ความคิดเห็นที่ 1 555555 5555555 นโยบายกระทรวงศึกษา พ่นพิษแล้ว จากคุณ : เจ้ากก เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 21:04:16

ความคิดเห็นที่ 2 You must study hard. You must help your friends and your teacher. You must ...............................   .................   Ha  .................. Sorry .............................. Give minister show first. Now, seriously,    You may record early one hour by reading. Then, use tape for it.  Sure, no problem. จากคุณ : oti (oti) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 21:10:24

ความคิดเห็นที่ 3 Just pray for the kind helper who can help you. ^~^ จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 22:28:54

ความคิดเห็นที่ 4 จริงๆแล้วเราก็อยากจะไปช่วยสอนให้นะ คือเราฟังพูดอ่านเขียนอังกฤษได้คล่อง แต่เผอิญเราไม่ได้จบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎ แล้วมีใบอนุญาตครู แล้วก็ไม่ได้ต่อปริญญาโท กับปริญญาเอกเพื่อปรับอัตราเงินเดือน (จริงๆแล้วปริญญาตรีเราก็ยังไม่มี แต่เราทำงานด้านภาษาอังกฤษมาหลายสิบปี) แต่คนอย่างเราโดนนโยบายกระทรวงศึกษาไทยกีดกันไม่ให้เข้าไปสอนเด็กในระดับประถมและมัธยม ทั้งๆที่เราสอบได้ Certificate of Proficiency in English จาก University of Cambridge และที่ใบประกาศนียบัตรเรา ทาง Unversity of Cambridge ยืนยันว่า "ผู้่สอบผ่านประกาศนียบัตรนี้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษมากพอที่จะสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่1 " ดังนั้น โปรดไปตามพวกคนที่จบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎ แล้วมีใบอนุญาตครู แล้วก็เรียนต่อปริญญาโท กับปริญญาเอกเพื่อปรับอัตราเงินเดือน ที่มีอยู่ล้นประเทศไทย ซึ่งกำลัง ผูกขาดการสอนในประเทศไทย ให้มาช่วยแก้ปัญหาอันนี้แทน เมื่อก่อนเราก็มีเพื่อนเป็นฝรั่งเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้จบปริญญาตรี แต่เป็น "นักคิด" ที่ช่วยๆกันระดมกำลังสมองคิดค้นวิธีการสอนภาษาอังกฤษ แบบแปลกๆใหม่ๆ มีประสิทธิภาพ มากมาย ซึ่งพวกเขาสอนอยู่ตามโรงเรียนสอนภาษาหลายๆแห่งในประเทศไทย แต่พวกเพื่อนๆเราต้องถูกขับไล่ออกนอกประเทศไทยหมด เพราะกฎหมายใหม่ออกมาว่า "ฝรั่งที่ไม่จบปริญญาไม่สามารถต่อวีซ่าได้ เพราะทางหน่วยงานศึกษาไทย จะไม่ออก work permit ให้" ^ ดังนั้น ฝรั่งพวกนี้จึงหนีไปสอนประเทศอื่นหมด และฝรั่งที่มีวุฒิสูงๆ แล้วสอนภาษาอังกฤษเก่งๆ ก็ไม่มาสอนที่ไทยด้วย เพราะไปสอนที่ญึ่ปุ่นกับไต้หวันได้เงินมากกว่า ดังนั้น ดังนั้น โปรดไปตามพวกคนที่จบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎ แล้วมีใบอนุญาตครู แล้วก็เรียนต่อปริญญาโท กับปริญญาเอกเพื่อปรับอัตราเงินเดือน ที่มีอยู่ล้นประเทศไทย ซึ่งกำลัง ผูกขาดการสอนในประเทศไทย ให้มาช่วยแก้ปัญหาอันนี้แทน ^ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 23:10:12

ความคิดเห็นที่ 5 good morining student    ก็ตามนโยบายของรัฐบาลอะค่ะเรื่องให้ในโรงเรียนพูดภาษาอังกฤษสัปดาห์ละ 1 วัน วันพุธนี้เป็นคิวเราแล้วที่ต้องอบรมและให้โอวาทนักเรียนหน้าเสาธงเป็นภาษาอังกฤษ เราเองก็เป็นครูภาษาไทยซะด้วย..ใครพอจะมีเวลาช่วยเราหน่อยได้มั้ยคะ  อบรมเด็กประถมด้านระเบียบวินัย ความประพฤติ ความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน เป็นต้น ประมาณ 5-10 นาที เริ่มจากทักทายเลยค่ะ...ขอบคุณล่วงหน้านะคะ ขี้แง จากคุณ : สตรีแก่นนคร จะวางแผนคุยเรื่องอะไรละวันนั้นละ   ไม่เห็นบอกอะไรเลย? จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 23:13:12

ความคิดเห็นที่ 6 จะจีบครูภาษาไทยสักหน่อย ไม่บอกหัวข้อ ร่างไม่ออกเลย อิๆๆๆ  ภาษาอังกฤษผมนะไม่ค่อยเก่งหรอก ไม่ได้สอบ tofel เลย จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 23:15:28

ความคิดเห็นที่ 7 สะใจคุณ fortuneteller มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ... อยากมีโอกาสเจอตัวจริงครับ และแลกเปลี่ยนความคิดกัน น่าจะคุยกันได้มันส์ จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 23:27:11 A:101.108.79.141 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่เห็นด้วยกับคุณ fortuneteller คนที่เรียนครู เรียน 5 ปี ไม่ใช่ แค่ทักษะวิชาที่จะสอน คนที่ไม่ได้เรียนทางนี้ไม่รู้หรอก ถ้าคุณรักที่จะเป้นครู ทำไมไม่เรียนครูละ หรือ ไปสอบวัด 9 มาตราฐานเพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครูก็ได้ กรณีเดียวกับหมอ ก็เหมือนกัน มีคนบอกว่า รู้เรื่องผ่าตัดดี แต่ไม่ได้เป้นหมอ ถ้าเป็นคุณ คุณป่วยต้องผ่าตัด คุณจะ ยอมให้คนนั้นผ่าไหม ถ้าคุณคิดแบบที่คิดบอกมา ผมว่าดีแล้วที่คุณไม่ได้เป้นครู เพราะ พฤติกรรมของคุณ มันไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมใหกับเดด็ก แต่จะสอดแทรก วุฒิภาวะที่ไม่สมบูรณ์แบบ มองสิ่งที่ตอนไม่สามารถทำได้ให้เป็นแง่ลบ .... คุณไม่สมควรเป็นครู จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 00:35:54

ความคิดเห็นที่ 9 ^^ ^^ Anyway, you should never compare "medical doctors" to "high calibre people (w/o teaching qualifications) who can actually teach English". http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11580406/K11580406.html#11 Please read my story, you will see my point and may agree with Mr.fortuneteller. Although the person in question may not be a qualified teacher, yet people over in that forum see that person as the only real English GURU (I, myself, don't see how). จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 01:16:47

ความคิดเห็นที่ 10 มีแต่คนโง่กับคนที่ logicป่วยเท่านั้น ที่เทียบระหว่างวิชาชีพแพทย์ กับอาชีพครู เพราะมันคนละเรื่อง คนละราวกันเลย เพราะว่าแพทย์ เป็นวิชาชีพโดยเนื้อแท้ ที่คนจะเป็นแพทย์ได้ จะต้องได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเท่านั้น เช่นเดียวกับวิชาชีพนักกฎหมาย หรือวิชาชีพนักบัญชี ที่จะต้องได้ น.บ. หรือ บช.บ. เท่านั้น จึงจะประกอบอาชีพดังกล่าวได้ โปรดสังเกตว่าผมใช้คำว่า "วิชาชีพ"(profession) ไม่ใช่คำว่าอาชีพ(occupation) ส่วนอาชีพนั้น ใครๆที่มีความสามารถพอ ก็สามารถเป็นได้ คนที่ไม่ได้ปริญญาครุศาสตร์มาเลย แต่ถ้าภาษาอังกฤษดี ความรู้แน่นมาก ก็สามารถเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ และคนที่บอกว่าจะเป็นครูได้นั้น ต้องเรียนจบศึกษาศาสตร์มาเท่านั้น ผมถือว่ามุมมองแคบมาก ไม่สมควรเป็นครู เพราะการศึกษามีหลายแบบ การศึกษา โดยเฉพาะการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่ดำเนินคู่กับมนุษย์ไปตลอดชีวิต และไม่ได้เกิดในโรงเรียน การศึกษาในระบบจากคนที่เรียนจบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎนั้น เป็นเพียงการศึกษาสั้นๆในชีวิตเท่านั้น แต่การศึกษามันเกิดกับมนุษย์จนกว่าจะตาย ถ้าเราได้ความรู้ภาษาอังกฤษที่ดีมาก จากคนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์มา ผมก็นับเนื่องว่านั่นเป็นการศึกษา หรือการเรียนรู้ได้เช่นเดียวกัน กระบวนการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดในโรงเรียนเสมอไป และเมื่อกระบวนการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดในโรงเรียน ก็หมายความว่ามันสามารถเกิดนอกโรงเรียนจากคนที่ไม่ได้เรียนจบศึกษาศาสตร์มาได้เช่นเดียวกัน และอาชีพครูก็ไม่ใช่วิชาชีพโดยเนื้อแท้ของมันด้วย เพราะถ้าเป็นวิชาชีพโดยเนื้อแท้ จะต้องบังคับอย่างเด็ดขาดว่าคนที่จะประกอบอาชีพครูได้จะต้องจบศึกษาศาสตร์มาเท่านั้น แต่ที่เราเห็นในปัจจุบัน คือ -อาจารย์มัธยมรุ่นเก่าๆ เรียนจบอักษรศาสตร์ จุฬาฯ วิทยาศาสตร์ จุฬาฯ หรือคณะอื่นใดที่ไม่ใช่คณะศึกษาศาสตร์ คนพวกนี้สอนหนังสือได้ -ติวเตอร์เก่งๆ ที่เปิดโรงเรียนกวดวิชาซึ่งเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขออนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการอย่างถูกต้อง ก็ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์มา ทำไมพวกนี้ถึงสอนได้ และสอนดีกว่าครูในโรงเรียนด้วยซ้ำ ถ้าจะให้อาชีพครูเป็นวิชาชีพ ก็ต้องไล่ครูเก่าๆพวกนี้ออกให้หมด และปิดโรงเรียนกวดวิชาที่ครูไม่ได้จบศึกษาศาสตร์ให้หมดด้วย จากที่กล่าวมา พบว่า อาชีพครู ถูก "พยายาม" ยกระดับให้กลายเป็นวิชาชีพโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น และได้กีดกัน คนจบสาขาวิชาอื่นที่ไม่ใช่ศึกษาศาสตร์ไม่ให้มาประกอบอาชีพครูด้วยมูลเหตุจูงใจบางประการ ทั้งๆที่ตามธรรมชาติของอาชีพครูนั้น ใครๆที่มีภูมิความรู้แน่น ก็สามารถมาเป็นได้(อาจจะเป็นเพราะ คนที่จบสาขาวิชาอื่น มีความรู้ที่แน่นกว่าคนจบศึกษาศาสตร์ เปิดสอบทีไร อักษรศาสตร์ จุฬาฯ ก็คว้าไปกินหมด พวกราชภัฎก็ตกงานต่อไป เลยออกระเบียบตัวนี้ขึ้นมา เพื่อให้แข่งกันเองในหมู่คนจบศึกษาศาสตร์เท่านั้น) และผมในฐานะอดีตนักเรียน ขอบอกเลยว่า อยากได้ครูที่มีความรู้ทางวิชาการแน่น สอนหนังสือเก่ง มีความรู้ให้เรามากๆ มากกว่าครูที่ความรู้ไม่แน่น แต่อ้างว่ามีเทคนิคการสอนดี มีจิตวิทยา สร้างสื่อการเรียนการสอนได้ ฯลฯ เพราะผมรู้สึกว่ามันไร้สาระมาก คนที่ความรู้แน่นๆ สอนไปสักพักเค้าก็จะได้เทคนิคการเรียนการสอนเองนั่นแหละ ว่าสอนยังไงเด็กมันถึงจะเข้าใจ หัวใจของครู คือ มีความรู้ในเรื่องที่จะสอนเป็นอย่างดีนั่นแหละ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 01:45:25 A:58.9.150.115 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 11 .....ซ้ำลบออก... แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 02:08:18 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 02:07:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 02:07:05

ความคิดเห็นที่ 12 ตอบ คุณกุลรินทร์  คคห 8 ขอโทษทีที่เผอิญเรา "ไม่ได้พิมพ์ครบทุกคำ" แต่ "ละไว้ในฐานที่เข้าใจ" คำว่า "โปรดไปตามพวกคนที่จบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎ แล้วมีใบอนุญาตครู แล้วก็เรียนต่อปริญญาโท กับปริญญาเอกเพื่อปรับอัตราเงินเดือน ที่มีอยู่ล้นประเทศไทย ซึ่งกำลัง ผูกขาดการสอนในประเทศไทย ให้มาช่วยแก้ปัญหาอันนี้แทน" ^ จริงๆแล้ว (ถ้าจะพิมพ์ให้ครบทุกคำ) เราต้องพิมพ์ว่า โปรดไปตามพวกคนที่จบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎสาขาเอกการสอนภาษาอังกฤษ แล้วมีใบอนุญาตครู แล้วก็เรียนต่อปริญญาโท กับปริญญาเอกเพื่อปรับอัตราเงินเดือน ที่มีอยู่ล้นประเทศไทย ซึ่งกำลัง ผูกขาดการสอนในประเทศไทย ให้มาช่วยแก้ปัญหาอันนี้แทน จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 02:09:38

