ความคิดเห็นที่ 1 เงินเดือนอ. จริงๆไม่ได้น้อยหรอกครับ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบเงินเดือนหลักเเสนเพราะมาทำงานด้านบริหารด้วย จากคุณ : นิสิตมหาดเล็ก เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 01:19:55

ความคิดเห็นที่ 2 เงินเดือนหลักเเสน  เนี่ยมันมีสักกี่คนครับ เอาแค่ในคณะเดียว ขนาดคณบดี แถวๆจังหวัดผมยังไม่ได้ขนาดนั้นเลยแม้จะบวกโน้นบวกนี้แล้วก็ตาม จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 01:31:03

ความคิดเห็นที่ 3 ปกติเมื่อเข้าเป็นอาจารย์ใหม่ ๆ ก็คงยังไม่ได้รับหน้าที่บริหารอะไรครับ ที่นำมารวบรวมนี้เป็นเงินเดือนเริ่มต้น ซึ่งหากนำไปเปรียบเทียบกับเอกชนก็ควรเปรียบเทียบกับเงินเดือนเริ่มต้นเช่นกันครับ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 01:31:28

ความคิดเห็นที่ 4 เพื่อนเราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรุ่นที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบไปบ้างแล้วค่ะ เราจะบอกว่าเงินเดือนมันไม่ได้มากอย่างที่คุณนิสิตมหาดเล็กว่าหรอกค่ะ อันที่จริงมันก็ตามที่คุณ จขกท ทำการค้นคว้ามานั่นแหล่ะค่ะ พอทำไปซักระยะก็พอจะมีช่องทางดิ้นรนหาทางขยับขยายด้วยการสอนเกินโหลด ทำวิจัย ทีนี้จะได้มากได้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับความขยันกับความอึดของตัวเอง แต่ถ้าคิดจะเป็นอาจารย์อย่างเดียว ไม่ทำตำแหน่งทางวิชาการ ไม่รับตำแหน่งบริหาร ซึ่งค่าตอบแทนก็ไม่เท่ากันในแต่ละมหาวิทยาลัย (แต่ไม่มากขนาด Top up กันจนเงินเดือนไปเป็นหลักหลายหมื่นหรือเป็นแสนแน่ๆ) ก็ต้องนั่งตาปริบๆมองเพื่อนที่ไปทำงานเอกชนเค้าได้เงินเดือนวิ่งกันครึ่กๆทิ้งกันไปไม่เห็นฝุ่น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เลยกลายเป็นว่า ห้องพักอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยกลายเป็นห้องว่างๆ ไม่เจออาจารย์นั่งประจำซักเท่าไหร่ ไปแบกจ๊อบกันซะเยอะ ไม่ก็ติดป้ายกรุณาอย่ารบกวนไปโน่น คนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่องานอาจารย์เพียงอย่างเดียว ต้องใช้กำลังใจมากๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ เพราะยังไงๆ ก็อู้ฟู่เหมือนเพื่อนๆที่ทำงานในสายอื่นได้ยาก เราจึงนับถือคนที่เลือกเป็นอาจารย์และอุทิศตนเองเพื่อการพัฒนาคนจริงๆจังๆมากค่ะ ป.ล. ขอบคุณ จขกท มากนะคะสำหรับข้อมูล เราจัดให้คุณ จขกท ไปสามกีบเลยค่ะ แทนคำขอบคุณจากเรา อยากรู้เงินเดือนเพื่อนมานานละ แต่เพื่อนไม่ยอมบอก ๕๕๕๕๕ จากคุณ : pasteque เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 04:05:44

ความคิดเห็นที่ 5 - ของรัฐด้วยกันแต่ไม่เท่ากันเลย ของจุฬา กับ มช. กับม.เกษตร ต่ำกว่าี่ที่อื่นอีก - ของธรรมศาสตร์ไม่มีเหรอคะ? จากคุณ : ไข่ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 10:19:23 A:200.80.112.82 X: TicketID:107453

ความคิดเห็นที่ 6 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาเอก 19665 บาท!!! โห แล้วปริญาตรี 15000 แล้วใครจะอยากเป็นอาจารย์ จากคุณ : พวงไสว เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 11:29:57

ความคิดเห็นที่ 7 อันนี้คือผมก็ไม่เเน่ใจอะนะครับ เเต่อ.ท่านนึ่งที่จุฬาฯ เล่าให้ฟังว่าอย่าง ท่านศ.นพ.ภิรมย์ อธิการบดี จุฬาฯท่านเงินเดือนหลักเเสนรวมถึงคณบดี ด้วยครับ เเต่ถ้าไม่ใช่คือ อ. ทั่วๆ ไปก็จะเป็นตามที่จขกท บอกครับ ซึ่งส่วนตัวผมก็คิดว่าไม่น่าถึงครับ จากคุณ : นิสิตมหาดเล็ก เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 12:15:36

ความคิดเห็นที่ 9 ม . แม่ฟ้าหลวง อัตราเงินเดือนขั้นฐานวุฒิปริญญาโท 16,830 บาท และวุฒิปริญญาเอก 25,290 บาท อ้างอิง http://www.mfu.ac.th/Pr/app32_45.htm จากคุณ : ชัยชนะของนักปราชญ์ (Chivatsu) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 13:24:28

ความคิดเห็นที่ 10 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ป.เอก 36,750 บาท (พยาบาล) อ้างอิง http://jobthai-thaijob.** ไม่ใช่ลิควิด **/2009/06/blog-post_12.html จากคุณ : ชัยชนะของนักปราชญ์ (Chivatsu) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 13:28:08

ความคิดเห็นที่ 11 ม.ทักษิณ ป.โท  12090 อ้างอิง sosk.pres.tsu.ac.th/research/files/0507201154540616-25.pdf จากคุณ : ชัยชนะของนักปราชญ์ (Chivatsu) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 13:39:47

ความคิดเห็นที่ 12 เงินเดือนอาจารย์ ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจากงบประมาณอุดหนุนรัฐ คือ รายได้ของมหาวิทยาลัย ครับ ถ้ามหาวิทยาลัยมีรายได้จากการบริหารจัดการค่าธรรมเนียมและค่าบริการทางการศึกษาต่างๆที่เรียกเก็บและจากทรัพย์สินในรูปของการให้เช่า ก็สามารถจ่ายเงินเดือนให้อาจารย์ได้มาก ไม่จำเป็นต้องออกนอกระบบหรอกครับ เพราะมหาวิทยาลัยที่ จขกท โพสต์มาก ในจำนวนหนึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการ จากคุณ : Mr.Review เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 14:45:12

ความคิดเห็นที่ 13 เราก็เป็นอาจารย์ค่ะ จบโท ได้เงินเดือนก็เท่าที่ทุกคนทราบนั่นละ จริงๆได้เงินเดือนน้อยกว่าตอนจบป.ตรี เกือบเท่าตัวเลยนะ เพื่อนๆที่จบตรีรุ่นเดียวกันป่านนี้ก็ได้เงินมากกว่าเราไปหลายเท่าตัวแล้วละ แต่งานทางสายเรา(ด้านภาษา) มันเริ่มต้นด้วยเงินที่มากก็จริงแต่มันก็เหมือนไม่มั่นคงเท่าไหร่ ตอนแรกเลยที่เรากำลังจะเรียนจบ เราก็๋คิดจะทำงานบริษัทนั่นละด้วยเงินเดือนที่ค่อนข้างมาก มาล่อใจ แต่สุดท้ายไม่รู้ชะตาฟ้าลิขิตยังไงให้ผกผันตัวเองมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คงจะเพราะอยากกลับมาอยู่ใกล้บ้านด้วยมั๊ง ถึงกระนั้นก็ยังมีเพื่อนบางคนชอบมาพูดให้รู้สึกเซ็งไม่ได้ว่า อุตส่าห์เรียนจบโทนอกมา มาเอาเงินเดือนแค่นั้นเนี่ยนะ เฮ้อ.. จากคุณ : chocop_17 เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 15:50:29

ความคิดเห็นที่ 14 คห. 9 ดูเหมือนประกาศของ ม.แม่ฟ้าหลวงอันนั้นจะเก่าหน่อยครับ (ปี 2545) ปัจจุบันน่าจะขยับไปเยอะแล้ว ผมได้ยินมาว่าประมาณ 34000 บาท แต่ไม่มีข้อมูลอ้างอิงครับ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 19:11:20

ความคิดเห็นที่ 15 เอาตรงๆอาจารย์มหา'ลัย ส่วนใหญ่ ไม่บ้านพอมีเงินบ้างอยู่เเล้ว ก็คือสามีพอมีเงินบ้าง เเนวๆลูกคุณหนูทำอาชีพนี้กันเยอะ 1. งานอิสระกว่าบริษัท 2.มีเกียรติ คนนับถือ ยิ่งถ้าจบดร.เเล้วสอนม.รัฐใหญ่ๆ 3. งานไม่หนักเท่าบริษัท ไม่ถูกใช้หรือถูกเจ้านายว่าขนาดนั้น เห็นเพื่อนๆเราที่เเล้วไปเป็นอาจารย์เนี่ย ส่วนใหญ่บ้านไม่ได้ยากจน คือ ฐานะปานกลางไปจนถึงรวย หรือไม่อีกอย่างก็คือสามีรวย อย่างเพื่อนเรา2คนจบอักษร จุฬาฯเเล้วไปเป็นอาจารย์ คนนึงเรียนจนจบป.เอกด้วยทุนที่บ้านที่บ้านขายทองรวยอยู่เเล้ว อีกคนก็เเต่งกะหมอ ตัวเองเงินเดือน 20,000ต้นๆเเต่สวัสดิการรัฐดี สามีหมอก็เงินเดือนเป็นเเสนกลัวอะไร ส่วนเราเองจบด้านบัญชี เพื่อนที่เก่งๆก็ไปเป็นอาจารย์ครึ่ง ทำงานบิ๊กโฟร์ครึ่ง ดูเเล้วคนทำงานอาจารยืเบิกบาน เครียดน้อยกว่าค่ะ เราเองอายุ20ปลายๆทำงานบริษัทเงินเดือน 40,000 เข้า8โมง เลิก6โมง บางทีอยู่จนถึงสี่ทุ่ม เเต่เพื่อนในกลุ่มคนนึงสอนอยู่ม.รัฐทางภาคเหนือเงินเดือน+ค่านู่นนี่ได้ 30,000 ต้นๆ ทำงานอาทิตย์ละ4วัน เอางานเด็กไปตรวจที่บ้านบ้าง เข้า8โมง เลิก4โมงเย็นกลับบ้านได้ เพื่อนเรายังบอกเลยว่ามีความสุขมาก เเต่อย่างเราเองทำงานบริทมาก็ชอบนะท้าทายดี เเต่มันหนัก เเล้วเเต่คนชอบหล่ะ จากคุณ : อื้ม เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 19:44:55 A:124.121.198.216 X: TicketID:330929

ความคิดเห็นที่ 16 เราเข้า 9.30 กลับไปเป็นโกฟุตบอล (รับลูก) เวลา 15.00 จากคุณ : oti (oti) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 19:57:30

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าคิดเป็นจำนวนชั่วโมงงาน ต่อสัปดาห์ แล้วยังน้อยกว่าหลาย ๆ อาชีพแล้ว วิกฤตน่ะซิครับ เพราะยังไม่ได้นับถึงความสำคัญของงาน หรือว่าจะจริงที่เขาให้ประชาชนฉลาดมากไม่ได้ เพราะปกครองยาก จากคุณ : Excess เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:40:24

ความคิดเห็นที่ 18 คนในสังคมไทยเขาสวนหน้ากากเข้าหากันเกือบทุกระดับเลยหละ! เอาแค่ระดับการศึกษามันก็หลอกกันว่า "เป็นครูอาจารย์ต้องเสียสละกัดก้อนเกลือกินเพื่อพัฒนาประเทศชาติ" แต่จริงๆแล้ว มันเป็นกลลวงกันชัดๆ ใครโง่ไปเชื่อก็ซวยไป เพราะมันเป็นจริงอย่างที่คุณอึมพูดใน คคห 15 ว่า "เอาตรงๆอาจารย์มหา'ลัย ส่วนใหญ่ ไม่บ้านพอมีเงินบ้างอยู่เเล้ว ก็คือสามีพอมีเงินบ้าง เเนวๆลูกคุณหนูทำอาชีพนี้กันเยอะ" ^ เพื่อนแฟนเราที่เรียนด้านภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ปริญญาตรีถึงโททุกคนที่บ้านฐานะปานกลางหยุดแค่ปริญญาโทแล้วไปทำงานบริษัทเอกชนเงินเดือนเยอะๆกันหมด ส่วนพวกคุณหนูที่บ้านร่ำรวยไปเรียนต่อถึงปริญญาเอกจากเมืองนอก แล้วไปทำงานเป็นอาจารย์ในมหาลัย ขี่รถคันหนึ่งหลายล้าน (พ่อแม่ซื้อให้) มีบ้านหลายสิบล้าน (พ่อแม่ซื้อให้) และมีเงินพิเศษเป็นจำนวนมากทุกเดือน (พ่อแม่จ่ายให้) ทุกอย่างพ่อแม่ลงทุนให้ลูกมีปัจจัยที่จะอยู่อย่างคนระดับไฮโซได้ทั้งๆที่เงินเดือนมหาลัยให้น้อย เพราะถือว่าทำงานที่มีเกียรติ์ในสังคม เชิดหน้าชูตาวงตระกูล ถ้าพ่อแม่ไม่โป๊ะเงินให้ ลูกก็ลาออกจากตำแหน่งอาจารย์มหาลัยแหงๆเลย เพราะรู้ๆอยู่แล้วพวกลูกคุณหนูเงินเดือนมหาลัยแค่นี้ไม่พอซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กับเครื่องประดับหรูๆหรอก แม้กระทั่งคำพูดที่ว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" นี่คนไทยก็หลอกกัน หลอกให้ไปตายกันชัดๆเลย จะเล่าเรื่องจริงให้ฟัง หมอดูคนหนึ่งเคยเป็นบวชเป็นพระมาตั้งเกือบ 20 ปี ตอบบวชเขามีเวลาศึกษาโหราศาสตร์มากๆมาย (แต่ศึกษาศาสนาพุทธก็เฉพาะเรื่องที่เกียวกับพิธีกรรมต่างๆ) สึกออกมาเขาเป็นหมอดูและรอบรู้มากเรื่องการรู้ทันคนไทย  เขาสอนเราว่า "พระดังๆแอบเสพย์เมถุนลับๆกันมากมาย ม่ายงั้นอยู่ไม่ได้หรอกบวชหลายๆสิบปี วิธีการก็คือสึกก่อนแล้วเสพย์เมถุน พอเสพย์เสร็จก็บวชใหม่ ซ้ำๆก้นแบบนี้" แล้วเขาบอกว่า "รู้ไหมสมัยโบราณเวลาคนไทยเขาจะไปสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะต้องพูดความจริงๆ ก่อนจะไปสาบานเขาไปบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไว้ก่อนแล้วว่า "ลูกช้างจำเป็นต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอด โปรดอย่าให้คำสาบานเป็นจริง"" พอเขาเข้าทำพิธีสาบาน เขาก็บอกว่า "ถ้าพูดเท็จขอให้มีอันเป็นไป ขอให้ตายแบบผิดธรรมชาติ ฯลฯ" แต่เขาสบายใจว่า "ได้ไปตกลงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว" ^ วิธีการเช่นนี้ทำให้คนที่รู้ไม่ทันต้องไปตายหลายคนแล้ว เพราะหลงกลเชื่อว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" เราว่าคนไทยนี่เป็นชาติที่โกหกเก่ง สวมหน้ากากเข้าหากัน หลอกกันเก่งที่สุดในโลกเลยหละ ใครจะอยู่ในสังคมไทยให้รอดได้ ต้อง "รู้ทันเล่ห์คนไทยด้วยกัน" ไอ้เพลงที่มันร้องว่า "แสงเรืองๆที่สองประเทืองไปทั่วเมืองไทย..." น่ะ ใครไปมีอุดมคติตามเพลงนั้น ชีวิตก็หาความสบายไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าไปเป็นครูอาจารย์แล้วก็หางานพิเศษเช่นไปเป็นพิธีกรทีวี โฆษณาสินค้า เอาตำแหน่งอาจารย์สร้างความน่าเชื่อถือไปหาเงิน แค่เตรียมตัวไปออกทีวีนี่ ก็แทบไม่มีเวลาเตรียมการสอนนักศึกษาแล้ว... นี่ก็แสดงว่า "คนที่รู้เท่าทันการเล่นละครในสังคมไทยก็โกหกกันชัดๆว่ายอมมีรายได้ต่ำเพื่อเสียสละ เพื่อการศึกษา เพื่อพัฒนาประเทศชาติ" แต่ "คนที่รู้ไม่เท่าทันการเล่นละครในสังคมไทยก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก" อย่างเข่นคนบางคนรู้ตัวว่าเสียสัตย์หรือทำผิดกฎอะไรก็ยึดคำว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" แล้วไปสารภาพยอมโดนลงโทษประหารชีวิต มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆที่คนเจ้าเล่ห์อยู่รอด แต่คนซื่อต้องตาย แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 23:06:00 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 22:22:25 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 22:15:28

ความคิดเห็นที่ 19 อัพเดต เพิ่ม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อัพเดต เมษายน 54) ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 00:02:57 จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 23:30:02

ความคิดเห็นที่ 20 เนื่องจากรวบรวมได้พอสมควรแล้ว ผมจึงลองนำไปเรียงในตารางข้อมูลจำนวนอาจารย์ที่เปิดเผยโดย สารสนเทศอุดมศึกษา สกอ. (ข้อมูลปี 2553) ได้ดังนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 02:36:26 จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 02:30:30

ความคิดเห็นที่ 21 แก้ไขตารางนิดหน่อยครับ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 02:41:47

ความคิดเห็นที่ 22 เท่าที่ได้ข้อมูลมานี้ พอจะเห็นข้อสังเกตบางประการดังนี้ครับ - กลุ่มมหาวิทยาลัยเก่าแก่ใน กทม. เช่น จุฬาฯ มธ. เกษตร มหิดล มศว. โดยรวมให้ค่าตอบแทนเริ่มต้นต่ำกว่ากลุ่มอื่น ข้อสังเกตคือมหาวิทยาลัยในกลุ่มนี้หลายแห่งมีจำนวนอาจารย์มาก (จุฬาฯ มหิดล เกษตร) - กลุ่มมหาวิทยาลัยในภูมิภาค ได้แก่ ขอนแก่น มหาสารคาม อุบลฯ สงขลาฯ เชียงใหม่ พะเยา นเรศวร แม่โจ้ โดยรวมให้ค่าตอบแทนสูงกว่ากลุ่มแรกเล็กน้อย การให้ค่าตอบแทนสูงขึ้นอาจเพื่อเป็นการจูงใจให้มาทำงานในภูมิภาค - กลุ่มมหาวิทยาลัยใหม่ที่อยู่นอกระบบราชการตั้งแต่ต้น ได้แก่ สุรนารี แม่ฟ้าหลวง วลัยลักษณ์ ให้ค่าตอบแทนสูงที่สุด - กลุ่มพระจอมเกล้า ยังมีข้อมูลไม่พอ ขาดบางมด และ พระนครเหนือ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 05:09:16

ความคิดเห็นที่ 23 คห. 12 ถูกต้องครับ สภามหาวิทยาลัยสามารถขึ้ันเงินเดือนอาจารย์ได้โดยไม่ต้องออกนอกระบบราชการ ในทำนองเดียวกันสภามหาวิทยาลัยก็สามารถขึ้นค่าเทอมได้โดยไม่ต้องออกนอกระบบเช่นกันครับ (ตัวอย่างมีให้เห็นทั่วไป) จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 05:19:07

