|
^ อธิบาย arguments ย่อๆ กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11518131/K11518131.html เจ้าของกระทู้ถามว่า
เวลาคนทักทายเมื่อแรกพบว่า How do you do? อีกคนตอบ How do you do? มันถูก แต่ถ้าตอบว่า I'm fine, thank you. มันผิดหรือเปล่า
เราตอบว่าสมัยโบราณ คำตอบแบบเป็นทางการที่ถูกต้องก็คือ How do you do? แต่สมัยใหม่มีคนพูดแบบไม่เป็นทางการคือ I'm fine, thank you. ซึ่งไม่ผิด เพราะความหมาย verb คือ do ในสมัยโบราณมันเกี่ยวกับสุขภาพจริงๆ
ฝ่ายตรงข้ามเราอ้างว่าคนที่ตอบว่า I'm fine, thank you. เป็นคนไร้การศึกษา พอเราให้เหตุผลว่า
1. ความหมายโบราณ do เกี่ยวกับสุขภาพจริงๆ 2. คนมีการศึกษาที่พูดแบบไม่เป็นทางการก็มี
ฝ่ายตรงข้ามเลยเถึยงผิดหลักวิชา logic โดยการด้างว่า เธอต้องถูก เพราะ
(1) ดิฉันเกิดในแคนาดา (2) โตที่อเมริกา (3) เรียนภาษาไทยกับป้าสะใภ้ที่เป็นครูสอนภาษาไทยที่จุฬา (4) ครูสอนหนังสือของดิฉันที่สอนเฉพาะทาง ท่านเก่งขั้นเทพ และ (5) มีคนอธิบายว่า How do you do? ไม่ได้เป็นคำถาม
เราจึงแย้งกลับไปว่า
การอ้าง authority คือความเป็นผู้รู้ที่น่าเชื่อถือ คุณอ้างอยู่คนเดียว (ในข้อ (1)-(4)) แต่ authorities เหล่านี้ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลว่า "เป็นผู้รู้จริงๆ" ดังนั้นจึงเป็น arguments ที่ invalid คือใช้การไม่ได้ และ unsound คือ ไม่สมเหตุผล อีกทั้ง ข้อ (5) มันต้องมีการแยกแยะของคำว่า some กับคำว่า all ซึ่งในกรณีนี้ some people คือคนบางคนเท่านั้น ที่คิดว่า How do you do? ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นแค่คำทักทาย ในขณะที่หลัการนี้ให้กับ all the people in the world (คนทั้งหมดในโลก) ไม่ได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปดู คคห ต้นๆของกระทู้นั้น จะเห็นว่าเราก็ให้ authorities ที่น่าเชื่อถือมากกว่าได้ ซึ่ง authorities ดังกล่าวก็ได้อธิบายไว้แล้วว่า คำว่า do ในภาษาโบราณมันมีความหมายเกี่ยวกับสุขภาพก็ได้
ดังนั้นเราจึงชี้แจงว่า "ฝ่ายตรงกันข้ามเราประสบความล้มเหลวในการพิสูจน์ว่า
1. เวลาคนทักทายเป็นครั้งแรกว่า How do you do? ถ้าคุณตอบว่า I'm fine, thank you. มันผิด 2. คนที่ตอบว่า I'm fine, thank you. เป็นคนไร้การศึกษา
คือ ตามหลักวิช่า logic แล้ว มัน draw conclusion (สรุป) จาก invalid and unsound arguments ของฝ่ายตรงกันข้ามเราไม่ได้ ..................................................................... ส่วนเรื่องที่คุณ raewa cute อยากหาตำราวิชา logic มาเรียนนั้น เผอิญเราไม่เคยเรียนเป็นภาษาไทยเลย ก็เลยช่วยหาตำราภาษาไทยให้คุณไม่ได้ แต่แนะนำให้คุณลองไปค้นข้อมูลดูเนื้อหาหลักสูตรของคนที่เรียนปรัชญาในมหาลัยไทยหลายๆมหาลัยดู แล้วดูว่าพวกเขาใช้ตำราภาษาไทยเล่มไหน (ถ้าคุณไม่โชคร้ายขนาดที่พวกเขาใช้ตำราภาษาอังกฤษกันหมดนะ) แล้วหาทางซื้อตำราพวกนั้นมาศึกษา
ตอนแรกเราก็อ่านตำราปรัชญาตะวันตกหลายเล่ม (ศึกษาด้วยตนเอง) แต่อ่านไปอ่านมา เราขว้างทิ้งแนวคิดของนักปรัชญากรีกกับโรมันกับนักปรัชญาตะวันตกไปหมด แล้วเรียนแต่ logic กับเล่นหมากรุกฝรั่งเยอะๆ ซึ่งก็เป็นการฝึกใช้ logic อีกประเภทหนึ่ง (นี่คือความรู้ปรัชญาตะวันตกเฉพาะส่วนที่เราเก็บไว้ในความทรงจำ) แล้วอยู่ดีๆเรากระโดดไปเรียนปรัชญาเต๋าของจีน กับปรัชญาของชาวฮินดูแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า "มันมีความสัมพันธ์กับวิชาการแพทย์ทางเลือกของชาวตะวันออก" เพราะเราต้องการหาคัมภีร์โบราณของชาวตะวันออกมารักษาอาการป่วยของเรา (สมัยเด็กๆเราป่วยหลายอย่าง) และเอามาค้นคว้าเรื่อง "เคล็ดลับแห่งการคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล"
ดังนั้น ความรู้ด้านปรัชญาของเราจึงเป็นแบบผสมผสานพิกลๆ แต่ในช่วงอายุมากๆขึ้นเราลองย้อนกลับไปเรียนวิชาที่เราเคยเรียน ที่เรียนในสถาบันการศึกษาตอนเด็กๆ แล้วสอบตก (เช่นคอมพิวเตอร์) แล้วพบว่าตอนเรียนใหม่ด้วยตัวเองเมื่ออายุมากๆเรากลายเป็นเรียนได้สำเร็จอย่างน่าประหลาด มันอาจไม่ใช่เพราะเรารู้ logic ที่ช่วยเราไว้ 100% (เพราะจริงๆแล้วเราก็รู้ logic แค่งูๆปลาๆ) แต่มันอาจเป็นเพราะเรากินอาหารปลอดสารพิษ (กินพวกข้าวกล้องและผัก organic)ตามหลักวิชา Zen Macrobiotics มานานหลายสิบปี จนเราเปลี่ยนคุณภาพเลือดของตนเอง และผลัดเปลี่ยน cells สมอง และ cells ร่างกายของตัวเองไปในทางที่ดีกว่าเดิม ก็เลยทำให้เราคิดอะไรพลิกแพลงแล้วเรียนรู้อะไรตอนอายุยิ่งมากขึ้นได้ดีกว่าตอนเด็กๆ (ซึ่งกลายเป็นสวนทางกับมนุษย์ทั่วๆไป)
แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 55 14:06:19
แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 55 03:47:19
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
วันปีใหม่ 55 03:42:19
|
|
|
|
|