ความคิดเห็นที่ 13 ตอบ คุณกุลรินทร์  คคห 8 เราตอบไปทีแรก เผอิญยังไม่ได้ตอบเรื่องที่คุณพูดว่า "ถ้าคุณรักที่จะเป้นครู ทำไมไม่เรียนครูละ หรือ ไปสอบวัด 9 มาตราฐานเพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครูก็ได้"... แล้วที่คุณมาสรุปด้วย lame logic (ตรรกะแบบเป๋ๆ) ว่า "ถ้าคุณคิดแบบที่คิดบอกมา ผมว่าดีแล้วที่คุณไม่ได้เป้นครู เพราะ พฤติกรรมของคุณ มันไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมใหกับเดด็ก แต่จะสอดแทรก วุฒิภาวะที่ไม่สมบูรณ์แบบ มองสิ่งที่ตอนไม่สามารถทำได้ให้เป็นแง่ลบ .... คุณไม่สมควรเป็นครู" ก่อนอื่นขอบอกให้คุณกลับไปตีความ คคห 4 ของเราใหม่ให้ดีๆ สิ่งที่เราพูดไม่ได้ตีความว่า "ตอนนี้เราอยากเป็นครู" หากแต่ เราอยากจะ "ท้าพิสูจน์" นโยบาบทางการศึกษาในการเลือกครูว่า "มันถูกหรือมันผิดกันแน่ แล้วชวนให้ผู้คนเป็นจำนวนมากฉุกคิดต่างหาก" การที่คุณแนะนำให้เราไปสอบวัด 9 มาตราฐานเพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครู มันไม่ได้พิสูจน์กันแบบเห็นดำเห็นแดงกันในระดับประเทศในเรื่อง "หลักประกันความน่าเชื่อถือของใบประกอบวิชาชีพครู" เรามีข้อเสนอที่ดีกว่านี้ คุณอยากจะรับคำท้าไหมล่ะ ถ้าคุณมาประนามเราเพราะคุณเป็นครูที่ไม่เก่งในระบบ ข้อเสนอของเราก็คือ ให้พวกครูสอนภาษาอังกฤษที่จบราชภัฎและมีใบอนุญาตครู จัดตั้งทีมครูสอนภาษาอังกฤษเข้ามาแข่งขันกัน (ให้คุณกุลรินทร์  เป็นหัวหน้าทีม หรืออธิการบดีมหาลัยราชภัฎ หรือรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา เป็นหัวหน้าทีม ก็ได้)  ส่วนทางทีมเรา เราจะเป็นหัวหน้าทีม แล้วเราจะไปเก็บคนไทยที่ทำงานในต่างแดนมานานหลายปี แต่ไม่มีปริญญาเลยสักใบ (แต่พวกเขาอยากกลับมาเมืองไทย แต่ไม่กล้ากลับมาเพราะกลัวตกงาน เนื่องจากไม่มีเศษกระดาษไปสมัครงาน...เราเคยเห็นคนไทยทำงานเป็นยามในโรงแรม ไม่จบปริญญาแต่เขียนภาษาอังกฤษเก่งกว่าคนไทยด้วยกันที่จบปริญญาทางด้านภาษาอังกฤษ) ^ เราเอาจะเอาคนไทยไร้ปริญญาในต่างแดนพวกนี้มาตั้งทีมครูสอนภาษาอังกฤษทางฝั่งเรา แล้วเราจะฝึกอบรมคนไทยพวกนี้เรื่องการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ด้วยตัวเราเอง คุณทายสิว่าเราจะใช้ความรู้ที่ไหนไปอบรมพวกเขา? "ก็ความรู้ที่เราได้จากพวกฝรั่งเจ้าของภาษาไร้ปริญญา ที่เป็นนักคิด นักค้นคว้า พวกนั้น ที่เก่งระดับ born teachers (สวรรค์ส่งมาเกิดเป็นครูแท้ๆ) ที่เราเคยทำงานร่วมกับพวกเขา และเข้า workshops ร่วมกับพวกเขามานั่นแหละ ซึ่งฝรั่งเก่งๆพวกนี้สอนวิธีเขียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ สอนวิธีสร้างสื่อการสอน สอนวิธีวัดผล และสอนวิธีแก้ปัญหาในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยให้เรามาแล้วหลายท่าเพลง ก่อนที่พวกเขาจะโดนไล่ออกนอกประเทศไทยไปหมดแล้วเพราะหน่วยงานการศึกษาไทยไม่ต่อ work permit ให้พวกเขาเพราะพวกเขาไม่มีปริญญานั่นแหละ" ^ เราขอเวลาเรา แค่ 6 เดือน เพื่ออบรมครูคนไทยไร้ปริญญาของเรา (แต่มีประสบการณ์ด้านภาษาอังกฤษเพียบจากต่างแดน) แล้วให้ทีมครูสอนภาษาอังกฤษที่จบจากราชภัฎและมีใบอนุญาตครู  (ที่เรียนครูมาตั้ง 4 ปี) มาสอนภาษาอังกฤษแข่งกับทีมเรา เอาแบบรู้แพ้รู้ชนะกันให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย  แข่งออกทีวีกัน แล้วเอาเด็กนักเรียนกับผู้ปกครองดูแล้วให้คะแนนกันแบบโปร่งใสไปเลย และออกสนามสอนเด็กนักเรียนกันจริงๆในห้องเรียนจริงๆแข่งกันด้วย แล้วเอาศิษย์ของครู 2 ทีมที่แข่งกัน มาแข่งภาษาอังกฤษกันอีก โดยให้ศิษย์ไปสอบข้อสอบที่ไม่ลำเอียง เช่นข้อสอบภาษาอังกฤษของต่างประเทศเป็นต้น แล้วมาดูว่าศิษย์ใครจะเก่งกว่ากัน คราวนี้เราจะได้พิสูจน์กันให้เห็นจริงในระดับประเทศว่า "ใบอนุญาตครูมันไม่มีหลักประกันว่าผู้ถือใบอนุญาตครูจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการสอนวิชาเอกของเขาเสมอไป แต่ในทางกลับกันมันเป็นการผูกขาดให้แก่คนกลุ่มน้อยที่ไม่เก่ง อีกทั้งมันยังถ่วงความเจริงของประเทศชาติ" ^ มันไม่ต่างอะไรไปจากการที่ค่ายมวยไทยเขาจ้างอดีตมวยไทยมืออาชีพมาเป็น trainer สอนมวยไทย ไม่ใช่ไปจ้างคนจบปริญญาตรีพละศึกษา (ซึ่งก็เรียนมวยไทยมาเหมือนกัน) แล้วไปสอบวัด 9 มาตราฐานเพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครูมาสอนนักมวยระดับมืออาชีพ ตกลงการที่เรา challenge (ท้าทาย) นโยบายการศึกษาของไทยแบบนี้ มันก็เป็นหนึ่งในแนวคิดอันหลากหลายที่ น่าจะต้องได้รับการพิสูจน์กัน ถ้าฝ่ายตรงข้ามเราเถียงว่าใบประกอบวิชาชีพครูมันดีจริง ^ แต่คุณคุณกุลรินทร์  ใช้วิธีคิดแบบไหน (ระบบตรรกะชำรุดหรือเปล่า?) ถึงมาสรุปได้ว่า "เราไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมให้่กับเด็ก....บล๊าบๆๆ และเราไม่สมควรเป็นครู" ^ แสดงว่าคุณสอบตกวิชา elementary logic (หรือไม่ก็ไม่เคยเรียน) เพราะคุณไม่รู้ความแตกต่างระหว่าง some กับ all คุณถึงคิดในมุมมองกลับกันไม่เป็น เช่น คุณมีหลักประกันอะไรว่า "ครูทั้งหมด (ทั้งหมด = all) ที่มีใบอนุญาตครูจะปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กและจะสมควรเป็นครูเสมอไป" ^ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้เราไปกับแฟนเราแล้วไปเจอพวกเพื่อนๆเธอ แล้วคุยกันเรื่องเรียนภาษาฝรั่งเศส เพื่อนแฟนเราเล่าให้ฟังว่า เจอมาจะๆเลย ครูสอนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนที่หลานเธอเรียน "กั๊กวิชาไว้" ไม่ยอมสอนวิธีผันกริยาให้เด็ก แล้วชวนเด็กมาเรียนพิเศษตอนเย็นๆ เด็กคนไหนมาเรียนด้วยถึงสอนให้หมดเปลือก โธ่ๆๆๆ ถ้าสอนภาษาตระกูลยุโรปแบบนี้แล้วไม่สอนผันกริยา เด็กมันจะไปรอดหรือ? แค่ใช้เหตุผลคุณก็ยังใช้ไม่เป็น ได้แต่เข้ามาประนามเรา คงเป็นเพราะคุณโมโหที่เราพูดแทงใจดำนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 08:09:05 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 08:04:01

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ fortuneteller ระวังโดนถล่มนะครับ อิอิ อันนี้ไม่ได้ว่า จขกท นะครับ ว่า เป็นครูภาษาไทย ก็ควรจะฟังพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้บ้างนะครับ อย่างน้อย จขกท ก็ผ่านการศึกษาชั้นมัธยมและอุดมศึกษามาแล้ว การแต่งประโยคง่ายๆภาษาอังกฤษควรทำได้บ้างครับ Good morning, my beloved student. Today is a Wednesday,18 January 2012.I'm....... from class 2/3 . i wish you all happy for this week and pay attention in class . thank you   ง่ายสุดสำหรับภาษาพูดละฮ่ะ จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 08:58:48

ความคิดเห็นที่ 15 อ้า เพิ่งเจอกระทู้นี้น่าตื่นเต้นแฮะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11583012/K11583012.html ^ ท่าน Tony Blair จะมาเยือนไทย และจะมาสอนภาษาอังกฤษให้เด็กในโรงเรียนรัฐด้วย ^ คุณ กุลรินทร์  รีบไปดักเจอท่าน Tony Blair แล้วไล่ให้ท่านไปสอบวัด 9 มาตราฐานเพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครูด้วยดิ บอกท่านว่านี่เป็นกฎระเบียบด้านการศึกษาของไทย...ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 09:17:01

ความคิดเห็นที่ 16 แนะนำว่า จงพูด สิ่งที่นักเรียนฟัง แล้วเข้าใจ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะพูดให้ครบ 5 นาที โดยที่นักเรียนหน้าเสาธง หรือ แม้กระทั่งตัวเอง ยังไม่เข้าใจว่าพูด( หรือท่อง หรือ อ่านสคริป)อะไรออกไป จากคุณ : karawara เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 09:37:00

ความคิดเห็นที่ 17 แนะนำว่าไปขอให้ครูสอนภาษาอังกฤษช่วยนะครับ แต่งประโยคสั้นๆง่ายๆ เขาน่าจะช่วยได้ เพราะกระทู้ได้กลายเป็นดราม่าไปแล้ว จากคุณ : Big Fan เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 10:51:17 A:158.108.25.143 X: TicketID:345270

ความคิดเห็นที่ 18 Loooool This topic sounds interesting for me actually :D จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 11:19:40

ความคิดเห็นที่ 19 ขอโทษนะครับ fortuneteller  รู้สึกคุณจะจ้องโจมตีแต่ คนจบ ราชภัฎ  นะครับ ผม ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้จบราชภัฏ จบ ศึกษาสาสตร์ จากมหาวิทยาลัยของรัฐ จากที่เรียนมา ไม่ได้ เรียนเฉพาะ วิชาเอก เท่านั้น แต่ วิชาที่เน้นให้จบ ห้า ปี มันเพิ่มมาอีก 1 ปี เพิ่มคุณธรรมวิชาชีพด้วย และ ฝึกสอนเพิ่มอีก 1 เทอม เพื่ออะไร คุณคงเข้าใจและคิดเองได้นะครับ ส่วน ที่คุณบอกว่า อาจารย์ ที่ไม่ได้จบ ศึกษาศาสตร์โดยตรง ยังสอนได้   ถูกครับ เห็นด้วย ที่สอนได้ แต่ คุณไม่ได้ศึกษาเหรอครับ ว่า เขาต้องไปสอบ 9 มาตราฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพ กรณีวิชาชีพแพทย์ กับ วิชาชีพครู ผมยกตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบครับ ไม่ใช่ เอามาเทียบกันจริงๆ อันนี้อยู่ในหลักสูตร ความรู้คู่คุณธรรมความเป้นครู  ลองศึกษา รายวิชาของคณะศึกษาศาสตร์ ของแต่ละมหาวิทยาลัย อย่าเน้นแต่ ราชภัฎ (กลัวคุณลืมว่า คณะศึกษาศาสตร์ไม่ได้เป็นหลักสูตรที่สอนแค่ ราชภัฎ มีอีกหลายมหาลัยที่สอนครับ) ถ้าคุณสอนได้ คุณก็ไปสอบ 9 มาตราฐานให้ผ่าน กรณี บางคนมีประสบการ สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ ผมก็เห็นด้วย แต่คุณคิดในแง่ความรู้สึกเด็กไหม คนไม่จบ ป.ตรี มาสอนเขา ทั้งเด็กและผู้ปกครอง จะคิดยังไง ผมไม่ได้บอกว่าคุณผิด หรือผมถูกนะครับ ผมมองอย่างเป็นกลาง ไม่อยากให้มีอคติกับ วิชาชีพครู ถ้าครูคนไหนสอนไม่รู้เรื่อง หรือทำตัวไม่ดี อยากให้คุณ ว่ากล่าว แค่ตัวบุคคล ขอออกตัวก่อนนะครับ มันเป็นแค่ ความคิดของผม ซึ่งเป็นบุคคลคนเดียว ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ แค่อยากแสดงความคิดเห็น ถ้าความคิดผมถูก ก็อยากให้คุณปรับทรรศนคติ แต่ถ้า มันดูแย่มากๆ ผมก็ขอโทษคุณ fortuneteller มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 12:20:09

ความคิดเห็นที่ 20 อยากให้ใช้ตรรกะ คุยกันนะครับ อย่าใช้อารมณ์ และการประชดประชันครับ ถ้าผมแสดงความคิดเห็นที่ทำให้คุณไม่พอใจ แล้วสรรหา ข่าวอื่น หรือบุคคลอื่นมากระทบ ผมก็ขอโทษด้วยครับ และ ผมคงไม่ต่อเติมเสริมอะไรในกระทูนี้แล้ว ขอโทษคุณ fortuneteller ด้วยนะครับ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 12:44:49

ความคิดเห็นที่ 21 แนะนำ จขกท ว่า ปรึกษาครูภาษาอังกฤษที่ รร. (เพื่อน ๆ จขกท ) หนะคะ และใช้ประโยคง่าย ๆ  ที่เด็ก  ๆ ฟังแล้วพอจะเข้าใจ   อาจใช้การแลกเปลี่ยน หรือถามความเห็น เป็นประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ  แป๊บเดียวก็  5 นาทีแล้วค่ะ สู้สู้ค่ะ จากคุณ : InfernoST เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 13:06:43

ความคิดเห็นที่ 22 กลายเป็นดราม่าวันครูไปสะแล้ว แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 13:28:51 จากคุณ : rodia เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 13:20:47

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่ควรใช้ศัพท์ยาก พูดเพื่อให้เด็กคุ้นเคยภาษา ระยะแรก นิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว จากคุณ : thampitak 33 เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 13:28:05

ความคิดเห็นที่ 24 "กรณีวิชาชีพแพทย์ กับ วิชาชีพครู ผมยกตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบครับ ไม่ใช่ เอามาเทียบกันจริงๆ" มันหมายความว่ายังไงไม่ทราบครับ ยกเอามาเปรียบเทียบ แต่ไม่ได้เอามาเทียบกันจริงๆ ผมอ่านสิ่งที่คุณเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องนะ ถ้าไม่อยากเอามาเทียบกันจริงๆ ก็ไม่ควรยกมาเปรียบเทียบแต่แรกด้วยซ้ำ ผมว่าระบบความคิดคุณป่วยจริงๆนะ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:05:35 A:115.87.164.127 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 25 "กรณีเดียวกับหมอ ก็เหมือนกัน มีคนบอกว่า รู้เรื่องผ่าตัดดี แต่ไม่ได้เป้นหมอ ถ้าเป็นคุณ คุณป่วยต้องผ่าตัด คุณจะ ยอมให้คนนั้นผ่าไหม" ข้อความนี้ หมายถึงว่า คนไม่ได้เป็นหมอ จะให้มารักษาก็ไม่ได้ กรณี เดียวกัน ครู ที่ไม่ได้ ผ่านการศึกษาในคณะ ศึกษาฯ หรือ ครุฯ (หรือคนที่จบสาขาอื่น ก็ต้องสอบ 9 มาตราฐาน ตามกฏของกระทรวงศึกษาฯ)   เปรียบเทียบอย่านี้ครับ แต่ละวิชาชีพ ไม่ว่าจะแพทย์ วิศวะฯ หรืออะไรต่อมิอะไรมากมาย มันเทียบกันไม่ได้ครับ เพราะมันคนละสาขา แค่ยกตัวอย่างแบบนี้ ระบบความคิดผมอาจจะป่วยอย่างคุณว่าก็ได้ ผมจะพยายามปรับปรุงตัวครับ ขอบคุณที่แนะนำ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:35:46

ความคิดเห็นที่ 26 ที่คุณกุลรินทร์พูดว่า "คุณไม่ได้ศึกษาเหรอครับ ว่า เขาต้องไปสอบ 9 มาตราฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพ" ^ ในอารยประเทศที่ไหนไม่มีใครเขาสร้างกฎระเบียบแบบนี้ ถ้าคนจบราชภัฎเป็นจำนวนมากไปเป็นใหญ่ในประเทศ Greece แล้วไปก่อตั้งกระทรวงศึกษาธิการที่นั่น แล้วกดดันรัฐบาล Greece ให้ออกกฎหมายใบอนุญาตครูเพื่อปกป้องไม่ให้คนเก่งๆมาแย่งงานพวกเขา พวกเราก็จะไม่ได้เห็นผลงานของ Socrates, Plato และ Aristotle ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตก และที่เราเอ่ยถึงราชภัฎนั่นก็เพราะว่ามหาลัยนี้  ผลิตครูจนล้นประเทศ แต่ไม่ได้ช่วยพัฒนาประเทศชาติเลย มหาลัยนี้มาจากวิทยาลัยครู ซึ่งลูกพี่ลูกน้องเราที่เป็นชาวสวนชาวไร่ ทั้งฝั่งพ่อและแม่เรา จำนวนหลายร้อยคน ต่างก็ต้องทิ้งไร่นาสวนเพื่อมาเรียนให้ได้ปริญญาตรี เพราะนโยบายรัฐบาลไม่ช่วยให้เกษตรกรให้ร่ำรวยเหมือน farmers ในประเทศที่เจริญแล้ว และลูกพี่ลูกน้องเราเกือบทุกคนที่ไม่มีหัวสมองด้านวิชาการ (เพราะเติบโตมาแบบลูกชาวสวนชาวนา) แทนที่จะไปทำไร่ทำนาให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ทุกคนต่างก็ต้องเช้า กทม เพื่อเรียนเอาปริญญาตรี และทุกคนเลือกวิทยาลัยครูซึ่งสมัยนี้ก็เป็นเลือกราชภัฎหมด เพราะเขามีไว้รองรับคนที่เรียนไม่เก่ง และไม่มีสมองทางด้านวิชาการ ให้เรียนเอาปริญญามาเพื่อไม่ให้ต้องกลายเป็นชาวสวนชาวไร่ชาวนานั่นเอง  ทั้งๆที่นโยบายรัฐมันควรส่งเสริมเกษครกรรมให้เกษตรกร มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ และบ่อยครั้งที่ในงานชุมนุมญาติ ลูกพี่ลูกน้องเราก็ไปพบปะกัน แล้วปรับทุกข์กันและกันว่า "เป็นครูแต่ก็ไม่รู้เรื่องวิชาที่ตัวเองสอน จะอยู่รอดได้ก็อีกตรงโดนย้ายไปไกลๆแล้วก็หาสินค้าต่างถิ่นข้ามถิ่นไปขายให้มีรายได้พิเศษ หรือจะเลื่อนตำแหน่งก็ต้องทำอะไรให้เจ้านายพอใจตามระบบแบบไทยๆ" นโนบายผูกขาดอาชีพครูให้คนจบจากมหาลัยที่ผลิตครูจนล้นประเทศ แบบนี้ไม่เป็นผลดีแก่ประเทศชาติเลย เพราะแม่พิมพ์ของชาติส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่เก่งวิชาที่ตัวเองสอน เพราะ "กฎหมายใบอนุญาตครูปิดกั้นการแข่งขันกันโดยเสรี" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:48:27

