ความคิดเห็นที่ 1 ไม่รู้เด้อ ขอเดา... แมวคิดว่า การสอน เป็นศาสตร์นึงในตัวของมันเอง สมัยเรียน แมวเคยเห็นครูคนนึงซึ่งมีความรู้ดีมาก เก่งมาก แต่ไม่สามารถสอนและทำให้เด็กเข้าใจ + รู้จักความรู้สึกของเด็ก ได้ดีเท่ากับครูอีกคนที่เก่งน้อยกว่า ศาสตร์ในแต่ละแขนงแมวว่า มีเรื่องให้เรียนรู้เยอะง่ะครับ Update : ขอเพิ่มว่า สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ อาจจะไม่ใช่ครูที่ดีก็ได้ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 20:12:43 จากคุณ : แมวมึนส์ (tutorcat) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 19:58:17

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความเห็นที่1 ค่ะ และขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมนะคะ การเรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนงถือเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์และความรู้อย่างหนึ่งค่ะ อย่าได้เห็นว่าศาสตร์หรือศิลป์ได้ไร้ประโยชน์เลย การต่อยอดหรือเพิ่มพูนความรู้ในศาสตร์ด้านการศึกษา ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาสอนวิจัยหรือวิทยานิพนธ์กับเด็กมัธยมค่ะ แต่คุณควรนำผลจากการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ที่เรียนรู้มาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อพัฒนาการสอนให้มีประสิทธิภาพมากกว่า  ก่อนที่จะมาถามว่ามีไปทำไม ไปศึกษาก่อนไหมคะว่าเขาเรียนอะไรกัน? ปล. ไม่เข้าใจคำถามที่ 3 ค่ะ "จบ ป.ตรี สาขาครูมา แต่ไม่ได้จะเป็นครู แต่จะต่อ ป.โท สาขาครู เพื่อเอาไว้ความรู้ในสาขาที่เราเพิ่มเติม" ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมคะ? :) ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ว่าสมัครงานด้านวิทยาศาสตร์ เครดิตของวุฒิครุ-วิทย์ กับ วิทย์ คิดว่าไม่น่าจะเท่ากันค่ะ วิทย์โดยตรงน่าจะเครดิตมากกว่า แต่ถ้าถามว่าจบวิทยาศาสตร์โดยตรงกับจบครุศาสตร์วิทยาศาสตร์มาสมัครงานสายครู ขอตอบด้วยความมั่นใจว่าจบวิทย์โดยตรงเครดิตน้อยกว่าแน่นอนในทางปฏิบัติ เพราะคนที่มีความรู้ในศาสตร์นั้นลึกซึ้งดีไม่ได้หมายความว่าจะถ่ายทอด "เข้าใจ" นี่คือความหมายของการศึกษาในศาสตร์แห่งการเป็นครูค่ะ ครุศาสตร์มีพันธกิจในการถ่ายทอดส่วนที่เป็นเนื้อหาให้กับผู้เรียนได้ "เข้าใจ" นั่นจึงเป็นภารกิจที่ "ครุ" ยิ่งค่ะ :D จากคุณ : sitapa (sitapa) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 20:46:54

ความคิดเห็นที่ 3 มีเอาไว้ให้เก็บค่าหน่วยกิตมากกว่า ป.ตรี จากคุณ : เรือไม้ไผ่ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 21:25:36

ความคิดเห็นที่ 4 ใช่ครับ เรียน ป.โท ด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ วัตถุประสงค์หลักของที่มาศึกษา คือ 1. เพื่อการพัฒนาตนเอง ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ที่ระบุไว้ในมาตรฐานด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2. เพื่อเพิ่มคุณวุฒิ ในโอกาสในการเลื่อนวิทยฐานะ และเปลี่ยนตำแหน่งระดับที่สูงขึ้น 3. เพื่อสร้างเครือข่าย (Connection) ความร่วมมือทางด้านการศึกษา เนื้อหาสาระ ของ ป.โท อาจจะนำมาสอนนักเรียนไม่ได้ แต่กระบวนการ ทักษะการคิด สามารถนำมาสอนนักเรียนได้ ซึ่งการเรียน ป.โท เน้นการสืบค้น ค้นคว้า หาความรู้ พิสูจน์หาความจริงโดยกระบวนการวิจัย แน่นอนสามารถไปใช้สอนนักเรียนได้ให้รู้จักการวิจัยอย่างง่าย จากคุณ : Mr.Review เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:05:55

ความคิดเห็นที่ 5 บางคนเรียน ป.โท-เอก ครุศาสตร์ เพื่อจะเป็นอาจารย์สอนในคณะครุศาสตร์ครับ จากคุณ : tidtee_1 เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:11:57

