฝึกฝนแต่เพียงอย่างเดียว ครูเก่งแค่ไหนก็ได้แค่ชี้แนะหลักการ ความเก่งจะเกิดต้องได้จากการฝึกด้วยตัวเอง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 17:22:23

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องถามตัวเองว่า อยากพูดได้ฟังเป็นระดับไหน ถ้าแค่ระดับงูๆปลาๆก็คงไม่ต้องเรียน grammar แต่ถ้าอยากพูดและฟังจนเก่งจก็ต้องศึกษาเรื่อง grammar ให้แตกฉาน ที่สำคัญคือคุณเห็นความสำคัญของการเก่งภาษาอังกฤษหรือเปล่า ถ้าไม่เห็นความสำคัญก็ตัดมันทิ้งไปจากชีวิตคุณได้เลย ถ้าจะเรียนเพื่อแค่สอบโดยไม่ต้องการเก็บความรู้ไว้ในหัว อันนี้ผมแนะนำไม่เป็น รอความเห็นอื่นละกัน จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 17:30:07

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าคุณเกลียดหรือไม่ชอบภาษาอังกฤษ ชีวิตนี้จะไม่สามารถสะกดคำว่า"ความสำเร็จ"ได้ในการเรียนรู้ภาษานี้เลย :D จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 20:38:58

ความคิดเห็นที่ 5 ผมกำลังเหมือน จขกท เลย เพื่อนมันบอกว่า...ต้องเข้าใจ concept ของมันครับ จากคุณ : เคน7 (ken7) เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 21:49:14

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ชอบ ยังไงก็ต้องเรียนเอาคะแนน  บ่นในนี้ละเพื่อนเยอะเชียว ทบทวนที่เรียนอยู่ให้แม่น  พอเข้าม.มันก็แค่ทวนของเก่า เพิ่มศัพท์มากขึ้นเท่านั้น เพื่อนคนอื่นเรียนได้  เราก็ต้องเรียนได้  มนุษย์เหมือนกัน ที่ไม่ชอบอาจเป็นส่วนให้เรารุ่งในอนาคตก็เป็นได้ จากคุณ : renu2011 (renu2011) เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 22:26:23