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 4     จริงๆแล้วเราก็อยากจะไปช่วยสอนให้นะ คือเราฟังพูดอ่านเขียนอังกฤษได้คล่อง ขอบคุณแทนเด็ก อยากแนะนำให้คุณไปสอบ 9 มาตราฐาน http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/news/detail.php?NewsID=2583&Key=hotnews   มีสอบทุกปีครับ ถ้าผ่าน คุณก็สามารถทำอย่างที่คุณตั้งใจไว้ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณ เพราะทักษะของคุณ ผมคิดว่าอยู่ในระดับดี ส่วนการสอบเพื่อทำงานในสายที่คุณมีทักษะและความถนัด คงไม่ใช่เรื่องยาก จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:51:57

ความคิดเห็นที่ 28 ถาม ข้อเดียว คุณ อยู่ในประเทศอะไร ไม่คิดจะทำตามกฎหมายของประเทศนั้นเหรอ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:52:40

ความคิดเห็นที่ 29 คุณอย่าเหมารวมว่า คนของราชภัฎ ทั้งหมดสิครับ ถึงผมไม่ได้จบราชภัฎ มาก็จริง แต่อาจารย์ที่สอนผมทั้ง ป.ตรี และป.โทร ท่านก็จบราชภัฎ คนที่เรียนครู จากราชภัฎ ใช่ว่าจะไม่พัฒนาทุกคนเสียเมื่อไหร่ละครับ คนดีๆ ที่ทำดี มีผลงานก็เยอะ อย่าว่าอย่างงั้นเลย ถึงผมจะป่วยทางด้านความคิด อย่างที่คุณว่า แต่ผมไม่เคยดูถูกคน จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:54:46

ความคิดเห็นที่ 30 "เป็นครูแต่ก็ไม่รู้เรื่องวิชาที่ตัวเองสอน จะอยู่รอดได้ก็อีกตรงโดนย้ายไปไกลๆแล้วก็หาสินค้าต่างถิ่นข้ามถิ่นไปขายให้มีรายได้พิเศษ หรือจะเลื่อนตำแหน่งก็ต้องทำอะไรให้เจ้านายพอใจตามระบบแบบไทยๆ" มันก็จริงอย่างคุณว่า ระบบราชการ ไม่เฉพาะครู อาจจะมีแบบนี้ให้เห็น แต่ กมฺมุนา วตฺตตีโลโก ครับ สัตว์โลกย่อมเป้นไปตามกรรม ใครที่ไม่มีความสามารถจริง อยู่ได้ไม่นานหรอกครับ เพราะ ครู ไม่ได้แค่สักแต่สอน ต้องมีผลงาน มีการประเมินจาก ระดับผู้บริหาร เช่นเดียวกับ หน่วยงานราชการอื่นๆ หรือ บริษัทเอกชนอื่นๆ นี่เขาเรียว่า การตรวจสอบภายใน จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 14:57:41

ความคิดเห็นที่ 31 ขอยกมือสนับสนุนประเด็นว่าคนจะเป็นครู-อาจารย์  ควรจบคุรุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษหน้าเสาธง ก็อย่างคห.ด้านบนครับ คุณครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียน คงยินดีที่จะช่วยท่านเจ้าของกระทู้ครับผม จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 15:14:17

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ คุณ คุณกุลรินทร์ (ต่อ) เมื่อหลายปีมาแล้วเราไปพบ "ของจริง" ที่น่ากลัวมากๆ คือเราไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งแถวๆ Siam Square ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนเป็นฝรั่งชาวอังกฤษ เขาพูดอังกฤษกับเราแล้วคอยจับตาเงี่ยหูฟังความคล่องตัวในการสื่อสารของเรา แล้วเขาเอา essay ของนักศึกษาปริญญาเอกวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าในมหาลัยปิดชื่อดัง มาให้เรา edit (ตรวจแก้) เขาอธิบายให้เราฟังว่านักศึกษาปริญญาเอกคนนี้เรียนไม่จบเพราะเขียนภาษาอังกฤษไม่ผ่าน เขาก็เลยให้เรานำงาน edit ส่งกลับไปให้เขาดูพร้อมกับ แผนการสอนของเรา (ที่เราต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษมาหมด) โดยต้องเขียนอธิบายว่านักศึกษาคนนี้เขียนภาษาอังกฤษได้ระดับนี้ เราจะ 1. วางแผนการสอนเขายังไง 2. สร้างสื่อการสอนเขายังไง 3. วัดผลเขายังไง เราออกแรงคิดและเขียนภาษาอังกฤษไปเยอะมากๆ ซึ่งเราเชื่อว่า "ยากกว่าสอบ 9 มาตราฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครู (ที่คุณแนะนำมา) ตั้งหลายเท่า" ^ ซึ่งเราก็ทำได้สำเร็จ และได้งานไปทำ และเราก็กล้าท้าพนันด้วยว่าคนเรียนศึกษาศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษ ที่มีใบอนุญาตครู ไม่ว่าจะจบมหาลัยไหนก็ตาม ไม่ใช่จะผ่านการทดสอบแบบโหดๆแบบนี้กันง่ายๆนะ แล้วเราก็ตกตลึงคิดว่า "วิธีการทดสอบครูแบบที่ฝรั่งชาวอังกฤษคนนี้ทำ" มันเอาไปทดสอบครูสอนวิชาอื่นได้หมดไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ฯลฯ เราจึงคิดว่าทำไมประเทศไทยเราไม่ทำอะไรที่มัน practical and realistic แบบนี้บ้างล่ะ? ^ แล้วก็คิดไกลต่อไปอีกว่า "โหถ้าเอาฝรั่งชาวอังกฤษคนนี้มานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาของไทยนะ พวกเราชาวไทยอาจได้เห็นอะไรแปลกๆใหม่ๆ แบบ "ผ่าเหล่าผ่ากอ" กันก็ได้ ใครจะไปรู้...คนเราจะคิดอะไรระดับมันสมองหรือระดับพัฒนาประเทศชาติ มันต้องคิดไปไกลกว่า "สอบ 9 มาตราฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครู" อีกตั้งหลายๆเท่า!  อีกทั้งพวกเราก็ต้อง พยายามตีความให้ได้ว่า "กฎหมายใบอนุญาตครูมันมีไว้ปกป้องใคร"" เพราะว่าเราเคยเห็น ข้อสอบ 9 มาตราฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครู ของไทยมาแล้ว (มีคนเอามาแปะให้ดูใน pantip) และเราคิดว่า "มันเป็นอะไรที่ไร้สาระเอาเสียมากๆเลยหละ" มันเป็นข้อสอบปรนัยที่ "ผู้เข้าสอบต้องตอบตามใจคนออกข้อสอบ" ^ ซึ่งเราท้าพนันว่าคนเรียนไม่จบปริญญาตรี แต่ iq สูงๆ แล้วคิดอะไรด้วยสมองพลิกแพลงแหกคอกจนประสบความสำเร็จ อย่าง Bill Gates หรือ Steve Jobs (สมมุติว่าถ้าอ่านภาษาไทยได้แตกฉานนะ) มาทำข้อสอบ 9 มาตราฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครู ก็คงสอบตกกันหมด...ให้ตายสิ...! ส่วนถ้าเราใช้ถ้อยคำรุนแรงให้คุณโกรธนะ เราก็ต้องขอโทษด้วย เพราะเราก็ยังงงๆอยู่ว่าเราแค่แสดงความคิดเห็นว่า "วิธีการคัดเลือกครูในระบบการศึกษาไทยมันผิดปกติอะนะ" ^ แต่คุณใช้ logical reasoning อะไรมาสรุปได้ว่า "เราขาดจรรยาบรรณ ไม่เหมาะแก่การเป็นครู ทั้งๆที่เราก็ไม่อยากเป็นครูในระบบ เพราะเราทำงานอื่นได้ค่าตอบแทนสูงกว่าตั้งหลายเท่า!" แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 15:35:33 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 15:30:16 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 15:26:15

ความคิดเห็นที่ 33 กฏกติกา ยังไม่ยอมรับ  ก็ไม่เหมาะแล้วครับที่จะเป็นครูบาอาจารย์ไปสอนคนให้เป็นคน จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 16:20:42

ความคิดเห็นที่ 34 ^ ^ ^ ก่อนอื่นคุณต้องใช้ logic เพื่อพิจารณาว่า เรื่องที่เราพูดคือ "กฎกติกามันผิดเพราะมันเป็นการผูกขาดเพื่อเอื้อประโยชน์คนบางกลุ่ม และสังคมสมควรพิจารณายกเลิกกฎกติกานั้นเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม" ^ มันเป็นแนวคิดที่ผิดหรือถูกเสียก่อน โดยให้ valid and sound arguments (ข้อโต้แย้งที่ใช้การได้และสมเหตุผล)  คุณถึงจะ draw conclusion (สรุป) ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามหลักวิชา logic ^ เราเพียงแค่เริ่มต้นถกว่า "ใบอนุญาตครูพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าผู้ถือใบอนุญาตครูมีความรู้ในวิชาที่ตนเองสอน และมีจรรยาบรรณจริงๆสมดังคำอ้าง (โดยต้องแยกแยะการใช้คำว่า some กับ all ในวิชา logic)" แต่อยู่ดีๆคุณมาด่วนสรุปว่า "กฏกติกา ยังไม่ยอมรับ  ก็ไม่เหมาะแล้วครับที่จะเป็นครูบาอาจารย์ไปสอนคนให้เป็นคน" ^ มันเป็นการคิดของคนที่ใช้ lame logic (ระบบตรรกะที่ป่วย) อย่างแรง โปรดตื่นจากความฝันได้แล้ว! จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 18:28:48

ความคิดเห็นที่ 35 เห็นด้วยกับ น้องเล็ก Soi 1 สรุป ถ้าคุณบอกว่า สิ่งที่คุณ ทำ มันดีกว่า และยากกว่า การสอบวัดมตราฐานของครู ทำไมคุณไม่สอบมาตราฐานของครูให้ได้แล้ว เข้ามาสอนในระบบ แล้วสร้างสิ่งดีๆ ให้การศึกษาของไทย ที่คุณบอกว่า ยังไม่ดีพอ ถ้าอ้างว่าไม่มี วุฒิ ป.ตรี มันไม่ใช่นะครับ ขนาด ป.ตรี ยังไม่สำเร็จ จะเอาวิชาอะไรไปสอน การเรียนในความหมายคุณคืออะไร ครับ การเรียน ไม่ใช่เรียนแค่สอนเด็ก ให้เก่งแกรมม่า พูดอังกฤษเป็นสำเนียงอังกฤษจ๋า แต่การเรียน ต้องสอดทรด จริยธรรม คุณธรรมไปด้วย คนที่มีใจรักจะเป็นครูที่ผมเห็นมา เขาก็ไปสอบวัดมาตราฐานกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่มาฝันลมๆ แล้งๆ แต่ไม่ลงมือทำ แล้วมานั่งโทษระบบว่า เอื้อประโยชน์ ให้กับกลุ่มคน แบบนี้ผมว่าไม่ถูกนะ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 18:35:14

ความคิดเห็นที่ 37 ที่ คุณ กุลรินทร์ พูดใน คคห 35 "สรุป ถ้าคุณบอกว่า สิ่งที่คุณ ทำ มันดีกว่า และยากกว่า การสอบวัดมตราฐานของครู ทำไมคุณไม่สอบมาตราฐานของครูให้ได้แล้ว เข้ามาสอนในระบบ แล้วสร้างสิ่งดีๆ ให้การศึกษาของไทย ที่คุณบอกว่า ยังไม่ดีพอ" ^ ในมุมมองกลับกัน ถ้าคุณคิดว่าคนจบศึกษาศาสตร์แล้วมีใบอนุญาตครูเก่งพอที่จะผ่านการทดสอบแบบที่เราผ่านได้ใน คคห 32 ทำไม่ไม่ลองไปทดสอบดูล่ะ ที่คุณพูดว่า "ถ้าอ้างว่าไม่มี วุฒิ ป.ตรี มันไม่ใช่นะครับ ขนาด ป.ตรี ยังไม่สำเร็จ จะเอาวิชาอะไรไปสอน การเรียนในความหมายคุณคืออะไร ครับ" ^ ก็เรียนด้วยตัวเองยังไงล่ะ คุณไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่า Thomas Edison เรียนหนังสือที่โรงเรียนไม่รู้เรื่อง แล้วแม่เลยรับมาสอนเองที่บ้าน แต่ Thomas Edison ใช้ความเพียรพยายามค้นคว้าด้วยตัวเอง โดยการทดลองพันธ์ไม้กว่า 6000 ชนิตกว่าจะรู้ว่าจะต้องใช้สารอะไรสร้าง fillament (ไส้หลอดไฟฟ้า) ได้สำเร็จ  คุณไม่รู้หรอกว่าเราใช้ความเพียรพยายามมากแค่ไหนที่จะค้นคว้าเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยเป็นการส่วนตัว "เพราะความอยากรู้อยากเห็นโดยเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เพราะอยากเอาวุฒิไปปรับอัตราเงินเดือน" ^ ครอบครัวเรามีอันจะกิน เราอยู่เฉยๆไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปสอบสอบ 9 มาตรฐาน เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพครู เราก็อยู่ได้แบบสบายๆ และสิ่งที่เราเรียนรู้และค้นคว้าได้ใหม่ๆอยู่เสมอ เราก็เก็บไว้ใช้ประโยชน์กับตัวเอง   "ชีวิตเราทุกวันเราเป็นครูสอนตัวเอง" ^ นี่คือหัวใจของความเป็นครูโดยแท้จรึง นั่นก็คือ "ใฝ่รู้" เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปก้มหัวให้ระบบใบอนุญาตครู เรามีแต่ได้ ไม่มีเสีย ระบบที่ไม่ให้โอกาสเราต่างหากที่มีแต่จะเสียผลประโยชน์ เพราะจะไม่มีทางได้เห็นมิติใหม่ๆในเรื่องการเรียนการสอน ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองโดยไม่มีปริญญาและมีความเชี่ยวชาญพอที่จะอบรมครูสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยให้เป็นครูที่เก่งกว่านี้ได้ ทำไมคุณไม่รับคำท้าเราใน คคห 13 ล่ะ? ที่คุณพูดว่า "การเรียน ไม่ใช่เรียนแค่สอนเด็ก ให้เก่งแกรมม่า พูดอังกฤษเป็นสำเนียงอังกฤษจ๋า แต่การเรียน ต้องสอดทรด จริยธรรม คุณธรรมไปด้วย" ^ มาอีกแล้ว fallacy (ทุตรรกบท) อันเดิม คุณพยายามพูดให้คนที่ระบบตรรกะชำรุดหลงเข้าใจผิดว่า เราจะต้องเป็นแบบที่คุณว่า "คุณพูดเองเออเองหมด" ทั้งๆที่ "ครูที่มีใบอนุญาต (บางคน = some) ก็อาจสอนเด็ก แล้วไม่เก่งแกรมม่า พูดอังกฤษเพี้ยนฟังไม่รู้เรื่อง และไม่มีปัญญาสอดแทรก จริยธรรม คุณธรรมไปด้วย" ^ คิดแค่นี้คิดไม่เป็นหรือ นี่มันก็เป็นเรื่อง การแยกแยะระหว่างความหมายของคำว่า some กับ all ในวิชา logic อีกนั่นแหละ ที่เราพยายามพร่ำสอนคุณ แต่คุณก็ยังเป็นบัวใต้น้ำโดนโคลนปิดมิดไว้เสียอีกจนมองไม่เห็นทางสว่าง! ที่คุณพูดว่า "คนที่มีใจรักจะเป็นครูที่ผมเห็นมา เขาก็ไปสอบวัดมาตราฐานกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่มาฝันลมๆ แล้งๆ แต่ไม่ลงมือทำ แล้วมานั่งโทษระบบว่า เอื้อประโยชน์ ให้กับกลุ่มคน แบบนี้ผมว่าไม่ถูกนะ" ^ มาอีกแล้ว lame logic กฎระเบียบนี้มีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น และประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นต้นแบบอารยธรรมทางด้านศึกษาศาสตร์ ทำไมเราถึงจะแสดงความคิดเห็นต่อต้านระบบเลวๆนี้มันไม่ได้ล่ะ?  และเราก็ท้าพิสูจน์ความสามารถจริงในความรู้ความเชึ่ยวชาญในวิชาที่จะสอนไปแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมรับคำท้า แต่ชอบเบี่ยงประเด็น ^ การศึกษาในระบบทำให้คุณคิดในกล่องแบบนี้ และลวงโลกขนาดนี้เชียวหรือ? แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 19:24:53 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 19:20:26