ความคิดเห็นที่ 6 ที่ คคห 2 พูดว่า "แต่คุณควรนำผลจากการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ที่เรียนรู้มาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อพัฒนาการสอนให้มีประสิทธิภาพมากกว่า  ก่อนที่จะมาถามว่ามีไปทำไม ไปศึกษาก่อนไหมคะว่าเขาเรียนอะไรกัน?" และพูดว่า "ขอตอบด้วยความมั่นใจว่าจบวิทย์โดยตรงเครดิตน้อยกว่าแน่นอนในทางปฏิบัติ เพราะคนที่มีความรู้ในศาสตร์นั้นลึกซึ้งดีไม่ได้หมายความว่าจะถ่ายทอด "เข้าใจ" นี่คือความหมายของการศึกษาในศาสตร์แห่งการเป็นครูค่ะ ครุศาสตร์มีพันธกิจในการถ่ายทอดส่วนที่เป็นเนื้อหาให้กับผู้เรียนได้ "เข้าใจ" นั่นจึงเป็นภารกิจที่ "ครุ" ยิ่งค่ะ :D" ^ ขอแย้งว่า arguments ของคุณมัน invalid เพราะคุณทำเงื่อนไขโจทย์อันหนึ่งหล่นไป นั่นก็คือ คนเรียนเก่งๆ (อย่างเช่นเพื่อนเราคนหนึ่งจบครุศาสตร์จุฬาเอกการสอนภาษาอังกฤษ แต่หมอนี่พลัดหลงมาเป็นอัฉริยะดันเขียนภาษาอังกฤษเก่งกว่าคนจบอักษรศาสตร์จุฬารุ่นเดียวกัน) พอจบครูมาดันไปทำงานบริษัทเอกชนซะ ตอนนี้เงินเดือนคงเฉียดๆแสนบาทแล้ว แต่ในทางกลับกันคนเรียนไม่เก่งที่แห่กันไปเรียนครูในมหาลัยที่ผลิตครูปีละมากๆจนล้นประเทศ หลายๆคนเอกการสอนภาษาอังกฤษ ไปเรียนต่อปริญญาโท แล้วไปสอนเด็กมัธยม ครูปริญญาโทพวกนี้ "เขียนภาษาอังกฤษผิด grammar เกือบทุกประโยค" ถึงต้องจำใจไปเป็นครูเพราะไปทำงานบริษัทเอกชนเงินเดือนแพงๆเขาไม่รับ ที่คุณพูดว่า "คนที่มีความรู้ในศาสตร์นั้นลึกซึ้งดีไม่ได้หมายความว่าจะถ่ายทอด "เข้าใจ" " คุณต้องแยกแยะระหว่าง some กับ all ถ้าแยกแยะไม่เป็น (คือคุณสอบตกวิชา logic) คุณก็เลือกแต่ความเป็นไปได้ที่มันจะ support your arguments แต่มันเป็น lame logic (ตรรกะที่เป๋ๆ) เพราะคนที่เรียนวิทย์เก่งๆ แล้วเป็นนักคิดเก่งๆ ไม่เคยเรียนครูมา เขาใช้สมองพลิกแพลง ก็สอนให้เด็กเข้าใจได้ ยกตัวอย่างเรามีเพื่อนฝรั่งชาว Canadian คนหนึ่ง เขาเรียนแต่วิทย์จนจบปริญญาเอกสาขา mathematical physics จาก University of Cambridge เขาเป็นนักหมากรุกวันๆไม่ไปทำงานวิจัยแล้วก็ไม่ประกอบอาชีพอะไร แต่เขาเป็น "นักคิด" ชอบคิดหมากรุกฝรั่ง และคิดเรื่องอื่นๆที่แผลงๆ แหกคอก เขาเคยสอนคณิตศาตร์เรา แล้วสอนเราเข้าใจลึกซื้งกว่าคนจบครูมาเสียอีก แต่เขาจะยอมมาเป็นครูหรือไม่นั่นมันก็อีกเรื่องหนึ้่ง เพราะเขามีทางเลือกที่จะไปทำงานเอกชนได้เงินมากกว่า แต่จริงๆแล้วหมอนี่ไม่ทำงานเลย เพราะแม่มันให้เงินมันใช้ระดับมหาเศรษฐี การพูดคลุมจักรวาลแบบที่คุณพูดมันไม่ถูกต้องเสมอ คุณต้องแยกแยะระหว่าง some กับ all ตามหลักวิช่า logic ถึงจะเรียกได้ว่าคุณเป็นนักคิด และน่าจะเป็นครูที่เก่งๆ เพราะคิดพลิกแพลงเป็นไม่ใช่ลอกกากตำราครูมา ถ้าคนที่ไม่ได้เรียนครูมาไม่มีใครสอนเก่งกว่าคนเรียนครูมา แล้วติวเตอร์ดังๆที่ไม่ได้จบครูมาทำไมพวกเขาถึงร่ำรวยกันมหาศาล ถ้าสอนไม่เข้าใจเด็กทำไมเลือกที่จะไปเรียนกับติวเตอร์ดังๆ (ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว) แทนที่จะไปเรียนกับคนจบปริญญาโทด้านครูมาแล้วสอนในระบบ (ได้เงินเดือนน้อยๆ) ถ้าครูในระบบดีพร้อมจริงๆป่านนี้โรงเรียนกวดวิชาก็คงเจ้งกันหมดแล้วหละ! การที่จะถกกันให้มัน logically valid คุณต้องยอมรับและยอมพูดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะความเป็นไปได้ที่มัน support your arguments แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 22:32:30 แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 22:21:19 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:19:10