ความคิดเห็นที่ 7 เราก็ไม่เคยเรียน grammar เลย เรียนฟังกับพูดเท่านั้น แล้วหัดอ่านเลย พอจะเขียนก็เขียนไปตามคิดนั่นแหละเพราะตัวเองคิดเป็นภาษาอังกฤษคล่องมากๆอยู่แล้ว เราทำงานเป็นล่ามในศาลและแปลเอกสารกฎหมายกับหนังสือราชการจากไทยเป็นอังกฤษมาตั้ง 15 ปี โดยที่ไม่เคยโดนลูกค้าฝรั่งทักท้วงว่าเขียนอังกฤษผิดธรรมชาติ เราเพิ่งมาเรียน grammar ก็เพราะเล่น pantip นี่แหละ คือไปเจอคนเก่ง grammar มากๆเขาพล่ามว่า "ไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด" เล่นเอาเราไม่กล้าเขียนภาษาอังกฤษไปเลย แต่พอไปแปลนิยายก็เห็นฝรั่งเขียนประโยคแบบที่เราเขียน ในที่สุด "เราเริ่มรู้ว่าใช้ภาษาอังกฤษผิดหรือถูกเรารู้ได้ด้วยสัมผัสพิเศษ" ^ คนที่ทำแบบฝึกหัด grammar เยอะมากๆ แต่ไม่อ่านหนังสือมากๆ เวลาเขียนก็ยังผิด grammar ได้ ถ้าไม่มีสัมผัสพิเศษ น้อยคนนักที่จะพัฒนาสัมผัสพิเศษได้ ส่วนใหญ่พวกเขาคิดว่าถ้าจะเก่งอังกฤษก็ต้องไปเรียนภาษาอังกฤ๋ษตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท ไปจนถึงปริญญาเอก ^ แต่จะบอกให้ว่า คนที่ไม่มีสัมผัสพิเศษ ต่อให้จบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษจากเมืองนอก ก็ยังเขียนภาษาอังกฤษพลาดท่าเหมือนคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 พลาดท่าได้ ^ แต่คนมีสัมผัสพิเศษต่อให้ไม่เรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยก็เอาชนะคนจบด้านภาษาอังกฤษจากมหาลัยดังๆได้ แต่ถ้าคนมีสัมผัสพิเศษแล้วไปเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยก็จะยิ่งเก่งไร้เทียมทาน ........................................................................ ตำราเรียนอังกฤษจากต่างประเทศสมัยใหม่มันสอนฟังกับพูดไปเลยโดยไม่ทำแบบฝึกหัด grammar คือมันให้ตัวอย่างประโยคมา แล้วให้ผู้เรียนเอาประโยคไป improvise คือพูดใหม่โดยเปลี่ยน subject, verb, object และ modifier พูดพลิกกลับไปกลับมาเดี๋ยวก็พูดถูกหมด แล้วก็หัดเขียนประโยคง่ายๆ จนพูดเชียนถูก grammar หมด ^ จริงๆแล้วมันเป็นการเรียน grammar โดยวิธีพูดแทนที่จะทำแบบฝึกหัด grammar แบบไร้ชีวิตชีวาน่าเบื่อนั่นเอง จริงๆแล้วตำราแบบนี้มันมีมานานแล้ว แต่ที่เขาไม่เอามาสอนเด็กมัธยมของไทย ก็เพราะว่าครูที่สอนมัธยมของไทยส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้เป็นธรรมชาติ เวลา improvise มันจะออกมาผิดๆเพื้ยนๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคนที่ไม่เก่งอังกฤษจะเอ็นเข้ามหาลัยดีๆไม่ค่อยได้ (ภาษาอังกฤษเป็นตัวตัดเชือกในการเอ็นเข้ามหาลัย) จึงต้องไปเรียนครูจากมหาลัยที่ผลิตครูปีละมากๆจนล้นประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่รองรับเด็กที่เอ็นเข้ามหาลัยดีๆไม่ได้ ^ ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีปัญหาในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมากๆเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างจีนเป็นต้น (ไม่นับเพื่อนบ้านที่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ) คนจีนที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมเก่งกว่าครูไทยมากๆ (เคยดูทีวีจีนบ่อยๆ) ในประเทศไทยมีครูน้อยคนนักที่จะรู้วิธีสอน conversation ด้วย improvisation แล้วกลายเป็นนักเรียนเรียน grammar ไปได้โดยธรรมชาติ ครูที่สอนต้องมีพรสวรรค์จริงๆ   เวลานี้เราก็ยังไม่รู้กฎ grammar  ทั้งหมด แต่ "สัมผัสพิเศษ" บอกเราว่า "มันฟังๆหรืออ่านๆดูแล้วแปลกๆ มันผิดหรือเปล่า? และอีกไม่นานนัก เราก็ค้นข้อมูลเรื่อง grammar ยากๆพอที่จะตอบข้อสงสัยตัวเองได้หมด" ตกลงเป็นอันว่า grammar เราแค่รู้กฎสำคัญๆบางอย่าง แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เพราะสมัยนี้การค้นข้อมูลจาก google ทำได้ง่ายมากๆ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 54 02:14:46 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 54 02:12:06 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 54 02:07:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 02:04:03