ความคิดเห็นที่ 24 คห.18 ดูจะมองลบไปหน่อยนะครับ ผมเองก็เป็นอาจารย์คนหนึ่ง ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร อยู่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ไม่มีงานนอก เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่น ไม่มีรายได้พิเศษนอกจากค่าภาระสอนเกินซึ่งก็ไม่แน่นอน (ตั้งแต่ไม่ได้เลยจนถึงเดือนละหมื่นกว่าบาท แล้วแต่ภาระในแต่ละเทอม และช่วงปิดเทอมก็ไม่ได้อยู่แล้ว) จะซื้อบ้านหรือรถก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะมีปัญญาผ่อนหรือเปล่า เมื่อก่อนผมทำงานเอกชนได้เงินมากกว่านี้ ผมลาออกมาเป็นอาจารย์เพราะชอบงานสอน ผมรู้ว่าเพื่อนอาจารย์หลายๆ คนก็มีเจตนาที่ดีเหมือนกันและก็ไม่ได้อยู่สบายเป็นคุณหนูอย่างที่หลายๆ คนมอง ในสายงานของผมเพื่อนๆ ผมที่ทำงานเอกชนตอนนี้เงินเดือนเป็นแสนแล้วก็มี การมองลบแบบนั้นจะทำให้คนที่มีเจตนาดีและไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าเสียกำลังใจนะครับ จากคุณ : HazyShade เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 05:43:05

ความคิดเห็นที่ 25 นเรศวรรู้สึกจะขึ้นเป็นประมาณ 25000 แล้วค่ะ จากคุณ : ดวงเด่นเดือน (ดวงเด่นเดือน) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 07:52:02

ความคิดเห็นที่ 26 บางมหาวิทยาลัยเปิดรับตรงอาจารย์มีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้นบางทีมากกว่าเอกชนด้วยนะครับ. ลองหาข้มูลได้นะครับก็จะทำให้อาจารย์มีรายได้เสริมมากกว่ารายได้หลักอีกครับ จากคุณ : นะนะ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 08:03:12

ความคิดเห็นที่ 27 หากใช้ตรรกะเหมือนกับการบริหารงานบริษัทเอกชน เจ้าของบริษัทย่อมคาดหวังว่าจะสามารถคัดสรรพนักงานที่มีคุณภาพ และหวังให้พนักงานทำงานเพื่อบริษัทเต็มที่ -บริษัทควรกำหนดค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสม ไม่ต่ำเกินไปจนไม่สามารถดึงดูดคนมีความสามารถมาทำงานด้วยได้ ไม่สูงเกินไปจนทำให้บริษัทล้มละลาย -หากค่าตอบแทนต่ำเกินไปจริง จะส่งผลให้พนักงานมัวแต่หารายได้เสริม และไม่ทำงานหลักให้เต็มที่ (ต้องไม่ลืมว่าบริษัทไล่พนักงานออกได้ง่ายกว่ามหาวิทยาลัยเลิกต่อสัญญาอาจารย์) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผมอยากรวบรวมแนะนำเสนอข้อมูลด้านนี้ครับ แล้วทางออกคืออะไร? -มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ควรจ้างอาจารย์ด้วยจำนวนที่เหมาะสม เน้นรับเฉพาะคนที่มีศักยภาพและให้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล -มหาวิทยาลัยควรจัดสวัสดิการเพื่ออำนวยให้คณาจารย์สามารถทำงานได้เต็มความสามารถ เช่น จัดที่พักฟรีภายในมหาวิทยาลัย ทำให้อาจารย์ไม่ต้องเสียรายได้อันน้อยนิดในการเช่าหอพักเอกชน (โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในเขตเมืองและ กทม.) และไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาทำงานและกลับบ้าน (วันละหลาย ๆ ชั่วโมง ค่าน้ำมันเดือนละหลายพันบาท) หากที่พักไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยควรจัดรถรับส่ง -มหาวิทยาลัยควรใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เช่น การแชร์เครื่องมือ ห้องสมุด สำนักงาน หากสามารถลดรายจ่ายได้ ก็จะสามารถนำไปจัดค่าตอบแทนและสวัสดิการให้กับบุคลากรในสองข้อแรกได้ครับ -มหาวิทยาลัยควรส่งเสริมให้มีหน่วยงานที่สามารถหารายได้ให้กับมหาวิทยาลัยภายใต้ภารกิจหลัก (เน้นว่าภายใต้ภารกิจนะครับ) เช่น หน่วยงานถ่ายทอดเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ สิทธิบัตร ตำรา ที่ผลิตขึ้นโดยมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน รายได้ที่เกิดขึ้นนี้ก็สามารถนำไปใช้จัดค่าตอบแทนและสวัสดิการ หรือจ้างอาจารย์เพิ่มได้ โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าเทอม หรือเปิดหลักสูตรหาเงิน ข้อนี้ทำยากมากแต่ต้องพยายาม แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 08:19:31 จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 08:12:55

ความคิดเห็นที่ 28 ฝากกระทู้นี้ด้วยนะคะ ทำไมถึงอยากเป็นอาจารย์ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11403581/K11403581.html ขอบคุณ จขกท มากมายคะ จากคุณ : chiwheiii เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 08:12:59

ความคิดเห็นที่ 29 คห. 25 ขอบคุณมากครับที่ให้ข้อมูล คห. 26 นั่นคือสิ่งที่ควรกังวลครับว่าหลักสูตรที่เปิดนั้นเป็นไปตามต้องการของชาติ หรือ เพียงแค่ต้องการเพิ่มรายได้ให้กับมหาวิทยาลัย แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 08:23:09 จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 08:16:41

ความคิดเห็นที่ 30 อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมรวบรวมข้อมูลคือ ผู้สมัครสอบชิงทุน หรือ นักเรียนทุน รัฐบาลไทย เกือบทั้งหมด ไม่รู้ว่าหน่วยงานต้นสังกัดที่ตนกำลังจะเลือกหรือเลือกไปแล้ว มีค่าตอบแทนและสวัสดิการอย่างไร (ทราบคร่าว ๆ ว่าน้อย...) ส่วนใหญ่จะเลือกต้นสังกัดที่มีชื่อเสียงไว้ก่อน อย่างไรก็ดี เมื่อสำเร็จการศึกษามาแล้ว ต้องกลับมาทำงานใช้ทุนให้กับต้นสังกัดเป็นเวลาสองเท่าของระยะเวลาเรียน จึงได้ค้นพบว่าค่าตอบแทนนั้นต่ำเกินไป แต่ก็สายไปแล้ว ได้แต่บ่น (ได้ยินบ่อยมากครับ) และทนทำไปด้วยเกียรติภูมิของอาชีพอาจารย์... ผมคิดว่าศูนย์ประสานงานนักเรียนทุนฯ และ กพ. ควรให้ข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ ซึ่งอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะบางมหาวิทยาลัยถือว่าเงินเดือนเป็นความลับ ดังนั้น...ผมก็หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยให้ข้อมูลกับผู้ที่ต้องการนะครับ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 08:35:11

ความคิดเห็นที่ 31 รุ่นพี่ผมจบเอกไปสอน ม.เกษตร ได้ 19xxx บาท ก็อึ้งกันไป ถ้าสอนคณะวิทย์จะได้เงินค่าคุมแลปอีกเกือบหมื่น ได้ยินมาแบบนั้น เงินเดือนเริ่มต้นของ อาจารย์ที่จบ ป.เอก น่าจะปรับเพิ่มอีก 5 % ตามมติ ครม. มหาวิทยาลัยส่วนมากจ่ายเงินค่า ป.เอกให้ เดือนละประมาณ 3000-3500 บาท แต่บางมหาวิทยาลัย จ่ายค่า ป.เอก 3500 บาท ให้แค่ 20 เดือน เห็นเพื่อนที่ไปทำ post-doc แล้วตอนนี้อยากไปอีก เพราะเครียดกับผลแลป ดีกว่าเครียดกับงานสอน และทำงานบริการ #1 เงินเดือนหลักแสนได้กันไม่กี่คนนะครับ งานบริหาร ถ้าไม่มีพรรคพวกไม่ได้ตำแหน่ง อาจารย์ที่เห็นรวยๆในที่ทำงานผม สอนแต่วิชาศึกษาทั่วไป หรือไปรับงานนอก เพราะเงินดีกว่าสอนวิชาของภาค/คณะ       ไม่ก็โกงเงินกัน........จับได้ก็โดนสอบ ไม่ก็รวยกันต่อไป มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องการให้อาจารย์สอนและวิจัยไปด้วยกัน แต่ความเป็นจริง เงินเดือน การสนับสนุนด้านต่างๆ ไม่พร้อม หรือไม่มีเลย มหาวิทยาลัยในภูมิภาคส่วนมากรับนักศึกษาปี 1 จำนวนเพิ่มขึ้น เพราะจะได้มีเด็กขึ้นปี 2 จำนวนมากขึ้น เนื่องจากงบสนับสนุนคิดจากจำนวนเด็กที่ขึ้นปี 2 แต่ไม่ได้คิดกันเลยว่าจำนวนเด็กเพิ่มขึ้น การสอนวิชาแลปจะแย่ลง เพราะอัตราส่วนเด็ก:อาจารย์สูงขึ้น และจำนวนเด็กที่จบไปตอนนี้เกินตำแหน่งที่มีตามโรงงานและสถานปฏิบัติการต่างๆ เด็กส่วนมากเลยเรียนต่อ ป.โท ป.เอก พอเด็กเรียนจบคงจะสนุกแหงๆ เพราะจะมีปริญญาเอกตกงานเพิ่มมากขึ้น อุปกรณ์สำหรับการทำวิจัยไม่เพียงพอ หรือเก็บเงินค่าบริการในอัตราที่แพงเกินไป ถ้าทำวิจัยแลัวเข้าเนื้อ ไม่มีคนอยากทำหรอก จากคุณ : oddie เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 08:50:30

ความคิดเห็นที่ 32 ชอบทำงานวิจัยและสอนหนังสือครับ อีกทั้งยังมีความเป็นอิสระค่อนข้างมาก กำหนดเป้าหมายเอาเองว่าเดือนๆนี้จะทำงานวิจัยเรื่องนี้นะ ให้เสร็จตานนี้นะ ตอบความเห็น 30 เรื่องการให้ข้อมูลนักเรียนทุนเรื่องการทำงานใช้ทุน แรกเริ่มเงินเดิือนน้อยหน่อยก็จริง แต่ก็ต้องนึกถึงเงินที่ กพ หรือหน่วยงานต้นสังกัดส่งไปเรียนด้วยนะครับ ผมเองรับทุนและกลับมาทำงานใช้ทุนเช่นกัน แต่นี้ได้เงินเดือนประมาณหนึ่งในห้าของเพื่อนมัธยมปลายกว่าครึ่งห้องที่จบหมอ แต่ไม่คิดน้อยใจอะไรครับ เพราะสนุกกับงานที่ทำ และถ้าคนรวมเงินเดือนที่ได้ตอนเรียนที่ต่างประเทศก็ยังเยอะกว่าเพื่อนคุณหมออยู่ อีกอย่างผมมีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 09:27:58 จากคุณ : หมูน้อยลอยล่อง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 09:06:21

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่าเงินเดือนเท่านี้ก็ดีแล้วนะ ... เพราะนี่คือเงินเดือนฐานที่ได้แน่ๆ จากการสอนวิชาปกติ แต่ถ้าเก็บความรู้ประสบการณ์ออกไปสอนเป็นอ.พิเศษ หรือในวิชาพิเศษ น่าจะได้มากกว่านี้แน่นอน อ.มหาลัยดังๆ หลายท่านก็ไปสอนตาม คอร์ทอินเตอร์ น่าจะเอาตัวเลขตรงนั้นเข้ามารวมด้วย ไม่ได้สนับสนุนให้อ.ออกไปทางงานนอกมากนัก แต่ในความเป็นจริงการที่ใช้ความน่าเชื่อถือของการเป็นอ. ก็มีตำแหน่งที่ปรึกษาตามบริษัทต่างๆ เค้าต้องการอยู่แล้ว ตรงนี้นั่งได้หลายที่เงินเดือนก็น่าจะเยอะอยู่ ผมมองว่าการเป้นที่ปรึกษาตรงนี้ก็น่าจะนับว่าเป้นการทำหน้าที่ อ.ให้กับภาคธุรกิจเหมือนกัน เข้าใจว่าถ้าเป็นมหาลัยต่างประเทศ อ. ไม่ใช่แค่กินเงินเดือนของมหาลัย แต่จะต้องหาเงิน หางานวิจัยเข้ามหาลัยด้วย และ อ.จะต้องเอาเงินวิจัยที่ได้นั้นมาจ่ายให้กับมหาลัย หากทำไม่ได้ก็โดนเชิญออก ดังนั้น อ.มหาลัยในไทย ถือว่าโชคดีมากนัก เพราะมีตำแหน่งงานคล้ายราชการ ไม่ต้องคอยดิ้นรนหางานวิจัยเข้ามาอยู่เนืองๆ ดังนั้น ฐานเงินเดือนเท่านี้ก็คงไม่แปลก ผมว่าลองเปรียบเทียบกับ อ.หมอ อ.สถาปัตย์ หรือพวกอ.ที่รับเอกชนทำวิจัยดู .. เอาจริงๆ เงินเดือนสูงกว่าเพื่อนเอกชนมากมายนัก จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 10:01:41 A:110.168.117.178 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 34 เอ่อ ขอแย้ง #30 หน่อยนะคะ ผู้สมัครชิงทุนอาจจะไม่ทราบว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ แต่หลังจากได้รับทุนแล้วส่วนมากก็ทราบกันทุกคนนะคะ ว่าหลังจากจบมาแล้วจะได้เท่าไหร่ เพราะทางก.พ.จะมีปฐมนิเทศน์ และผู้ได้รับทุนจะได้พูดคุยกับต้นสังกัดโดยตรงค่ะ สามารถสอบถามได้โดยละเอียด ทั้งเรื่องการทำงาน หน้าที่ ตำแหน่ง เงินเดือน สวัสดิการ ทางมหาลัยไม่ได้ปิดเป็นความลับค่ะ จากคุณ : จันทร์ฉายแสง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 10:07:25

ความคิดเห็นที่ 35 #34 จะดีมากเลยครับ ถ้ารู้ก่อนเลือกว่าจะรับทุนตามความต้องการของต้นสังกัดใดครับ ในระหว่างที่เรียนอยู่น้อยคนมากครับที่จะรู้ว่าเงินเดือนและสวัสดิการของต้นสังกัดตนเองเป็นเช่นไร ไปรู้ตอนจบแล้วครับ ปัญหานี้ดูเหมือนจะเป็นเฉพาะทุนตามความต้องการฯ ครับ ส่วนกรณีทุนที่ไม่ได้ระบุต้นสังกัด อันนี้คงไม่มีปัญหาครับ เพราะหลังจากจบต้องทำเรื่องขอจัดสรรต้นสังกัด ตอนนั้นก็มีโอกาสที่จะตัดสินใจ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 10:26:56

ความคิดเห็นที่ 36 เอ อ่านแล้วงงนิดหน่อยค่ะ ถ้าทุนไม่ระบุต้นสังกัดน่ะพอเข้าใจที่ไม่ทราบ แต่ว่าถ้าเป็นทุนระบุต้นสังกัด ก็ต้องคุยกับต้นสังกัดก่อนไปสิคะ ถ้าคุยกับต้นสังกัดแล้ว ทำไมไม่ทราบเรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการล่ะ? เอาจริงๆ คือ ตอนนี้ ทางก.พ.จัดให้มีปฐมนิเทศน์ คุยกับต้นสังกัด"ก่อน"เซ็นสัญญาด้วยซ้ำ และถ้าเซ็นสัญญาไปแล้ว ยังไม่ได้เดินทาง ยังไม่ได้เบิกค่าใช้จ่าย แต่ขอยกเลิกสัญญา ทางก.พ.ก็ไม่ได้เรียกเก็บเงินนะคะ หลายคนหลังจากเซ็นสัญญาแล้ว ไปได้ทุนที่อื่น ขอยกเลิกก็มีค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะเรียกคนที่อยู่ลำดับถัดมาขึ้นมารับทุนต่อค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 11:34:54 จากคุณ : จันทร์ฉายแสง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 11:27:44

ความคิดเห็นที่ 37 ทุนระบุต้นสังกัดนี่แหละครับ ที่ไม่ทราบ ผมเดาเอาว่าน้อง ๆ เขาคงไม่กล้าถามรวมกับยังเป็นเรื่องไกลตัว (ก็เพราะมีน้อง ๆ หลายคนมาถามผมนี่แหละครับ ผมเลยค้นข้อมูลให้) คงคุยเรื่องความคาดหวังทางวิชาการและเรื่องที่อยากให้ไปศึกษามากกว่า บางเรื่อง จนท ฝ่ายบุคคลถึงจะตอบได้ แต่ถ้าได้รับการดูแลแล้วก็ดีมากเลยครับ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 11:49:06

ความคิดเห็นที่ 38 เรียน คห. 35, 36 ทุน กพ. ที่ไม่ได้ระบุต้นสังกัดมีอยู่จริงครับ (ประสบการณ์ตรง) จะระบุให้ไปเรียนอะไรแต่ให้มาเลือกที่ทำงานตอนใกล้ๆจบแล้ว มีปัญหาอยู่พอสมควรเหมือนกันเมื่อความต้องการของนักเรียนทุนไม่ตรงกับที่ฝ่ายจัดสรรของ กพ เห็นว่าสมควร เช่น นักเรียนอยากไปทำงานที่ ก และที่ ก ก็ยินดีรับ มีตำแหน่งให้ แต่ฝ่ายจัดสรรเห็นว่าควรจะไปทำงานที่ ข มากกว่า ปัญหานี้ยิ่งมีมากขึ้นเมื่อหน่่วยงานหลายๆหน่วยที่เคยเป็นราชการออกนอกระบบไปเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐฯ รวมถึงมหาวิทยาลัยต่างๆด้วย ปัญหาก็คือก่อนรับทุนไปเรียนต่อยังเลือกเป็นอาจารย์ได้เพราะว่าเป็นราชการอยู่ แต่พอจะจบแล้วมหาวิทยาลัยออกนอกระบบไปแล้วเลยเลือกเป็นอาจารย์ไม่ได้ ซึ่ง กพ ก็อาจจะพิจารณาเป็นกรณีให้ไปทำงานในหน่วยงานในกำกับของรัฐได้ แต่เท่าที่หราบนักเรียน กพ จำนวนน้อยมากที่ได้รับอนุญาตให้ไปทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานในกำกับ (เช่น สวทช) ได้ โดยสรุปแล้วก่อนรับทุนมีการปฐมนิเทศน์"คร่าวๆ"ก่อนว่างานที่ต้องกลับมาใช้ทุนเป็นลักษณะไหน แต่นักเรียนทุนที่เรียนไปๆแล้วไม่รู้จะกลับมาทำอะไร ที่ไหน มีเยอะพอสมควรครับ แต่ส่วนมากนักเรียนที่รับทุนก็พอทราบบ้างแล้วว่าเป็นลักษณะงานไม่ใช่อาชีพทำเงิน จะหวังร่ำรวยคงเป็นไปได้ยาก แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 11:58:15 จากคุณ : หมูน้อยลอยล่อง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 11:55:30

