เราก็เรียนตอนอายุมากๆเหมือนกัน แต่เราเรียน esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) ไม่เรียนวิทยาศาสตร์
มุมมองของเราที่ตรงกันข้ามกับของคุณลุงคนในข่าว
เราอายุได้ 61 แล้ว เราเรียนจบแค่ มศ.3 (เที่ยบเท่า ม.4 สมัยนี้เอง)
เมื่อปีที่แล้ว พอเราอายุได้ 60 มสธ. ก็เปิดสอนศิลปศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ เป็นปีแรก มันทำให้คนไม่จบ ม. ปลายแบบเราก็มีสิทธิ์เข้าเรียนปริญญาตรีในมหาลัย (ตอนแรกเราเรียนเอกอังกฤษที่รามฯแบบไม่ลงทะเบียน (คือซื้อ textbooks ของรามฯมาเรียนเอง) ก็เลยไม่มีสิทธ์รับปริญญา) เราเกือบจะหลวมตัวไปลงเรียนเอกอังกฤษที่ มสธ. เพื่อเอาปริญญาตรีมาอวดชาวบ้านว่า
"ฉันก็เป็นคนมีการศึกษานะจ๊ะ"
^
แต่เราพิจารณาดูแล้วเห็นว่าเนื้อหาที่ มสธ. สอนไม่ได้ทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกเลย อีกทั้งมันยังเป็นตัวถ่วงอย่างแรง เพราะว่าเราใช้สมองพลิกแพลง และใช้ความเชี่ยวชาญด้าน IT ของเรา (ที่เราก็เรียนรู้ตอนอายุเกิน 50 ไปแล้ว) คิดค้นวิธีการใหม่ๆ ค้นหาหรือสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษแปลกๆใหม่ๆดีๆมาสอนตัวเองได้ผลมากกว่ามหาลัยสอนหลายเท่า เราก็เลยไม่ได้ไปเรียนมหาลัยแต่เรียนรู้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมาเราก็ใช้ความรู้ภาษาอังกฤษที่ได้จากการเรียนด้วยตัวเองในมหาลัยชีวิตทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่แปลเอกสารให้ลูกค้าที่เป็นองค์กรข้ามชาติ เป็นล่ามในศาลและในที่ประชุม แปลหนังสือและเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้สำนักพิมพ์หลายๆแห่งในไทย รับจ้างเขียน theses, dissertations และ research papers เป็นภาษาอังกฤษ (ในหลายๆสาขาวิชา)ให้นักศึกษาหลายๆคนเรียนผ่านปริญญาโทและปริญญาเอกทั้งในมหาลัยไทยและต่างประเทศ
^
การไม่มีปริญญาเป็น drive (แรงขับเคลื่อน) ที่ดีมากๆ ที่มันคอยผลักดันให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆด้วยวิธีการแหกคอกอยู่ตลอดเวลา จนเราคิดค้นอะไรแปลกๆใหม่ๆได้ตั้งหลายอย่าง การเรียนด้วยตัวเอง อย่างเช่นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองโดยพยายามเอาชนะคนเรียนจบด้านภาษาอังกฤษให้ได้ทั้่งชนะคนจบปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกจากมหาลัยดังๆ เป็นเรื่องที่เราคิดว่า "มันสนุกกว่าการที่เราจะไปเรียนเอาปริญญาสูงๆมาเหมือนพวกเขาซะอีก" เพราะสมองเราคิดไม่เหมือนใคร สุดยอดของการศึกษา (ในมุมมองของเรา) ก็คือ "การเรียนรู้ด้วยตนเอง"
^
เคล็ดลับในการเรียนรู้ และเพิ่ม iq ให้ตัวเองเรื่อยๆเมื่ออายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ
"ฝึกศาสตร์เร้นลับจากคัมภีร์โบราณของนักพรตเต๋าจีนกับของปราชญ์ฮินดูเพื่อเปลี่ยนคุณภาพเลือด (คุณภาพของเลือดสำคัญมากๆในการเพิ่ม iq) และเพื่อเปลี่ยน cells ในร่างกายและสมองแบบ biological transmutation (การเปลี่ยนแปลงในเชิงชีวะแบบผ่าเหล่าผ่ากอ) เพื่อให้ได้มาซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล...ฝึกแบบนี้สมองจะไม่มีทางฝ่อ แต่จะกลับพัฒนาไปไกลมากๆ เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ"
^
ซึ่งเวลาผ่านไปหลายสิบปีในการค้นคว้าเรื่อง esoteric arts ทำให้ตอนนี้เราสามารถเขียนคัมภีร์พวกนี้ขึ้นมาใหม่เองแบบพลิกแพลงกว่าของเดิมอีกหลายๆเท่า!
^
นี่คือสิ่งที่เราได้กลับมาชดเชยกับการไม่มีปริญญาของเรา
^
ความรู้เช่นนี้เป็น non-formal education ที่มีค่ามากๆสำหรับเรา เพราะว่ามันส่งเสริมชีวิตเรามากกว่าปริญญาตรี โท หรือเอกจากมหาลัย เพราะมันแตกแขนงไปสู่วิชาการแพทย์ทางเลิอกของชาวตะวันออกที่ทำให้เราดูแลสุขภาพได้ดีเยี่ยมตลอดกาล รักษาตัวเองได้ทุกครั้งที่ป่วย
เห็นรูปลุงในข่าวแล้วเราดีใจมากๆที่เราอายุมากกว่าเขาตั้ง 5 ปี แต่เรายังดูอ่อนวัยกว่าลุงตั้งหลายสิบปี! นั่นก็เพราะว่าเราศึกษาศาสตร์ชลอความชราภาพเป็นวิชาเอกแบบ non-formal education ของเรา นั่นเอง
แนวคิดง่ายๆที่เป็นเส้นผมบังภูเขา ก็คือ
"คนแก่เรียนไปแทบตายพอจะไปแข่งกับเด็กๆคนแก่สังขารไปไม่ไหวแก่ตายซะก่อน ดังนั้น แข่งเรื่องแรกที่ต้องแข่งก็คือแข่งเรื่องสุขภาพ นั่นก็หมายความว่า แข่งเรียนหนังสือไม่พอ แต่เราต้องวิ่งให้เร็วกว่าและออกอาวุธเพลงมวยชกต่อยได้รวดเร็วและทรงพลังกว่าคนอายุน้อยๆกว่าเรา โดยการเจริญรอยตามอย่างปรมาจารย์ตั๊กม้อ (ผู้ก่อตั้งวัดเส้นหลิน) หรือจางซันฟง (ผู้ก่อตั้งสำนัก Wudang (อ่านแบบแต้จิ๋วคือ "บู๊ตึง) นั่นก็คือ ท่านสองคนนี้ เมื่ออายุเกิน 100 แต่ก็ยังมีพลังมหาศาลมากกว่าเด็กหนุ่มๆสาวๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวรยุทธ์ ดังนั้น พอไปแข่งด้านวิชาการอย่างอื่น คนแก่จะไม่แพ้เพราะแก่ตายซะก่อน...555+++..."
^
นี่คือ ultimate aim (เป้าหมายสูงสุด) ของเราในการเรียนรู้แบบ non-formal education นอกมหาลัยมาตลอดทั้งชีวิต!
แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 54 23:05:17
แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 54 22:59:39
แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 54 15:28:45
แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 54 15:26:00