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเองตอนเด็กๆ  ภาษอังกฤษห่วยแตก  แย่มากๆ มีจุดเปลี่ยนตอนเรียน ม. 2 ก็เลยตั้งใจ "ทำความเข้าใจ" กับภาษาอังกฤษตั้งแต่นั้นมา ผมจะไม่ใช้วิธี "ท่องจำ" ครับ  เพราะผมคิดว่ามันไม่ค่อยยั่งยืน  จำๆ ไป มันอาจจะลืมได้ง่ายๆ (ก็แล้วแต่บุคคลนะครับ) สู้ว่าเรา "ทำความเข้าใจ" กับธรรมชาติของหลักภาษาอังกฤษ แล้วมันจะอยู่กับเราไปได้นาน ทุกอย่างก็จะเป็นไปอัตโนมัติเอง  เวลาใช้งานก็จะลื่นไหล เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะ พูด ฟัง อ่าน เขียน แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่สามารถเกิดได้ภายใน 1 เดือน  3 เดือน 6 เดือนครับ ไม่มีหลักสูตรอะไรจะมารับประกันว่าในระยะเวลาสั้นๆ จะเห็นผลแป๊ะขนาดนั้น ทักษะพวกนี้ไม่ใช่บะหมี่มาม่า  ฉีกซอง  ชงน้ำร้อนแล้วรอกินได้เลย ต้องใจเย็นๆ ใช้เวลาพอสมควร  ค่อยเป็น ค่อยไป ตอบแบบกำปั้นทุบดิน  อยากเก่งทักษะอะไร  ก็ต้อง "ฝึก" และ "ใช้งานจริง" กับทักษะนั้นครับ ส่วนตัวผมเองไม่เคยเข้าโรงเรียนติวอะไรพิเศษเลย เรียนรู้จากตำราด้วยตนเองทั้งหมด  สะดุดจุดไหน ก็เปิดตำราอ้างอิง  "ทำความเข้าใจ"  ก็จะร้อง อ๋ออ  ได้คำถามที่เข้าใจเอง บางทีเราเข้าใจวัฒนธรรมฝรั่ง  ก็จะเข้าใจภาษาเค้าด้วยว่าทำไมเค้าใช้แบบนี้ (เพราะถ้าคิดแบบไทยๆ มันไม่น่าจะใช่)เช่น She's sleeping in the bed  ====>  ทำไมไม่ on เพราะลักษณะเตียงฝรั่งเค้าทำผ้าห่มคลุมเตียง  เวลานอนก็สอดตัวเข้าไป  ก็เข้าใจตามวัฒนธรรมฝรั่ง จะได้ไม่งง ------------------------------------------------------ เข้าเรื่องครับ...พล่ามมานาน grammar เนี่ยผมว่าสำคัญนะ เพราะมันเหมือนคุณรู้เครื่องปรุงส่วนประกอบของอาหารที่คุณจะทำกิน ถ้าคุณไม่รู้ grammar เลย ก็ลำบาก  ปรุงอหารออกมาหน้าตาแปลกๆ รสชาติเพี้ยนๆ แน่เลย ถ้าจะเอาสอบอย่างเดียว แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็ต้องทำดูขอสอบเยอะๆ  แล้วดูว่าเฉลยว่าทำไมได้คำตอบแบบนั้น เทคนิคที่ทำข้อสอบได้เร็วและพลาดน้อยคือ ตัดข้อที่ผิดให้หมดไปก่อน  ที่เหลือมาเลือกข้อที่ถูกที่สุด แต่ชอบคำพูดที่ว่า "สัมพัสพิเศษ"  จังเลย เพราะมันจะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติเวลาที่คุณมี grammar ดีมากๆ เวลาเจอแอเรอร์  มันจะสะดุดขึ้นมาเองว่าไม่ใช่แน่ๆ ส่งกำลังใจให้ครับ  ขยันทำความเข้าใจ ก็จะสำเร็จไปเองอ่ะครับ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 54 09:06:08 จากคุณ : batman_forever เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 08:54:57

ความคิดเห็นที่ 9 แรกเลย หาหนังสือที่ดูท่าทางทำแล้วสนุก ต่อมา เลือกหนังสือระดับที่ง่ายๆ ก่อน แต่ไม่ใช่ง่ายแบบระดับน้อง ป.2 ป.3 นะ หลังจากนั้น ทำแล้วตรวจด้วยปากกาแดง ทำแล้วตรวจ แล้วประเมินผลตัวเอง ถ้า........ร้อยละ 80 คุณทำได้ (แม้ว่ามันจะเป็นระดับพื้นฐาน) คุณจะมีกำลังใจต่อระดับที่สูงขึ้น คนเรา ไม่ว่าจะทำอะไร ให้ทำในระดับง่ายๆ ก่อน ความมั่นใจ ความสำเร็จจากระดับนั้น จะหล่อเลี้ยงใจให้มีกำลังฮึดสู้ ลองมาแล้ว ทั้งเรียนด้วยตัวเอง และสอนคนอื่น คนเราเก่งได้ไม่ยากหรอก อย่าไปเริ่มที่ระดับยากกว่าความสามารถตัวเองแล้วกัน รับรองได้ ทำไปไม่เกิน 5 units หรอก ล้มเหลว ท้ายสุดก็ล้มเลิก จากคุณ : Lovely Creature เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 10:16:53