ความคิดเห็นที่ 39 อ๋อ...ถ้าแบบนั้น คาดว่าจะไม่ได้ถามมากกว่าค่ะ ^^" งั๊นขออัพเดทแล้วกันนะคะ คือ ตอนนี้ หลังจากได้รับทุนแล้ว ทางก.พ.จะเรียกปฐมนิเทศน์พร้อมพบต้นสังกัดค่ะ ตอนคุยกับต้นสังกัดนี่ล่ะค่ะ เป็นโอกาสอันดีที่จะถามทั้งเรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการ บางคนพอมาถึง ต้นสังกัดถามก่อนเลย ว่ารู้หรือยังว่าเงินเดือนเท่าไหร่ก็มีค่ะ หลายๆคนลืมถาม พอมาคุยกับเพื่อนแล้วเพิ่งนึกได้ วิ่งกลับไปถามใหม่ก็มีค่ะ ก็ขำๆกันไป ป.ล. เท่าที่รู้มา ตอนนี้เงินเดือนดีสุดก็ที่ AIT นะคะ เผื่อใครจะสนใจ :P ป.ล.2 เราทราบขั้นตอนเฉพาะในทุนระบุต้นสังกัดนะคะ เราว่าทุนที่ไม่ระบุต้นสังกัดนี่มึนกว่า ยังแซวกันอยู่เลยว่า ทำบุญไว้ให้มากๆแล้วกัน จะได้ที่ๆถูกใจ (ฮา) แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 12:07:42 จากคุณ : จันทร์ฉายแสง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 12:00:55

ความคิดเห็นที่ 40 เป็นกำลังใจให้อาจารย์ ดีๆ ทุกท่านนะคะ สังคมดี เพราะมีคุณครูดีค่ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 13:07:04

ความคิดเห็นที่ 41 @คห. 15 / 18 แอบมาแชร์ความเห็นต่างนิดนึงครับ ผมว่ามันก็มองมุมกลับได้นะครับ เขาก็เสียสละนะ เสียสละธุรกิจร้านทองเพื่อมาเป็นอาจารย์บ้าง เสียสละแบบคุณหนูๆ หน่อยก็ยังเสียสละนะครับ ค่าเสียโอกาสมันก็มี ผมมองอีกแบบว่า เพราะว่าถ้าไม่รวยพอมันไปเป็นอาจารย์ไม่ได้รึเปล่า ก็ทุกคนบอกว่าต้องเสียสละๆๆๆๆ เสียเยอะๆ ถ้าคุณเสียสละจากที่่คุณมีน้อยอยุ่แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย มันก็อยู่ไม่ได้นะครับ กลุ่มคนกลุ่มนี้เขารวยอยู่ ก็เสียสละ เสียเงิน เสียเวลาชิวิตไปต่อเอกได้ เสียค่าโอกาสรับเงินเดือนเยอะๆ มาเป็นอาจารย์ได้เพราะชีวิตมี buffer ดีนะครับ ถ้าเกิดอาชีพนี้มันต้องเสียสละน้อยลงเสียโอกาสน้อยลงคนอาจจะอยากเป็นมากขึ้นก็ได้สมัครมากขึ้นก็ได้ อาจจะมีลูกคุณหนูคุณนายน้อยลงก็ได้นะครับเพราะว่าไม่ต้องมีการสนับสนุนจากครอบครัวที่แข็งแรงมากนักครับ อย่างที่คุณ คห. 18 ว่า จริงๆ "มีหน้ามีตา" ก็อาจจะเป็นต้มตุ๋นคำโตหลอกให้คนมาทำก็ได้นะครับฮ่าๆๆๆๆ คือถ้าสุดท้ายแล้ว จบเอกมาเป็นอาจารย์เลี้ยงครอบครัวแทบไม่รอด ถามจริงๆ ใครจะอยากมาทำครับ? ก็เหลือแต่คนรวยที่ทำได้แหละครับ ทีนี้ถ้าเป็นอาจารย์สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ดีใช้ได้ระดับนึงมันก็ดึงดูดคนเก่งคนมีความสามารถได้เพิ่มเหมือนกันนะครับ ปล. แอบย่องมาบอกว่าได้ยินเหมือนกับ คห. 39 เรื่อง AIT ครับอิอิ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 13:31:41 จากคุณ : Ekkinter เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 13:29:01

ความคิดเห็นที่ 42 มาให้กำลังใจอาจารย์มหาวิทยาลัยครับ หลายคนอาจจะบอกว่างานไม่เยอะสบายๆ สอนซ้ำๆกันทุกปี ไม่ต้องคิดมากเหมือนทำงานบริษัท แต่ผมบอกได้เลยว่า ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น มีเพื่อนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยบางแห่ง ตั้งใจกับการเตรียมการสอนมากครับ ปรับหลักสูตรให้ทันสมัยทุกปี และที่สำคัญเนื้อหางานของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองไทย ไม่ใช่แค่สอนหรือทำวิจัย แต่รวมถึงงานบริหารของคณะที่ตนสังกัดด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน้อยๆครับ ปวดหัวกันไปหลายราย แต่ด้วยค่าตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก เลยทำให้อาจารย์หลายท่านออกไปรับงานเป็นที่ปรึกษาด้วย ตราบเท่าที่ไม่เบียดบังเวลาการทำงานในคณะ ซึ่งเรื่องนี้ก้อแล้วแต่คุณธรรมประจำใจของอาจารย์แต่ละคนละครับ แต่เท่าที่เจอส่วนใหญ่ คือ การอยากสอนอยากให้ความรู้ดีๆ เพื่อให้นักศึกษาได้ดีในอนาคตจริงๆ จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 13:43:24

ความคิดเห็นที่ 43 มิฟฟี่ เห็นด้วยนะครับ จากคุณ : เจ้าเมืองบูรพา เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 13:55:49

ความคิดเห็นที่ 44 ลาดกระบัง นี่ไม่ใช่ 2 หมื่นแน่ๆครับ เพราะรุ่นพี่ที่รู้จักได้ 28,xxx บาท วุฒิ ป.เอก ครับ จากคุณ : เด็กมหาลัย เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 15:08:49 A:61.90.92.152 X: TicketID:189514

ความคิดเห็นที่ 45 เงินเดือนเริ่มต้นไม่มาก แต่เป็นอาชีพที่ดีค่ะ แม่เราก็เป็นอาจารย์ ผู้ใหญ่ในครอบครัวเพื่อนสนิทก็เป็นอาจารย์ แต่ละท่านก็รายได้ต่อเดือนสูงนะ ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร แล้วก็ไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวยเป็นลูกคุณหนูหรือมีสามีรวยๆ อะไรเลย บางคห. เพ้อเจ้อนะเราว่า จากคุณ : ZzIqka เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 16:14:10

ความคิดเห็นที่ 46 แสดงว่าครูประถมมัธยมเงินเดือนสูงกว่ามาก และความคาดหวังน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินเดือน จากคุณ : PCHREX เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 16:49:35

ความคิดเห็นที่ 47 เสียใจครับ ที่หลายคนยังมีมุมมองตามที่ผมอธิบายข้างล่างนี้อยู่ครับ 1. อาจารย์มหาวิทยาลัย รับงานพิเศษแล้วรายได้โดยรวมเป็นหลักแสนหรือสูงมาก คือจะบอกย้ำว่าการทำรายได้พิเศษเหล่านี้มันไม่ได้ทุกคน และไม่เท่ากันทุกคนหรอกครับ อย่างกรณีผมสอนภาคพิเศษเพิ่มได้มากสุดก็ไม่เกิน 1 เท่าตัวของเงินเดือน ซึ่งตรงนี้มันขึ้นอยู่แต่ละคณะและภาควิชา คณะไหนเปิดภาคพิเศษเยอะอาจารย์ก็จะได้เงินพิเศษจากตรงนี้เยอะครับ และในกรณีที่ไปเป็นที่ปรึกษาภายนอกนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสาขาวิชานั้นและปริมาณอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ครับ ผมยอมรับว่าอาจารย์ที่ได้เงินพิเศษเหล่านี้มีอยู่และได้เงินเยอะจริง แต่จะมาสรุปจากอาจารย์กลุ่มนี้ แล้วเหมารวมกลุ่มอาจารย์ที่ไม่มีหรือมีรายได้ทางนี้น้อยนั้น คงไม่แฟร์เท่าไหร่ครับ ฉะนั้น ผมว่าเรากำลังคุยอย่างที่เจ้าของกระทู้ตั้งไว้คือฐานเงินเดือนเริ่มต้นครับ คุณจบปริญญาโท ไปทำงานบริษัทเอกชนแบบไม่มีประสบการณ์ คุณได้เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่ คุณจบปริญญาโท ไปเรียนต่อปริญญาเอกอีก 3-5 ปี กลับมาทำงานสอนใหนมหาวิทยาลัย คุณได้เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่ วูฒิ, ระยะเวลาการศึกษา, หน้าที่ความรับผิดชอบ อะไรพวกนี้ต่างหากครับที่น่าจะเป็นตัวชี้วัดเงินเดือนเริ่มต้น 2. ประเด็นเรื่องที่คนที่มาเป็นอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นพวกคุณหนูร่ำรวย ที่บ้านมีฐานะอยู่ก่อนแล้ว.. คือบางคนสรุปจากเพื่อนและคนรู้จักรอบตัว ซึ่งถ้าผมใช้ตรรกะเช่นเดียวกันผมก็จะบอกได้ว่า พวกที่เป็นอาจารย์ส่วนใหญ่คือพวกที่ยากจน เพราะต้องไปขอทุนเพื่อเรียนต่อ พ่อแม่ก็เป็นหนี้อยู่ ที่บ้านไม่มีรถขับ ดังนั้นแล้วข้อสรุปเกี่ยวกับพื้นฐานและฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดอะไรได้เลยว่า อาชีพอาจารย์เป็นอาชีพสำหรับลูกคุณหนู... เสียใจคำนี้จริงๆ ครับ มาแก้ไขสรุปความรู้สึกผมครับ ที่ผมเสียใจเพราะหลายท่านทำให้ผมรู้สึกว่าเงินเดือนอาจารย์ปัจจุบันนะพอดีแล้วเพราะพวกคุณก็ได้เงินพิเศษ บ้านก็รวยอยู่แล้ว อนาคตก็ได้เงินวิจัยเยอะแยะ สรุปจะบ่นกันทำไมว่าได้เงินเดือนน้อย เป็นอาจารย์มันต้องเสียสละเพื่อส่วนรวมสิ(โว้ย)นี้คือที่ผมรู้สึกหลังจากอ่านความเห็นบางท่านนะครับ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 18:44:16 จากคุณ : นายอ๋ำน้อย เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 18:05:02

ความคิดเห็นที่ 48 ดูเงินเดือนแล้วก็ทดท้อใจแทน แต่คนที่เรารู้จักส่วนใหญ่ รวมถึงอาจารย์ที่เราสนิทก็รับงานวิจัยกันเยอะนะคะ ปีหนึ่งรับสักสองสามเรื่องก็รายได้เยอะพอควร เราว่า ถ้าได้ ผศ รศ หรือทำงานบริหารก็มีค่าตำแหน่งต่างหาก คือมองไปในอนาคตก็มีโอกาสได้รับรายได้พอสมควรค่ะ แต่ ณ จุดเริ่มต้น ก็...ตัวเลขค่อนข้างน้อยจริงๆถ้าเทียบกับสายเอกชนล่ะนะ จากคุณ : =p o o k p u i= เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 18:08:55

ความคิดเห็นที่ 49 ถอนใจห้าสิบเฮือก หลังจากอ่านมาหลายๆความเห็น ขอพูดแรงๆหน่อยเหอะ ถ้าเรียนจนจบ ป.เอกแล้ว ยังคิดเองไม่เป็น, คิดไม่ออก, คิดไม่ได้ ว่า การเป็น อ. ทำให้รายรับเพิ่มอย่างไร กลับไปรับจ้อบเป็นเสมียนวุฒิ ป.6 ดีที่สุด อะไร คือ จุดแข็ง (strength) & ข้อได้เปรียบ (advantage) ของการเป็น อ. ???? คิดไม่ออก?? เงินเดือน 15,000 .. ผมว่า จ่ายมากเกินไปด้วยซ้ำ จากคุณ : คนที่สอนมายี่สิบกว่าปี (แมวเหมียวพุงป่อง) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 18:49:36

ความคิดเห็นที่ 50 คนจบ ป.เอก และอยากเป็น อ. ไม่ใช่แค่คิดเองเป็น แต่ต้อง***สอน*** ให้คนอื่นคิดเป็น สอนให้คนอื่นคิดนอกกรอบได้ด้วยซ้ำ ถ้าสอนตัวเองไม่เป็น เห็นแค่ว่า จบ ป.เอกเป็น อ. ได้เงินเดือนนิดเดียว .. อย่ามาเป็น ให้วงการศึกษา เสื่อมลงกว่านี้เลย ส่วนพวก "เห็นโลกแคบๆ" พวกที่ออกมาให้ความเห็นว่า คนเป็น อ. จะต้องบ้านรวย, ไฮโซ ฯลฯ มาก่อน ไม่รู้จะบอกอย่างไรดี นอกจาก .. ออกมาเหอะ โลก ... กว้างกว่าที่เห็น กระลา มันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์ควรอยู่ ... จากคุณ : คนเป็นหมอ ไม่จำเป็นต้องรวยโว้ย (แมวเหมียวพุงป่อง) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 18:59:04

ความคิดเห็นที่ 51 ^ ^ จริงๆแล้วคุณนั่นแหละที่มองโลกแคบ เพราะคุณยังไม่ได้มองทุกความเป็นไปได้ดั่งที่คุณอวดอ้างว่าคุณมองโลกกว้าง เพราะคนที่เก่งๆมากๆแต่ไม่ได้ฐานะร่ำรวย ถ้าเลือกได้คงไม่มาเป็นอาจารย์เงินน้อยๆ เสียงและกำลังที่สนับสนุนความคิดคุณก็คือ 1. คนที่ไม่เก่ง แล้วเลิอกไม่ได้ที่จะทำอะไรที่ดีกว่านี้ จึงยอมทำงานที่รายได้น้อย แต่ก็แกล้งหลอกตัวเอง และหลอกผู้อื่นว่า "เสียสละเพื่อประเทศชาติ" พวกเราคนไทยหลอกกันมาแบบนี้หลายชั่วคนแล้ว ^ เราบ่งขี้ให้เห็นว่าเรารู้ทันความคิดพวกเขา แม้จะโดนพวกเขาซึ่งเป็นชนกลุมใหญ่ต่อต้าน (คนไม่ประสบความสำเร็จมีจำนวนประชากรมากกว่าคนประสพความสำเร็จ) ^ ที่เรากล้าคิดแบบนี้หละถึงเรียกว่า่ "คิดนอกกรอบ ไม่ใช่คิดในกรอบ และโลกไม่แคบแน่ๆ เพราะไม่ได้คล้อยตามไปกับใครเหมือนแพะหรือแกะที่วิ่งตามกันไปเป็นฝูง" 2. อีกพวกหนึ่งอาจไม่ถึงกับไม่เก่ง แต่ก็อยากทำงานเป็นอาจารย์ใกล้ๆบ้าน ไม่อยากไปทำงานเอกชนในเมืองใหญ่ๆ อันนี้เขาก็มีแรงปลอบใจว่าได้อยู่ใกล้ญาติมิตร แค่จริงๆแล้วถ้าพวกเขาเลือกอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ก็คงจะเลือก ^ อันนี้เป็นมุมมองโดยหยั่งรู้ธาตุแท้ของมนุษย์ ไม่ใช่เล่นละครพูดจาทำตัวเป็นพลเมืองดีว่า "ขอให้กำลังใจอาจารย์ที่รายได้น้อยๆ" กะอีแค่เพราะรู้ว่า "เล่นละครได้คะแนนนิยมสูงกว่า ได้ gifts มากกว่า" แต่โดยความเป็นจริงๆแล้ว "เรื่องเสียสละยอมรับเงินน้อยๆ เราไม่เชื่อว่ามีจริงมากกว่าครึ่งหนึ่ง" เพราะเรามองโลกกว้างเราจึงพูดเรื่องจริงของธาตุแท้ของมนุษย์ ให้ผู้คนหลายๆคนเข้าใจว่าใครเล่นเกมอะไร เด็กรุ่นหลังๆจะได้ไม่ต้องเสียรู้เรื่องกลไกในสังคมที่สวมหน้ากากเข้าหากัน แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 19:52:35 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 19:47:05

ความคิดเห็นที่ 52 ตอบ คคห 49 ที่ว่า "ถ้าเรียนจนจบ ป.เอกแล้ว ยังคิดเองไม่เป็น, คิดไม่ออก, คิดไม่ได้ ว่า การเป็น อ. ทำให้รายรับเพิ่มอย่างไร กลับไปรับจ้อบเป็นเสมียนวุฒิ ป.6 ดีที่สุด" arguments ของคุณมี logical flaws อย่างรุนแรง ถ้าเราโลกแคบอย่างที่คุณเป็น (แต่คุณกลับพูดว่าเราโลกแคบ) ป่านนี้เราตายไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว! เหตุผล เราจะชี้ทางสว่างให้คุณ วุฒิการศึกษาสูงๆเป็นแค่เครื่องพิสูจน์ว่าคนๆนั้นผ่านการเรียนมา แต่ในการดำเนินชีวิตจริงๆจะรุ่งหรือจะดับมันอยู่ที่ judgment (ดุลพินิจ) ตั้งแต่เล็กจนโตเราป่วยเหมือนแม่เราหลายอย่างตั้งแต่อาการทางจิตคือ ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) และทางรางกายคือ spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดแนวธรรมชาติ) แม่เราถูกทั้งจิตแพทย์และสรีรแพทย์ และศัลยแพทย์รักษาจนชีวิตย่อยยับไปทั้งชีวิต ตอนจบตายอย่างน่าอนาถ แต่เราเรียนหนังสือไม่เก่งพ่อแม่อยากให้เรียนแพทย์เราเรียนไม่ได้ เราเลยอ่านปรัชญาจีนและอินเดียที่เกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือก จนในที่สุดเรารักษาตัวเองหายขาดหมด ก่อนแม่ตายไม่กี่วัน แม่มาหาเราน้ำตานองหน้าบอกว่า "ลูกเอ๋ยลูกเคยบอกว่าลูกอยากรักษาแม่ แต่พ่อไม่ยอมเพราะพ่อบอกหมอจบปริญญามาหมอต้องเก่งกว่าลูก แต่บัดนี้แม่ขออนุญาตพ่อจนพ่อยอมแล้ว แม่นอนไม่หลับเลยถ้าไม่กินยาหมอมันทรมาณสุดๆ หมอรักษาแม่มาหลายสิบปีแล้ว แม่มีแต่จะทรุดลง จะตายก็ไม่ตายสักที" ^ เราไม่สามารถรักษาแม่เราได้แล้วเนื่องจากความย่อยยับเสียหายทางร่างกายที่หมอซึ่งเรียนสูงๆทำไว้ เพราะพอพูดได้ไม่นานแม่เราก็เข้าขั้นโคม่า อีกไม่นานนักแม่เราก็จากโลกนี้ไป สรุปแล้วหมอที่เรียนสูงๆไม่ใช่ไม่เก่ง เขาเก่งแต่เขาเป็นหมอที่ดีไม่ได้เนื่องจากขาด high judgment (ดุลพินิจอันสูงส่ง) หมอใช้เทคโนโลยีชั้นสูงทันสมัยมากๆ โดยการ "ขึ่จ้างจับตั๊กแตน" มุ่งหวังที่จะทำลายอาการ (symptomatic medicine) แต่ไม่ได้รักษาโรคที่ต้นตอ เราซึ่งไม่ได้เรียนสุง แต่ใช้เหตุผลเฝ้าศึกษาคุัมภีร์ของนักพรตเต๋ากับปราชญ์ฮินดูว่าด้วยการแพทย์ทางเลือก มาเป็นเวลาหล่ายสิบปี จนในที่สุดเราค้นพบว่า "ต้นตอปัญหาเราอยู่ที่ไหน และจะแก้มันอย่างไร" ตอนนี้เรารักษา ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) หายขาด และใช้ โยคะกับ Qi Gong (การฝึกกำลังภายใน)กับวรยุทธ์จีน ปรับกระดูกสันหลังเรากลับเข้าแนวธรรมชาติได้อย่างน่ามหัศจรรย์! ซึ่งถึงจะใช้เทคโนโลยีที่ต่ำ แต่ยิ่งอายุมากขึ่นเราสุขภาพกลับยิ่งดีขึ้นหน้าตาเด็กขึ้นเคลื่อนไหวตัวคล่องขึ้น สมองคิดพลิกแพลงได้มากขึ้น เรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆได้รวดเร็วกว่าเดิมอีกหลายๆเท่า มันเหมือนกับได้ชีวิตใหม่ เหมือนเกิดใหม่ สรุปแล้ว arguments ของคุณที่ว่า "ถ้าเรียนจนจบ ป.เอกแล้ว ยังคิดเองไม่เป็น, คิดไม่ออก, คิดไม่ได้ ว่า การเป็น อ. ทำให้รายรับเพิ่มอย่างไร กลับไปรับจ้อบเป็นเสมียนวุฒิ ป.6 ดีที่สุด" มัน logically invalid เพราะคุณคิดในโลกแคบๆจนคิดไปไม่ถึง ว่า "แท้จริงแล้ว ในโลกนี้ มันมีคนเรียนไม่สูง แต่มี judgment ที่สูงกว่าคนจบปริญญาเอก และตัดสินใจเลือกทางเดินของขีวิตได้ดีกว่า" ^ มันเป็น probability ที่เป็นไปได้ ซึ่งนักคิดที่ดีจะต้อง exhaust all possibilities (คิดทุกความเป็นไปได้) เหมือนๆนักหมากรุกฝรั่งชั้นเซียนคิดหนทางแก้เกมคู่ต่อสู้ไว้ได้หมดทุกทางแล้ว แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 20:16:24 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 20:11:33