ความคิดเห็นที่ 38 ใครมันจะเอาคน จบ ม.6 มาสอนหนังสือละครับคุณ เวลาใน ระดับ ป.ตรี คุณ เอาเวลาไปทำอะไรละครับ เรียนด้วยตัวเองเหรอ งั้น ลูกหลาน ญาติ พี่น้อง คุณไม่ต้องส่งเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือสิครับ คุณควรจะให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพื่อจะได้เป็นคนมีความรู้ แต่ไม่มีใบเบิกทางเหมือนอย่างคุณ แล้วก็เป็นวัฏจักร คือ ลูกหลาย หรือญาติ คุณก็มาโอดครวญ ว่า ระบบเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนสิครับ เอา เริ่มตั้งแต่วันนี้ครับ บอกลูกหลาน ญาติสนิท ลาออกมาเรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนกบคุณ จะได้มี ทักษะ ที่เก่ง ดี คิดงานการสอนอังกฤษได้เยี่ยม แล้วมาโอดครวญ ว่าคนอื่นขโมยผลงานของคุณไปทำวิทยานิพนธ์ สุดบรรยายจริงๆ คุณนี่ นี่แหละครับ คนไม่ได้เข้าเรียนในระบบ ไม่มีหลักการ เถียงเอาจนชนะ ขอให้คุณได้เป็นนักวิชาการที่ไม่มีใบเบิกการศึกษาต่อไปละกัน ผมยอมแพ้ครับ ขอให้มีความสุขกะภูมิรู้ของคุณ แล้ว ขอให้มีความสุขในการ เหยียดย่ำระบบ และการเรียนการสอนของราชภัฏ ต่อไป (เพราะคุณโทษว่า คนที่จบราชภัฏไม่ค่อยมีคุณภาพ ผลิตบัณฑิตครูมาจนล้น แล้วกีดกันคนอื่นไม่ให้เป็นครู) เก่งจริงๆ ไม่ว่าอายุมากแค่ไหน ถ้าคิดจะเรียรต่อให้จบป.ตรี แล้วเข้าสู่ระบบมันไม่ใช่เรื่องยากครับ เอาเป็นว่ายอมแพ้ละ ขอให้คุณมีความสุขกับการคิดในแง่ลบของคุณต่อไป โชคดีนะ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 20:11:56

ความคิดเห็นที่ 39 เอ่อ ... ในเมื่อต้องมี "ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู" เพื่อให้ "มั่นใจในคุณภาพ" แล้วทำไมโรงเรียนสอนพิเศษถึงเกิดเป็นดอกเห็ดละครับ? คนสอนก็มักไม่ได้จบครูด้วย? (ครูที่ดีและเก่งจริงก็มีนะ ไม่เข้าข่าย) จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 21:36:56 A:125.24.20.126 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 40 ...ซ้ำลบออก... แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 21:37:35 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 21:37:04

ความคิดเห็นที่ 41 ตอบคุณ กุลรินทร์ คคห 38 ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สนุกจังเลย เถียงกับคนไร้เหตุผล อย่างคุณ ถามจริงๆว่าคุณไม่ละอายใจบ้างหรอกหรือที่เถียงได้แบบ พูดเองเออเอง แบบไม่มีเหตุผลอันใดมาสนับสนุนข้อเท็จจริงอะไรเลย? ที่คุณพูดว่า "งั้น ลูกหลาน ญาติ พี่น้อง คุณไม่ต้องส่งเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือสิครับ คุณควรจะให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพื่อจะได้เป็นคนมีความรู้ แต่ไม่มีใบเบิกทางเหมือนอย่างคุณ แล้วก็เป็นวัฏจักร คือ ลูกหลาย หรือญาติ คุณก็มาโอดครวญ ว่า ระบบเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนสิครับ " ^ "โอดครวญ" ใครโอดครวญกัน?  พูดอะไรไร้สาระเฉไปหมด!  พูดเอง ยัดเยียดทุกอย่างใส่เราหมด ลูกหลานเราจะเลือกทางเดินแบบไหน มันก็เป็นอิสระของพวกเขาที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เราไม่ใช่เผด็จการแบบที่คุณเป็นเผด็จการว่าใครจะเป็นครูไม่ได้เว้นเสียแต่ว่าจะต้องสอบ 9 มาตรฐานเพื่อรับใบอนุญาตครู กลับอ่านระหว่างบรรทัดให้ดีๆ เราเริ่มแสดงความคิดเห็นในฐานะ "ผู้รู้ที่อยากช่วยเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่เราช่วยไม่ได้เพราะนโยบายการศึกษาไทย "มีความคิดแคบมากๆ แบบคิดอยู่แต่ในกล่อง และปิดกั้นไม่ให้คนแสดงผลงานแต่ไล่ให้ไปสอบมาตรฐาน 9 อย่างเพื่อสนองตัณหาผู้บริหารการศึกษาที่ระบบตรรกะชำรุด" ^ ไม่ใช่เพราะเราหางานไม่ได้ แล้วมาโอดครวญว่าอยากเป็นครูแต่ทำไมระบบการศึกษาไทยไม่รับเราเข้าเป็นครู  นั่นก็เพราะว่าทุกวันนี้เราก็มีกินมีใช้ของเรา ^ โปรดเข้าใจให้ถูกต้องก่อนที่คุณจะพูดเรื่องไร้สาระให้มากไปกว่านี้นะ! แล้วที่คุณพูดว่า "ใครมันจะเอาคน จบ ม.6 มาสอนหนังสือละครับคุณ" ^ ยัดคำพูดใส่ปากเราอีกแล้ว จริงๆแล้วเราไม่ได้จบ ม.6 แต่เราจบ มศ.3 (เทียบเท่า ม.4 สมัยนี้)  แต่เราก็ท้าพนันว่าเราสอนภาษาอังกฤษเด็ก ม.6 ได้ ซึ่งจริงแล้วเราสอนการแปลในระดับปริญญาโทก็ยังสอนได้  ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองรับคำท้าเราตาม คคห 13 และ คคห 32 สิ อย่ามัวแต่ "คิดในกล่องแบบคนในประเทศด้อยพัฒนาอยู่เลย" ^ ถ้าคิดแคบๆอยู่ในกล่องแบบคุณละก้อ คนอย่าง Thomas Edison, Bill Gates และ Steve Jobs ที่ไม่ได้จบปริญญาก็คงไม่ได้สร้างความเจริญให้แก่โลกหรอกนะ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 21:47:36 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 21:37:56

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ (ต่อ) กำลังมันเลยหละ.... เอางี้ดีกว่า เราจะใช้ "สมองพลิกแพลง" ของเรา เปลี่ยนสมรภูมิรบ  ณ ที่นี้ ให้เป็นเวทีที่ให้ความรู้แก่ผู้อ่านนะ (ให้สมกับราคาคุยที่ว่าเราเป็น born teacher คือสวรรค์ส่งให้มาเกิดเป็นครู)  นั่นก็คือ เราจะเอาข้อความที่คุณโจมตีเราดัดแปลงเป็นบทเรียนภาษาอังกฤษมันไปซะเลย ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า "โอดครวญ" ที่คุณกล่าวหาเรา อะนะ พูดจาแบบนี้ ในภาษาอังกฤษเขามี idiomatic expression ว่า put words in someone's mouth หรือ put words into someone's mouth มีความหมายว่า "ตีความสิ่งที่ใครพูดให้เป็นไปในทางที่ผู้ตีความต้องการ (เพื่อบิดเบือนความจริง) แต่ไม่ได้ตีความให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของผู้พูด" ยกตัวอย่างเช่น I only offer to help English tearchers in Thailand improve their teaching techniques.   It cannot be deduced that I shall deprive my children, grandchildren and relatives of their education.  Stop putting words into my mouth. ฉันแค่เสนอว่าอยากจะช่วยครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยปรับปรุงเทคนิคการสอน  จากสิ่งที่ฉันพูดไม่สามารถอนุมานได้ว่าฉันจะกีดกันมิให้ลูกหลานและญาติพี่น้องของฉันไม่ให้ได้รับการศึกษา  หยุดยัดเยียดว่าฉันพูดอะไรออกมาทั้งๆที่ฉันไม่ได้พูด เอ้า เข้ามาเถียงแบบ lame logic ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคุณกุลรินทร์ ก็จะรู้เองว่า คนจบแค่มัธยมต้นอย่างเราจะสอนคนจบสูงๆอย่างคุณได้หรือไม่ จะกระซิบบอกความลับที่คุณไม่รู้ให้ก็ได้ว่า สมัยเราทำงานเป็นนักแปลในในบริษัทแปลเอกสาร เราใช้ความรู้ที่เรียนด้วยตัวเองนอกมหาลัยของเรา รับจ้างเขียน research papers เป็นภาษาอังกฤษ ให้คนเรียนจบปริญญาโท กับปริญญาเอก ในมหาลัยทั้งไทยและต่างประเทศมาแล้วหลายราย และลูกค้าหลักของบริษัทแปลส่วนใหญ่ก็เป็นคนเรียนศึกษาศาสตร์ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆ ที่เขียนภาษาอังกฤษเองไม่ได้นี่แหละ! เอางี้ดีกว่า เราจะใช้ "สมองพลิกแพลง" ของเรา เปลี่ยนสมรภูมิรบ  ณ ที่นี้ ให้เป็นเวทีที่ให้ความรู้แก่ผู้อ่านนะ (ให้สมกับราคาคุยที่ว่าเราเป็น born teacher คือสวรรค์ส่งให้มาเกิดเป็นครู)  นั่นก็คือ เราจะเอาข้อความที่คุณโจมตีเราดัดแปลงเป็นบทเรียนภาษาอังกฤษมันไปซะเลย ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า "โอดครวญ" ที่คุณกล่าวหาเรา อะนะ พูดจาแบบนี้ ในภาษาอังกฤษเขามี idiomatic expression ว่า put words in someone's mouth หรือ put words into someone's mouth มีความหมายว่า "ตีความสิ่งที่ใครพูดให้เป็นไปในทางที่ผู้ตีความต้องการ (เพื่อบิดเบือนความจริง) แต่ไม่ได้ตีความให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของผู้พูด" ยกตัวอย่างเช่น I only offer to help English tearchers in Thailand improve their teaching techniques.   It cannot be deduced that I shall deprive my children, grandchildren and relatives of their education.  Stop putting words into my mouth. ฉันแค่เสนอว่าอยากจะช่วยครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยปรับปรุงเทคนิคการสอน  จากสิ่งที่ฉันพูดไม่สามารถอนุมานได้ว่าฉันจะกีดกันมิให้ลูกหลานและญาติพี่น้องของฉันไม่ให้ได้รับการศึกษา  หยุดยัดเยียดว่าฉันพูดอะไรออกมาทั้งๆที่ฉันไม่ได้พูด เอ้า เข้ามาเถียงแบบ lame logic ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่า คนจบแค่มัธยมต้นอย่างเราจะสอนคนจบสูงๆอย่างคุณได้หรือไม่ จะกระซิบบอกความลับที่คุณไม่รู้ให้ก็ได้ว่า สมัยเราทำงานเป็นนักแปลในในบริษัทแปลเอกสาร เราใช้ความรู้ที่เรียนด้วยตัวเองนอกมหาลัยของเรา รับจ้างเขียน research papers เป็นภาษาอังกฤษ ให้คนเรียนจบปริญญาโท กับปริญญาเอก ในมหาลัยทั้งไทยและต่างประเทศมาแล้วหลายราย และลูกค้าหลักของบริษัทแปลส่วนใหญ่ก็เป็นคนเรียนศึกษาศาสตร์ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆ ที่เขียนภาษาอังกฤษเองไม่ได้นี่แหละ! แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 21:50:52 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 21:49:27 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 21:46:53

ความคิดเห็นที่ 43 เราก็จบสถาบันราชภัฏสงขลา(รุ่นสุดท้าย) เอกภาษา ศศบ. บางครั้งก็รู้สึกเบื่อกับระบบของไทยเช่นกัน ตอนแรกไม่ชอบเป็นครูนะ มาตอนหลังชักติดใจจนหันไปทำงานอย่างอื่นไท่ได้(อีกต่อไป) อย่างที่หลายคนทราบ สาขาที่เราจบอยากกว่า คบ. หรือครุศาสตร์บัณฑิต แต่ไม่มีวุฒิครู สอนได้ไงเหรอ คือเมื่ิอก่อนครูที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ หากสอนเกิน๕ปีทางรัฐจัดให้เรียบร้อยเราเลยได้มาเรียบร้อยโดยไม่ต้องสอบใดๆ อิอิ อ่านจากการ debate ของคุณปู่หมอดู(หน้าเด็ก)รึเปล่าหว่า กะคุณอีกคน(จำชื่อไม่ได้) เราว่าแต่ละคนก็มีเหตุผลหักล้างของตนเองที่ดี แต่บางอย่างก็อาจพูดได้ว่เพลินจิต anyway วันครูวันนี้วันดีนะไม่อยากให้ปะทะเชือดเฉือนคารมกัน ฝ่ายนึงขอโทษอีกฝ่ายแล้วนะ จบได้แล้ว ปล.ค่าต่อใบประกอบวิชาชีพแพงจัง(สำหรับเรา) กว่าจะได้รับบัตรใหม่ถ้าไม่ไปติดต่อที่กทม.ก็รอไปเถอะ ๓เดือนยังไม่ได้ เบื่อระบบราชการเฮงซวย! ในฐานะครูคนนึงอยากให้ครูทุกท่าน"เป็นครูอาชีพ" ไม่ใช่แค่มี"อาชีพครู" หมดแรงพิมพ์บนไอฟ่งแระแพ้เบอร์ไปหลาย ช้ำจายช้ำจายยย :P จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 21:47:43

ความคิดเห็นที่ 44 ^ อ้าวนี่เป็นครูในระบบหรือ?  เวรกรรม! นึกว่าเป็นครูสอนพิเศษซะอีก เฮ้อ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 21:53:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 21:52:48

ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อก่อนสอนพิเศษน่ะงานหลัก สอนนักศึกษาในระบบน่ะงานรอง แต่งานแปลเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ตอนนี้แก่แล้ว(เลขสามแล้ว)เราเลยหยุดสอนพิเศษเพราะไม่ไหวจะเคลียร์เนื่องจากต้องฝืนทนกะเจ้านักเรียนทั้งหลายผู้ซึ่งมาเรียนพิเศษแบบตามกระแส เราไม่ชอบพวกประเภทนี้ไม่ค่อยตั้งใจเรียน หากสอนต่ออาจได้ลงนสพ.หน้า๑ ;( จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 22:27:19

ความคิดเห็นที่ 46 ใช่ๆ นั่นดิ ครูพี่แนน ครูลิลลี่ อาจารย์ปิง หมอประกิตเผ่า ครูสมศรี ฯลฯ พวกนี้ไม่ได้เรียนจบครูมา (แต่จบคณะอื่นๆที่คะแนนสอบเข้าสูงกว่าคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์) ทำไมถึงให้สอนหนังสือได้อ่ะ สอนแบบถูกต้องตามกฎหมายด้วยนะ และที่สำคัญ คือ สอนหนังสือดีกว่าครูในโรงเรียนที่จบศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์เสียด้วย เด็กส่วนใหญ่สอบเอนท์ติดก็เพราะครูสอนพิเศษพวกนี้หละ ครูในโรงเรียนน่ะ ความเก่งไม่ถึงขี้เล็บครูกวดวิชาพวกนี้หรอก จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 22:36:39 A:61.90.68.150 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 47 สรุปมันคือกระทู้อะไร --" จากคุณ : นิฮงโกะ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 23:04:47