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามาเก็บความรู้ค่ะ เป็นประโยชน์มากเลย ขอบคุณมาก^_^ จากคุณ : โดราเอมี่ เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 11:27:43

ความคิดเห็นที่ 11 สัมผัสพิเศษค่ะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ จริงๆมันก็ไม่ใช่สัมผัสพิเศษหรอก มันก็เหมือนเราพูดภาษาไทยได้ถูกทั้งๆที่เราไม่รู้หลักภาษาไทยนั่นแหละ แต่การที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ถูกแกรมมาร์ มันต้องใช้เวลานานมากกก แต่สักวันมันจะเข้าใจไปเอง ไม่ต้องไปท่องแกรมมาร์อะไรหรอก ไม่รู้เรื่อง เรายังเรียนหลักภาษาไทยได้เกรดสองเลย ๕๕๕ ตอนนี้มาถามแกรมมาร์เรา เราก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำศัพท์ คำเรียก แกรมมาร์อะไรต่างๆ เพราะไม่เคยเรียน แต่ถ้าเห็นที่เขียนมา ถามว่าถูกไหม สามารถบอกได้ว่าผิดหรือถูก เพราะว่าถ้ามันไม่ถูกมันจะแปลกๆ มันจะบอกได้เอง ส่วนให้อธิบาย บางทีก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็มันไม่ถูกน่ะ ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ซึ่งฝรั่งส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ครูสอนภาษาก็จะตอบแบบนี้แหละ รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ไม่รู้ว่าทำไม เพราะไม่ได้เรียนแกรมมาร์ หรือถ้าเรียนในห้องเรียนตอนสมัยเด็กๆ อาจจะได้เกรดสองเหมือนเรา หรือแย่หน่อยก็ตกเลยก็ได้ พูดจริงนะเนี่ย ภาษาเป็นทักษะ ต้องใช้บ่อยๆ แล้วจะเชี่ยวชาญ ส่วนแกรมมาร์มันจะใช้ได้ถูกของมันไปเองค่ะ โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมถูก ก็มันใช้แบบนี้น่ะ แต่กว่าจะได้ในระดับนั้น สิบปียังไม่พอนะคะ จากคุณ : Le Cielo เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 13:22:48