ความคิดเห็นที่ 53 @แมวเหมียวพุงป่อง ด้วยความเคารพครับ การคิดได้กับการทำได้ในเรื่องการใช้จุดแข็งและข้อได้เปรียบของการเป็นอาจารย์เพื่อทำให้รายได้เพิ่มขึ้นนั้นมีประเด็นมากมายที่ทำให้ในความเป็นจริงไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันครับ และยังมีประเด็นความทับซ้อนของงานหลักในเรื่องการเรียนการสอนและงานวิจัย เมื่องานพิเศษเหล่านี้ไปเบียดบังเวลาและประสิทธิภาพการสอนและวิจัยอีกด้วย จะมาอ้างอาจารย์ที่มีศักยภาพทำได้และบอกว่าอาจารย์ที่ทำไม่ได้แบบนี้ไม่มีศักยภาพนั้นคงไม่ได้ เหตุผลคือ 1.อุดมการณ์ทางการศึกษาแตกต่างกันไป อาทิเช่นผมเห็นว่าการสอนพิเศษโดยรับเงิน เป็นการตอกย้ำความเป็นธุรกิจทางการศึกษา และถือเป็นการล่มสลายของการศึกษาในระบบ เมื่อนั้นผมย่อมไม่หารายได้พิเศษจากช่องทางนี้ 2.การเข้าถึงแหล่งรายได้พิเศษที่ไม่เท่ากัน อาทิเช่นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด การที่จะไปเป็นที่ปรึกษาในบริษัทๆ หนึ่งย่อมมีโอกาสน้อยกว่าเนื่องจาก ระยะทางไกล ประสานงานยาก ชื่อเสียงไม่สร้างความมั่นใจพอ ฯลฯ และยิ่งถ้าเป็นสายงานวิจัย ทุนวิจัยต่างๆ ก็มีการแข่งขันที่สูงและไม่ค่อยเพียงพอต่อข้อเสนองานวิจัย และยิ่งถ้าเป็นทุนจากเอกชนด้วยแล้ว.. มีน้อยมาก และโดยส่วนใหญ่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็พยายาม คิดเอง คิดออก และคิดได้ ถึงการเข้าถึงแหล่งรายได้พิเศษที่ไม่เบียดบังการเรียนการสอนและสอดคล้องกับงานวิจัยครับ แต่ผมบอกไว้แล้วการเข้าถึงนี้ไม่ได้มีเพียงพอครับ และเราถึงมาวิเคราะห์ดูข้อมูลรายได้พื้นฐานของอาจารย์มหาวิทยาลัยยังไงครับ สุดท้ายข้อความที่คุณว่า "ถ้าสอนตัวเองไม่เป็น เห็นแค่ว่า จบ ป.เอกเป็น อ. ได้เงินเดือนนิดเดียว .. อย่ามาเป็น ให้วงการศึกษา เสื่อมลงกว่านี้เลย" ผมไม่คิดว่าการมองว่าเงินเดือนพื้นฐานนั้นไม่สอดคล้องกับวุฒิ ป.เอก และความรับผิดชอบที่ต้องทำในมหาวิทยาลัย จะเป็นการทำให้วงการศึกษาเสื่อมลงเลย "คนที่เบียดบังเวลาที่ต้องใช้สำหรับการเรียนการสอน และงานวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพของคนในประเทศ ไปหารายได้พิเศษเพื่อตัวเองที่ไม่สอดคล้องกับความรับผิดชอบทางวิชาการนี้เสียอีก คือพวกที่ทำให้วงการศึกษาเสื่อมลง" ใช้แม่พิมพ์ พิมพ์ตัง ก็ยังได้ ใช้แม่พิมพ์ พิมพ์คน ก็เหมาะผล หากแม่พิมพ์ พิมพ์แต่ตัง ไม่พิมพ์คน เมื่องจะล่ม เพราะคนสิ้น ไร้พิมพ์เอย (เอามาจากเพื่อนอีกที) มาเพิ่มเติมข้อความให้รัดกุมครับ... แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 20:33:27 แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 20:26:22 แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 20:25:00 จากคุณ : นายอ๋ำน้อย เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 20:15:36

ความคิดเห็นที่ 54 ขออภัยเปลี่ยนใจไม่แสดงความเห็นแล้ว แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 20:31:55 จากคุณ : Bt vista เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 20:21:42

ความคิดเห็นที่ 55 คุณ fortuneteller ครับ ผมไม่แย้งหรอกว่าอาจจะมีอาจารย์ที่เป็นอย่างที่คุณว่าอยู่จริง แต่รอบตัวผมมีอาจารย์ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่เป็นคนเก่งและชอบในงานอาจารย์ เค้ามีทางเลือกที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า เค้าก็เข้ามาทำงานตรงนี้ที่เงินเดือนน้อยๆ กัน การพูดแบบคุณ fortuneteller ถึงแม้จะลงท้ายว่า "เรื่องเสียสละยอมรับเงินน้อยๆ เราไม่เชื่อว่ามีจริงมากกว่าครึ่งหนึ่ง" แต่โทนการพูดโดยรวมมันให้ความรู้สึกว่าคุณเหมาไปหมดว่าคนเป็นอาจารย์ทุกคนใส่หน้ากากเข้าหลอกลวงคนว่าตัวเองเสียสละ (ทั้งที่หลายๆ คนก็ไม่เคยอ้างอะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ) ไม่ได้มีความจริงใจต่อสายอาชีพของตน ผมคิดว่าความคิดแบบนี้มันทำให้คนที่ตั้งใจจริงเสียกำลังใจนะครับ ปล. และแม้แต่คนที่มีฐานะร่ำรวยมาเป็นอาจารย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเป็นเพื่อ status เสมอไปนะครับ หลายๆ คนที่ผมรู้จักคือคนที่รักงานสอนและงานวิจัยจริงๆ จากคุณ : HazyShade เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 20:50:59

ความคิดเห็นที่ 56 อื้ม คิดง่ายๆ ถ้าเงินเดือนน้อยขนาดนี้ ต่อไปคนเก่งๆ จะอยากมาเป็นอาจารย์หรอคะ?? ในเมื่อรับเป็นที่ปรึกษาบริษัทรวยกว่า เราคิดว่า อย่างน้อยคนเป็นครู ก็เสียสละมากนะ ให้กำลังใจอาจารย์ทุกท่านค่ะ เพราะมีอาจารย์ เราเลยมีวันนี้ (^^) ปล. ไม่ได้เป็นอาจารย์นะคะ แต่เห็นเงินเดือนอาจารย์และสะดุ้งเลย น้อยจริง อะไรจริง = =" จากคุณ : เก่งไม่กลัว กลัวบ่จี้ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 21:12:21

ความคิดเห็นที่ 57 เป็นอาจารย์ครับ และเรื่อังเงิีนเดือนนี่ก/็เป็นเรื่องหนึ่งที่มักน้อยใจบ่อยๆ ความจริงเงินเดือนมันก็เพียงพอในการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่ได้มีเหลือเก็บมากมายหรือสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในบางครั้ง แต่ที่ว่าน้อยใจคือเมื่อเทียบกับเพื่อนในรุ่น ตอนนี้เงินเดืคอนเราออกจะอยู่ในระดับต่ำสุดด้วยซ้ำมั้ง เพราะแม้แต่ลูกศิษย์ที่จบไปทำงานใหม่ๆมาคุยกันยังเงินเดือนพอๆกับเราแล้ว ทั้งๆที่เกรดตอนเรียน วุฒิการศึกษา ต่างๆเราก็ดีกว่าเพื่อนในรุ่น แล้วความคาดหมายจากเพื่อนๆ ครอบครัว ลูกศิษย์ คนรอบข้าง เขาจะคิดว่าเงินเดือนเราเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เลย ความจริงอาจารย์ถ้ามีตำแหน่งวิชาการก็โอเค แต่ปัจจุบันการขอตำแหน่งก็ไม่ใช่ทำง่ายๆ แล้วคนที่บอกว่างานอาจารย์สบาย ขอบอกว่าทั้งถูกและผิด อาจารย์เป็นงานที่ค่อนข้างอิสระ ถ้าเรารับผิดชอบ สร้างสรรงาน หางานทำมากๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือเลย แต่ก็มีอาจารย์ประเภทเช้าชามเย็นชาม สอนแบบไม่เคยปรับปรุงเนื้อหา หรือพัฒนาความรู้ตัวเอง อาจารย์พวกนี้ก็สบายจริงๆ จากคุณ : I'm wu เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 21:12:29

ความคิดเห็นที่ 58 เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัย(ในระบบ และนอกระบบบางส่วน) ในปัจจุบันอ้างอิงจากเงินเดือนข้าราชการวุฒิปริญญาเอก โดยกรมบัญชีกลางให้เงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยเป็น 1.7 เท่าของข้าราชการ (เนื่องจากไม่มีสิทธิและสวัสดิการดั่งข้าราชการ) เช่น ก่อนหน้านี้ (ก่อน 1 เมษายน 2554) ข้าราชการปริญญาเอกเงินเดือนประมาณ 13,xxx บาทต่อเดือน ก็เอา 1.7 คูณเข้าไป ได้ประมาณ 22,xxx บาทต่อเดือน จำนวนนี้เป็นเงินต่อหัวที่มหาวิทยาลัยได้จากกรมบัญชีกลาง ที่จะนำไปจัดสรรให้กับพนักงาน โดยหักส่วนหนึ่งสำหรับค่าบริหารจัดการต่างๆในมหาวิทยาลัย โดยท้ายสุดพนักงานแต่ละคนได้เงินเดือนเป็น 1.4-1.7 เท่าของข้าราชการขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัย ยกตัวอย่าง เกษตรให้ 1.5 เท่า - 13000 X 1.5= 19500 บาท เมือ 1 เมษายน มีการปรับเงินเดือนข้าราชการปริญญาเอก 1. 1 เมษายน 2554 ปรับเงินเดือนข้าราชการ ป.เอก จาก 13,110 เป็น 16,200-16,690 บาท http://www.ocsc.go.th/ocsccms/uploads/circular/ccl0000537.pdf 2. ปรับอีกครั้ง เพิ่ม 5% ได้ 1 เมษายน 2554 จาก 16,200 เป็น 17,010-17,530 บาท http://www.ocsc.go.th/ocsccms/uploads/circular/ccl0000601.pdf ดังนั้นถ้าคำนวนเงินเดือน 1.5 เท่า (ในกรณี ม. เกษตร) เงินเดือนก็ควรเป็นอย่างน้อย 17,010 x 1.5 = 25,515 บาทต่อเดือน ผมเห็นมหาวิทยาลัยที่ปรับแล้วคือ ม. เจ้าคุณฯลาดกระบัง เงินเดือน 28,xxx บาท (คูณ 1.65) ผมไม่รู้ว่าที่อื่นๆจะปรับตามเมื่อไร แต่ที่จะถามคือเงินเดือนที่ปรับแล้วนี้จะยังเหมาะสมต่อการทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องสอนและวิจัย และงานจับฉ่ายในหน่วยงานอีกเต็มไปหมด โดยเฉพาะ TQF รึเปล่า? ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายของการทำงานในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทุกคนในนี้เน้นคือการสอน แต่ผมอยากให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของอาจารย์ในการวิจัยด้วย เพราะสิ่งนี้เป็นการสร้างองค์ความรู้ของชาติ การวิจัยไม่ใช่มีแต่การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ การสร้างองค์ความรู้ผ่านการวิจัยสามารถต่อยอดสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นได้เรื่อย ทุกวันนี้ความรู้ที่มีมีแต่นำเข้าจากต่างประเทศ เราส่งคนไปเรียนเอกเมืองนอกไม่ใช่ไปเอาแต่ความรู้ แต่ไปเรียนวิธีสร้างองค์ความรู้ของเราเองด้วย ผมจึงรู้สึกเศร้าใจที่เห็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนหนังสือไปวันๆไม่มีการวิจัยสร้างความรู้ แล้วเอาเวลาไปรับจ๊อบอื่นหารายได้ ****เพิ่มเติม หลายที่ ที่ยังไม่ปรับพนักงานก็ใจตุ๊บๆต่อมๆว่าจะได้ปรับรึเปล่า เพราะเจอน้ำท่อม (ไม่รู้จะเกี่ยวกันรึเปล่า) - อันนี้เป็นการปรับฐานเงินเดือนเรื่มต้นนะครับ ถ้าคนที่ทำงานมาก่อนแล้ว เงินเดือนเกินฐานนี้้ก็จะไม่ได้ปรับ เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ส่วนคนที่เข้ามาใหม่หรือทำงานยังไม่เกินฐานนี้ก็จะได้รับเงินเดือนใหม่เท่ากันที่ฐาน แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 09:36:55 แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 21:37:39 จากคุณ : slow mover (Slow mover) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 21:31:53

ความคิดเห็นที่ 59 เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนมาเจ็ดปี เงินเดือนยังไม่ถึงสองหมื่นเลยคุณ เรื่องจ๊อบพิเศษอะไรนั่นน่ะ ใช่ว่าอาจารย์ทุกคนจะทำได้แบบนั้นนะ อาจารย์บางคณะ บางสาขาที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาด ก็ไม่มีใครจ้างไปเป็นที่ปรึกษาตามบริษัทอะไรแบบนั้นหรอก งานอาจารย์เป็นงานเบาๆ หรือ? สอนเหมือนเดิมทุกเทอม? ทุกปี? ถ้าเป็นอาจารย์ที่มีสำนึกก็ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เราต้องปรับให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละรุ่น เนื้อหาก็ต้องทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมี TQF มาชี้นิ้วสั่ง ก็ทำไปสิ งานสอนก็ต้องทำ เตรียมเนื้อหา เตรียมสอน คิดแบบฝึกหัด สอน ตรวจการบ้าน ออกข้อสอบ ตรวจข้อสอบ ... ยิ่งเป็นพวกบ้าพลัง ชอบเช็คความรู้ความเข้าใจผู้เรียนทุกคาบ ก็ให้มันทำแบบฝึกหัดไปสิ แล้วกลับมาตรวจคืนให้ทันคาบต่อไป สมมติเด็กคลาสนั้นมี 80 คน แล้ววันนั้นมีสอน 3 คลาส ก็เท่ากับมีการบ้านต้องตรวจ 240 ชิ้น ถ้ามีสอนวันจันทร์กับวันพุธ ก็แสดงว่า เรามีเวลาวันจันทร์กับวันอังคารสำหรับตรวจงาน 240 ชิ้นนี้ให้ทัน ตรวจเฉยๆ ก็ไม่ได้ ต้องมี comment และคำแนะนำ นี่แค่วิชาเดียวนะ แล้วถ้าอังคารมีสอนวิชาอื่นอีก ก็คูณปริมาณงานเข้าไปสิ นอกจากนั้น TQF บอกว่า อาจารย์ต้องทำงานบริการวิชาการให้สังคม ไปบรรยาย ไปเป็นที่ปรึกษา แล้วก็ต้องทำงานวิจัย สร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างตำแหน่งทางวิชาการ ฯลฯ งานเอกสารก็ต้องทำ เพื่อเข้าระบบประกันคุณภาพ ISO 9001 ฤดูตรวจ SAR มาถึงทีไร กลับบ้านโน่นนนน สามทุ่ม สี่ทุ่ม แค่นี้เหอะ ถามว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปรับจ๊อบงานพิเศษหรือ? และในเศรษฐกิจแบบนี้ มหาลัยเองก็เขี้ยวกับอาจารย์ จากที่เคยสอนคลาสละ 60 คน หากเกินก็จะปัดเป็นคลาสใหม่ พร้อมเพิ่ม Extra Load ให้ ก็มามีเงื่อนไขจุกจิกว่า หากคลาสใหม่ มีเด็กไม่ถึง 2 ใน 3 จะคิดเงินค่า Extra Load ให้แค่ 2 ใน 3 (ทั้งๆ ที่เวลาเราสอน เราก็สอนเต็มเวลานะ ไม่ได้สอนแค่ 2 ใน 3 ของเวลา) แล้วก็ยัดเด็กลงคลาสเดียว 80 คน เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่าย EXtra Load ให้อาจารย์ด้วย ทุกวันนี้ เวลาไปยืนอยู่หน้ากระดาน สอนหนังสือมันก็มีความสุขนะ ก็ยังรู้สึกว่า เราเกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ แต่เวลาออกจากห้องเรียน เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เห็นงานเอกสารมากมายที่ต้องทำ เห็นกรอบมาตรฐานคุณวุฒิที่กำหนดโดยคนที่ไม่เคยสอนหนังสือด้วยสภาพแบบอาจารย์ผู้น้อยสอน เห็นสลิปเงินเดือนที่หักค่าบ้าน ค่าประกันสังคม ค่าภาษี ค่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราก็คิดทุกเดือนแหละ ว่าไปทำมาหากินอย่างอื่นดีไหม ที่ไม่ใช่ครู จากคุณ : แม่เนื้ออุ่น (หลับอุตุ) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 00:58:08