ความคิดเห็นที่ 7 #2 หมายถึง เรียนเพื่อเอาความรู้ในสาขา ไม่ใช่จะเอาไปเป็นครู ความรู้ที่ได้จาก "ครุศาสตร์มหาบัณฑิต" จะมีประโยชน์ในการประกอบอาชีพหรือเปล่าคร้บ อย่างเช่นตอนนี้ผมเรียนครูด้านคอมพิวเตอร์ ในทฤษฎีต่างก็บอกไว้ว่า พอจบไปแล้ว ผมจะสามารถเป็นครูก็ได้ ทำงานด้านคอมพิวเตอร์ก็ได้ แล้วทีนี้ถ้าผมจะต่อ ป.โท ทฤษฎีนี้จะยังเป็นจริงอยู่อีกหรือเปล่า ส่วนประโยคที่ว่า "จบวิทย์โดยตรงเครดิตน้อยกว่าแน่นอนในทางปฏิบัติ" อันนี้ผมไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนด้วย เพราะไม่ใช่คนที่เรียนครูทุกคนจะต้องมีความรู้ และสำหรับผมการเรียนสิ่งสำคัญมันอยู่ที่การที่เราเรียนแล้วได้อะไรมากกว่า ไม่ใช่เอาไปโชว์ หรือแสดงว่าเรามีความรู้ อันนั้นมันเรื่องรองลงมา ตอนเข้ามาเรียนครุศาสตร์ ผมใฝ่ฝันมากเลยว่าจะได้เรียน Network System กับ Computer Security ซึ่งผมเห็นมันในวิชาเลือกของหลักสูตร แต่ผมกลับไม่ได้เรียนวิชานั้น แล้วยังต้องกลับมาเรียนระบบเลขฐาน / ภาษาอังกฤษพื้นฐานใหม่  และสองวิชานั่นก็เลือกไม่ได้ เพราะวิชาเลือกจะโดนทางภาคเลือกให้ นักศึกษาไม่สามารถเลือกเองได้ และแน่นอนว่า ทางคณะไปเลือกวิชาทางการศึกษาซะหมด (โดยอ้างว่า เพราะเป็นคณะครุศาสตร์) ส่วนวิชาคอมพิวเตอร์ที่เหลือในหลักสูตร ก็เป็ดมากๆไม่เน้นไปซักทาง อย่างกับว่าเรียนไปเพื่อไปสอนเด็กแค่นั้น ยังงี้จะพูดได้เต็มปากไปอย่างไรว่า เรียนไปแล้ว ผมจะมีเครดิตด้านคอมพิวเตอร์มากกว่า คนที่จบด้านคอมพิวเตอร์โดยตรง และยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ว่าเรียน ป.โท ผมจะรู้ลึกมากกว่าคนที่เรียนคอมพิวเตอร์หรือเปล่า ยิ่ง ป.โท มันเป็นการเรียนแบบนำความรู้เดิมมาใช้งาน หากความรู้เดิมผมมีน้อยอยู่แบบนี้ จะไปสู้คนอื่นเขาได้หรือครับ ส่วนการที่คนที่มีความรู้มากกว่าแต่กลับแพ้คนที่มีความรู้น้อยกว่าได้ นั่นแสดงถึงระดับความล้มเหลวของการศึกษาไทยเลย (ถ้าหากมันเป็นจริงนะ) จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 00:00:55

ความคิดเห็นที่ 8 ไปอ่านกระทู้นี้ ครูสอน ม.4 ให้การบ้านเด็กให้ไปแปลหนังสือเรื่อง Around the World in Eighty Days ซึ่งขนาดคนจบอักษรศาสตร์เอกอังกฤษมา ก็ยังอ่านแล้วไม่คิดว่าหมูนะ แล้วเด็ก ม.4 มันจะเหลือหรือ นี่คือความมักง่ายของครู ครูที่สอนภาษาอังกฤษเก่งๆ ไม่มีใครบ้าสอนภาษาอังกฤษเด็ก ม.4 ด้วยวิธีการแบบนี้หรอก สอนแบบนี้มันปัญญาอ่อนชัดๆ เราว่าเราไม่เคยเรียนครูมาเราก็สอนภาษาอังกฤษจากง่ายไปหายาก เพื่อให้เด็ก ม.4 ได้ประโยขน์อะไรไปมากกว่านี้ การเป็นครูที่ดี ใช้สมองพลิกแพลงคิดเอาได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนครูแล้วเที่ยวได้พูดว่า "เพราะจบครูมาถึงสอนเก่งกว่าคนไม่จบครู" มันไม่จริงเสมอ ไปอ่านกระทู้เรื่องครูมักง่าย ไม่ยอมสอนภาษาอังกฤษ แต่อยู่ดีๆให้เด็กเอาหนังสือยากๆไปแปล อยู่ที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11418159/K11418159.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 05:36:32

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ เคยอ่านใน Kindle ของเพื่อน ครู ก็มักง่ายดีนะครับ = ='' ไม่ให้แปล นิยายของ แดน บราวน์ ไปเลยล่ะนั่น จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 11:03:07

ความคิดเห็นที่ 10 สงสัยมาม่าชามนี้จะต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร  เร็วๆมาเล่นทางนี้   (เหมือนชวนคนมาตีกันเนอะ  แต่ตีด้วยคารมและตรรกะนะ เป็นวิวาทะแบบ ไม่หยาบ แต่วางอยู่บนหลักการและพลังงานของสมอง) อย่างนี้ เราช๊อบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆชอบ เอ้า คุณครู (ที่จบศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์) ระดมพลกันมา ดาเข้ามาเลย มีด ดาบ หอก ขวาน ง้าว แบกกันมาให้เต็มพิกัด ศึกนี้จะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน โปรดติดตามอ่านกันต่อไป จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 13:03:32