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่อง "สัมผัสพิเศษ" อันนี้มีจริง สมัยเราเป็นเด็กวัยรุ่นเราฟังฝรั่งพูดแล้วเลียนแบบมาพูดเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่ไม่เคยเรียน grammar เลยและไม่เคยทำแบบฝึกหัด grammar เลย เราก็พูดได้ไม่ผิดเพี้ยน ถ้า จขกท ต้องการเรียนอังกฤษโดยเรียน grammar น้อยที่สุด ก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องเสียเงินเยอะหน่อยคือจ้างฝรั่งมาพูดอังกฤษด้วยทุกวัน หรือถ้าจะเอาแบบไม่เสียเงินก็มีแฟนฝรั่งมันซะเลย พอคุณพูดผิดก็ให้ฝรั่งแก้ให้ แล้วคุณก็เลียนแบบพูดใหม่ให้ถูกต้อง นี่เป็นวิธีที่เราเรียน grammar ด้วยวิธีธรรมชาติ จนเราพูดถูกไปเอง ซึ่งมันต่อยอดให้เรียนทักษะอย่างอื่นที่ยากกว่านั้นได้ เราเคยพยายามใช้ "สัมผัสพิเศษ" อ่านหนังสือภาษาอังกฤษแล้วเลียนแบบมาเขียน แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก ^ แต่ถึงกระนั้นก็ตามในสมัยหนึ่งเราก็แค่คิดเป็นภาษาอังกฤษยังไงแล้วก็เขียนภาษาอังกฤษออกมายังงั้นแบบมวยวัดโดยไม่เคยเรียน grammar กับ writing ที่ไหนเลย แต่เวลาเขียนภาษาอังกฤษเพื่อสมัครงานหรือในการแปลเอกสารกฎหมายกับเอกสารราชการจากไทยเป็นอังกฤษก็ไม่เคยโดนฝรั่งที่ไหน complain ว่ามันเละเทะจนอ่านไม่รู้เรื่องนะ ทั้งๆที่เราคิดว่าเราน่าจะเขียนได้ดีกว่านี้ แต่ก็จนใจที่เขียนได้แค่นี้ ก็เอาแค่นี้หละ เราก็เลยอยากปรับปรุง โดยการหา textbooks เรื่อง grammar กับ writing มาอ่าน เพื่อหวังจะเก่ง writing เราก็ไม่เคยอ่านจบเล่มเลย เพราะมันน่าเบื่อมากๆ แต่อยู่ดีๆ เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา cells ร่างกายและสมองเราเปลี่ยนไปแบบ biological transmutation (ผ่าเหล่าผ่ากอในเชิงชีวะ) คงเป็นเพราะเรากินอาหารธรรมชาติมาหลายสิบปี เราเริ่มมองเห็น sentence structure แบบ "เห็นทางสว่าง" คือเรารื้อมันออกแล้วเอากลับไปเขียนใหม่พลิกแพลงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ   ^ ทำให้ตอนนี้เราสามารถเรียน writing ได้ด้วยตัวเองโดยใช้ "สัมผัสพิเศษ" เราแค่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ และหัดเลียนแบบวิธีที่ฝรั่งเขียน และเริ่มทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ^ น่าเสียดายที่เราพัฒนาสัมผัสพิเศษเรื่อง writing ได้ตอนอายุมากๆไปซะแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เราแค่ฝึกคัมภีร์โบราณให้เราหน้าตากลับเป็นเด็กวัยรุ่นได้ใหม่อีกตอนอายุเกิน 100 ก็ซะแล้วกัน (เคยฝึกแล้วหยุดไป แต่ตอนนี้ฝึกหนักมากๆ) จะได้ไม่แพ้เด็กเรียนเก่ง เพราะเด็กเรียนเก่งพออายุเกือบๆ 100 ก็สมองเลอะเลือนกันซะส่วนใหญ่แล้ว...555+++... แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 54 13:50:42 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 13:38:24

ความคิดเห็นที่ 13 หาโหลดไฟล์ ใน google อันนี้ครับ Essential Grammar In Use 2nd edition by R.Murphy   AUDIO MP3 Tracks เอาไว้ฟังยามว่างครับ ฟังเรื่อยๆ  ไม่ได้สนใจว่ามันคืออะไร ซึมเข้าไปในหัวได้ดีเหมือนกัน จากคุณ : สุขแท้เบายิ่ง เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 14:24:42

ความคิดเห็นที่ 14 โหยขอบคุณพี่ๆทุกคนมากเลย เราจะเอาคำแนะนำของพี่ๆไปใช้นะคะ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนจะเข้ามาตั้งกระทู้ถามใหม่ รบกวนพี่ๆด้วยนะคะ :D ขอบคุณอีกครั้งค่า จากคุณ : กีกีลาล่า เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 00:10:49 A:171.97.17.108 X: TicketID:336754

ความคิดเห็นที่ 15 มีภาษิต/คำคมมาฝาก หวังจุดประกายความหวัง กระตุ้นกำลังใจ เสริมพลังสติปัญญา.... ---------------------------------------------- * To achieve success, you must have perseverance. [ท่านจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยความานะพยายาม] * When the willingness is great, the difficulties cannot be great. [เมื่อตั้งความปรารถนาไว้แรงกล้า ความทุกข์ยากก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก] * A determined effort breaks every fetter. [ความพยายามอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้ทุกเครื่องพันธนาการขาดสะบั้นได้] จากคุณ : ร่วมด้วยช่วยกัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 15:01:04 A:58.11.64.56 X: TicketID:255444