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบ คคห 55 ที่เราพูดว่า "มีไม่ถึงครึ่งหนึ่งซึ่งถ้าเลือกทางอื่นที่รายได้ดีกว่านี้ก็จะไม่มาเป็นอาจารย์" แล้วคุณตอบว่า "ผมคิดว่าความคิดแบบนี้มันทำให้คนที่ตั้งใจจริงเสียกำลังใจนะครับ" ^ มันก็ควรที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะมันทำให้เขารู้สึก disillusioned ยังไงล่ะ คือไม่หลงอยู่กับมายา และยอมรับความจริง เพราะธาตุแท้ของมนุษย์ถ้าเลือกทางอื่นที่ดีกว่านั้นก็คงเลือกไปแล้ว ใครบ้างที่จะไม่อยากมีเงินจับจ่ายใช้สอยของดีๆแพงๆหรูๆ แต่เราก็ยอมรับว่ามีคนไม่น้อยที่ "ได้ความสุขใจที่ตัวเองมีสถานภาพเป็นอาจารย์ มีคนนับหน้าถือตา ถึงจะได้งานรายได้ดีกว่านัั้นก็ยอมสละ" ^ แต่นั่นมันเขา คนอื่นที่ใหม่ต่อวงการไม่ควรคล้อยตามแบบไม่ดูทางหนีทีไล่ดีๆ ดังนั้นถ้าเราพูดให้ใครเสียใจมันก็ไม่ผิด เพราะอย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะได้เห็นภาพชัดเจนว่า "ผู้คนในสังคมเล่นเกมอะไรกัน" ข้อมูลที่เราได้ประกอบที่ทำให้เราคิดคล้อยตามคุณอื้ม คคห 15 มันมากจากคนใกล้ตัวเราจริงๆ นั่นก็คือแฟนเราจบอักษรศาสตร์จุฬา และปริญญาโทการแปลจุฬา ทุกวันเราแกล้งยุให้แฟนเราเรียนต่อปริญญาเอกแล้วไปเป็นอาจารย์มหาลัย เราล้อเธอเล่นสนุกๆว่า "มันคงขลังดีนะถ้าฉันเรียกเธอว่า "ดอกเตอร์(ตามด้วยชื่อเธอ)" พอแฟนเราได้ฟังเธอทำตาเขียวใส่เรา เธอบอกว่าเธอทำงานบริษัทเอกชนข้ามชาติน่ะดีแล้ว  และเธอก็ส่ายหน้าพูดซ้ำๆว่า "รุ่นน้องฉันที่ไปเรียนต่อถึงปริญญาเอก (มีหลายสิบคนในแวดวงเธอ) ครอบครัวร่ำรวยกันหมด ชนชั้นกลางอย่างฉันหรือคนชั้นยากจนกว่าฉันที่เรียนเก่งๆ ถ้าเลือกทางอื่นได้ ไม่มีใครอยากเป็นอาจารย์เพราะรายได้มันไม่มากพอ!" อันนี้เราพูดจากการสัมผัสกับแฟนตัวเองและแวดวงเพื่อนเธอที่เป็นอาจารย์มหาลัย แต่ใครจะแย้งว่า "พวกเขามาจากครอบครัวยากจนแล้วเสียสละ" ^ นั่นมันเรื่องของพวกเขา แต่มันยังฟังไม่ขึ้นว่า "ถ้าพวกเขาเก่งมากๆ และมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ พวกเขาจะไม่เลือกทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 01:15:01

ความคิดเห็นที่ 61 เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ว่า เงินเดือนอาจารย์ค่อนข้างน้อย แต่อีกประเด็นที่สำคัญมากก็คือ สวัสดิการต่างๆยังน้อยด้วยครับ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจแค่ว่า เมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้ว เงินเดือนจะเพิ่ม แต่จริงๆที่ไม่ค่อยได้คิดกันก็คือ สวัสดิการถูกตัดออกทั้งหมด นอกจากนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัยยังอยู่ในสถานะก้ำกึ่ง คือถึงไม่ใช่ข้าราชการ แต่ก็ไม่ใช่ลูกจ้างเอกชน กฎหมายแรงงานจึงไม่ครอบคลุม การตั้งสหภาพเพื่อต่อรองกับทางมหาวิทยาลัยก็ทำไม่ได้ สถานะจึงค่อนข้างลำบากอยู่ซักหน่อย ที่พูดนี่ไม่ได้ต้องการทวงบุญคุณอะไรกับสังคม ผมทราบดีว่าคนที่เป็นอาจารย์ ถึงอย่างไรก็โชคดีที่ได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ มีเกียรติ และมีอิสระ เพียงแต่ในฐานะของคนที่ประกอบอาชีพ เราคงอยากมีสถานะที่มั่นคง และมีหลักประกันในอนาคตอยู่บ้าง ผมอ่านบางความเห็นแล้วก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมหลายคนถึงรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนมากนัก เวลาที่อาจารย์อาจจะอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีกับเขาบ้าง คนเป็นอาจารย์ไม่ได้รวยทุกคนครับ อันนี้รับรอง อาจารย์ผมที่คณะ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนฐานะปานกลาง หลายคน อยู่มาจนทุกวันนี้ ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ จริงอยู่ อาจารย์บางคณะนั้นมีช่องทางหารายได้เสริม แต่บางคณะก็ไม่มีนะครับ (อย่างประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี จะไปสอนภาคพิเศษที่ไหนได้) เพราะฉะนั้น ถ้าพอมีหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กันบ้าง เราจะได้ทำงานกันอย่างสบายใจ อีกอย่างหนึ่ง บางท่านอาจจะมองว่าถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากเป็นอาจารย์ อันนี้คงไม่จริงครับ เพื่อนผมทุกๆคนที่เป็นอาจารย์ ไม่ได้คิดว่าอยากทำอาชีพอื่น ทุกวันนี้ ชีวิตอาจารย์ไม่ได้ดี ไม่ได้มีค่าตอบแทนมาก แต่เราก็ยังเลือกที่จะทำกัน เราทำเพราะเรารัก แม้จะต้องควักเนื้อกันบ้างก็ตาม เพียงแต่แอบหวังลึกๆว่า ถ้าเราได้รับการดูแลกว่านี้ ขณะที่เราทำงานไป เราคงอุ่นใจกับอนาคตตัวเองขึ้นมาบ้าง ก็เท่านั้นเองครับ จากคุณ : democrasubjection เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 01:49:50

ความคิดเห็นที่ 62 #60 เราว่าเราเข้าใจนะคะ แต่เรามองว่า คนเ้ก่งมากๆ ที่เป็นอาจารย์ ก็เพราะว่าเขาเลือกที่จะเป็นมากกว่านะคะ คงไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นหรอก (ในเมื่อเขา "เก่งมากๆ") คนเก่งมากๆ คนอื่น ที่มองว่าทางเลือกอื่นดีกว่าการเป็นอาจารยฺ์ เขาก็ไม่มาเลือกเป็นอาจารย์ นั่นก็น่้าจะถูกแล้ว แต่ละคนก็เลือกทางที่ตัวเองอยากเดิน และเราก็ค่อนข้างมั่นใจว่า คนที่เป็นอาจารย์เพราะมีอุดมการณ์ทางการศึกษาจริงๆ ยังมีอยู่ คนที่เป็นอาจารย์เพราะมีความสุขในแง่อื่นที่ไม่ใช่เพราะมีคนนับหน้าถือตาก็ยังมีอยู่ แม้แต่ลูกคุณหนูหรือคนที่มีสามีร่ำรวยอะไรก็ตาม การที่เขาเลือกมาเป็นอาจารย์ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีความคิดที่อยากจะมาให้บางอย่้างกับการศึกษา นอกจากมาเป็นให้คนนับถือเฉยๆ การมองว่าเกียรติของอาชีพอาชีพหนึ่งมีเพียงแค่เป็นที่นับถือในสังคม แล้วคนที่ประกอบอาชีพนั้นเสียสละรายได้จากงานอื่นที่มากกว่้าเพื่อเกียรติข้อนี้ เราว่ามันเป็นมุมมองจากคนภายนอกที่สรุปสั้นเกินไปหน่อย เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง มีเป้่าหมายบางอย่างในชีวิต ที่เขาไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ เราคิดว่ายากที่จะไปสรุปนะคะ ว่าคนพวกไหนเลือกเป็นอาจารย์เพราะอะไร การสรุปบางอย่าง เช่น สามีรวยอยู่แล้ว พ่อแม่รวยอยู่แล้ว ก็เลยไปเป็นอาจารย์ได้ มันอาจจะ offensive สำหรับบางคนก็ได้นะคะ อีกอย่างเนี่ย คนเป็นอาจารย์ซักกี่คนจะมองว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่คือการ "เสียสละยอมรับเงินน้อยๆ" เพื่ออะไรสักอย่าง เรามั่นใจนะคะ หลายๆ คนมาเป็นอาจารย์ เพราะชอบงานสอนและหลงใหลด้านวิชาการ ก่อนที่จะนึกถึงด้านอื่น คนที่มาเป็นอาจาีรย์เพราะเหตุผลอื่น ก็อาจจะมีจริงๆ และความคิดที่ว่า คนที่มาเป็็นอาจารย์ ถ้าไม่มีฐานะทางบ้านสนับสนุนบ้างอาจจะลำบาก ก็อาจจะจริง แต่ เราย้ำอีกที ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ฐานะไม่ลำบากเหล่้านั้น เขาไม่ได้มาเป็นอาจารย์เพราะรักชอบงานสอนเสมอไปนะคะ ยังไงก็ตาม เราคิดว่าอาจารย์เป็นอาชีำพที่ดีค่ะ ไม่ได้แปลว่ามีเกียรติกว่าอาชีพอื่น แต่เป็นอาชีพที่คนที่เลือกมาเป็นจริงๆ ไม่ได้เลือกมาเพราะเงินเป็นอย่างแรก ซึ่งก็อาจจะหมายถึงไม่ได้คำนึงถึงความสุขสบายส่วนตัวที่หามาจากทรัพย์สินเงินทองได้เป็นอย่างแรก การให้การศึกษาเป็นการให้ที่มีค่ามากอย่างนึง แล้วอาจารย์เก่งๆ จำนวนมาก ก็ช่วยส่งเสริมให้คนเก่งๆ จำนวนมากได้ออกมาประกอบอาชีพอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า แล้วคนเก่งมากๆ ที่เป็นอาจารย์จนเกษียณอายุก็เยอะแยะไปค่ะ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่เงินเยอะกว่า แต่อาจจะเพราะเขาพอใจกับทางเลือกนี้ จะรายได้ดีมากหรือดีน้อย ฐานะดั้งเดิมเ้ป็นยังไำง ก็ไม่ได้ตัดสินอะไรได้เลยว่าคนคนนั้นมาเป็นอาจารย์เพราะอะไร แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 01:58:15 จากคุณ : ZzIqka เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 01:54:27

ความคิดเห็นที่ 63 #58 ขอบคุณ คุณ Slow mover มากครับ รู้สึกว่าผมจะได้รับคำตอบแล้ว ที่เหลือก็แค่รู้ตัวคูณของแต่ละแห่งเท่านั้น (ซึ่งพอจะดูออกจากข้อมูลเดิมที่มี) กลายเป็นว่าข้อมูลที่ได้มาอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างอัตราเดิมกับอัตราใหม่ จึงรู้สึกว่ามีความต่างกันมากเพราะบางแห่งประกาศใช้อัตราใหม่แล้ว ใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านขอให้ย้อนขึ้นไปอ่าน คห. 58 นะครับ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 06:12:41

ความคิดเห็นที่ 64 ที่ คคห 49 เขียน คือ "ถ้าเรียนจนจบ ป.เอกแล้ว ยังคิดเองไม่เป็น, คิดไม่ออก, คิดไม่ได้ ว่า การเป็น อ. ทำให้รายรับเพิ่มอย่างไร กลับไปรับจ้อบเป็นเสมียนวุฒิ ป.6 ดีที่สุด" ^ เราได้พูดไปแล้วใน คคห 52 ว่า It does not hold true universally. นั่นก็คือมันไม่ได้เป็นความจริงในทุกสถานการณ์ที่คนจบปริญญาเอกจะต้องเก่งกว่าคนจบวุฒิต่ำกว่าเสมอไป อย่างเช่นจิตแพทย์ สรีรแพทย์ และศัลแพทย์ทุกคนที่ระดมกำลังกันรักษาแม่เราหลายสิบปีนั้น ทุกคุณต่างก็มีวุฒิประมาณปริญญาเอกกันทั้งนั้น แต่ทำไมรักษาแม่เราตาย แต่เราซึ่งเรียนจบแค่ มศ.3 (เทียบเท่า ม.4 สมัยนี้) แต่อาศัยไปโตในประเทศอังกฤษอ่านภาษาอังกฤษแตกฉานจนค้นคว้าจากตำราภาษาอังกฤษเรียนรู้ด้วยตัวเอง (ส่วนใหญ่จะเป็นคัมภีร์โบราณด้านการแพทย์ทางเลือกที่มาจากปรัชญาเต๋ากับปรัชญาฮินดูที่แปลจากภาษาจีนกับภาษาแขกเป็นภาษาอังกฤษ) แล้วรักษาตัวเองที่ป่วยเหมือนแม่เรา (อาจเป็นกรรมพันธุ) ทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเรา "รอดตาย" นั่นก็เพราะว่า "เรามีวุฒิการศึกษาที่ต่ำกว่าจิตแพทย์ สรีรแพทย์ และศัลแพทย์พวกนั้น (ที่รักษาแม่เรา) แต่เรามีสิ่งที่พวกเขาไม่มี นั่นก็คือ higher judgment เราถึงรักษาตัวเองหายขาด แล้วรอดตายมาได้" ^ บ่อยครั้งที่เรามองย้อนภาพไปในอดีต แล้วเห็นแม่เราอุทิศชีวิตทั้งชีวิต เพื่อไปให้ จิตแพทย์ สรีรแพทย์ และศัลแพทย์ ที่เรียนจบปริญญาเอก รักษาผิดๆ จนเราสังเกตการณ์เรียนรู้จากความผิดพลาดของพวกเขา จนกระทั้งเรารักษาตัวเองได้ในที่สุดโดยไม่ต้องใช้ยาแรงๆ และไม่ต้องใช้เทคโนโลยีราคาแพง พูดง่ายๆก็คือ "ไม่ต้องขี่ช้างจับตั๊กแตน" อีกกรณีหนึ่งที่เราจะพิสูจน์ว่า ข้อความแบบนี้ "ถ้าเรียนจนจบ ป.เอกแล้ว ยังคิดเองไม่เป็น, คิดไม่ออก, คิดไม่ได้ ว่า การเป็น อ. ทำให้รายรับเพิ่มอย่างไร กลับไปรับจ้อบเป็นเสมียนวุฒิ ป.6 ดีที่สุด " ^ ออกมาจากสมองคนที่ไม่เห็นโลกกว้าง ก็คือ ในประเทศอังกฤษไม่มีการกดขี่แรงงาน เด็กอังกฤษที่ไม่ชอบเรียนด้านวิชาการ จะไม่เรียนต่อมหาลัยแต่จะไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง เพราะค่าแรงกรรมกรก่อสร้างในประเทศอังกฤษมันมากกว่าเงินเดือนคนจบปริญญาเอกมา ส่งผลให้ตอนนี้คนอังกฤษ ถ้านับตามอัตราประชากรแล้ว จะมีการศึกษาต่ำกว่าคนไทยมากๆ และเศรษฐีใหม่ของอังกฤษที่มีหลักทรัพย์เทียบเป็นเงินไทยนับร้อยๆพันๆล้านนั้น "ส่วนใหญ่ร่ำรวยมาจากการทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง" ^ นั่นก็แสดงว่ากรรมกรก่อสร้างชาวอังกฤษที่เรียนไม่จบปริญญาแล้วไปทำงานก่อสร้างจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐพวกนี้ มี judgment ที่สูงส่งกว่าคนไทยที่จบปริญญาเอกแล้วไปเป็นอาจารย์แล้วหาเงินไม่ได้ง่ายๆ ขนาดหาทางซิกแซ๊กเพื่อหารายได้พิเศษก็ยังทำไม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็กลายเป็นเตรียมการสอนไม่ได้ดีพอ (เพราะมัวแต่ไปหารายได้พิเศษ) ทำให้กลายเป็นอาจารย์มหาลัยที่ไม่ดี นั่นก็หมายความว่ากรรมกรอังกฤษเป็นกรรมกรที่ดีและมีคุณค่าทำประโยชน์ให้สังคมได้มากกว่า (พอร่ำรวยแล้วพวกเขาบริจาคเงินให้การกุศลให้การศึกษาเป็นจำนวนมหาศาล) ในขณะที่ตัวกรรมกรเองก็มีความสุขอยู่บนกองเงินกองทอง ดังนั้น ข้อความใน คคห 49 ที่ว่า "ถ้าเรียนจนจบ ป.เอกแล้ว ยังคิดเองไม่เป็น, คิดไม่ออก, คิดไม่ได้ ว่า การเป็น อ. ทำให้รายรับเพิ่มอย่างไร กลับไปรับจ้อบเป็นเสมียนวุฒิ ป.6 ดีที่สุด" ^ มันออกจากปากของคนที่ "โลกแคบมากๆ เพราะสมองไม่เคยคิดพลิกแพลง และไม่เคยมองดูความเป็นไปได้ทั้งหมด ได้แต่มองอะไรตื้นๆเพื่อนำมาใช้ support arguments ของตนเอง" วิธีคิดแบบนี้ ถ้ามาจากสมองคนจบปริญญาเอก ก็นับได้ว่า "เรียนไปก็เปล่าประโยชน์เพราะขาด high judgment" แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 07:00:59 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 06:59:57 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 06:46:21 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 06:41:12 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 06:34:27

ความคิดเห็นที่ 65 ขอแย้งข้อมูลอาจารย์ป.เอกมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนะครับ เงินเดือนได้เพียง 22,000 กว่า ๆ ครับ แต่ได้ Top Up อีก 5,000 ดังนั้นไม่ถึง 34,000 แน่นอนครับ จากคุณ : Canon in Science Major เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 09:17:45

ความคิดเห็นที่ 66 ใจเย็นครับ คุณความเห็นที่ 64 ผมเข้าใจว่า ความเห็น 49 ไม่ได้ตั้งใจดูถูกคนจบ ป 6 หรอกครับ ผมเองก็เข้าใจดี ว่าคนจบ ป 6 เก่งๆ เยอะแยะไป ความเห็นที่ 49 น่าจะเปรียบเทียบ และหมายความว่า คนที่ตั้งใจเล่าเรียนมาถึงขนาดนั้น ควรจะมีความสามารถในการเอาตัวรอดได้ เป็นการเปรียบเทียบ มากกว่าที่จะแปลตรงตัว เพื่อที่จะว่าคนจบ ป 6 ครับ ส่วนการศึกษา ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าใครเก่งกว่ากัน อันนี้เป็นเรื่องถูกครับ ที่คุณศึกษาหาความรู้จนเก่งมากนั้น เป็นเรื่องดีครับ เงินเดือนอาจารย์ มองอีกแง่ ก็เป็นค่าตอบแทนที่รัฐจ่ายให้ แลกกับงานวิจัย และความรู้ที่ได้เรียนมาทั้งชีวิต ซึ่งถ้าเทียบกับสิ่งที่ต้องฟันฝ่ามา ก็ดูจะไม่คุ้มค่านัก แต่ก็นั่นแหละครับ ประเทศไทย -จน- และมีข้อจำกัดหลายสิ่งหลายอย่างในระบบในบ้านเราครับ จะจ่ายเงินมากมายคงไม่ได้ ของอย่างนี้ ว่ากันยาววววครับ ต้นสายปลายเหตุ ไม่แน่ใจว่าต่อให้อาจารย์รุ่นใหม่ เข้าไปรับเงินเดือนที่ว่านี้ จนเกษียณ ประเทศไทยจะพัฒนาไปถึงจุดที่ผู้นำเห็นคุณค่าของงานวิจัยและการสร้างองความรู้ขึ้นมาเองหรือไม่ แต่ตราบใด ที่ไม่มีใครเห็นความสำคัญของการสร้างองความรู้ใหม่ๆเอง ประเทศเรา ก็จะให้ค่าตอบแทนกับผู้ที่ทำวิจัยและสอน ต่ำ กว่าอาชีพอื่นๆ อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้แหละครับ ว่าไปว่ามา เดี๋ยวจะไปกระทบท่านผู้นำแต่ละยุค เดี๋ยวประเด็นจะเพี้ยน ถ้าไม่ตายซะก่อน คงได้เห็นวันที่รุ่นลูกรุ่นหลานของประเทศเรา ลืมตาอ้าปากบ้างนะครับ จากคุณ : ใหม่กะกล่อง (ใหม่แกะกล่อง) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 09:28:22