ความคิดเห็นที่ 11 เจ้าของกระทู้ ,, ขอโทษที่ตีความคำถามผิดไปนะคะ :) ถ้าคำถามเป็นลักษณะนั้นก็ไม่ขอเถียงเลยค่ะ :D ส่วนตรงที่คุณไม่เห็นด้วยเรามองในมุมของการสอนน่ะค่ะ,,เรามองว่าต่อให้เก่งแค่ไหนหรือลึกซึ้งแต่เนื้อหาการสอนที่ใช้สำหรับเด็กนักเรียนน่าจะไม่ใช่เนื้อหาส่วนวิชาการเน้นๆนะคะ ส่วนของการสอนในระบบนั้นไม่ใช่การใส่แต่วิชาการหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ต้องสอดแทรกทักษะการใช้ชีวิตและเรื่องราวรอบตัวให้นร.นำไปปรับได้น่ะค่ะ นี่คือสิ่งที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานวางไว้ เราเลยคิดว่าคนที่เรียนการสอนมาน่าจะตอบโจทย์ในทางปฏิบัติได้มากกว่า เพราะเราไม่ได้มองว่าการสอนคือการให้แต่เนื้อหา แต่มันคือการหลวมรวมความเป็นคนและการใช้ชีวิตในสังคมด้วยไม่ว่าจะในวิชาอะไรเท่านั้นแหละค่ะ คนเรียนการสอนก็อาจจะได้รับการปูรากฐานการจัดการศึกษาให้นักเรียนในลักษณะนี้มามากกว่าคนเรียนเฉพาะทางสายตรงน่ะค่ะ :) และอย่างที่เสนอไป นั่นเป็นเพียง"มุมมอง"ของเราค่ะ อย่าได้คิดว่าเป็นการเหมารวมอะไรเลยนะคะ เราเชื่อว่าในทุกแขนงมีทั้งคนดีไม่ดีปะปนกันค่ะ ขอบคุณแนวคิดในเรื่องlogic ที่คุณคห.ที่6 แนะนำนะคะ จะนำไปปรับปรุงและมองให้กว้างกว่านี้ค่ะ:D  แต่เราเชื่อว่า some ครูไทยที่ต้องการจะเป็นครูนั้น ไม่ได้มอง "เงิน" เป็นปัจจัยแรกของวิชาชีพหรอกค่ะ เพราะวิชาชีพนี้สร้างมาเพื่อเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับหรือเป็นวงจรธุรกิจค่ะ แบบนั้นเรา"คิดว่า" ไม่น่าจะเรียกว่า "ครู" นั่นอาจจะเป็น "คุณค่า" ของ ครู ที่หาได้ยากยิ่ง ครูจึงเป็นอาชีพท้ายๆ (หรือปล่าว) ที่ some คนไทยเลือกเป็น เพียงเพราะ "เงินไม่พอกิน" แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 15:08:19 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 14:46:27 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 14:32:25 จากคุณ : sitapa (sitapa) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 14:31:28

ความคิดเห็นที่ 12 น่าคิดเหมือนกันนะครับ ถ้าประเทศไม่มีวุฒิทางการศึกษาโดยเฉพาะ แต่มีการฝึกหัดครูในสาขาเฉพาะทางแต่ละสาขาวิชา จะเป็นอย่างไร แต่ผมเชื่อขอผมนะครับว่า วุฒิครุศาสตรบัณฑิต ที่ผมกำลังจะสำเร็จการศึกษาในปีนี้ และคิดว่าจะต่อครุศาสตรมหาบัณฑิตในปีหน้า จะช่วยพัฒนาตัวผมเอง มากกว่ามาหวังอัพตัวเอง แต่ขอผมไปสอบบรรจุเก็บประสบการณ์ซัก 3-4 ปีก่อนนะครับ ส่วนตัวแล้ว ครูในชีวิตผมเจอมาหลายกลุ่มครับ ทั้งกลุ่มครุศาสตรบัณฑิต กลุ่มการศึกษาบัณฑิต กลุ่มศึกษาศาสตรบัณฑิต แล้วก็กลุ่มอื่นๆ ทั้งวิทยาศาสตรบัณฑิต ศิลปศาสตรบัณฑิต ฯลฯ ทำให้ผมรู้จริงๆ ครับว่ากลุ่มไหนสอนแล้วทำให้ผมเข้าใจจริงๆ สอนแล้วไม่ได้แต่เนื้อหา ได้วิธีการ สนุกกับเนื้อหา ผมจึงตัดสินใจได้เลยว่า ความที่ผมอยากเป็นครู ผมเลือกเรียนครุศาสตร์ดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้ลังเลว่าจะเรียนคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ ดีมั้ย แล้วก็คิดว่าคิดถูกที่มาเรียนคณะครุศาสตร์นะครับ เพราะหลายวิชาที่ไปเรียนประวัติศาสตร์นอกคณะ ไม่ปฏิเสธครับว่าอาจารย์ได้มอบความรู้ และทักษะการคิดให้ผมมากเหลือเกิน แต่ถ้าผมต้องนำไปถ่ายทอดให้เด็กนักเรียน ผมต้องใช้ศาสตร์การสอนอีกมาก ซึ่งการเดินเข้ามาหน้าห้องแล้วเปิดหนังสือ พูดๆๆ เขียนๆๆ กด Powerpoint สมัยนี้มันเชยมากแล้วครับ Pantip นี่มีคนหลายประเภทดีครับ เป็นสังคมเสมือนที่น่ากลัวดีจริง อย่าเก็บเป็นความคิดมากเลยดีกว่า ตรรกะคนเราไม่เหมือนกัน คุณจะคิดอะไร คิดเหมือน คิดต่าง ไม่ผิดหรอก แต่ในความเป็นจริงมันก็ต้องดำเนินต่อไป ถ้ามันไม่ดีจริงๆ ในอนาคตก็คงหายไปจากสังคมเองครับ   ในต่างประเทศก็ยังมีหลักสูตรทางการศึกษาให้คนไทยหลายๆ คนไปศึกษาแล้วนำความรู้กลับมาเผยแพร่สอนคนไทยอีกหลายคน ก็แปลกนะครับ ที่บอกว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เกิดประโยชน์ แต่ต่างประเทศเค้าก็ยังมีหลักสูตรทางการศึกษาในสังคมของเค้าอยู่ ปล. คุณ Sitapa ได้กี่แผนแล้วครับ อิอิ แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 22:36:36 จากคุณ : Magic See U เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 22:23:33

ความคิดเห็นที่ 13 จขกท.  น่าจะลองเปิดเวปไปดูหลักสูตร ปริญญาโท ของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ของสถาบันการศึกษาต่างๆเช่น จุฬา  มศว ศิลปากร เชียงใหม่ ขอนแก่น บูรพา ฯลฯ  แล้วเปรียบเทียบหลักสูตร รายวิชา ระหว่างปริญญาตรีและปริญญาโทดูเอาเองนะครับ  แล้วจะรู้คำตอบครับ ไม่ใช่เด็กอนุบาลนะครับ ถึงจะไม่รู้อะไร ความคิดตื้นมาก จากคุณ : psycho_thai เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 23:10:31