ความคิดเห็นที่ 16 เพื่อนๆที่ไปเรียนเมืองนอก ไปอยู่ในสังคมแบบที่ใช้ภาษาอังกฤษทั้งวันทั้งคืน โดยรวมจะเริ่มใช้ภาษาอังกฤษได้จริงๆประมาณเดือนที่7กัน(ถามๆมา) พวกนี้คือมีพื้นฐานค่อนข้างดีกันอยู่แล้วนะ เพราะฉะนั้น อยู่เมืองไทย ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก คงต้องใช้เวลาหลายปีมาก ไม่อยากให้ท้อ แต่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน วันละครึ่งชม.ดีกว่าอาทิตย์นึงเรียนวันเดียว3ชม. มันไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะสักพักคุณก็จะลืม ความเห็นเรา ช่วงแรกคงต้องจำบ้าง แต่ไม่ใช่ท่องว่า rat หนู แบบนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ต้องจำว่ารูปประโยคแบบนี้ใช้กับสถานการณ์แบบนี้ แล้วสามารถเปลี่ยนไปใช้กับอย่างอื่นได้หรือไม่(ตรงนี้อยู่ที่ตัวเราเอง ภาษาไทยบางคนยังใช้มั่วกันอยู่เลย) ลองเริ่มจากหนังหรือเพลงก่อน น่าจะง่ายกว่าอ่านหนังสือแกรมม่านะคะ จะได้เห็นสถานการณ์จริง จากคุณ : Chikau เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 17:29:09

ความคิดเห็นที่ 17 เราเรียนภาษาอังกฤษได้เกรดเอมาตลอดการเรียน โดยไม่สนใจแกรมมาร์ ไม่เคยอ่านเลย ผันถูกแต่กริยาสามช่อง เพราะมันต้องท่องไปสอบ เพราะข้อสอบไทยเป็นแบบเลือกข้อที่ถูก ถ้าเราอ่านผ่านตาบ่อยๆ จะคุ้นกับรูปประโยค เห็นตัวเลือก เราลองอ่านในใจดู อันไหนเข้าท่า ไม่ผิดหู กาอันนั้น ...สำหรับเรา ข้อสอบภาษาอังกฤษง่ายมาก ก่อนสอบภาษาอังกฤษนี่เราดูหนังแล้วนอน ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เพราะ unseen reading อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรามาอยู่ตปท. เคยตั้งกระทู้ในนี้ด้วยความท้อใจด้วย เชื่อไหม ต้องสั่งหนังสือแกรมมาร์มาอ่าน ที่ไม่เคยจับเลยนี่ล่ะ เพราะที่ผ่านมาภาษาอังกฤษเราเป็นแบบตั้งรับ ( passive ) ตลอด  อ่าน ฟัง แปล มันง่ายกว่าการที่เราจะพูด(ให้ได้อย่างใจคิดในเวลาอันเหมาะสม ไม่ใช่มัวแต่คิดๆๆๆๆ อยู่ ) และเขียน ( อันนี้ปาดเหงื่อมาก โดนให้ไปลงคอร์ส writing for ESL อยู่) อ่านไป เซ็งไป เพราะมันเยอะ แล้วก็ยกเว้นเยอะ คือหลักการเป็นอย่างงี้นะ แต่ยกเว้น... แล้วมันยกเว้นกันได้ทุกหลักสิน่า แบบไม่มีเหตุผลด้วย เพราะภาษาคือการศิลปะ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เหตุผลคือ เพราะแบบนี้มันถูก จบ แต่อ่านๆ ไปมันก็เริ่มซึมๆ เข้าหัวเหมือนกัน พบว่าหลายๆ อันที่เป็นแกรมมาร์ เราก็ใช้ถูกอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว ก็พอเป็นกำลังใจให้เราได้บ้าง พบว่า การใช้แกรมมาร์ได้ดี ทำให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมากจริงๆ ปล. จากที่อ่านแกรมมาร์แล้วข้อยกเว้นเยอะมากเนี่ย พบว่า แกรมมาร์ ( ถ้าคุณจำไม่ได้ทั้งเล่ม ชนิดทุกตัวอย่าง ) ไม่สู้ ความคุ้นหู หรือจะเรียกสัมผัสพิเศษ ก็ได้ เพราะถ้าเมื่อไรมันผิดหูนะ มันผิดแน่ๆ ทั้งที่มันถูกหลัก มันจะต้องอยู่ในข้อยกเว้นบรรทัดใดบรรทัดนึงในเล่มนั่นสิน่า  รับรองได้ จากคุณ : PDF เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 15:04:47