ความคิดเห็นที่ 67 ที่ๆ เยอะที่สุด ปรับเป็น 40,000 แล้วคับ จากคุณ : หนุ่มน้อยหน้าใสวัยสิบแปด เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 10:00:30

ความคิดเห็นที่ 68 เห็นรัฐบาลเขาว่าจะปรับ ปริญญาตรีเป็น 15,000 นี่ โท เอก คงขี้นตามไปม้าง แต่ไม่รู้ว่าเริ่มมีผลกันเมื่อไหร่ หรือว่าจริงหรือไม่ รวมทั้งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทด้วย จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 11:35:17

ความคิดเห็นที่ 69 ม นเรศวร เอก 22500 ครับ โท น่าจะ 16000 จากคุณ : Amnat (AmnatPh) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 12:40:30

ความคิดเห็นที่ 70 http://www.econ.tu.ac.th/doc%2Fcontent%2F218%2F%BB%C3%D0%C1%D2%B3%A1%D2%C3%A4%E8%D2%B5%CD%BA%E1%B7%B9%BC%D9%E9%CA%C1%D1%A4%C3%C7%D8%B2%D4%BB%C3%D4%AD%AD%D2%E0%CD%A1.pdf ประมาณการคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.   จริงๆอยากจะบอกว่ามันมีรายได้ ยิบย่อยเยอะมากตามแต่ละมหาวิทยาลัยนะครับ ขึ้นอยู่กับ "ระเบียบ" ที่ออกมา เช่น - ค่าออกข้อสอบคิดเป็นวิชา - ค่าตรวจข้อสอบคิดเป็นรายคน - ค่าหัวที่นักศึกษาเลือกตัวเองเป็นที่ปรึกษา(คนละอันกับวิทยานิพนธ์นะครับ) - ค่าสัมพาษณ์นักศึกษาเข้าเรียน (ส่วนใหญ่เป็นป.โท กับโครงการพิเศษ) - สอนเกิน 3 วิชาต่อปี คิดวิชาที่เกินให้ ชั่วโมงละ 800 ( ป. ตรี นานมาแล้ว) - ค่าตีพิมพ์บทความ อันนี้มีระเบียบออกมาแทบทุกมหาวิทยาลัย มากน้อยต่างกัน  อย่างของ econ มธ. ที่เอามาอ้างอิงก็ 50,000- 200,000 บาท แล้วแต่คุณภาพของวารสารที่ตีพิมพ์ อาจารย์ที่ขยันทำวิจัยหรือมีเครือข่ายวิจัยในต่างประเทศ มักจะตีพิมพ์เฉลี่ย 2 บทความขึ้นไปต่อปี - เงินค่าตำแหน่งทางวิชาการ เงินเหล่านี้มากน้อยขึ้นอยู่กับความขยัน อาจารย์บางท่านทำวิจัยมาก (ซึ่งมีอยู่น้อย) ก็ได้เงินค่าตีพิมพ์มาก บางท่านเน้นสอนมากก็ได้เงินค่าสอนเยอะ แต่หลังๆมานี้ฝ่ายบริหารจะเน้นให้อาจารย์ทำวิจัย และยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการโดยมีเงินจูงใจเยอะ เช่นของ มธ. ได้ยินว่ามีการให้รางวัลกับผู้ได้รับตำแหน่งทางวิชาการ(แยกจากเงินค่าตำแหน่ง) โดยเงินจะลดหลั่นกันลงไปตั้งแต่ตำแหน่งศาสตราจารย์ จากคุณ : ETHIC@MIND เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 13:19:01

ความคิดเห็นที่ 71 พูดถึงอาจารย์ที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยเราเห็นมีหลายท่าน แบบคุณหนูๆกินข้าวราดแกงไม่เป็นเลยก็มี แต่ทุกท่านที่เรามีโอกาสเรียนด้วยจะสอนดีและมีงานวิจัยเยอะ อาจจะเพราะมีทางบ้าน support อยู่ เลยไม่ต้องดิ้นรนทำงานอื่น เตรียมการสอนและทำงานวิจัยได้เต็มที่ จากคุณ : *~KingFisho~* เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 13:29:31

ความคิดเห็นที่ 72 @แมวเหมียวพุงป่อง คำพูดแรงๆ เพื่อให้ดูดี เอาเก็บไว้ที่ห้องกล้องดีกว่าครับ ที่เถียงกันตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเงินเดือนไม่พอกับความฟุ้งเฟ้อ แต่เถียงเพราะเงินเดือนอาจารย์ไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบันอย่างยิ่ง จากคุณ : oddie เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 14:20:42

ความคิดเห็นที่ 73 ส่วนนึงที่ทำให้ชาติไม่เจริญหรือเปล่า หรือว่าคนเก่งจริง เขาหารายได้เสริมเองได้ จากคุณ : ตาแป๊ะหวานเย็น เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 14:45:10

ความคิดเห็นที่ 74 งั้นขอถามหน่อยว่า แล้วอาจารย์มหาวิทยาลัยในอเมริกา ยุโรป หรือออสเตรเลีย เค้าได้ค่าตอบแทนน้อยแบบนี้กันไหมครับ สงสัยจริงๆครับ (ไม่ได้ป่วนนะ) คือ มีสมมติฐานในใจว่า หากผมเป็นผู้นำประเทศ ผมจะลงทุนด้านการศึกษาครับ ไม่ใช่ด้านเศรษฐกิจ เพราะการศึกษาน่าจะยั่งยินกว่าและจะนำมาซึ่งระบบเศรษฐกิจที่ดีในระยะยาว (เพราะคนมีการศึกษามากขึ้น) ผมจะให้เงินเดือนและสวัสดินการของทั้งครูอาจารย์ในทุกระดับชั้นให้สูงกว่าข้าราชการทั่วไปเลยครับ เพื่อจูงใจคนที่เก่งเข้ามาทำงานเยอะๆ ผมเชื่อว่ายังมีคนเก่งมากๆอีกหลายคนที่อยากเป็นครูอาจารย์นะครับ แต่เค้าก้อมีภาระบางอย่างในชีวิตที่ไม่สามารถรับเงินเดือนเท่านี้ได้เลยต้องไปทำภาคเอกชน จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 17:41:43

ความคิดเห็นที่ 75 เศร้า อาจารย์ ป โท มหาวิทยาลัย ต่างจังหวัด สอนมา สิบปี เงินเดือนยังไม่เท่า่ ป โทเข้าใหม่เลย ย้ำอีกว่า อาจารย์ บางสาย ออกทำงานงานข้างนอกไม่ได้ครับ แล้วก้ ยิ่ง ตจว แล้ว ที่ไหนเค้าจะมีงานให้ทำ คิดได้ครับ คิดเป้นครับ แต่ ทำไม่ได้ อ้อ แล้ว ยิ่งอยู่ คณะเล็กนะครับ ขยับ อะไรไม่ได้เลย สอน สิบ ชั่วโมง ต้องสอน อย่างน้อย สามวิชา สามวิชา ต้อง อ่าน เตรียม ตัว สามครั้ง ไม่ใช่ สอนวิชาเดียว หลายครั้งนะครับ (อย่างคณะใหญ่ เ็ด็กเยอะ แบ่งเป็นหลายห้อง แบบนี้ทำได้ครับ) สอนวิชาเดียวหลายครั้ง ก้ สบาย แต่ถ้าสอน สามวิชา ต้องเตรียม ตัวสามวิชา ก็ จบเลยครับ ไม่ต้องทำอะไร นั่งเตรียมการสอนก้หมดแล้ว จากคุณ : ไม่ใกล้ ไม่ไกล เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 19:32:33

ความคิดเห็นที่ 76 ^ ^ เห็นด้วยกะ คุณไม่ใกล้ ไม่ไกล ทุกประการค่ะ ไม่เพียงแต่เงินเดือนน้อย สวัสดิการอะไรก็ไม่มีค่ะ ต่อสู้ดิ้นรนกันต่อไป จากคุณ : จอมจินตนาการ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 21:46:08

ความคิดเห็นที่ 77 คนที่เป็นครูบา อาจารย์ (ที่เป็นจริงๆ อ่ะนะ) ..ท่านมีความเสียสละมากมายจริงๆ เป็นคนปิดทองหลังพระ แต่ครูบา อาจารย์..ก็คงยังเป็นมนุษย์ ปุถุชนธรรมดา ปล. นอกประเด็น ไม่เกี่ยวกับกระทุู้เล้ยยย ห้าๆ จากคุณ : YuY-iPzZO เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 21:52:44

ความคิดเห็นที่ 78 คห. 74 ลองดูลิ้งค์นี้นะครับ http://www.worldsalaries.org/professor.shtml เป็นการเปรียบเทียบเงินเดือนของอาจารย์ทั่วโลก สำรวจปี 2005 ป่านนี้ตัวเลขคงจะเปลี่ยนไปมากแล้ว ข้อสังเกต - สหรัฐอเมริกาให้เงินเดือนสูงที่สุด ทั้งที่ค่าครองชีพต่ำกว่าญี่ปุ่นมาก - ประเทศไทยอยู่อันดับท้าย ๆ เหนือกว่าฟิลิปปินส์ ลิธัวเนีย สโลวาเกีย ซึ่งก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำเหมือนกัน จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 21:54:46

ความคิดเห็นที่ 79 อาจารย์นอกจากจะสอนหนังสือ รับเงินจากมหาวิทยาลัยแล้ว   ยังมีรายได้เพิ่มจาก การสอน โครงการพิเศษ/หลักสูตรนอกเวลาราชการ (ป.โท /เอก หรือเรียนตอนเย็น หรือ เสาร์ -อาทิตย์)   นอกจากนั้น อาจมีการแต่งตำรา  หรือ เป็นวิทยากรพิเศษ /อาจารย์พิเศษ บรรยายบางรายวิชาให้แก่มหาวิทยาลัยเอกชนต่างๆ   และบางท่านอาจเป็นที่ปรึกษาให้แก่บริษัท เช่น เป็นอาจารย์ทางด้านกฏหมาย เชี่ยวชาญกฏหมายแรงงาน  บริษัทเอกชนก็อาจจะแต่งตั้งให้เป้นที่ปรึกษาทางด้านกฏหมายแรงงานโดยเฉพาะ รับเงินจากบริษัทอีก เป็นต้น คนมีปัญญา  ไม่มีทางจนหรอกครับ จากคุณ : psycho_thai เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 23:22:19

ความคิดเห็นที่ 80 ขอตอบในมุมมองของผู้เรียนบ้างนะครับ เห็นเงินเดือนอาจารย์ + อ่านหลายๆความเห็นแล้ว ผมเข้าใจอาจารย์ขึ้นเยอะเลยครับ เข้าใจว่าทำไมอ.บางคนถึงยอมรับแอดเด็กเพิ่มใน sec ที่เต็มแล้วและอ.ก็ไม่รับเพิ่ม (ไม่ได้ว่าอ.ที่ไม่ยอมรับเพิ่มนะครับ แต่เพราะบางวิชาทรัพยากรมีเท่าที่เปิดรับจริงๆและอ.ก็ไม่สามารถรับเพิ่มได้จริงๆ) เข้าใจว่าอ.ที่สอนๆผมอยู่ท่านทุ่มเทเพียงใดในการอัพเดตเนื้อหาการสอนอยู่เสมอๆ (แบบมีข้อมูลใหม่ออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้มีเนื้อหาในชีทแล้ว) เข้าใจว่าทำไมต้องมีกำหนดเวลาส่งงาน ภายในวันนี้วันนั้นเท่านั้น (เดี๋ยวอ.ตรวจไม่ทันนั่นเอง 555) รู้สึกขอบคุณและโชคดีมากครับที่ได้เรียนกับอ.ดีๆแบบดี ***แม้บางความเห็นจะบอกว่าอ.มหาวิทยาลัยมาทำงานเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง แต่ผมเชื่อว่าอาจารย์ที่สอนผมมาส่วนใหญ่ (mostly,mainly,principally,largely,primarily,chiefly,generally) ทำงานเพราะรักงานสอนจริงๆ และต้องการมุ่งถ่ายทอดความรู้เป็นสำคัญมากกว่ามาทำงานเพื่อเชิดชูวงศ์ตระกูลครับ จากคุณ : Enliven ~Seasoning เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 23:57:03

ความคิดเห็นที่ 81 มีรามคำแหงไหมคะ วิ่งรอกสอนภูมิภาคอีกเหนี่อยแทน แต่อาจารย์บางคนก็สอนที่เอแบคด้วยแฮะ จากคุณ : Metaphysics เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 01:08:32

ความคิดเห็นที่ 82 ฝากกระทู้นี้ด้วยครับ ผลงานตีพิมพ์ มหาวิทยาลัยไทย 2009 - 2010 บนฐานข้อมูล SCOPUS และ ISI http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11422209/K11422209.html จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 02:33:14

ความคิดเห็นที่ 83 ตอบ คห. 74 ตัวอย่างเงินเดือนเริ่มต้น (Assistant Professor) ในสหรัฐอเมริกาครับ Harvard University                     104,000 USD/year Standford University                   103,400 USD/year University of Michigan - Ann Arbor 84,500 USD/year Ohio State University                    79,400 USD/year University of Wisconsin - Madison  74,900 USD/year University of Texas - Austin           82,400 USD/year University of Florida                      68,400 USD/year University of Tennessee - Knoxville 64,600 USD/year University of Colorado - Boulder     74,400 USD/year Yale University                              87,500 USD/year Massachusetts Inst of Technology 100,000 USD/year University of Iowa                          72,500 USD/year สืบค้นจาก http://chronicle.com/section/Faculty-Data/133/ จากคุณ : [-_-]][][][] เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 07:21:04

ความคิดเห็นที่ 84 ขอแชร์ ในกลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคลบ้างนะครับ อาจจะไม่เหมือนกันทุกที่ ปริญญาเอก ประมาณ19000 บาท ปริญญาโท  ประมาณ 12500 บาท และ ปริญญาตรี ประมาณ 9500 บาท ซึ่งบางคณะได้ค่าสอนภาคสมทบอีก วิชาละ 12000-14000 บาทต่อเทอมครับ จากคุณ : OhoToN14 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 09:50:03

ความคิดเห็นที่ 85 @83 แต่อย่าลืมว่ามหาลัยใน US เขาให้เด็กจบใหม่เป็น postdoc researcher เงินเดือนก็ต๊อกต๋อยเหมือนกันอยู่พักนึงด้วยนะครับ ... จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่ได้ต่างกันมากแต่ bottomline เขาอาจจะดีกว่าบ้านเรา ... รึเปล่าครับ ฮา จากคุณ : Ekkinter เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 10:42:18

ความคิดเห็นที่ 86 เห็นเงินเดือนแล้วตลกนะ โดยเฉพาะปริญญาเอก เค้าเรียนมาตั้งหลายปี ทุ่มเทเงินทอง และเวลาไปตั้งเท่าไหร่ จ้างเค้าแค่นั้นเหรอ ปวส.เครือซีเมนต์ไทย เค้ายังได้มากกว่านั้นเลยคุณ ผมทำงานราชการมา 6 ปี ตอนนี้ก็เริ่มอยากไปทำอย่างอื่นละ ไม่ทงไม่ทำมันแล้วงานแบบนี้ งานหนัก+เรียกร้องศักยภาพสูงมาก+ค่าตอบแทนต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างดูถูกกัน ไปได้เมื่อไหร่ ก็คงไปครับ หาทางไปอยู่ มันเกินไปจริงๆ จากคุณ : คนไทยในต่างมุม เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 11:21:18

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณ จขกท ที่เปิดประเด็นสำคัญหลายอย่าง ชอบความคิดเห็นและข้อสังเกตของหลายๆ ท่าน หลายๆ เรื่อง ก็น่าเป็นห่วง (แหม เอาเรื่องจริงมาเปิดเผยหมดอย่างนี้ อิอิ) ต้องได้รับความสนใจและแก้ไขโดยด่วน ไม่แน่ใจว่าใครพูดหรือยังนะครับ ผมว่าอาชีพนี้ดีอีกอย่าง คือ มีปิดเทอมด้วย (โดยเฉพาะหน้าร้อน ถ้าไม่มีสอนซัมเมอร์ ทำอะไรได้เยอะเลย....) ข้อมูลเยอะดี ยังอ่านไม่หมดเลย แต่สงสัยเพิ่มเติม ค่าตอบแทนและภาระงานของ NIDA มสธ และรามคำแหงครับ เพราะสามสถาบันนี้ไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยแบบทั่วไป มีความจำเพาะอยู่ เคยคิดว่าอยากสมัครทำงานเหมือนกัน จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 11:23:56

ความคิดเห็นที่ 88 ผมยังขอย้ำว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้มีแต่สอนนะครับ ถ้าสอนอย่างเดียว(หรือจะเป็นผู้บริหารด้วยก็ตาม)ผมไม่อยากถือว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์ ขอจี้แจงกับ #79 ว่า ไม่ใช่ทุกสาขาวิชาจะมีสอนภาคพิเศษ สอนเสาร์อาทิตย์ (ลองคิดดูนะครับในมหาวิทยาลัยหนึ่งๆ มีกี่สาขาวิชาที่มีได้ และมีกี่สาขาวิชาที่ไม่มีเปรียบเทียบกัน) และไม่ใช่ทุกคนจะถูกจ้างเป็นวิทยากรในหน่วยงานต่างๆ ส่วนการสอนปริญญาโทเอกนั้นรวมอยู่ในเวลาทำงานปกติอยู่แล้ว และถ้าคิดในอีกแง่มุมหนึ่งการสอนพิเศษ ภาคพิเศษ จ้างเป็นวิทยากร ก็เหมือนไปทำงานพิเศษ เช่น วันปกติทำงานบริษัท เสาร์-อาทิตย์ไปขายของตลาดนัด อันนี้เป็นงานทางเลือกเพื่อเพิ่มรายได้ ไม่ได้เกี่ยวกับรายได้จากการทำงานประจำปกติที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นี้ ผมก็ทราบว่าคนมีปัญญาไม่ทางจนหรอกครับ สามารถหาทางหารายได้ต่างๆทำให้ฐานนะดีขึ้นได้ แต่!! โดยส่วนใหญ่แล้วก็กลายเป็นว่าตนเองไม่สามารถหรือไม่อยากทุ่มเทให้กับงานประจำที่มี แล้วอย่างนี้การทำงานจะมีประสิทธิภาพและการศึกษาจะพัฒนาได้อย่างไร เรื่องสอนนั้นประสิทธิภาพอาจไม่ตก (เพราะสอนเหมือนเดิม) แต่ผมเชื่อว่างานวิจัยจะต้องง่อยแน่ๆ โดยส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะปล่อยให้เด็กทำงานวิจัยไปตามยะถากรรม นานๆเรียกมาคุยทีแล้วก็ด่าว่านักเรียนว่าทำได้ห่วยแตก นัยๆว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบความห่วยของงานวิจัยที่ได้ หรือไม่งั้นก็ไม่ต้องทำวิจัย สอนไปตามชั่วโมงหลังสี่โมงครึ่งก็ออกไปรับจ๊อบ หรือเผลอๆเวลางานแต่ไม่มีสอนก็ออกไปรับจ๊อบได้ ที่อาจารย์เรียกร้องเงินเดือนที่เหมาะสมกับงานเพื่อให้ทุกคนได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ต้องกังวลกับการหารายได้เพื่อให้ครอบครัวไปรอด แล้วทำให้การศึกษาของชาติดีขึ้น จากคุณ : Slow mover (Slow mover) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 11:33:41