ความคิดเห็นที่ 48 ^ อ้าวเมื่อวานเขียนๆเครื่องรวน ส่งไปด้วยหรือ มันคือกระทู้อะไร? นั่นน่ะสิ...กำลังรื้อระบบคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวมีเวลาแล้วจะสรุปให้ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 11:29:40 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 23:37:30

ความคิดเห็นที่ 49 กระทู้คือ ถ้าไม่แม่น ไม่เป๊ะ ภูมิไม่แข็งพอ ก็อย่าบังอาจมาต่อกร กับปรมาจารย์ ประจำห้องนี้ เพราะท่านจะไม่ปล่อยให้ผู้บังอาจนั้นลอยนวลไปอย่างหน้าตาเฉย อย่างน้อย ก็คงต้องหลบไปเลียแผลอยู่หลายวัน เราคนหนึ่งหล่ะ ไม่กล้าพอจะต่อกรกับท่าน กลัวววววววววววมั่กๆๆๆๆๆ ไม่ได้มีเจตนามาเชียร์ท่านอะไรหรอกนะ แต่ข้อมูลกับตรรกะแกมันแน่นมากอ่ะ เราก็ไม่ได้เจตนาดูถูกสถาบันที่ผลิตครูหรอกนะ แต่ว่ามันไม่ติด ranking สักกะสถาบันเลยอ่ะ แล้วความเป็นเลิศทางวิชาการมันอยู่ตรงไหนอ่ะ  ใครรู้ช่วยตอบที จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 55 23:50:34

ความคิดเห็นที่ 50 ผมไม่ได้แม่นตรรกะนะครับ แต่ผมเคารพคนเป็นครูที่ความเป็นครู ระบบอะไรหลาย ๆ อย่างมันห่วยก็จริงในความคิดเห็นของผม ผมก็เห็นด้วย แต่ในเมื่อมันเป็นกฏกติกาผมก็ยอมรับ ใบอนุญาตต่าง ๆ ในวิชาชีพบางอาชีพ สอบได้ง่ายมาก ๆ  ซึ่งคนสอบได้อาจไม่มีคุณภาพและไม่มีจรรยาบรรณตามที่สอบเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าผมอยู่ในวงการ ถ้าผมต้องทำงานในวงการนั้น ๆ ผมก็ต้องสอบ   ผมเองอยู่ในวงการ(อื่น) มาสิบกว่าปี แต่ผมก็เริ่มเบื่อและรับไม่ได้กับจรรยาบรรรณจอมปลอมเหล่านั้น ผมก็ลาออกจากวงการ  แต่ไม่เคยที่จะไปดูถูกหรือต่อว่า คนที่อยู่ในวงการ  เพราะรู้ดีว่า เราเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรแบบพลิกฝ่ามือได้ อยู่ไปแล้วไม่ดี รับไม่ได้ก็เลยไม่อยู่  แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะไปท้าทายเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่อยู่ในระบบที่มีใบอนญาต ว่าพี่เก่งกว่าน้อง  มาแข่งกันคิดนอกกรอบมั๊ย เพราะต่างคนต่างทำงาน  ต่างคนต่างทำหน้าที่ ต่างคนต่างความเห็น  น้อง ๆ เขาเคารพกฏกติกา ก็เป็นเรื่องที่ดี ก็ได้แต่เตือนแล้วก็สั่งสอนกันสำหรับคนที่สอนได้ คุยได้ ว่าทำตัวให้ดี  อยู่ในวงการก็ช่วยกันพัฒนาวงการ อย่าให้คนภายนอกมองว่าวงการของเราไม่ดี ผมก็ทำได้แค่นั้น   เพราะคงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงระบบการสอบรับใบอนุญาตได้ ก็ทำได้เท่าที่เราทำได้พอครับ จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 08:43:45

ความคิดเห็นที่ 51 แล้วความเป็นครูเป็นสิ่งที่จำเป็นมากแค่ไหน หรือถามใหม่ ว่า ความเป็นครูคืออะไร ใครให้คำตอบได้บ้าง บอกตรงๆนะ ผมคิดว่าความเป็นครู คือสิ่งที่ไร้สาระที่สุด ครูคืออาชีพๆหนึ่งที่ต้องการคนเก่งที่สุดมาทำ ไม่ใช่คนสมองห่วยๆ แต่อ้างว่า "มีความเป็นครูสูง" มาทำ แบบนั้นผมไม่ต้องการ ไปขายน้ำเต้าหู้เถอะนะ ผมมองว่า ครู คืออาชีพๆหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ต้องการคุณสมบัติในด้านที่เป็นคุณธรรมไม่แตกต่างไปจากอาชีพอื่น และคุณธรรมตัวนี้ ใครๆก็มีได้ เช่น วิศวกรโยธาต้องออกแบบตึกอย่างซื่อสัตย์ ครูก็ต้องสอนหนังสืออย่างซื่อสัตย์เหมือนกัน สรุปง่ายๆคือ ทุกอาชีพมันมีจริยธรรมเป็นแกนกลางเสมอ ไม่จำเป็น หรือต้องกีดกันว่า ครูมีจริยธรรมสูงส่ง หรือพิเศษยิ่งไปกว่าอาชีพอื่นๆ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:39:57 A:58.9.75.201 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 52 เราจะใช้ข้อความที่เราถกกับคุณกุลรินทร์เปิดสอนวิชา How to Use Your Brain และ elementary logic ลองมาดูกันสิว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเรา ทำให้เราใช้สมองเป็นหรือไม่ ก่อนอื่นของตอบคุณน้องเล็ก Soi คคห 50 ว่าเราเถียงไม่ใช่หวังผลว่ามันจะเปลี่ยนแปลงระบบได้ แต่การเถียงกับคนที่มี preconception (อคติ) อย่างคุณกุลรินทร์ ที่เขาพูดจากดูถูกคนไม่จบปริญญา และอยู่ดีๆพูดอะไรผิดหลักเหตุผล เละเทะไปหมด มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าศึกษา น่าเรียนรู้ ^ ข้อผิดพลาดในกระบวนความคิดของคุณกุลรินทร์เหล่านี้ มันนำมาใช้สอน "วิธีคิด" ได้ ^ มันสอนให้คนคิดเป็นและฉลาดขึ้นมาได้ สอนให้คนรู้จักแยกแยะว่า การเรียนรู้เรียนจากชีวิตจริงก็ทำได้ โดยเปรียบเทียบว่า ตราบชั่วชีวิตของคน 2 คน ใครจะคิดเก่งกว่ากันหลักแหลมกว่ากัน มันขึ้นอยู่กับใครเรียนรู้มากกว่ากัน และฝึกคิดมากกว่ากัน ดังนั้น คนจบปริญญากับคนไม่จบปริญญา ต่างคนต่างก็มีเวลาไม่แพ้กัน ดังนั้นการแสดง preconception ของคุณกุลรินทร์มันบ่งชี้ว่า "เขาไม่รู้วิธีใช้สมอง" และมันก็เป็นข้อพิสูจน์ด้วยว่า "คนไม่จบปริญญาไม่จำเป็นจะต้องโง่กว่าคนจบปริญญาเสมอไป"   ^ เพราะถ้าคนไม่จบปริญญามันต้องโง่กว่าคนจบปริญญาเสมอไป แต่ทำไมเราจบแค่มัธยมต้นแล้วเราร้บจ้างเขียน research papers, theses และ dissertations เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยให้คนเรียนปริญญาโท กับ ปริญญาเอก เรียนจบรับปริญญาได้สำเร็จมาแล้วตั้งหลายราย เราทำได้ไม่ใช่เพราะใช้ความรู้ภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่เราต้องค้นข้อมูลเป็นและใช้เหตุผลเป็นอีกด้วย อันนี้เป็นข้อผิดพลาดในกระบวนความคิดของคุณกุลรินทร์ ซึ่งถ้าเขาจบปริญญามา แต่คิดไม่เป็นมันก็น่าเสียดายที่ปริญญาไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้มากนัก เพราะเขาไม่รู้วิธี exhaust all possibilities (คิดคำนวณความเป็นไปได้ทุกทาง) ^ ในการโต้วาทีกัน ต่อสู้กันด้วยสมอง มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการเล่นเกมหมากรุก เราจะต้องอ่านกระบวนความคิดของคู่ต่อสู้ และ exhaust all possibilities นั่นก็คือคำนวณความเป็นไปได้ให้ครบทุกทาง เพื่อหาทางหนีทีไล่ ^ นี่เป็นวิธีการแรกที่คนเราจะฝึกสมองตัวเองให้ฉลาดขึ้น และคิดอะไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่งมงาย ไม่ดักดาน ไม่คิดอยู่แต่ในกล่อง หมากรุกฝรั่งเป็นวิชาบังคับในประเทศรัสเซีย เด็กนักเรียนทุกคนจะต้องเรียนวิชาหมากรุกฝรั่ง สมัยเด็กๆเราหนีเรียนแล้วไปเล่นหมากรุกฝรั่ง และเรียนมวยจีน ตอนโตๆเวลาเราเรียนภาษาอังกฤษ แม้กระทั่งเรียนการแปล เราก็เอาหมากรุกฝรั่งกับมวยจีนมาคิดค้นหากลไกในการเรียนรู้ แทนที่จะไปเรียนปริญญา (แต่ไม่สามารถตีความได้ว่าเรากีดกันลูกหลานเราไม่ให้เรียนปริญญาเหมือนที่คุณกุลรินทร์อยู่ดีๆคิดไปได้เอง) นั่นก็คืออาศัยทรัพยากรที่เรามีอยู่แล้วไปต่อยอด เหมือนกับการเล่นเกม building blocks นั่นแหละ สมัยเด็กๆเราพยายามพัฒนา iq ตัวเองโดยการอ่านหนังสือ howtos แนว ฝึกคิด หรือเรียนวิชา logic แต่ยิ่งอายุมากขึ้น เรากลับค้นพบวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น นั่นก็คือ "กินอาหารธรรมชาติ ฝึกสมาธิและลมปราณ ฝึกโยคะ ฝึกมวยจีน ใช้สมุนไพร และอื่นๆอีกผสมผสานกัน เพื่อปรับเปลี่ยน cells ในสมองและร่างกาย และเพื่อเปลี่ยนคุณภาพเลือดให้ดีขึ้น" ^ ในมุมมองของเรา ความสามารถทางสมอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้จากหนังสือและประสบการณ์ขีวิตเท่านั้น แต่มันเพิ่มขึ้นได้โดยการทำตัวเองให้มีสุขภาพดีเยี่ยม! คนที่คิดว่าต้องเรียนจนจบปริญญาเอกถึงจะฉลาดเลอเลิศแต่เรียนๆไปแล้วคุณภาพเลือดในตัวเองไม่ดีเพราะกินอาหารที่มีสารพิษเข้าไปมาก สมองก็เลอะเลือนได้เหมือนกัน แนวคิดของคุณคุณกุลรินทร์ที่คิดแคบๆว่า "คนไม่จบปริญญาต้องโง่กว่าคนจบปริญญา" มันไม่ต่างอะไรไปจากนักหมากรุกระดับหางแถวที่สอนเด็กเล่นหมากรุกว่า "ก่อนเดินหมากให้ดูตาม้าตาเรือดีๆว่าจะโดนกินหรือเปล่า ถ้าโดนกิน ก็อย่าเดิน แต่ให้เดินแบบไม่โดนกิน" ^ อันนี้เป็นความคิดแบบตื้นๆ คนที่คิดตื้นๆแบบนี้ ปราชญ์จีนโบราณบอกว่า "เป็นเพราะเขาหายใจด้วยคอ แทนที่จะหายใจด้วยท้องส่วนล่าง" ^ อีกปัจจัยหนึ่งที่คนซึ่งอยากเรียนรู้เรื่อง How to Use Your Brian จะต้องให้ความสนใจ หากอยากใช้สมองเก่งขึ้น นั่นก็คือ "ต้องเรียนรู้วิธีหายใจอย่างถูกต้อง" คราวนี้เรามาดูกันบ้างว่านักหมากรุกระดับเซียน เวลาสอนเด็กเล่นหมากรุก จะสอนยังไง "เขาจะสอนสิ่งที่คนทั่วๆไปอย่างคุณกุลรินทร์คิดไม่ถึง" นั่นก็คือเขาจะสอนว่า "หาความเป็นไปได้ทั้งหมดว่าจะเดินให้คู่ต่อสู้กินได้ยังไง จากนั้นก็ให้ใช้ตรรกะพิสูจน์ว่า 1 ทำให้หมากคู่ต่อสู้หลงทาง 2 ทำให้หมากตัวเองได้ที่ตั้งเป็นชัยภูมิที่เหมาะ (ซึ่งภาษาหมากรุกเขาเรียกว่า to gain positional advantage)แต่ถ้าไม่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ถึงเลือกเดินแบบปลอดภัย นั่นก็คือเดินหมากให้ผูกกันเป็นใยแมงมุม" ในวิชาหมากรุกฝรั่ง การเดินหมากให้คู่ต่อสู้กิน เป็นอะไรที่ elegant มากๆ มันงดงามจนมีคนเขียนว่า like a cascade of brilliancies กลยุทธ์แบบนี้มันมีไว้หลอกคนที่เต็มไปด้วย preconception เพราะคิดตื้นๆอย่างคุณกุลรินทร์ นั่นเอง คือคิดว่า "คนไม่มีปริญญาต้องโง่กว่าคนมีปริญญา" ก็เลยคิดว่า "คนเดินหมากให้กินนี้มันต้องโง่เสมอไป" ^ แต่ที่ไหนได้ พอกินหมากคู่ต่อสู้ไป หมากตัวเองหลงทาง หน้าขุนแตก มีหมากคู่ต่อสู้ตัวร้ายๆที่รอดจากการถูกกินเหลือแค่ไม่กี่ตัวจ่อคอหอยพร้อมที่จะรุกให้ขุนจนได้ พอถึงจุดนั้นมันก็สายเกินแก้ไปซะแล้ว  สิ่งเหล่านี้รวมอยู่ในกระบวนการที่เรียกว่า judgment (ดุลพินิจ) นั่นเอง judgment จะเป็นตัวตัดสินชตาชีวิตคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ^ การที่คนเราจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ จะต้องใช้ precise logic and creative imaginations (ตรรกะที่แม่นยำและจินตนาการอันสร้างสรรค์) แต่ตรรกะที่ใช้ในวิชาหมากรุกส่วนใหญ่จะเป็น reductio ad absurdum นั่นก็คือพิสูจน์เป็นขั้นๆไปว่าแต่ละขั้นตอนมันใช้การไม่ได้ แล้วจึงเลือกทางเดินอื่น ^ ซึ่งในการประดิษฐ์หรือคิดค้นอะไรใหม่ๆ นักคิดก็จะลองผิดลองถูกเหมือนกัน เหมือนกับที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า learn by trial and error ^ ก่อนที่เราจะเริ่มสงสัยอะไร แล้วอยากทดสอบมัน เราก็จะต้องมี creative imaginations (จินตนาการอันสร้างสรรค์) ซะก่อน อย่างที่ Steve Jobs มี ตอนที่เขาคิดระบบคอมพิวเตอร์อันมีประสิทธิภาพขึ้นมาได้ ทั้งที่เขาไม่ได้เรียนจบปริญญามา นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้คิดตื้นๆแบบคุณคุณกุลรินทร์ การมี creative imaginations แล้วลองผิดลองถูกแบบนี้ Thomas Edison ก็ใช้มัน เขาทดสอบพันธ์ไม้มากกว่า 6000 ชนิดกว่าจะรู้ว่าจะใช้สารอะไรผลิต filament (ไส้หลอดไฟฟ้า) ^ วิธีการของ Thomas Edison มันก็คือ exhaust all possibilities เหมือนในวิชาหมากรุกฝรั่งเช่นกัน ถ้า Thomas Edison ไม่ได้จบปริญญาแต่ exhaust all possibilities ได้ แต่คุณกุลรินทร์้จบปริญญษแต่คิดไม่เป็น แถมยังไปดูถูกคนไม่มีปริญญาที่คิดเป็นด้วย มันก็นับว่า "อาการน่าเป็นห่วงสุดๆ" ที่เขียนมานี้ก็เป็นตอน 1 ของบทเรียนเรื่อง How to Use Your Brain แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 18:13:45 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 13:37:13 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 13:29:28