ความคิดเห็นที่ 14 ยังไม่ทันไรก็ดูถูกกันไปซะละ ส่วนตัวคิดว่า ถ้าไม่มีคณะทางด้านการศึกษา ก็จะไม่มีใครศึกษาค้นคว้าวิธีการสั่งสอน การอบรม ได้อย่างเหมาะสมตามการวิจัยและทฤษฎีการเรียนรู้และการศึกษา ถ้ามีแต่คณะทางวิทยาศาสตร์ หรือทางอักษรศาสตร์ อย่างเดียว ก็จะมีแต่คนมีความรู้ทางศาสตร์นั้นๆ ซึ่งจะหาคนถ่ายทอด สั่งสอนได้ดีก็น้อย จริงๆ แล้วบ้านเราก็ยังเดินไปในแบบทางใครทางมันกันอยู่ดี คงจะเจริญเท่าประเทศเจริญแล้วยากหน่อย ประเทศที่เจริญแล้ว ... คณะทางศึกษาศาสตร์สำคัญมาก เพราะจะเป็นส่วนช่วยให้นำองค์ประกอบของการศึกษามาผนวกกับศาสตร์สาขาวิชาเฉพาะ เป็นองค์ความรู้การสั่งสอนและการเรียนรู้ประกอบกับการนำเอาความรู้เฉพาะด้านเป็นเนื้อหาหลัก แต่ช่างเถอะ ... ใครจะเรียนอะไรก็เรียนไป ทำๆ กันไปเนอะ (ส่วนตัวไม่ได้จบทางการศึกษาทั้งตรีทั้งโท แต่พอมาสอนก็ต้องไปเรียนการสอนเพิ่มเติม ไม่งั้นก็จะเป็นแต่นกแก้วนกขุนทอง รู้อยู่คนเดียวพูดอยู่คนเดียว คนเรียนรู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้). จากคุณ : Moddy เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 02:57:56 A:101.109.183.251 X: TicketID:341217

ความคิดเห็นที่ 15 ผมคิดว่า คณะครุศาสต่์  หรือศึกษาศาสตร์ ควรได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้อีกครับ ผู้ใหญ่ในปัจจุบันที่ฉลาด มีศีลธรรม และประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มีผลมาจาก บรรดาคุณครูสมัยประถมและมัธยมเนี่ยแหละ ผมก็คนหนึ่งในนั้น กล้าพูดว่าตัวเองประสบความสำเร้จในชีวิตระดับหนึ่งได้ เพราะคำสอนของคุณครูจริงๆ (ยังจำได้แม่นถึงทุกวันนี้) แต่ผมมีความคิดแปลกประหลาดกว่านัน้อีกคือ หากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ จะต้องไปเป้นครู ไม่ว่าระดับอนุบาล หรือระดับมหาวิทยาลัย น่าจะบังคับสอบความเป็นครู (ที่ดี) ด้วยเลยนะครับ เท่าที่รู้ ระดับมหาวิทยาลัย รับผู้ที่จบปริญญาเอก มีผลงานวิจัยที่เลิศ แต่สอนไม่รู้เรื่อง ก้อไม่รู้จะรับมาทำไม สงสารเด็กๆครับ เพราะมันกลายเป็นคำที่ใช้ดูถุกกันไปทั่วแล้วว่า คนจบปริญญาเอกมาแล้วเนี่ย มีซักกี่คนที่พูดรู้เรื่อง แต่ผู้ที่จบปริญญาเอกเหล่านั้น กลับโทษนักเรียนนักศึกษาว่า โง่เอง (เฮ้อ) อาจไม่ตรงประเด็น แต่อยากระบายครับ จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 09:29:30