ความคิดเห็นที่ 89 ขอพูดของแม่เราแล้วกัน จบเอกตอนอายุ29 ใช้ทุนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย (พยาบาล) เราไม่รู้ว่าตอนนั้นได้เงินเดือนเท่าไหร่(เพิ่งเกิด) มารู้ก็ตอนแม่ประมาณ40 ก็เงินเดือนประมาณ30000 ตอนนี้ออกนอกระบบแล้ว อายุ55 เงินเดือน 80000+ พวกค่าตำแหน่งด้วย พวก ผศ. รศ. ศ. ไรงี้อ่ะค่ะ +อื่นๆอีก แต่แม่เราขยันนะ ทำทุกอย่างเลย ตื่นตี3ทุกวัน เป็นอาจารย์ไม่ใช่สอนอย่างเดียวนะ ต้องทำวิจัยด้วย ทำโครงการ ออกพื้นที่บ้าง และเป็นที่ปรึกษาอื่นๆอีก ปล.สมัย30ปีที่แล้วคนยังจบเอกไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ด้วยอ่ะค่ะ สมัยนี้คนจบโทเอกกันเต็มเลย จากคุณ : AsMean เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 11:58:02

ความคิดเห็นที่ 90 ไม่มีใครเอาเงินเดือนข้าราชการพลเรือนมาแปะเปรียบเทียบบ้างน้า เห็นเงินเดือนอาจารย์แล้วอิจฉาอะค่ะ 5555 ตอนเริ่มต้นทำงานจบปริญญาเอก ได้เงินเดือน 12,000 บาท เราว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ลู่ทางเยอะค่ะ ปล. ขออภัยที่นอกเรื่อง แต่ว่า...เงินเดือนเยอะกว่าข้าราชการพลเรือนจริงๆ นะ T^T จากคุณ : Clear Ice เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 15:44:31

ความคิดเห็นที่ 91 คุณ Clear Ice > เป็นเรื่องทุ่งหญ้าเขียวจริงๆ ค่ะ ทางพนักงานเห็นสวัสดิการของข้าราชการแล้วอยากได้มากกว่าเงินเดือนอีกค่ะ (ถ้าเลือกได้ก็จะขอเป็นข้าราชการนะ) พวกการดูแลรักษาตามด้วยบำนาญที่ดีกว่าประกันสังคมมาก  โดยเฉพาะเรื่องค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่นี่สำคัญมากที่สุดเลยล่ะค่ะ จากคุณ : jackfruit_k เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 16:58:21

ความคิดเห็นที่ 92 คราวนี้จะพูดให้เข้าเป้ามากๆว่า มีจริงๆหรือเปล่าที่คนซึ่งไม่ใช่ลูกคนรวยแล้วเก่งมากๆจะยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติโดยการยึดอาชีพเป็นอาจารย์ที่ทุ่มเทให้กับการสอนอย่างเดียวโดยไม่ทำงานพิเศษ แล้วยอมรับเงินเดือนต่ำๆ? หลายๆคนบอกว่า "ตัวเองเก่งและเสียสละเป็นอาจารย์เพราะใจรักการสอน" ^ ถ้าเราย้อนว่า "องุ่นเปรี้ยว" ก็คงจะโกรธเรา แต่ทางทีดีมาพูดกันเป็นตัวเงินจะดีกว่า ยกตัวอย่างเช่นคนจบปริญญาเอกด้านภาษาอังกฤษมา ถึงจะจบจากมหาลัยดีๆต่างประเทศเหมือนๆกัน แต่แต่ละคนก็มีความสามารถไม่เท่ากัน บางคนทำได้แค่เป็นอาจารย์สอนด้านวิชาการ แต่พอเขียนภาษาอังกฤษเข้าจริงๆมีน้อยคนนักที่จะเขียนได้สวยงามเหมือนฝรั่งเจ้าของภาษาที่มีการศึกษาดีๆ แต่ถ้าเกิดมีใครทำได้ละก้อ เขาไปทำงานองค์กรข้ามชาติโอกาสได้เงินเดือนๆเป็นแสนเป็นไปได้มากๆ หรือพวกสายวิทย์ก็เหมือนกันคนจบปริญญาเอกด้านคอมพิวเตอร์ถ้าเก่งเหยียบเมฆจริงๆ ก็หาเงินได้เดือนเป็นแสน แต่ทั้งพวกเรียนภาษากับเรียนวิทย์ถ้าจบปริญญาเอกแต่ไม่เก่งระดับเทพจริงๆ ไปหางานเอกชนอย่างมากมันก็ไม่มากไปกว่าเงินเดือนอาจารย์มหาลัยมากนักหรอก อย่างนี้จะเรียนกว่า "เสียสละไม่ได้หรอก แต่เป็นเพราะอยากได้ความสุขใจที่มีคนนับหน้าถือตาว่าเป็นอาจารย์ต่างหากล่ะ" ^ ที่นี้เรามาสมมุติกันว่ามีคนๆหนึ่งซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจนทำงานส่งเสียตัวเองเรียนมาโดยตลอด เรียนจบปริญญาเอกจะด้านภาษาหรือวิทย์ก็ตามที่เก่งเทพๆสุดๆ แล้วมีโอกาสหางานองค์กรข้ามชาติได้เงินเดือนเป็นแสนๆ แต่เขายอมเสียสละไปทำงานเป็นอาจารย์มหาลัยเดือนละ 2-3 หมื่น คุณว่ามีจริงหรือเปล่า? และถ้ามีจริงถือว่า "เป็นดุลยพินิจที่สูงส่งควรได้รับการนับถือหรือเปล่า?" ^ ในมุมมองเรานะ เราถึอว่า "เป็นดุลพินิจที่ต่ำมากๆ" เพราะอะไร ต้องดูคำพูดที่ฝรั่งเขาพูดคือ Charity begins at home. นั่นก็คือเราต้องทำให้ครอบครัวเราอยู่ดีกินดีก่อนถึงจะไปช่วยผู้อื่น คนมาจากครอบครัวที่ยากจนถ้ามีโอกาสทำงานเงินเดือนมากๆ ไปทำงานเงินเดือนสูงๆหรืออาชีพอิสระรายได้สูงๆเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยซะก่อนจะดีกว่า ถ้าอยากช่วยสังคมและประเทศชาติด้านการศึกษา พอรวยแล้วก็ช่วยได้โดยการ 1. บริจาคเงินเพื่อการศึกษา 2. ใช้โปรแกรม Camtasia ทำ videos การสอน สอนวิชาที่คุณเก่งๆ แล้ว upload ไปที่ youtube หรือทรูปลูกปัญญา เพื่อเป็นวิทยาทาน 3. ไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนมหาลัย สอนให้ฟรีเลยก็ยังได้เพราะตอนนี้รวยแล้ว ลองดูเศรษฐีใหม่ของอังกฤษที่ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เพราะทำงานกรรมกรก่อสร้าง (ตามที่เราเล่าให้ฟังใน คคห 64)  ดิ พอเขาร่ำรวยเขาก็บริจาคเงินเพื่อการศึกษาได้ ดังนั้นการช่วยสังคมช่วยชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์มหาลัย เป็นกรรมกรที่ดีก็ช่วยได้ แต่ที่เมืองไทยมันเป็นไม่ได้ก็เพราะว่า "สังคมไทยกดขี่แรงงาน กรรมกรก่อสร้างไม่มีทางร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีได้ ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงต้องดิ้นรนเรียนกันให้จบปริญญาเพื่อให้พ้นจากการเป็นกรรมกร ทั้งๆที่คนเรียนจบปริญญาจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะฉลาดกว่ากรรมกรก่อสร้างเสมอไป" ^ ซึ่งส่งผลให้ทุกคนไทยทุกคนโดนสภาพสังคมบีบบังคับให้เรียนสูงๆกัน ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีมันสมองทางด้านวิชาการ มันก็เลยในเมืองไทยมีคนจบสูงๆแต่ไม่เก่งเอาซะเลย ไปทำงานด้านวิชาการ กันตั้งมากมาย ^ นี่คือการเล่นละครตบตากันในสังคมไทย คือแทนที่จะส่งเสริมให้กรรมกรเป็นกรรมกรที่ดี และทำประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติได้ แต่กลับกดดันให้ทุกคนต้องเรียนสูงๆเพื่อตบตากัน เหมือนคำพูดที่ว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์ แล้วใครซื่อก็ตาย ใครเจ้าเล่ห์ก็รอด อย่างที่เราเล่าให้ฟังใน คคห 18 นั่นหละ ประเด็นหลักๆก็คือว่า "ถ้าผู้คนในสังคมไทยไม่กดขี่แรงงาน ไม่สวมหน้ากากเข้าหากัน จริงๆแล้วใครๆก็ช่วยสังคมช่วยประเทศชาติได้ แม้กระทั่งกรรมกร...แต่ขอให้เป็นกรรมกรที่ดีเถอะ ก็สามารถช่วยได้ ไม่จำเป็นต้องมีอุดมการณ์ไปเป็นอาจารย์ในมหาลัยแล้วก็ทนใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยจะพอเพียงหรอก" สรุปแล้วคำพูดที่ว่า "คนเรียนเก่งมากๆจนถึงปริญญาเอกแล้วไปเป็นอาจารย์สอนมหาลัยในเมืองไทย ส่วนใหญ่เป็นลูกคนรวย ทำไปเพื่อเชิดหน้าชูตาวงตระกูลตัวเอง เงินไม่พอใช้ก็ไม่ต้องกลัวเพราะพ่อแม่ซื้อบ้านซื้อรถให้ จ่ายเงินพิเศษให้มากกว่าเงินเดือนก็ยังได้ เพื่อให้ลูกไม่ลาออกจากอาจารย์มหาลัย" ^ ยังถือว่า "เป็นจริง" และเป็นสถิติตัวเลขที่สูงมากๆ ในสังคมไทย ซึ่งเป็นละครฉากหนึ่งที่จะทำให้คนรู้เท่าไม่ถึงการ หลงกลติดกับ เหมือนๆกับ เชื่อในเรื่อง "เสียชีพอย่าเสียสัตย์แล้วโดนหลอกให้ไปตายฟรี (อย่างที่เราเล่าให้ฟังใน คคห 18)" นั่นแหละ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 19:41:03 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 17:13:52 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 17:08:30

ความคิดเห็นที่ 93 ลืมพูดเรื่องทุนไปนิดนึง และรวมไปถึงเรื่องการลงทุนให้ทุน เรื่องการรับทุนรัฐบาลไปเรียนต่อเอก ผมเคยพูดไว้ในพันทิพหลายปีมากๆ แล้วว่า น่าจะยกเลิก โดยควรจะให้ทุน (ที่มูลค่าน้อยลงไปเยอะมาก) สนับสนุนให้คนที่มีศักยภาพ เตรียมตัวเรื่องภาษาและการสมัครเรียนต่อแบบขอทุนจากต่างประเทศโดยตรงจะดีกว่า ลดปัญหาเรื่องการกลับมาใช้ทุนแล้วไม่พอใจ ไม่อยากทำงาน หรือหนีทุน แต่ก้มีมุมมองเรื่องการรักษากำลังคนในระบบราชการ (ที่ค่าตอบแทนน้อยกว่าเอกชนมาก) ในประเทศไทย ซึ่งเมื่อไรจะปฏิรูปได้ซักที ส่วนผู้ที่ได้รับทุนบางท่านก็เหลือเกิน ได้ค่าเรียน ค่าใช้จ่ายแล้ว ก้มากมาย การกลับมารับราชการเงินเดือนน้อย ก็ถือว่าชดใช้กันไป ถัวเฉลี่ยก็ไม่น้อยนัก อย่างที่บางท่านกล่าวไว้แล้ว แต่ผู้รับทุนส่วนหนึ่งก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ และตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ต้องขอชมเชยครับ จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 18:13:15

ความคิดเห็นที่ 94 เราก็เป็นอาจารย์ที่ม.ต่างจังหวัด ตำแหน่งพนักงานตามพันธกิจ ก็ลูกจ้างชั่วคราวนั่นแหละแต่เรียกให้ดูหรูหรา จบโทเงินเดือน 10,200 (หลังหักค่าประกันสังคม) เทอมนี้สอน28คาบต่อสัปดาห์แต่ไม่ได้ over load เพราะม.ไม่มีเงิน ตามระเบียบจะได้เงินค่าสอนเกินนะคะแต่มีเงื่อนไขเข้ามา ทำให้ทั้งม.มีคนได้ค่าสอนเกินไม่ถึง 10 คน บางครั้งเราก็ท้อนะคะ ทำงานแทบตายเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนที่เป็นลูกจ้างในบางหน่วยงานของรัฐ ใช้วุฒิป.ตรี ภาระงานน้อยกว่าเรา10เท่าอีก แต่เราก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเด็กๆนะคะ บางทีอาจมีดื้อ มีโดด แต่ก็สนุกสนานดี เราว่าอ.บางคนเลือกทำงานนี้ด้วยเหตุผลเดียวกับเรา คือเด็กๆที่เป็นลูกศิษย์นี่แหละค่ะ จากคุณ : สายหมอกแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 22:35:23

ความคิดเห็นที่ 95 เราว่าอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ได้สอนวิชาเดียว ที่เดียวหรอกค่ะ บางคนก็ทำวิจัย ได้ตำแหน่ง ศจ. รศ. ไม่ก็สอนหลายๆวิชา หลายๆโครงการ (เช่น ป.ตรี และ ป.โท หรือสอนทั้งภาคไทยและอินเตอร์) ไม่ก็สอนหลายๆที่ เงินเดือนไม่้น้อยหรอกมั้งคะ ถ้าเงินเดือนเท่านั้นจริงๆ คงอยู่ยากล่ะ เป็นอาจารย์ใช่ว่างานสบาย ^^ จากคุณ : fern-eva เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 23:51:38

ความคิดเห็นที่ 96 บางมดปริญญาเอก 25000 โท 19000 ค่ะ ตอนนี้กำลังจะปรับเป็นเอก 32000 จากคุณ : หนมโมจิ เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 08:52:49

ความคิดเห็นที่ 97 เงินเดือนหลักแสน ไม่ได้เป็นผู้บริหาร มีจริงและมีเยอะด้วยค่ะ บางหน่วยงานในธรรมศาสตร์ ถึงหกหลัก ไม่รวมคำนำหน้ายศทางวิชาการ ให้ค่าตอบแทนสมกับศักยภาพและคุณวุฒิของอาจารย์มากค่ะ นอกจากงานสอนแล้ว ก็ต้องมีงานวิจัย conf/journal paper จำนวนเท่านั้นเท่านี้ฉบับต่อปี ได้ค่าจ้างแพง ก็ต้องรับผิดชอบสูงตามไปด้วยค่ะ จากคุณ : KF (KitKatForEver) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 09:09:05

ความคิดเห็นที่ 98 เงินเดือนหลักแสน เวอร์ไปนะครับ มีจริง ยอมรับ แต่ต้องระดับอธิการบดี หรือคณบดีคณะที่มีเงินของคณะ top up ให้ (ซึ่งก็ต้องเป็นคณะใหญ่ ๆ สถาบันใหญ่ ๆ ที่มีรายได้เพียงพอ) ส่วนรายได้จากการเป็นที่ปรึกษา งานวิจัย หรือการบรรยายในหลักสูตรพิเศษ อันนั้นก็ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่สอนนั้นตอบสนองภาคธุรกิจหรือไม่ หรือคณะที่สอนมีหลักสูตรพิเศษหรือเปล่า ชื่อเสียงของสถาบันก็มีส่วนสำคัญ แต่ถ้าจะพูดถึงอาจารย์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่อยู่ในระยะเพิ่งเริ่มต้นชีวิตการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็เท่ากับเงินเดือนเท่านั้นแหละครับ ต่อให้เป็นอาจารย์ในมหาลัยดัง ๆ ก็ตาม โอเคว่าอาจมีรายได้พิเศษอื่นอีกเล็กน้อย เช่น ค่าสอนเกินโหลดภาระงาน (ซึ่งบางสถาบันก็ไม่มีให้) ค่าตรวจข้อสอบ (เช่น ข้อสอบบรรยาย เล่มละ 4 บาท) ค่าคุมสอบเฉพาะที่สอบนอกเวลาราชการ อัตราตามเรทค่าล่วงเวลาของราชการ) ซึ่งที่กล่าวมาอิงตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่ทำงานอยู่ เป็นต้น ซึ่งไม่ได้มากขนาดที่จะทำให้ได้เงินเพิ่มมาสักกี่มากน้อยหรอก คือไม่ได้อยากชี้นำว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยนั้นน้อยหรือมาก เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่สิ่งที่ต้องไม่หลงก็คือ อย่าเอาภาพที่เห็นเพียงส่วนน้อย มาตัดสินว่าความจริงต้องเป็นอย่างนั้น เท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 54 10:27:28 จากคุณ : ประดู่ป่า เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 10:22:32

ความคิดเห็นที่ 99 ขอเพิ่มของ ศิลปากร นะครับ โท เริ่มต้นที่ 13,400 บาท เอก เริ่มต้นที่ 18,270 บาท จากคุณ : กริชครับผม เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 13:06:37

ความคิดเห็นที่ 100 ตกลงยังไม่มีใครทราบข้อมูลค่าตอบแทนและภาระงานของ NIDA มสธ และรามคำแหงเหรอครับ จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 13:20:21

ความคิดเห็นที่ 101 ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตั๊วส่วนตัวนะคะ คือที่อ่านๆมา รู้สึกว่าบางคนก็เพ้อเจ้อมากไปรึป่าว พร่ำอะไรมาซะยืดยาว เงินเดือนที่คุณเห็น ถ้าคุณมีงานทำที่รายได้มากกว่าคุณก็ว่ามันน้อย บางคนก็เห็นจากคนใกล้ตัว อาชีพอาจารย์ มันก็เป็นอาชีพๆหนึ่ง จะมีเกียรติหรือไม่มี คนจะเป็นอาจารย์บ้านต้องรวยหรือไม่รวย จำเป็นต้องเสียสละอะไรมั้ยฉันก็ไม่รู้ แต่ถ้าฉันจะทำงานอะไรสักอย่าง ก็คงเป็นงานที่ตัวเองรักอยากจะทำ และมีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน ถ้าแค่คุณเห็นเงินเดือนมันแค่นี้ คุณไม่อยากได้เท่านี้ คุณก็ไปหางานอื่นทำ แต่ถ้ารักที่จะทำ คุณรู้จักตัวเอง ใช้ชีวิตให้เหมาะสม ไม่เกินตัวคุณก็อยู่ได้แล้ว เพราะมันก็ไม่ได้น้อยเกินไปเลยนะ รายได้เสริมอาจจะเป็นขายน้ำเต้าหู้ทุกเช้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนเวลางานหลักก็ได้ อยู่ที่ว่า ใครจะคิดดี หรือคิดไม่ดี ต่างคน ต่างความคิด ต่างจิตใจ ฉันรู้ทุกคนคิดเองเป็น แล้วก็คิดเหมือนกันไม่เหมือนกันบ้าง จะมาเถียงกันอยู่ทำไม มันเป็นเพียงข้อมูลตัวเลขชุดหนึ่งเท่านั้นเอง มองโลกในแง่ดีกันเถอะ ทุกวันนี้อะไรๆมันก็แย่พอแล้ว จากคุณ : ยิ้ม แล้วหันหน้าเข้าหากัน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 14:25:47 A:123.242.175.43 X: TicketID:341366