ความคิดเห็นที่ 53 ว่าจะไม่ตอบแล้วนะ แต่อดไม่ได้ที่เห็นคุณเฉไปประเด็นอื่น ก่อนอื่น ต้องถามว่า ข้อความไหนที่ผม "ดูถูก" คนไม่จบปริญญาตรี?   ถ้ามีข้อความไหนที่บอกว่าผมดูถูก ก็เอามายืนยัน และผมก็น้อมขออภัยที่ ทำไป แต่ถ้าไม่มีก็แล้วกันไปครับไม่ว่ากัน ส่วนประเด็นที่เราคุยกันตั้งแต่แรกที่ คน ว่า ราชภัฏ ไม่มีประสิทธิภาพ ผมก็แค่ แก้ต่างแทน นักศึกษาราชภัฏเท่านั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ และประเด็นที่ผมถกปัญหากับคุณ ก็คือ เรื่อง การใช้วุฒิการศึกษา ที่จะมาเป็นครู และการที่ เขาให้คนที่จบ ศึกษาฯ กับ ครุฯ มาสอน แค่เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่ได้กล่าวว่า คนไม่จบ สอนไม่เก่ง สอนไม่ได้ และไม่มีความสามารถ ไม่มีนะครับ "กรณี บางคนมีประสบการ สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ ผมก็เห็นด้วย แต่คุณคิดในแง่ความรู้สึกเด็กไหม คนไม่จบ ป.ตรี มาสอนเขา ทั้งเด็กและผู้ปกครอง จะคิดยังไง "   ประเด็นนี้เขียนในความคิดเห็นที่ 19 และ "จริงๆแล้วเราก็อยากจะไปช่วยสอนให้นะ คือเราฟังพูดอ่านเขียนอังกฤษได้คล่อง แต่เผอิญเราไม่ได้จบศึกษาศาสตร์จากราชภัฎ แล้วมีใบอนุญาตครู แล้วก็ไม่ได้ต่อปริญญาโท กับปริญญาเอกเพื่อปรับอัตราเงินเดือน (จริงๆแล้วปริญญาตรีเราก็ยังไม่มี แต่เราทำงานด้านภาษาอังกฤษมาหลายสิบปี) แต่คนอย่างเราโดนนโยบายกระทรวงศึกษาไทยกีดกันไม่ให้เข้าไปสอนเด็กในระดับประถมและมัธยม ทั้งๆที่เราสอบได้ Certificate of Proficiency in English จาก University of Cambridge และที่ใบประกาศนียบัตรเรา ทาง Unversity of Cambridge ยืนยันว่า "ผู้่สอบผ่านประกาศนียบัตรนี้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษมากพอที่จะสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่1 " จาก ความคิดเห็นที่ 4 ทั้งหมดทั้งมวล เราพูดถึงการสอนในระบบไม่ใช่เหรอครับ  หรือไม่ใช่? และที่ผมถกปัญหา เรื่อง วุฒิการศึกษาที่ จำเป็น จะต้องเข้าเป็นครู และ วุฒินั้นต้องมาจากคณะศึกษา และ ครุ นะครับ หลายกระทู้ ที่ผมยอมรับว่าคุณ หรือคนที่ไม่ได้จบ คณะศึกษามา ก็สอนได้ และเด็กก็ชอบวิธีการสอนด้วย อย่าคุณผมก็ถือว่ามีหลักการ เพียงแต่ การจะให้คนยอมรับในสังคม ต้องมีใบเบิกทางเพื่อเป็นการยืนยันว่ามีคุณสมบัติที่จะทำงานนั้น คุณอ้างหลายประเทศที่ดีกว่าไทย แต่คุณเห็นมีประเทศไหนที่ให้คนที่ไม่จบการศึกษามาสอนหนังสือมั่ง (ไม่รวมผู้ที่ประสบความสำเร็จในสายงานนั้นๆ มาเป็นอาจารย์พิเศษ) ผมว่าคุณหลงประเด็นแล้วล่ะครับ ผมอาจจะ อาการน่าเป็นห่วง อย่างที่คุณว่าก็ได้ครับ เพราะผมไม่ได้เชี่ยวชาญ และคิดค้นวิธีการสอนได้ดีเท่าคุณ แต่ถ้าทั้งโรงเรียน มีครูที่ไม่สำเร็จการศึกษามาสอนหนังสือ ผมก็ไม่กล้าส่งลูกหลานให้ไปเรียนหรอกครับ ขอโทษนะครับ ถ้า ผมทำให้คุณต้องยกเหตุผลมากมายมากล่าวอ้าง ผมก็แค่ครูโง่ๆ คนหนึ่ง ถึงแม้ไม่ได้จบราชภัฏ แต่ก็มีเพื่อน จบราชภัฏเยอะพอสมควร รวมถึง อาจารย์ในสถานศึกษาที่ผมสอน ที่จบราชภัฏ ผมก็เห็นพวกเขาเหล่านั้นมีการพัฒนาเสมอ ไม่ได้หยุดพัฒนาตนเองเลย ผมอาจจะคิดไม่ได้เท่าคุณ ผมก็จะเก็บแนวคิดของคุณไปสอนเด็กได้เหมือนกัน (ส่วนนี้ต้องขอบคุณที่ให้แง่คิดกับผม) แค่อยากให้คุณกลับไปดูประเด็นที่เราคุยกันใหม่ และอ่านใหม่นะครับ ผมน้อมรับความผิดทั้งมวลที่คุณกล่าว และผมจะพยายามปรับปรุง ขอบคุณครับ จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 14:58:15

ความคิดเห็นที่ 54 พวกครูจบราชภัฎที่พัฒนาตนเองโดยการทำวิจัยห้าหน้า เสาร์ อาทิตย์ ไปเรียนปริญญาโทภาคพิเศษสาขาการบริหารการศึกษาของราชภัฎที่เรียนสองปีหรือปีเดียวจบ ไม่ต้องเขียนทีสีส ใช้หลักการจ่ายครบจบแน่ เวลาสอนก็เอาแผนการสอนที่ลอกๆต่อๆกันมามาใช้กับเด็ก วันๆมุ่งแต่จะทำอาจารย์แปดอาจารย์เก้าสร้างผลงาน หมดกระดาษไปเป็นรีมๆ แต่สอนหนังสือไม่ได้เรื่อง ไม่มีความรู้เนี่ย หรือความรู้กะพร่องกะแพร่งน่ะหรือ เรียกว่าพัฒนาตัวเอง ผมไม่เรียกว่าเป็นการพัฒนาหรอกนะแบบนี้ น่าละอายใจมากด้วย ที่เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่าการพัฒนาตัวเอง จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 15:14:54 A:58.9.75.201 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 55 ตอบกระทู้ที่ 54 คุณ อืม ผมไม่รู้ว่าคุณมีอคติ กับ ครู ราชภัฏอะไรหนักหนา แต่ผมไม่คิดหรอกนะ ว่า ครูที่จบราชภัฏ ทุกคนจะเหมือนกันหมด พวกเขาก็พยายามสั่งสมประสบการณ์ และคุณทำไมต้องส่า เขาไม่มีการพัฒนา (จาก "ผมไม่เรียกว่าเป็นการพัฒนาหรอกนะแบบนี้ น่าละอายใจมากด้วย ที่เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่าการพัฒนาตัวเอง") คุณกลับไปอ่าน กระทู่ที่ 53 ว่า ผมอธิบาย และถกปัญหากับคุณ  fortuneteller  เรื่องอะไร และผมก็นับถือในกระบวนความคิดของคุณ  fortuneteller เพียงแต่ประเด็นที่ถกกัน มันอีกเรื่อง เท่านั้นเอง ถามคุณ อืม คุณต้องการอะไร? จากคุณ : กุลรินทร์ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 15:41:29

ความคิดเห็นที่ 56 ประเด็นที่เราถกก็คือ 1. คนจบศึกษาศาสตร์และสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูจนได้รับใบอนุญาตครู ไม่ได้แปลว่าจะต้องเชี่ยวชาญในวิชาที่สอน 2. กฎระเบียบใบอนุญาตครูเป็นกลไกการผูกขาดเพื่อปกป้องครูที่ไม่เก่งไม่ให้โดนแย่งอาชีพ 3. arguments หลักก็คือ "ขอพิสูจน์" 4. เป้าหมายก็คือ "ต้องการพิสูจน์ว่าประเทศไทยเล่นละครตบตากัน คนจบปริญญาตรีจากมหาลัยรองๆ เก่งไม่ถึงปริญญาตรีจริงๆ แต่กลายเป็นไปเป็นแม่พิมพ์ของชาติ" เราถึงท้าให้พิสูจน์กันตาม คคห 13 กับ คคห 32 ยังไงล่ะ ว่า คนมีปริญญาตรีจากมหาลัยระดับรองๆ + สอบผ่าน 9 มาตรฐานวิชาครู + ใบอนุญาตครู มีสักกี่คนที่จะสอบผ่านการทดสอบ แบบที่เราท้าทดสอบใน คคห 13 กับ คคห 32 ^ ผลการทดสอบมันอาจไม่เปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้านการศึกษาไทยไปได้ทันทีหรอก แต่อย่างน้อยๆมันก็จะทำให้คนไทยรู้ว่า "ใครบ้างในสังคมที่เล่นละครตบตากัน" เพราะอะไรๆก็วัดกันที่ปริญญาตรี โท หรือ เอก แต่จริงๆแล้วเล่นละครตบตากันซะมากกว่า เนื่องจากปริญญาจากบางมหาลัย มันต่ำกว่ามาตรฐานจริงๆ Certificate of Proficiency in English ของ University of Cambridge ถึงจะต่ำกว่าปี 1 ปริญญาตรีเอกอังกฤษก็จริง แต่มันต่ำกว่า ปี 1 ปริญญาตรีเอกอังกฤษมหาลัยในอังกฤษ แต่มันก็ยังยากกว่า toefl, toeic และยากกว่า ielts หลายเท่า ^ เราท้าพิสูจน์ว่าคนจบศึกษาศาสตร์ราชภัฎเอกการสอนภาษาอังกฤษ + สอบ 9 มาตรฐานวิชาครู + มีใบอนุญาตครูที่ตอนนี้กำลังเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในระบบอยู่ เราท้าให้ยกทีมกันมา 1000 คนไปสอบ  Certificate of Proficiency in English  โอกาสสอบตกหมดทั้ง 1000 คน หรือถ้าสอบผ่าน ก็มีแค่ 2-3 คน (เก่งๆหลงมา) เป็นไปได้สูงมากๆ! ^ ที่เรากล้าพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าแฟนเราจบอักษรศาสตร์จุฬาเอกอังกฤษและปริญญาโทการแปลจุฬาซึ่งมีประสบการณ์ทำงานเป็นล่ามและนักแปลในองค์กรข้ามชาติมาแบบเขี้ยวลากดิน และเก่งขนาดเธอกลับไปสอนปริญญาโทการแปลหรือสอนวรรณกรรมอังกฤษที่มหาลัยจุฬาได้สบายๆถ้าอยากสอนจริงๆ แต่เราเอาข้อสอบเก่าๆของ Certificate of Proficiency in English ของ University of Cambridge ไปให้เธอทำ เธอถึงกับสะอึก ถ้าเธออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ต่อเน็ตเธอตอบคำถามข้อสอบได้ถูกหมด เพราะเธอเป็นเซียน google แต่ถ้าไม่มีเน็ตเธอมีสิทธิ์ทำผิดหลายข้อ และเธอก็ยอมรับว่าข้อสอบแบบนี้ "จี้จุดอ่อนของคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 โดยอาจารย์ฝรั่งคนที่ออกข้องสอบของ University of Cambridge เก่งมากๆจนรู้วิธีถามคำถามหลอกให้คนทำข้อสอบเขียนภาษาอังกฤษผิดธรรมชาติเหมือนคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเสียคะแนนไปได้ง่ายๆ" ^ และนี่เป็น "ข้อคิด" นั่นก็คือ ให้ฉุกคิดเรื่องฝรั่งไร้ปริญญา ที่ไม่มีจุดอ่อนของคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 แถมยังเป็นนักคิด ตามที่เราเล่าให้ฟังใน คคห 4 ที่เป็น born teachers คือสวรรค์ส่งมาเกิดเป็นครูเก่งจริงๆ ที่อุทิศ หลักการและแนวการที่ดีในการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ประเทศไทย ซึ่งฝรั่งพวกนี้ไม่ได้ค่าตอบแทนมากนัก ซึ่งประเทศไทยก็น่าจะ "ขอบคุณพวกเขา และเห็นประโยชน์ของพวกเขา" แทนที่จะออกกฎหมายใหม่มาขับไล่พวกเขาออกนอกประเทศไป โดยที่คนออกกฎหมายไม่รู้หรอกว่าฝรั่งเก่งระดับเทพวุฒิสูงๆน่ะ เขาไม่มาทำงานค่าตอบแทนต่ำๆแบบนี้ในไทยหรอก ^ สิ่งที่เราพูดเป็นประเด็นการศึกษาให้พวกเราฉุกคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารการศึกษาควรฉุกคิดเรื่องนโยบายการศึกษาของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่คุณกุลรินทร์กลับโต้ตอบเราใน คคห 8 ว่า "ถ้าคุณคิดแบบที่คิดบอกมา ผมว่าดีแล้วที่คุณไม่ได้เป้นครู เพราะ พฤติกรรมของคุณ มันไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมใหกับเดด็ก แต่จะสอดแทรก วุฒิภาวะที่ไม่สมบูรณ์แบบ มองสิ่งที่ตอนไม่สามารถทำได้ให้เป็นแง่ลบ .... คุณไม่สมควรเป็นครู" ^ ตกลงคุณใช้เหตุผลแบบไหนถึงสรุปได้ว่า พฤติกรรมของเราไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็ก และสรุปได้ว่าเรามีวุฒิภาวะที่ไม่สมบูรณ์แบบ แถมยังสรุปได้อีกว่า เราไม่สมควรเป็นครู ^ ซึ่งมันก็แปลกเพราะตอนนี้เราก็มีรายได้มากกว่าเป็นครูในระบบอยู่แล้ว เราไม่ได้โอดครวญว่าเราอยากเป็นครู หากแต่เรา "ตั้งแง่คิด"  ถ้าเราอยากสอนจริงๆเราเปิดสอนพิเศษดีกว่า ทำไมเราจะต้องทำอะไรโง่ๆโดยการไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อเอาใบอนุญาตครูอย่างที่คุณแนะนำด้วยล่ะ "การที่เราแสดงความคิดเห็นว่าระบบการศึกษาไทยกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกครูมาผิดๆ ส่งผลให้ได้แม่พิมพ์ของชาติที่ไม่เก่งและเป็นการถ่วงความเจริญของประเทศชาติ" ^ ทำไมเราจะต้องโดนโต้ตอบว่า "พฤติกรรมของเราไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็ก และสรุปได้ว่าเรามีวุฒิภาวะที่ไม่สมบูรณ์แบบ แถมยังสรุปได้อีกว่า เราไม่สมควรเป็นครู" ^ จากนั้นคุณกุลรินทร์ ก็ได้พูดว่าคนไม่มีปริญญาทำอะไรก็ไม่ได้ ทั้งๆที่ตัวคุณเองก็ไม่ได้มีสมองพลิกแพลงคิดเก่งไปกว่าคนไม่มีปริญญาไปซะทุกคน ความคิดของคุณยึดติดอยู่ในกรอบ ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศด้อยพัฒนามักจะคิดแบบคุณ คนเก่งๆแบบ Thomas Edison, Bill Gates และ Steve Jobs ถึงแจ้งเกิดในประเทศด้อยพัฒนาไม่ได้เพราะสังคมเต็มไปด้วยคนคิดในกรอบ "การคิดอะไรในกรอบ เป็นตัวถ่วงการพัฒนาประเทศชาติ" ก็ในเมื่อประเทศไทยขณะนี้กำลังสร้างครูต่ำกว่ามาตรฐานเป็นจำนวนมากจากคนมีปริญญา ถ้าพิสูจน์ได้ว่าคนไม่มีปริญญาแต่มีประสบการณ์ในวิชาที่จะสอนจากการทำงานในชีวิตจริงทำได้ดีกว่า ทำไมไม่ให้โอกาสพวกเขาบ้าง ทำไม่ไม่ทำเหมือนกับที่ประเทศอังกฤษให้โอกาส John Major เป็นนายกอังกฤษคนแรกที่ไม่มีปริญญาเลยสักใบ ^ นี่คือแนวคิดใหม่ๆที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติ เพราะมันทำให้ผู้คนในสังคมเลิกคิดแคบๆอยู่ในกรอบ จึงมองเห็นมิติใหม่ๆที่ดีกว่าแนวคิดเก่าๆ เพราะตั้งแต่เถียงกันมาหลาย คคห แล้ว ทั้งๆที่คุณกุลรินทร์ดูถูกเราที่ไม่มีปริญญา แต่เราก็ยังมองไม่เห็นเลยว่าคุณจะมีสติปัญญาหรือความคิดความอ่านอะไรอันชาญฉลาดที่จะมาเถียงชนะเราได้อย่างมีเหตุผลสมดั่งเป็นบัณฑิต มหาบัณฑิต หรือดุษฎีบัณฑิต เอาซะเลย! แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 16:13:04 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 20:17:47 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 19:13:46 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 19:07:41