ความคิดเห็นที่ 16 1. จบ ป.ตรีสาขาอื่นมา ต้องการจะเป็นครู ต่อโทสาขาครู ก็เป็นครูไม่ได้อยู่ดี - เป็นได้ค่ะ อยู่ที่ว่าคุณจบสาขาอะไรมา ป.ตรีสาขาอื่นที่ว่านั้นตรงสาขาที่เค้าต้องการหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ไม่มีป.บัณฑิตแล้ว แต่หลายม.ก็ปรับหลักสูตรป.โท ที่ควบป.บัณฑิตแล้ว ก็สามารถเป็นครูได้ทั้งนั้น แต่ถ้า ต่อโทสาขาครู ก็เป็นครูไม่ได้อยู่ดี  หมายถึงว่าเรียนจบแล้วสอบบรรจุไม่ได้ เพราะต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูก่อน คุณก็ลองไปสอบ 9 มาตรฐาน (ลองหาข้อมูลดูนะคะ) 2. จบป.ตรี สาขาครู ต่อโท สาขาครู เพื่อนำไปใช้สอน แต่ความรู้ในขั้น ป.โท มีประโยชน์แค่ไหนกันในการสอนเด็กมัธยม ? สอนเด็กทำวิจัย สอนทำวิทยานิพนธ์ ? - ความรู้ในระดับป.โทมีประโยชน์มาก ระดับความเข้มข้นของการเรียนก็แล้วแต่แผน กว่าเป็นแผน ก หรือ ข เราไม่ได้สอนเด็กทำวิจัย แต่เราใช้การทำวิจัยเป็นแนวทางในการสอน เราทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหา การเรียนศึกษาศาสตร์จะเน้นศาสตร์ทางด้านการสอน การประยุกต์ใช้ทฤษฏีการศึกษาเพื่อนำไปสอนเด็กนักเรียน ถ้าใครทำได้ตามที่ทฤษฏีเค้าว่าไว้ ก็จะประสบความสำเร็จตามนั้น เท่าที่ศึกษาจากผลวิจัย ส่วนใหญ่ก็ทำได้ผลกัน แต่ที่การศึกษาปัจจุบันเป็นแบบนี้เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วครูยังทำวิจัยในชั้นเรียนจริงๆน้อยอยู่ บวกกับปัจจัยอื่นอีกมากมาย  และเพราะว่ากระบวนการทำวิจัยนั้นยาก กว่าจะมาเป็นเครื่องมือก็ต้องผ่านหลายกระบวนการ ใครที่ทำวิจัยอยู่ก็จะรู้ ครูที่ทำจริงๆก็น้อย ส่วนที่ว่าใครจะนำความรู้มาใช้ประโยชน์จริงๆ ก็อยู่ที่ตัวครูค่ะ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเรียนป.โท สามารถนำมาใช้ได้หมด ครูที่เก่งๆเค้าก็นำมาใช้กันนะคะ 3. จบ ป.ตรี สาขาครูมา แต่ไม่ได้จะเป็นครู แต่จะต่อ ป.โท สาขาครู เพื่อเอาไว้ศึกษาความรู้เพิ่มเติม (เช่น ต่อ โท ด้าน ครูคณิต เพื่อศึกษาด้านคณิต) อันนี้ผมข้องใจครับ มีประโยชน์หรือไม่  ยังไง ? สมมุติจะไปสมัครงานด้านวิทยาศาสตร์  คนที่จบ ป.โท ด้านครูวิทยาศาสตร์ จะมีเครดิตเท่า คนที่จบ ป.โท ด้านวิทยาศาสตร์สายตรง หรือไม่ - บอกได้เลยว่าเครดิตย่อมไม่เท่ากัน ถ้าไปสมัครงานด้านวิทย์ คนที่จบด้านวิทย์ยังไงก็ต้องภาษีมากกว่าเพราะว่าวิชาที่เรียนเค้าก็เน้นทางวิทย์อยู่แล้วแต่ถ้าเรียนวิทยาศาสตร์ศึกษามันก็แบ่งครึ่งเรียน ทั้งภาคการศึกษาและภาควิทย์ คุณก็คิดดูแล้วกันว่าอันไหนมันจะเข้มข้นมากกว่ากัน งง จริงๆ ป.โท ของสาขาครู เค้ามีไว้ทำไมครับ เหมือนจะมีไว้แค่ปรับเงินเดือนเลย นอกนั้นเรียนไปก็ไม่ได้อะไร - อย่ามองอย่างนั้นเลยค่ะ เพราะบางคนเรียนจบแล้วเงินเดือนมันก็เกินที่เราจะเอาไปปรับกันทั้งนั้น แต่ครูส่วนใหญ่ที่เรียนก็เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ อยากพัฒนาตัวเองกันทั้งนั้น จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง เวลาเราทำงานไปนานๆ สภาพแวดล้อมเดิมๆ ความคิดสร้างสรรค์ก็หดหาย โลกทัศน์ก็แคบ  แต่พอได้มาเรียน มาเจออะไรใหม่ ทัศนคติ ก็กว้างขึ้น แต่ก็แล้วแต่คนด้วยนะคะ จากคุณ : คนต้นน้ำ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 13:19:06