ความคิดเห็นที่ 102 เรื่องเงินสอนภาคพิเศษ เงินตอบแทนออกข้อสอบ ตรวจข้อสอบ ค่าต่ำแหน่งทางวิชาการ เงินค่าวิจัย มันไม่ได้ทุกคนหรือทุกสาขาเสมอไป นะคะ บางสาขานักศึกษาเยอะก็ได้ บางสาขาไม่มีนักศึกษาภาคพิเศษก็ไม่ได้ สอนเฉพาะเด็กในสาขาตัวเอง การจะขอโครงการวิจัยแต่ละครั้งก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ว่าเขียนโครงการแล้วจะได้ทุนวิจัยมานะคะ....เฮ้อ คนในกะคนนอกก็มักจะมองต่างกัน อย่างนี้แหละ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วก็เลือกที่จะประกอบอาชีพนี้เอง ก็ยังรู้สึกภูมิใจอยู่มาก เงินเดือนขึ้นก็ดีใจ ไม่ขึ้นก็ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นสิ่งที่เรารักที่จะทำ.... จากคุณ : จอมจินตนาการ เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 17:50:07

ความคิดเห็นที่ 103 เห็นด้วยกับ คห.101 ครับ รำคาญบาง คห. เป็นบ้า เพ้อเจ้ออะไรไม่ได้สาระ นอกจาก quote ข้อความตัวเองกับคนอื่นซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็วนกลับมายกหางตัวเอง กดหัวคนอื่น เออ รู้ว่าเก่ง รู้ว่าฉลาด รู้ว่าโลกกว้าง แต่ถ้าไม่มาหลอกด่าคนอื่นด้วยการใส่หน้ากากว่าตัวเองเข้าใจชีวิต Ship หายเลยมันจะลงแดงดิ้นพราดๆ แบบไส้เดือนโดนขี้เถ้าหรือไง คนเรามันร้อยพ่อพันแม่ โตมาไม่เหมือนกัน เรียนมาไม่เหมือนกัน รับรู้มาไม่เหมือนกัน มันก็ย่อมมีวิธีคิดไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา ซึ่งคนสติดีๆ ทั่วไปก็น่าจะตระหนักสัจธรรมพื้นๆ ข้อนี้ได้ ก็ยอมรับซะว่าค่านิยม ความเชื่อ รวมถึงมายาคติทีี่มันฝังอยูี้่ในกมลสันดานแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แล้วปล่อยวางมันก็สิ้นเรื่อง คุยกันเรื่องข้อเท็จจริงหรือข้อเสนอแนะแบบเป็นกลางดีกว่า ไม่ใช่เอะอะก็ ชั้นถูกเสมอ พวกแกผิด นี่ๆ พวกแกพูดยังงี้ มันส่ิอว่าพวกแกโลกแคบ สู้ชั้นก็ไม่ได้ ชั้นประสบการณ์เยอะ เจอโลกมาเยอะ ใกล้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว คนอื่นเขาีคิดไม่เหมือนตัวเองก็ช่างหัวเขาสิ ไม่พอใจก็กดปุ่มกากบาทตรงหัวมุมขวาบนแล้วกลับไปสู่สวรรค์วิมานของตัวเองซะ จะมามัวลำบาก เล่นบทพระโพธิสัตว์ผู้โคตรฉลาดมาโปรดสัตว์ผู้โง่เขลา พยายามยัดเอาความคิดตัวเองใส่หัวผู้อื่นทำไม รู้มั้ย มันน่ารำคาญสำหรับคนที่เข้ามาเพื่อหวังหาความรู้ แต่กลับต้องมารับรู้ความ ego-inflated ของคนบางคนที่นึกว่าตัวเองอยู่พ้นโลก สุวรรณมาลีเอ๊ย! ตัวเองก็มนุษย์ขี้เหม็นเหมือนโฮโมเซเปียนส์เซเปียนส์ตัวอื่นๆ นั่นแหละ หรือว่าขี้ออกมาแ้ล้วเป็นสีเหลื่อม กลิ่นดอกลาเวนเดอร์ ก็ดี จะขอเอามาใส่พานกราบไหว้ เผื่อเป็นสิริมงคล ถ้าคนอื่นเขาพอใจจะเสียสละทำงานที่ได้ผลตอบแทนน้อย แต่สุขใจที่ได้ทำ ก็เรื่องของเขาสิ หนักหัวตัวเองหรือไง ไปสอดอะไรเรื่องคนอื่นเขา น้อยใจเรื่องภายในครอบครัวตัวเองเลยต้องหาทางระบายอารมณ์ใส่คนอื่นหรือไง รู้ว่ามีปมในจิตใจ แต่ถ้าจะมาพร่ำเพ้อ Oedipus Complex ของตัวเองก็รบกวนไปหาธูป 3 ดอกมาจุดเรียกวิญญาณหมอฟรอยด์มารับฟังปัญหาเสียเถอะนะ ทุกคนเขาก็มีปมปัญหาในใจกันทั้งนั้น แต่ไม่ได้อยากเอามาเป็นข้ออ้างแอบหลอกด่าคนอื่นด้วย สรุปแล้ว ตัวเองพิมพ์อะไรเนี่ย เฮ้อ งง เออ ช่างเหอะ เดี๋ยว คห.นี้คงมิวายโดนเอาไปอ้างอิงทำเชิงอรรถร้อยแปดพันก้าวตามเคย ก็ไม่ว่ากัน เพราะตอนนี้มีความสุขแล้ว เหมือนคนทำงานเงินเดือนน้อยๆ แต่มีความสุขนั่นแล ^^ จากคุณ : รำคาญพวกชอบยกหางตัวเอง! (PoVoLaM MoN) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 23:23:47

ความคิดเห็นที่ 104 ครูของผม Dr.Danny Eibye-Jacobsen ท่านเคยบอกกับผมว่า "ถ้าเธอได้ทำงานในสิ่งที่เธอรัก เธอจะไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต เพราะสิ่งที่เธอทำอยู่มันไม่ใช่งาน แต่มันคือชีวิตของเธอ" ที่ผมยังทำหน้าที่ให้ความรู้ผู้อื่นอยู่แม้ว่าเงินเดือนมันจะน้อยอย่างที่กล่าวๆมา(มาจนถึงวันนี้ก็ 18 ปีแล้วครับ) ก็เพราะว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ผมเห็นว่ามันไม่ใช่งาน แต่มันคือชีวิตของผมครับ ตื่นเช้าขึ้นมาในทุกๆวัน นอกจากผมขอบคุณตัวเองที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว ในวันที่มีชั่วโมงสอน ผมได้แต่ถามตัวเองทุกเช้าว่า วันนี้เราจะสอนลูกศิษย์ยังไงดีให้เขาเห็นความงามของวิทยาศาสตร์ และสิ่งที่เราถ่ายทอดให้เขาได้รับรู้ แค่ผมได้รู้ว่าสิ่งที่ผมบอกลูกศิษย์แล้วทำให้เขาตระหนักและฉุกคิดถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียนรู้ขึ้นมาได้ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว สำหรับผมแล้ว ความสุขนี้ไม่สามารถวัดได้ด้วยมูลค่าของเงินทองครับ อ้อ ผมมีช่องทางหารายได้ทางอื่นโดยผมเล่น gold online ช่วงกลางคืน ไม่ได้เบียดบังเวลางานประจำครับ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 54 16:16:52 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 54 03:50:26 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 54 03:47:55 จากคุณ : กุ้งบก เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 03:44:28

ความคิดเห็นที่ 105 คุณ PoVoLaM MoN พูดได้ตรงถูกใจมากในช่วงแรก.. แต่ช่วงท้ายแรงไปหน่อยนะคะ อิอิ ...เข้ามาเก็บข้อมูลค่ะ ...ขออนุญาตสวัสดีคุณกุ้งบก ตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วคะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 09:33:28

ความคิดเห็นที่ 106 เราก็ทำงานบริหารด้วย เงินเดือนเพิ่งจะสองหมื่น บวกโน่นบวกนี่ไม่ถึงสองหมื่นห้าเลย จากคุณ : Alex on the rock เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 10:46:21

ความคิดเห็นที่ 107 ที่คุณ รำคาญพวกชอบยกหางตัวเอง! (PoVoLaM MoN) พูดใน ความคิดเห็นที่ 103 ว่า "รู้ว่ามีปมในจิตใจ แต่ถ้าจะมาพร่ำเพ้อ Oedipus Complex ของตัวเองก็รบกวนไปหาธูป 3 ดอกมาจุดเรียกวิญญาณหมอฟรอยด์มารับฟังปัญหาเสียเถอะนะ ทุกคนเขาก็มีปมปัญหาในใจกันทั้งนั้น แต่ไม่ได้อยากเอามาเป็นข้ออ้างแอบหลอกด่าคนอื่นด้วย" ^ ตอบ บ่งบอกให้เห็นว่าคุณเป็นหนึ่งใครพวก "องุ่นเปรี้ยว" ที่หาเงินจากอาชีพอื่นไม่ได้มาก ก็เลยเล่นละครตบตาคนโดย "พูดว่ายอมทำงานเงินเดือนน้อยๆเพื่อสังคม" ก็เลยโกรธเราแล้วมาโต้ตอบเราแรงๆ ^ ซึ่งทำให้เห็นระดับสติปัญญาว่าตัวคุณเองคิดไม่เป็นแล้วคิดว่าคนอื่นต้องโง่ตามด้วย เรื่อง Sigmund Freud นั้น เราเก่งกว่าที่คุณแนะนำวิธีการโง่ๆไว้ตั้งหลายเท่า คือเราเคยป่วยทางจิตและศึกษาหนังสือที่เขาเขียนไว้มากมาย (อ่านฉบับแปลจากเยอมันเป็นอังกฤษ) และเราฉลาดพอที่จะรู้ว่าวิธีการของเขาหรือจิตแพทย์ที่เจริญรอยตามเขา ไม่รู้วิธีรักษาโรคจิตได้อย่างถูกต้อง อย่างที่จิตแพทย์ซึ่งก็เป็นพวก Freudians เหมือนกัน รักษาอาการป่วยทางจิตของแม่เราจนแม่เราทรุดหนักแล้วตายไปในที่สุด และเมื่อเราศึกษาประวัติ Sigmund Freud แล้วรู้ว่าเขาตายด้วย euthanasia คือให้เพื่อนที่เป็นหมอฉีดยา morphine เข้าร่างจนตายไปอย่างสงบพ้นความเจ็บปวด เราจึงค้นหาวิธีรักษาตัวเองด้วยคัมภีร์การแพทย์โบราณของจีนที่ปรมาจารย์นักพรตเต๋าจีนเขียนไว้และรักษาตัวเองหายในที่สุด ส่วนเรื่องการ "ธูป 3 ดอกมาจุดเรียกวิญญาณหมอฟรอยด์มารับฟังปัญหาเสียเถอะนะ" นี่ก็แสดงว่าโลกคุณแคบมากๆ แล้วคิดว่าคนอื่นเขาจะต้องทำอะไรโง่ๆแบบที่คุณเสนอมาโง่ๆ ก่อนอื่นอยากจะบอกให้ว่าเราไม่ใช่พวกพุทธนับถึอผีแบบที่คุณเป็นนะ เราไม่ทำพิธีกรรมอะไรแบบนั้นหรอก การที่คุณแนะนำเรามาแบบนี้มันบ่งบอกระดับสติปัญญาของคุณว่าสมองไม่ค่อยจะดี ก็เลยแนะนำให้คนทำอะไรโง่ๆ เพราะโมโหที่เรารู้ทันว่าคุณหาเงินมากๆไม่ได้จึงเล่นละครพูดว่าทำงานเงินน้อยๆเพื่อช่วยสังคมไทย เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากพวกองุ่นเปรี้ยวที่มีอยู่ด้วยกันหลายๆรายได้มากมาย จะบอกให้ว่าถ้าเราจะเรียกวิญญาณใครเราไม่ต้องใช้ธูปหรอก คุณเอาเรื่องเรียกวิญญาณมาเยาะเย้ยเราเพราะคุณโลกแคบยิ่งกว่ากบอยู่ในกล่องไม้ขีดซะอีก คุณถึงไม่รู้ว่ามหาลัยในอเมริกากับในรัสเซีย มีการสอนวิชา parapsychology ถึงระดับปริญญาเอก ในหลักสูตรพวกนี้ก็มีการทำงานทดลองเรียกวิญญาณกัน แต่พวกเขาใช้วิธีการดีกว่าจุดธูปแบบที่คุณเสนอมาโง่ๆแบบพุทธนับถือผีกับปลุกเสกของแบบที่คุณเป็นนั่นแหละ แม้กระทั้ง Scotland yard ตอนทำคดีหญิงสาวสูญหายไป แต่หาตัวเป็นๆก็ไม่เจอและหาศพก็ไม่เจอ ก็เคยเรียก clairvoyant คนหนึ่งมานั่งทางในสื่อสารกับวิญญาณผู้ตาย แล้วเธอพูดออกมาว่าเห็นอะไรให้ตำรวจที่เป็นนักวาดภาพวาดออกมา มันเป็นป่าละเมาะ มีลักษณะโดดเด่นที่พอส่งรูปถ่ายกระจายไปทั่วประเทศอังกฤษ ออกทีวีด้วย จนในที่สุดก็มีคนที่รู้จักดินแดนแห่งนั้นโทรมาบอกว่า "มันอยู่ที่ไหน" และตำรวจอังกฤษก็ไปที่นั่นแล้วพบศพหญิงสาวที่สูญหายไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าเราจะเรียกวิญญาณใคร เราคงไม่เรียกวิญญาณ  Sigmund Freud หรอก เพราะเขาไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เนื่องจากขนาดเขารักษาตัวเองเขายังรักษาไม่ได้เลย การที่คุณเสนออะไรที่ไม่เข้าท่าเช่นนี้ มันเป็นเพราะ "ระบบตรรกะคุณมันชำรุดอย่างแรง" ถ้าสมองคุณคิดได้แค่นี้นะ ต่อให้คุณเรียนจบถึงปริญญาเอกแล้วไปสอนนักศึกษานะ เรารับประกันได้เลยว่านักศึกษาเรียนจบออกมาแล้วคิดอะไรไม่เข้าท่าเหมือนคุณ อย่างนี้ไม่ถือว่าคุณช่วยพัฒนาสังคมและประเทศชาตินะ เพราะขนาดโต้ตอบบนกระดานสนทนาออนไลน์กับเราซึ่งคุณอ้างว่า "พูดเพ้อเจ้อ" คุณกลับกลายเป็นใช้ lame logic (ตรรกะที่เป๋ๆ) มาเถียงกับเราให้เราเห็นจุดอ่อนว่า "แท้จริงคุณโกรธที่เรารู้ทันคุณว่าคุณเป็นพวกองุ่นเปรี้ยว" จริงๆแล้วเราก็เคยเรียกวิญญาณคน (คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่คุณ) แล้วเราเรียกได้สำเร็จมาแล้วด้วย แต่เป็นวิญญาณปรมาจารย์นักพรตเต๋าที่เขียนคัมภีร์เล่มที่เราศึกษา เราแค่กินเจ แล้วมีจิตผูกพันสำนึกในบุญคุณเขาที่เขาสอนเราเดินกำลังภายในรักษาอาการป่วยทางจิตและทางกายของเรา อยู่ดีๆเขาก็ถือแส้บินมาเข้าฝันเรา ประสิทธิประสาทวิชาส่วนที่เหลือให้เรา เราถึงรักษาตัวเองหายได้โดยไม่ต้องตายเหมือนแม่เราที่ไปให้พวกจิตแพทย์ Freudians รักษาจนร่างกายทรุดไปเรื่อยๆแล้วตายไปในที่สุด ทุกวันนี้คนสมองไม่พลิกแพลงอย่างคุณคงไม่รู้หรอกว่าเราไม่จำเป็นต้องเรียนจบปริญญาเราก็เรียนรู้ศาสตร์เร้นลับอะไรได้หลายอย่าง ขณะนี้เราฝึกวรยุทธ์โบราณจนประสบความสำเร็จด้าน biogical transmutation เปลี่ยน cells สมองและร่างกายเราแบบผ่าเหล่าผ่ากอได้ หน้าตากลับเป็นเด็กได้ เคลื่อนไหวตัวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เหมือนปรมาจารย์ตั๊กม้อหรือจากซันฟงที่ยังมีวรยุทธ์แก่กล้าเมื่ออายุเกิน 100 ปี และตอนอายุมากๆ เรากลายเป็นเรียนรู้ศาสตร์อะไรใหม่ๆได้รวดเร็วกว่าเดิมตั้งหลายเท่า  ในขณะที่คนอย่างคุณ "ยังคงคิดอยู่ในกล่อง" ถึงต้องการเล่นละครตบตาคนต่อไปว่า "ยอมเสียสละทำงานเงินเดือนน้อยๆเพื่อสังคม" พอคนเขารู้ทันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าคุณคิดว่าเราพู้ดเพ้อเจ้อเหมือนคนบ้า แล้วคุณทำไม่ต้องโกรธด้วย จะว่ารำคาญก็ฟังไม่ขึ้น เพราะถ้ารำคาญคุณคงลาก mouse ผ่าน ไม่โง่มาต่อล้อต่อเถียงกับเราไห้เราเห็นจุดอ่อนของคุณหรอก  ถ้าคนบ้าอย่างเราทำให้คุณโกรธได้ก็แสดงว่าคุณก็คงไม่ฉลาดนักหรอก สิ่งที่เราคิดและเขียนคนที่มีความคิดนอกกล่อง พอเห็นเราโดนคนคิดในกล่องรุมด่า  เขาพูดออกมาว่า "ฉันชอ บเรื่องไร้สาระที่มีสาระที่คนๆนี้เขียน" เราก็เลยแปลคำว่า "เรื่องไร้สาระที่มีสาระ" เป็นภาษาอังกฤษว่า "thought-provoking nonsense" ในโลกแห่งความเป็นจริง คุณก็ดูถูกเรา เราก็ดูถูกคุณ พวกองุ่นเปรี้ยวก็เข้าข้างคุณ แต่พวกที่เรียนจบสูงๆและเก่งระดับเทพๆไม่ไปเป็นอาจารย์แต่ทำอาชีพอื่นรายได้เดือนเป็นแสนๆนะ คนพวกนี้ไม่โกรธเราหรอก เพราะเขารู้ว่าเรา disillusion (สลายมายา) ชี้ทางสว่างให้ พวกองุ่นเปรี้ยว สิ่งที่เราเขียนเราเขียนเพื่อให้คนที่ฐานะไม่ร่ำรวยนัก แล้วเรียนสูงๆแล้วเก่งระดับเทพ ให้อย่าได้หลงกลไปกับละครที่พวกองุ่นเปรี้ยวเล่นตบตากันในสังคม โดยเอาสุภาษิตฝรั่งมาสอนว่า Charity begins at home. คือ เราต้องช่วยครอบครัวเราให้พ้นจากความยากจนเสียก่อน แล้วถึงจะไปช่วยผู้อื่นอย่างที่เราเสนอวิธีการที่ดีๆไว้ใน  คคห 92 นั่นแหละ จะเห็นได้ว่า คนไม่เป็นอาจารย์มหาลัยก็ช่วยสังคมได้ คนรวยแล้วบริจาคเงินหรือสอนฟรีก็ช่วยสังคมได้ กรรมกรกับเกษตรกรที่ดีๆ ถ้าสังคมไม่กดขี่พวกเขา พวกเขาอยู่ดีกินดีก็ช่วยสังคมได้ สมองคุณคิดพลิกแพลงไม่เป็นคุณถึงไม่เข้าใจสิ่งที่เราเขียนด้วยเจตนาดี แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 54 12:05:47 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 54 11:37:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 11:36:52

ความคิดเห็นที่ 108 เงินเดือนเท่าไร คงไม่สำคัญเท่า...มีความสุขไหม? จากคุณ : SOYU_K เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 12:42:07