ความคิดเห็นที่ 57 ที่คุณกุลรินทร์ ถามคุณอืมว่า "ผมไม่รู้ว่าคุณมีอคติ กับ ครู ราชภัฏอะไรหนักหนา แต่ผมไม่คิดหรอกนะ ว่า ครูที่จบราชภัฏ ทุกคนจะเหมือนกันหมด" เราตอบแทนคุณอืมให้ก็ได้ คุณกลับไปดู คคห 26 จริงๆแล้วมันเป็นประเด็นนโยบายการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาลไทยหลายๆยุคหลายๆสมัย คือแทนที่จะมีนโยบายให้เกษตรกรไทยร่ำรวยเหมื่อน farmers ในอารยประเทศ รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนแต่เจ้าของโรงงานที่ใช้แรงงานคนผลิตสินค้าเพื่อส่งออก และกดขี่ผู้ใช้แรงงาน ส่งผลให้คนที่มันสมองไม่เหมาะแก่การเรียนรู้ด้านวิชาการ ต่างก็ต้องพยายามเรียนให้จบปริญญาตรีเพื่อให้ตัวเองพ้นจากการเป็นพนักงานโรงงาน ชาวนา หรือกรรมกร ^ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของวิทยาลัยครู วิทยาลัยครูเป็นอัศวินม้าขาวที่มารองรับเด็กที่เอ็นเข้ามหาลัยไม่ติด และตกงานซึ่งมีอยู่ล้นประเทศ ซึ่งจริงๆแล้วเด็กพวกนี้สมควรไปเป็นชาวนาหรือกรรมกรให้ร่ำรวยได้เหมือนๆในประเทศที่เจริญแล้ว แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยกดขี่แรงงานและละเมิดสิทธิมนุษยชน และดูถูกคนไม่มีปริญญา ดังนั้น วิทยาลัยครูจึงรับเด็กเรียนไม่เก่งพวกนี้เข้าเรียนด้วยคะแนนต่ำสุดให้เรียนจบจนได้ปริญญาตรีไป จนคนพวกนี้ไปทำงานนั่งโต๊ะกินเงินเดือน ซึ่งจริงๆแล้วไปเป็นพนักงานโรงงาน ชาวนา หรือกรรมกรน่าจะช่วยพัฒนาประเทศได้ดีกว่า ^ วิทยาลัยครูมีนโยบายรับนักศึกษาที่เรียนไม่เก่งระดับหางแถว และบัณฑิตพวกนี้แหละที่กลายเป็นแม่พิมพ์ของชาติไป และตอนนี้วิทยาลัยครูมันก็กลายเป็นราชภัฎไปยังไงล่ะ และราชภัฎผลิตครูที่ไม่เก่งจนล้นประเทศ ซึ่งครูที่ไม่เก่งพวกนี้กลายเป็นใหญ่ในกระทรวงศึกษา "เพราะระบบราชการปรับขั้นเงินเดือนตามวุฒิไม่ใช่ตามความสามารถ" คนในราชภัฎเป็นจำนวนมากกลายเป็นผู้บริหารการศึกษาดังนั้นจึงออกกฎหมายใบอนุญาตครูมาเพื่อปกป้องคนจบครูจากราชภัฎด้วยกันไม่ให้โดนคนที่จบจากที่อื่นทีเก่งกว่ามาแย่งงานทำ ทำให้การเป็นครูเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากมากๆจนไม่มีใครอยากเป็นครู ในขณะที่คนเรียนไม่เก่งแต่เรียนครูจากราชภัฎมาโดยตรงก็ได้ใบอนุญาตครูกันหมด ระบบการศึกษาของไทยมันถึงได้วุ่นวายแบบนี้ยังไงล่ะ! ^ สมควรอย่างยิ่งที่คนไทยทั้งประเทศที่มีความคิดความอ่านดีๆต้องระดมกำลังกันประท้วงในระดับประเทศเพื่อยกเลิกกลไกการผูกขาดอันนี้ และเปิดให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมมากกว่านี้ เนื่องจากในประเทศที่เจริญแล้วไม่มีที่ไหนเขามีกฎระเบียบเรื่องสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุุญาตครูแบบประเทศไทย และกฎระเบียบอันนี้เป็นตัวถ่วงไม่ให้ประเทศไทยได้พัฒนาได้จริงๆสักที เพราะผู้คนในสังคมส่วนใหญ่มัวแต่ไปเล่นละครตบตากัน โดยพูดว่า "ฉันจบปริญญามานะยะ แกไม่ได้จบปริญญา แกฉลาดสู้ฉันไม่ได้หรอก...ฮ่าๆๆ" แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 19:47:42 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 19:39:40

ความคิดเห็นที่ 58 สรุป fortuneteller จะภูมิใจมากว่าไม่ได้จบปตรี แต่เก่งภาษาอังกฤษกว่าคนที่จบปตรี ปโท ปเอก ราวๆนั้น ส่วน กุลนรินทร์ ก็ภูมิใจว่า ฉันจบปริญญาตรีมานะ แกไม่ได้จบปริญญา แกฉลาดสู้ฉันไม่ได้หรอก...ฮ่าๆๆ เราเห็นด้วยนะที่จะเปิดให้คนที่สอนเก่งมาเป็นครูได้โดยไม่ต้องสอบ วิชาชีพครู มาตรฐานอะไรทั้งสิ้น เพราะเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้วัดอะไรไม่ได้ เราคิดว่าควรจะเปิดโอกาสใหุ้ทุกคนสอบบรรจุไม่ว่าจะจบครูมาหรือไม่ก็ตาม เราไม่เชื่อว่าการเรียนครู 5 ปี การสอบมาตรฐานได้ จะทำให้ครูคนนั้นสอนดี มีจิตวิญญาณความเป็นครู ปริญญาตรี โท ในประเทศไทยไม่ได้มีค่าแบบต่างประเทศที่กว่าจะจบได้มันยาก คนจบมันน้อยนะ เราไม่ได้สนใจนะว่าใครจะจบตรี โท เอก เราดูที่คุณภาพชีวิตคนๆนั้นมากกว่า เราเชื่อว่า ภาษาอังกฤษ คุณ fortuneteller ดีแน่นอน จากคุณ : caleste เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:44:08

ความคิดเห็นที่ 59 กระทู้อารายเนี่ย   ทุกอย่างในโลกนี้ มีส่วนดีส่วนเสียทั้งนั้นแหละ จะเถียงกันเพื่อ..... จากคุณ : MaybeYesMaybeNo เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 14:04:40

ความคิดเห็นที่ 60 I bet, most of you guys would not mind and would prefer a native English speaking farang, who does not have any formal qualifications in anything, to a Thai guy with a CPE but without a degree and teaching qualification to teach you English. Without any hesitation, I would be Mr.Fortuneteller's student if he would have me. To be honest, I could even murder him (Mr.Fortuneteller, no disrespect) for that CPE certificate. จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 16:14:58

ความคิดเห็นที่ 61 ยังไม่จบกันอีก แม่มบ้า จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 19:04:52

ความคิดเห็นที่ 62 ^ ตอบคุณMaybeYesMaybeNo  คคห 59 ^ จริงๆแล้วเราเกือบจะหยุดเขียนแล้วเพราะเห็นคุณกุลรินทร์ ไม่มาดันทุรังเถียงต่อ แบบ lame logic โดยอ้างว่าเขาพูดถูกเพราะเขาจบปริญญามา แต่เผอิญคุณน้องเล็ก Soi 1 คคห 61 (ซึ่งเป็นกองเชียร์คุณกุลรินทร์ เพราะเห็นไปให้ gift กันใน คคห 8 เนื่องจากสติปัญญาอยู่ในระดับเดียวกัน)มาเม้นท์ เราก็เลยกลายเป็นบ้ายุ เขียนต่อมันซะเลย...ฮ่าๆๆ... ที่คุณ MaybeYesMaybeNo  คคห 59 ถามว่า กระทู้อะไร และจะเถียงกันเพื่ออะไร ตอบ อ๋อ อันนี้เป็นการโชว์พาว์ระหว่างคนไม่มีปริญญาคือเรากับคนมีปริญญาคือคุณกุลรินทร์ ยังไงล่ะ จะได้รู้่ดำรู้แดงกันว่า "คนไม่มีปริญญาจะต้องโง่กว่าคนมีปริญญาเสมอไปหรือไม่" เราจะเขียนบทเรียนวิชา elementary logic ตอนต่อไป ให้อ่านกัน จริงๆแล้วเราเริ่มต้น ตามหัวข้อกระทู้ โดยการพูดว่านโยบายทางการศึกษาบางอย่าง บางทีครูในระบบตอบสนองไม่ได้เพราะยังไม่มีความสามารถเพียงพอ จากนั้นเราจึงตั้งแง่คิดว่า 1. บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต จากมหาลัยไทยหลายๆมหาลัย มีความสามารถจริงๆแตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน บางทีคนจบปริญญาตรีไม่มีความสามารถจริงถึงระดับปริญญาตรีก็มีตั้งมากมาย มันเป็นการเล่นเกมตบตากันในสังคมไทย ซึ่งก่อให้เกิดความวุ่นวายในระบบการศึกษาและระบบงานราชการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศชาติ 2. และเมื่อเกณฑ์การรับสมัครครูในระบบการศึกษาไทย มันวัดกันที่ระดับปริญญา (ซึ่งไม่แน่ไม่นอน เพราะมีมหาลัยต่ำกว่ามาตรฐานที่ผลิตครูที่ไม่เก่งออกมาจนล้นประเทศ) และวัดจากการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครู เราก็ตั้งแง่คิด (จากผลของความเละเทะในระบบการศึกษาไทย) ว่ามันไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนที่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้ จะเป็นครูที่รอบรู้ในวิชาที่ตัวเองสอนอย่างแท้จริง 3. เกณฑ์การรับสมัครครูในระบบการศึกษาไทยแบบนี้ มันเป็นการผูกขาด ที่ไม่ส่งเสริมให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตย เราแค่ตั้งแง่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในระบบการศึกษาไทย และเป็นการถ่วงความเจริญของประเทศชาติ แล้วเราก็แค่คิดเล่นๆว่า คนบางคนอาจเป็นคนอื่นหรือเป็นตัวเราเอง ที่พอจะมีความสามารถในด้านการสอนซึ่งพอจะอุทิศอะไรให้แก่ระบบการศึกษาไทยได้บ้าง แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะกฎเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นไม่ได้ มันปิดกั้นไว้ แทนที่คุณกุลรินทร์ จะเถียงโดยการบอกว่า สิ่งที่เราพูด "มันผิด" และ "ผิดเพราะอะไร" แต่เขากลับตอบแค่เพื่อปกป้องเกณฑ์การรับสมัครครูในระบบการศึกษาไทย โดยไม่บอกว่ามันดีอย่างไร ถึงต้องปกป้อง โดยเขาพูด ยาวๆ ใน คคห 8 (ลองกลับไปอ่านดู) แต่เพื่อการเรียนการสอนวิชา elementary logic  เราจึงสรุปมาเป็น syllogism ได้ ว่า (คุณคุณกุลรินทร์เถียงแบบนี้ใน คคห 8) premiss 1: คนจะเป็นครูได้ต้องสอบผ่าน 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครู premiss 2: fortuneteller ต่อต้านการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครู conclusion: ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของคุณ (ในที่นี้หมายถึง fortuneteller) มันไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรมใหกับเดด็ก แต่จะสอดแทรก วุฒิภาวะที่ไม่สมบูรณ์แบบ มองสิ่งที่ตอนไม่สามารถทำได้ให้เป็นแง่ลบ .... คุณ (ในที่นี้หมายถึง fortuneteller)ไม่สมควรเป็นครู ^ แปลกดีแฮะ คิดมาได้ไงเนี่ย นี่มันเป็น logical reasoning ของปัญญาชนที่จบปริญญาในประเทศไหนกัน? ^ ซึ่งเขาเขียนแบบนี้ไว้ใน คคห 8 แล้วก็มีคนสติปัญญาระดับเดียวกับเขาตั้ง 2 คน มาให้ gifts เขาใน คคห 8 แน่ะ ซึ่งสมจริงดัง The Law of Attraction  ที่ระบุว่า "like attracts like(สิ่งที่เหมือนๆกันดึงดูดกันเอง)" ซึ่งถ้านำกฎนี้มาใช้งานกับกรณีนี้ก็คือ "คนระดับสติปัญญาเหมือนๆกันจะคิดเหมือนๆกัน" คือ "ระบบตรรกะป่วย (lame logic) ก็ป่วยเหมือนกัน ถึงมาให้ gifts กัน...ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" จริงๆแล้วที่ถูกต้องควรเถียงว่า เกณฑ์การคัดเลือกครูและการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครูมันวัดความสามารถว่าครูรอบรู้ในวิชาที่จะสอนจริง ได้ยังไงกัน ต่างหากล่ะ ^ จากนั้นคุณกุลรินทร์ก็ใช้ false analogy โดยการพูดว่า "เป็นแพทย์ก็ต้องจบแพทย์และมีใบอนุญาตแพทย์ เป็นครูก็ต้องจบครูและมีใบอนุญาตครู" ^ ซึ่งมันไปกันคนละเรื่องเลย เพราะคนไม่จบแพทย์มาไปทดลองรักษาคนไข้คนไข้อาจตายได้ แต่คนไม่จบครูมามันไปทดลองสอนนักเรียนดูได้นักเรียนไม่ตายหรอก เผลอๆกลายเป็นเก่งกว่าเดิมก็ได้ อีกทั้งกฎระเบียบการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครูมันก็ไม่ใช่่กติกาสากลซึ่งในประเทศอื่นที่เจริญแล้วที่เขาจะพึงกระทำกัน แต่กฎเกณฑ์นี้มันถูกสร้างขึ้นมาโดยคนที่จบครูเป็นจำนวนมากจากราชภัฎที่เข้าไปเป็นใหญ่ในระบบการศึกษาไทย เพื่อทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับที่คนเรียนสาขาอื่นที่เก่งกว่าจะเข้ามาแย่งอาชีพครูจากพวกเขาได้ต่างหากล่ะ! แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 00:28:23 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 00:26:45