ความคิดเห็นที่ 17 เราไม่เคยพูดว่า "ครุศาสตร์ปริญญาตรี โท หรือเอก" มันไม่ดีหรือไม่จำเป็น ยังไงๆ มันก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่น่าสนใจ ทุกวันนี้เราก็เรียนครู แต่ไม่ได้เรียนมหาลัย เราเรียนด้วยตัวเองเอาไว้สอนตัวเอง แต่สิ่งที่เราพูดใน คคห 6 เพราะพูดเพื่อโต้ตอบแนวคนที่คนเรียนครูชอบพูดเข้าข้างตนเองว่า "คนไม่เรียนครูมาถึงเก่งศาสตร์อะไรก็ถ่ายทอดวิชาที่ตัวเองเก่ง ไม่ได้มากเท่าคนที่เรียนครูมา" ^ It does not hold true universally. มันไม่เป็นจริงในทุกกรณี ที่บางคนหาว่า "เราดูถูกคนเรียนครู" ^ จริงๆแล้วไม่ใช่ เราแค่นำ conditions (เงื่อนไข(ของโจทย์))ที่คนหลายๆคนไม่ได้นำเข้ามาสู่การพิจารณา ให้มาพิจารณากัน นั่นก็คือ เวลานี้ในประเทศไทยมีมหาลัยเกรดต่ำๆๆที่อ้าแขนรับคนเรียนไม่เก่งซึ่งเอ็นเข้ามหาลัยปิดดีๆไม่ได้ ให้มาเรียนครู และมหาลัยที่ว่านั้นผลิตครูที่ไม่เก่งออกมาอยู่ในแวดวงการศึกษาจนล้นประเทศ! ^ ดังนั้น จึงต้องมีการออกกฎหมายใบอนุญาตครูเพื่อมาปกป้องครูที่ไม่เก่งซึ่งมีล้นประเทศ ไม่ให้โดนแย่งอาชีพ และครูที่ไม่เก่งก็พยายามปกป้องสถานภาพตนเองโดยการระดมกำลังกันพูดซ้ำๆประโยคนี้คือ "คนไม่เรียนครูมาถึงเก่งศาสตร์อะไรก็ถ่ายทอดวิชาที่ตัวเองเก่ง ไม่ได้มากเท่าคนที่เรียนครูมา" เราจึงต้องพูดสิ่งที่เราพูดใน คคห 6 เพื่อ disillusion พวกเขา (ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากมายา หลุดพ้นจากภาพลวง) เอางี้ เพื่อตัดสินการโต้วาทีอันนี้ว่าใครผิดใครถูก เราขอเสนอดังนี้ "เปิดให้มีการแข่งขันกันโดยเสรีมากกว่านี้ แล้วมาพิสูจน์ให้เห็นกันจะๆว่า คนที่เชี่ยวชาญศาสตร์อะไรบางอย่างแต่ไม่เคยเรียนครูมา ให้ลองมาสอนแข่งกับคนที่เรียนครูมาโดยตรง" ยกตัวอย่างเช่น "เอาคนที่จบครูมาแล้วเรียนเอกพละศึกษามา มาสอนมวยไทยให้นักเรียน แล้วก็เอานักมวยไทยมืออาชีพที่ไม่เคยเรียนครูมา มาสอนมวยไทยให้นักเรียน แล้วเอานักเรียนของแต่ละฝ่ายมาขึ้นเวทีชกกัน แล้วนับสถิติกันว่าศิษย์ใครแพ้ชนะมากกว่ากัน ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่งเลย" หรือ "เอาเพื่อนเราชาว Canadian (ที่เราพูดถึงใน คคห 6) ที่เรียนจบปริญญาเอกวิชา Mathematical Physics จาก University of Cambridge ซึ่งไม่เคยเรียนครู (แต่เขาเคยสอนเราเก่งได้ดีกว่าครูเราที่เรียนจบครูมา) มาสอนคณิตศาตร์ ม.6 แข่งกับคนจบครุศาตร์เอกการสอนคณิตศาตร์ระดับปริญญาเอกจากมหาลัยในเมืองไทย แล้วมาดูว่าศิษย์ใครจะเก่งกว่าใคร" หรือ "ใครเรียนครุศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษจบถึงระดับปริญญาเอกจากมหาลัยในเมืองไทย จะลองมาสอนภาษาอังกฤษระดับ ม.6 แข่งก้บเราก็ได้ เราจบแค่ มศ.3 (เทียบเท่า ม.4 สมัยนี้) แต่เราเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองตอนไปอยู่ต่างแดน และพอกลับมาเมืองไทยเราเรียนศาสตร์สาขาการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ด้วยตัวเองจากตำราต่างประเทศ แล้วออกไปทำงานสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยประมาณ 5 ปี(ส่วนใหญ่ทำตามโรงเรียนสอนภาษา) จากนั้นเราไปทำงานเป็นนักแปลกับล่ามในเมืองไทยอีก 15 ปี เราเชื่อว่าความรู้และประสบการณ์จากการใช้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพมาหลายสิบปีของเรา กับการใช้สมองพลิกแพลงของเรา ทำให้เราเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีได้ เพียงแต่กฎหมายห้ามออกใบอนุญาตครูให้เราเท่านั้น แต่เราอยากจะสอนภาษาอังกฤษแข่งกับคนที่อ้างว่า "คนจบครูมาเท่านั้นถึงจะถ่ายทอดได้ดี"  แล้วมาดูว่าศิษย์ใครจะเก่งกว่ากัน จะได้หายสงสัยกันเสียทีว่าความรู้ที่ได้จากประสบการณ์การทำงานจริงกับความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้น มันจะสู้ความรู้ที่ได้จากการเรียนปริญญาในมหาลัยได้หรือไม่!" ^ แทนที่แต่ละฝ่ายจะมาพูดอะไรที่เข้าข้างตัวเอง เรามาทดสอบของจริงกันดีกว่า โดยการเปิดเวทีกว้างให้ทุกคนมาลงแข่งขันกันอย่างยุติธรรมในวงกว้าง โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา จะได้หายสงสัยกันเสียทีว่า "กฎหมายใบอนุญาตครูมีไว้พัฒนาหรือทำลายระบบการศึกษาของไทยกันแน่?" สรปุแล้ว เราไม่ได้ต่อต้านคนเรียนครุศาสตร์ ไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี โท หรือเอก แต่เราต่อต้านการเล่นละครตบตากันในสังคมไทย เช่น คนจบครุศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษปริญญาโท จากมหาลัยเกรดต่ำๆ เขียนภาษาอังกฤษผิด grammar เกือบทุกประโยค ซึ่งเผลอๆไปแข่งกับเด็ก ม.6 โรงเรียนฝรั่งก็ยังสู้ไม่ได้เลย แล้วทำไมจะต้องจ่ายเงินเดือนตามวุฒิด้วย ทำไมไม่จ่ายเงินตามความสามารถล่ะ ^ นี่แหละคือปัญหาประเทศชาติ ที่เกิดจาก "คนไม่เก่งพยายามไปเรียนเอาวุฒิสูงๆ (ซึ่งเรียนจบมาแล้วก็ยังไม่เก่ง) เพื่อเอาไปขึ้นเงินเดือน ตามที่ จขกท ตั้งกระทู้ไว้เลย!" แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 16:33:44 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 14:03:43 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 13:59:51

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นง่ายๆ ของผมนะครับ 1. ไว้สอน ป.ตรี  (ถ้าจบ ป.ตรี แล้วมาสอน ป.ตรี นักศึกษาคงไม่ยอมรับมั้งนะ) 2. หาความรู้ เพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง 3. หา connection ---> คำนี้ไม่ได้คิดเอาเองนะครับ แต่คนเรียนโท พูดให้ผมฟังเยอะเลย ประมาณนี้มั้งครับ จากคุณ : puieang เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 14:56:28

ความคิดเห็นที่ 19 ที่คุณ Moddy พูดในคคห 14 ว่า "(ส่วนตัวไม่ได้จบทางการศึกษาทั้งตรีทั้งโท แต่พอมาสอนก็ต้องไปเรียนการสอนเพิ่มเติม ไม่งั้นก็จะเป็นแต่นกแก้วนกขุนทอง รู้อยู่คนเดียวพูดอยู่คนเดียว คนเรียนรู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้)" ^ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่เรียนการสอนแล้วคุณจะเป็นนกแก้วนกขุนทอง นั่นมันตัวคุณ แต่ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องตั้งกฎเกณฑ์ว่าคนอื่นจะต้องเป็นแบบคุณ เราไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องสอนวิชาอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องสอนภาษาอังกฤษถ้าคุณเข้าไปใน workshop ที่เราเข้าไปในโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งแถวๆสยามเมื่อหลายปีมาแล้วนะ คุณจะแปลกใจมากๆที่ในโรงเรียนนั้นมีครูฝรั่งเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้จบปริญญาเลย ซึ่งคนไทยหลายๆคนอาจหลงคิดว่าเป็นพวกฝรั่งแบกเป้ท่องเที่ยว แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาหลักแหลมมากๆ ในการใช้สมองคิดพลิกแพลงเรื่อง 1. วิธีการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้กลยุทธ์ในการเปลี่ยน education ให้เป็น edutainment 2. วิธีสร้างสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพ 3. วิธีวัดผล 4. การหาวิธีแก้ปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ครูฝรั่งไม่มีปริญญาพวกนี้ระดมกำลังสมองกันคิดอะไรแปลกๆใหม่ๆได้อยู่ตลอดเวลา และจะมาเจอกันที่ workshop หนึ่งครั้งทุกๆสองเดือน เพื่อมาทำ brainstorming session กัน จากนั้นก็จะเอาสิ่งที่พวกเขาคิดค้นได้ทำเป็นเอกสารและสื่ออย่างอื่น เช่นเทป หรือวิดิโอ (สมัยก่อนไม่ก้าวหน้าระดับใช้ digital media) ใส่แฟ้มกับใส่ตู้ไว้ในห้องพักครู เป็นทรัพยากรส่วนกลางให้ครูด้วยกันทุกคนดึงไปใช้งานได้ ซึ่งสมัยนั้นมันยังไม่มี Internet  จากแนวคิดที่เราเรียนรู้จากพวกเขา ตอนนี้เราใช้ Internet กับใช้ software ทำได้ดีกว่านั้นอีกหลายเท่า โดยการสร้าง  digital media ขึ้นมาเพื่อการเรียนการสอน (แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้สอนใคร เราเอาไว้สอนตัวเอง (สรุปแล้วเราก็เรียนครูทุกวันนั่นแหละ แต่เรียนไว้สอนตัวเอง) และสิ่งที่น่าเสียดายก็คือหลังจากกฎหมายไทยเปลี่ยนใหม่ที่ไม่ยอมออก work permit ให้ฝรั่งที่ไม่มีปริญญาเข้ามาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยได้อีกต่อไป ฝรั่งไร้ปริญญาแต่เป็นครูระดับอัฉริยะ (ิระดับ born teachers) พวกนี้เลยแห่กันไปอุทิศผลงานไว้ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนฝรั่งพวกนี้ไปสร้างชุมชนขนาดใหญ่ในจีน และมีเครือข่ายให้ความช่วยเหลือกันและกันในเรื่อง "การใช้สมองพลิกแพลงคิดค้นวิธีการสอนภาษาอังกฤษและสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย" (หาข้อมูลได้จาก Internet) สื่งที่ครูฝรั่งไร้ปริญญาพวกนี้ทำได้ มันเป็นสิ่ง "ที่จะทำให้คนจบครุศาสตร์ระดับปริญญาเอกจากมหาลัยไทยต้องอับอายขายหน้าได้" ^ อีกทัั้งประเทศจีนก็กลายเป็นก้่าวหน้าด้านการสอนภาษาอังกฤษไปไกลกว่าประเทศไทยตั้งหลายขุมด้วย! นั่นก็เพราะฝรั่งที่ไม่ได้เรียนครูมาพวกนี้นั่นแหละที่เป็นคนสร้างผลงานเอาไว้ ^ อันนี้คือของจริงจากชีวิตจริง ซึ่งคนจบครุศาสตร์ควรหมั่นศึกษาข้อมูลให้ดีๆ อย่าเที่ยวได้ไปดูถูกคนไม่เคยเรียนครูมาว่า "ใครไม่เคยเรียนครูมาก็จะถ่ายทอดวิชาไม่ได้" " ส่วนที่คุณพูดว่าในต่างประเทศเขาถือว่าศึกษาศาสตร์มีความสำคัญมากๆ คุณกลายเป็นพูดเรื่องนอกประเด็นไป เพราะคุณทำ conditions (เงื่อนไข) ของโจทย์บางอย่างตกไป นั่นก็คือมหาลัยเกรดต่ำๆในเมืองไทยผลิตศึกษาศาสตร์บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต เป็นจำนวนมากที่ต่ำกว่ามาตรฐานออกไป จนล้นประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการอ้าแขนรับคนที่เอ็นเข้ามหาลัยปิดดีๆไม่ได้มา และในประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ไม่มีการออกกฎหมายห้ามคนไม่เคยเรียนครู ไม่ให้มาเป็นครู ^ จริงๆแล้วนักวิชาการด้านการศึกษากับผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เขาสอนอยู่นั้นพวกเขาทำงานประสานงานกัน จริงๆแล้วเรารู้เรื่องพวกนี้เยอะพอสมควรเพราะเราเป็นหนึ่งใน editors ที่ (edit) ตรวจแก้คำแปล videos ด้านการศึกษา (ที่มาจากต่างประเทศ) ให้ website ครูหรือการศึกษาไทยนี่แหละ ลองคิดดูง่ายๆสิว่า "ถ้าใครไม่จบครูมาแล้วจะต้องกลายเป็นนกแก้วนกขุนทองอย่างที่คุณคิดตื้นๆ งั้นคนที่ไม่เคยเรียนครูมา ที่เข้าไปทำงานเป็นอาจารย์สอนมหาลัย มิกลายเป็นนกแก้วนกขุนทองไปกันหมดหรอกหรือ...!!!??" แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 54 11:26:37 แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 54 00:38:06 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 15:39:23 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 15:31:43 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 15:28:24

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกับคุณ Mr.Review ค่ะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 09:46:01