ความคิดเห็นที่ 63 แบบฝึกหัดแรกในวิชา elementary logic ในวันนี้ก็คือ ถ้าจะเถียงต่อไป โปรดพิสูจน์ให้ได้ว่าเกณฑ์การรับสมัครครูและการสอบมาตรฐาน 9 วิชาเพื่อรับใบอนญาตครู (ซึ่งไม่มีประเทศที่เจริญแล้วที่ไหนเขาทำกัน) ในระบบการศึกษาไทย หากไม่เป็นการผูกขาดแบบที่เราอ้างแล้วไซร้มันดียังไง? มันวัดความสามารถครูได้ยังไง? คุณพิสูจน์ได้หรือเปล่า? แต่จะต้องใช้ logical reasoning ที่ไม่มี flaws (ข้อผิดพลาด) นะ จะบอกใบ้ให้ว่า premiss 1 มันมีทาง ถูก กับ ผิด (เท่ากับ 1 หรือ 0) คือ 2 ความเป็นไปได้ premiss 2 มันมีทาง ถูก กับ ผิด (เท่ากับ 1 หรือ 0) คือ 2 ความเป็นไปได้ เช่นกัน ถ้าเช่นนั้น conclusion จาก premiss 1 กับ premiss 2 มันจะมีทาง ถูก กับ ผิด (เท่ากับ 1 หรือ 0) คือ 2 ความเป็นไปได้ เช่นกันหรือไม่? แล้วถ้าอย่างนั้นความเป็นไปได้ทั้งหมด ของ 3 สิ่งนี้มันจะเท่ากับ 2 x 2 x 2 = 8 ความเป็นไปได้ ใช่หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น premiss 1: ช้างทุกตัวมีงวง premiss 2: สมเสร็จทุกตัวมีงวง conclusion: ดังนั้นสมเสร็จคือช้าง แบบนี้ 2 อันแรกถูก แต่อันที่ 3 ผิด อันนี้ก็น่าสนใจ เก็บตกจากกระทู้ เก่า คนตั้งกระทู้ให้คนแสดงความคิดเห็นว่า กรณีกระทรวงวัฒนธรรมเสนอชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบุคคลสำคัญของโลก ต่อยูเนสโก แล้วมีคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ คัดค้านโดยอ้างความไม่เหมาะสมต่างๆ เช่นท่านหม่อมลอกเลียนเค้าโครงวรรณกรรมฝรั่งมาเขียนนิยายไทยโดยไม่บอกกล่าวผู้อ่านชาวไทย แต่ฝ่ายที่สนับสนุน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ คนหนึ่งเถียงแบบนี้ (เขาพูดยาวมากๆ แต่สรุปใจความได้ดังนี้) premiss 1: เราควรให้เกียรติ์คนตาย premiss 2: การคัดค้านการเสนอชื่อม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นบุคคลสำคัญของโลก ต่อยูเนสโก เป็นการไม่ให้เกียรติ์คนตาย conclusion: ดังนั้น จึงควรเลิกคัดค้าน แล้วให้รีบๆเสนอชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นบุคคลสำคัญของโลก ต่อยูเนสโก ^ แปลกดีมะล่ะ? ถ้าคนไทยตั้งค่อนประเทศใช้ตรรกะแบบนี้ ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร? จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหรอกที่จะเถียงเข้าข้างฝ่ายสนับสนุน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นบุคคลสำคัญของโลก ต่อยูเนสโก (เพราะยังหาข้อสรุปที่สมเหตุผลในเชิงตรรกะมิได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด) แต่ฝ่ายสนับสนุน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น่าจะใช้เหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่น่าใช้เหตุผลแบบ lame logic (ตรรกะป่วย) แบบนี้ ตอนนี้คุณกุลรินทร์พอที่จะเห็นทางสว่างหรือยังล่ะว่า "เราผู้ซึ่งจบแค่มัธยมต้นเองพยายามพร่ำสอนคุณซึ่งจบปริญญาว่าปัญญาชนควรใช้เหตุผลในการโต้เถียงยังไง? แทนที่คุณจะเที่ยวไปดูถูกคนไม่จบปริญญามา! คือเราอยากให้คุณตระหนักว่าความรู้หาได้จากแหล่งอื่นเช่นหนังสือหนังหาและ Internet และอื่นๆอีกด้วยเช่นกัน ไม่ใช่หาได้แต่เฉพาะเข้าเรียนในมหาลัยเท่านั้น หากมิเช่นนั้นแล้ว Thomas Edison ซึ่งไม่จบปริญญาคงไม่เป็นอัฉริยะที่เป็นนักประดิษฐ์อันยิ่ิงใหญ่ของโลกได้หรอก...เขาศึกษาตำราวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง ยังไงล่ะ คุณลืมบทเรียนแรกที่เราสอนเรื่อง exhaust all possibilities (คิดคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมด) ในวิชาหมากรุกฝรั่ง ไปแล้วหรือไง?" แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 12:29:56 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 01:00:21 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 00:37:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 00:27:24

ความคิดเห็นที่ 64 มาชูจักกุแร้เชียร์กระทู้ต่อ ... เย้ ๆๆ จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 01:14:46 A:125.24.25.160 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 65 ... ครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 18:01:07

ความคิดเห็นที่ 66 ไวรัส okb! จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 21:30:57

ความคิดเห็นที่ 67 สงสารประเทศไทย เอาพวกปลายแถวมาเป็นครู ไปดูคะแนนได้ ก็จะเห็น   ไปสอบก็สู้คนอื่นไม่ได้ จนสุดท้ายต้องออกกฏมาช่วยพวกตัวเอง เห็นแก่ตนเอง ไม่สงสารอนาคตของชาติเลย จากคุณ : Mr.Moohpee เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 09:54:38

ความคิดเห็นที่ 68 เรียนคุณ fortuneteller  ครับ จากความคิดเห็นที่ 62    ^ ตอบคุณMaybeYesMaybeNo  คคห 59 ^ จริงๆแล้วเราเกือบจะหยุดเขียนแล้วเพราะเห็นคุณกุลรินทร์ ไม่มาดันทุรังเถียงต่อ แบบ lame logic โดยอ้างว่าเขาพูดถูกเพราะเขาจบปริญญามา แต่เผอิญคุณน้องเล็ก Soi 1 คคห 61 (ซึ่งเป็นกองเชียร์คุณกุลรินทร์ เพราะเห็นไปให้ gift กันใน คคห 8 เนื่องจากสติปัญญาอยู่ในระดับเดียวกัน)มาเม้นท์ เราก็เลยกลายเป็นบ้ายุ เขียนต่อมันซะเลย...ฮ่าๆๆ... .......................................... ^ เราก็ได้แต่หวังว่าประชากรชาวไทยมากกว่าครึ่งประเทศคงไม่สมองป่วยเหมือนคุณนะ   ............................................ ผมออกความคิดเห็นไม่ว่าใน คห.ไหนก็ตาม ไม่เคยพาดพิงถึงคุณเลยนะครับ ทำไมต้องมาเอ่ยชื่อล็อคอินผม และมาพูดถึงผมในลักษณะนั้นครับ ช่วยพิจารณาด้วยครับ  ว่าเหมาะสมหรือไม่ครับ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 55 17:59:03 จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 17:37:20

ความคิดเห็นที่ 69 รู้สึกแย่กับบางความเห็นครับ ไม่เคยไปพาดพิงอะไรเจ้าตัวเลย แต่มาพูดจาดูถูกคนอื่น ๆ รู้สึกแย่มากครับ จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 17:40:07

ความคิดเห็นที่ 70 ในเรื่องการให้กิฟท์ แล้วจะแสดงว่าระดับสติปัญญาอยู่ในระดับเดียวกัน หรือคิดเหมือนกันเลยให้กิฟท์  จะคิดอย่างนั้น 100 % ไม่ได้หรอกนะครับ บางครั้ง คห. เป็น 10 บรรทัด  แต่คนที่ให้กิฟท์ไม่ได้หมายความว่า จะถูกใจทั้ง 10 บรรทัด อาจจะมีแค่บางคำ บางประโยคเท่านั้นก็ได้ที่ถูกใจ ไม่ใช่ว่าถูกใจทั้งหมด แล้วการที่จะให้กิฟท์ใครก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ผมว่าไม่ควรมาดูถูกกันนะครับ และผมก็ไม่ได้เป็นกองเชียร์ใคร ถ้าเชียร์กันจริง ๆ ต้องตามให้กิฟท์ทุกความเห็นที่เขาเถียงกับคุณครับ ไม่ใช่กองเชียร์ครับ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 55 17:48:29 จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 17:46:54

ความคิดเห็นที่ 71 มันน่าเศร้าตรงที่คนที่ออกกฏระเบียบทุกวันนี้ มันมาจากหัวคนที่ไม่เคยเป็นครูหรืออาจารย์มาก่อนเลย จากคุณ : The Queenslander เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 20:36:14

ความคิดเห็นที่ 72 คนบางคนก็รู้ดีไปซะทุกเรื่องค่ะ เหมือนอย่างที่ใครบางคนชื่นชมสำนักพิมพ์หนึ่งที่ทำนิยายแปลว่าแปลดีเหลือเกินนนนนนน ทั้งๆที่แทบไม่เคยอ่านนิยายของสนพ.นี้เลย และสิ่งที่พูดก็ช่างสวนทางกับความเห็นของคนอื่นเหลือเกิน ตามกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/09/K11052753/K11052753.html จากคุณ : Pin เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 22:48:53 A:125.24.40.166 X: TicketID:319721

ความคิดเห็นที่ 73 ในฐานะที่ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ในคณะศึกษาศาสตร์ จากที่บอกว่าคนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์สามารถมาเป็นครูได้ แล้วอยากทราบว่าตั้งคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์มาทำไมค่ะ เรียนก็ 5 ปี หนักก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย T____T จากคุณ : ภวังค์ในหัวใจเธอ เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 22:57:55

ความคิดเห็นที่ 74 เจ้าของกระทู้คงงงน่าดู จากคุณ : earthquakejumbo เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 23:04:13

ความคิดเห็นที่ 75 ยาวจังเลย จากคุณ : dezire (dezireman) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 23:08:35

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่มีใครที่มีความรู้ช่วยเจ้าของกระทู้เลย ตั้งกระทู้มาเป็นเป้าให้คนถือโอกาสโจมตีครู อยากแนะนำจขกท.นิดหน่อยว่า หากต้องการคำแนะนำจากผู้มีความรู้ในห้องนี้ ควรจะใช้คำพูดที่เหมาะสมกับวิชาชีพครูของตน เพราะถ้าประกาศว่าตัวเป็นครู แต่พูดเหมือนเด็กน้อยวิ่งมาขอให้ช่วยสอนการบ้านแบบนี้ มันเป็นการดึงภาพลักษณ์ความเป็นครูในประเทศนี้ให้ต่ำลง ผลก็คือจะมีคนมาดูถูกครูในระบบ เป็นเหตุให้เถียงกันนอกประเด็นไปยาวแบบนี้ จากคุณ : pink cocktail เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 23:47:14

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ fortuneteller  คะ ดิฉันเชื่อว่าภาษาอังกฤษคุณดีมากๆ  แล้วคุณก็เป็นคนฉลาดรอบรู้มากๆ ด้วย ดิฉันเป็นเจ้าของโรงเรียน ถ้าวันหนึ่งคุณมาสมัครงานที่โรงเรียนดิฉัน  ดิฉันไม่รับคุณค่ะ ไม่ใช่เพราะคุณไม่จบ ป.ตรี  ดิฉันไม่เคยสนใจตรงนั้น แต่เพราะ "เด็กๆ และเพื่อนร่วมงานจะไม่ชอบคุณ" ดิฉันจบอักษรฯ จุฬาฯ   จบมาแล้วก็เข้าไปสอนในโรงเรียนมัธยม  ด้วยความภาคภูมิ ด้วยความรู้สึกว่าตัวเหนือคนอื่นๆ... แต่สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ว่าความเก่งในวิชาการ   กับการทำงานดี  การเป็นครูที่ดี   บางทีมันก็เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร... ต้องลองเองค่ะ จากคุณ : ช็อปยันเช้า เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 00:27:51

ความคิดเห็นที่ 78 เจ้าของกระทู้ควรทราบว่า ห้องสมุดจะไม่ช่วยทำการบ้านให้ วันหลังอยากไห้งานเสร็จต้องคิดประโยคมาก่อนว่าจะพูดอะไร แล้วพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้"ห้องสมุด" กับ "ห้องไกลบ้าน" ช่วยตรวจ จากคุณ : Vermouth เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 00:41:46 A:58.10.12.177 X: TicketID:344407

ความคิดเห็นที่ 79 สงสัยมากค่ะว่า นโยบาย"พูดภาษาอังกฤษสัปดาห์ละหนึ่งวัน"นี้ ออกมาจากสมองใครคะ? คนไหนในรัฐบาล? วิธีการนี้ผิดหลักการเรียนรู้ของมนุษย์หลายอย่างค่ะ รบกวน จขกท.เดิมโน้นแนะนำผู้อำนวยการด้วยนะคะให้ปรับเปลี่ยนวิธีการ ความรู้ทั่วไปของเรานะคะ -ความจำและการฝึกทักษะของมนุษย์นั้นอย่างน้อยที่สุดต้องได้รับการทบทวนหรือกระตุ้นภายใน 72ช.ม. แต่นี่สัปดาห์ละหนึ่งวันเท่ากับ 1 เดือน พูดอังกฤษเฉลี่ย 4 วัน และเด็กจะไม่พูดกับเพื่อน แต่จะพูดแค่กับครูเท่านั้น -ครูที่ไม่ได้สอนภาษาอังกฤษกลับถูกคาดหวังว่าจะต้องพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วหน้่าเสาธง??? -ภาษาอังกฤษของครูหรือเด็กประถมที่ได้พูดภาษาอังกฤษเดือนละ 4 วันจะมีการพัฒนา? เชื่อหลายคนคงรู้สึกว่า... การฝึกภาษาอังกฤษแบบนี้ผักชีโรยหน้ามากๆ และหลายคนในนี้รู้ว่าการฝึกที่ได้ผลจริงๆต้องทำอย่างไร... จากคุณ : Vermouth เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 01:20:38 A:58.10.12.177 X: TicketID:344407

ความคิดเห็นที่ 80 ตอบคุณ ช็อปยันเช้า คคห 77 คุณฝันกลางวันแสกๆไปซะแล้วว่าเราจะจะลดเกียรติ์ตัวเองถึงขนาดไปสมัครเป็นครูที่โรงเรียนคุณ ถ้าเราอยากสอนจริงๆเรามีเงินเปิดโรงเรียนเองได้ เพียงแต่ตอนนี้เรามีอะไรที่ดีกว่านั้นทำ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 03:33:11

ความคิดเห็นที่ 81 ตอบ คุณ ภวังค์ในหัวใจเธอ คคห 73 ที่คุณพูดว่า "ในฐานะที่ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ในคณะศึกษาศาสตร์ จากที่บอกว่าคนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์สามารถมาเป็นครูได้ แล้วอยากทราบว่าตั้งคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์มาทำไมค่ะ เรียนก็ 5 ปี หนักก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย T____T" ^ ถ้าสิ่งที่คุณพูดมันถูกกลั่นกรองออกมาจากสมองของคนที่เป็นครู มันก็บ่งได้ชัดว่าคุณใช้ lame logic (ตรรกะที่ป่วย) เพราะ arguments ของคุณมันตีความได้แบบนี้ premiss 1: คณะศึกษาศาสตร์ตั้งไว้ผลิดครู premiss 2: คนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์เป็นครูได้ conclusion: ดังนั้นจึงต้องยุบคณะศึกษาศาสตร์ ^ นี่คือสิ่งที่คุณพยายามยัดใส่ปากเรา คือกล่าวหาเราว่าเราคิดอะไรไร้เหตุผลแบบนี้ แต่เราไม่ได้คิดแบบนี้ โปรดใช้สติปัญญาและใช้เหตุผลให้สมกับที่กำลังจะออกไปเป็นแม่พิมพ์ของชาติหัดอ่านระหว่างบรรทัดให้ดีๆ ให้เข้าใจสิ่งที่เราพูด อันที่จริงแล้วเราพูดว่า ในประเทศไทยมันมีกรณีพิเศษ เนื่องจากเหตุผลทางด้านสังคมแบบไทยๆ นั่นก็คือชาวไร่ชาวนากรรมกรไทยทำงานแล้วรวยแบบชาวไร่ชาวนากรรมกรอารยประเทศไม่ได้ ดังนั้นคนที่สมองไม่เหมาะแก่การเรียนด้านวิชาการก็ยังต้องฝืนเรียนเอาปริญญาตรีเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นชาวไร่ชาวนาและกรรมกร มันก็เลยมีมหาลัยที่ต่ำกว่ามาตรฐานมารองรับคนพวกนี้ ผลก็คือมหาลัยที่ต่ำกว่ามาตรฐานเหล่านี้ระดมกำลังกันผลิตบัณฑิตจบปริญญาตรีที่มีความรู้จริงๆต่ำกว่าปริญญาตรี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งศึกษาศาสตร์บัณฑิต อย่างเช่นคุณเป็นต้น ที่แสดงออกให้้เห็นโดยการใช้เหตุผลแบบระบบตรรกะป่วย อย่างที่คุณเอาข้อความเพี้ยนๆยัดใส่ปากเรา แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 04:03:01 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 04:00:43

ความคิดเห็นที่ 82 ถ้าคุณภวังค์ในหัวใจเธอ งง 3 บรรทัดนี้ เราจะสอนวิธีคิดให้คุณ ข้อความที่คุณยัดใส่ปากเรานี้ คนคิดไม่เป็นเอาไว้เถียง เพื่อให้คนคิดไม่เป็นคล้อยตาม มาดูกัน คุณพูดใน คคห 73 "ในฐานะที่ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ในคณะศึกษาศาสตร์ จากที่บอกว่าคนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์สามารถมาเป็นครูได้ แล้วอยากทราบว่าตั้งคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์มาทำไมค่ะ เรียนก็ 5 ปี หนักก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย T____T" เมื่อถอดรห้สออกมา 3 บรรทัดเราจะได้ premiss 1: คณะศึกษาศาสตร์ตั้งไว้ผลิดครู premiss 2: คนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์เป็นครูได้ conclusion: ดังนั้นจึงต้องยุบคณะศึกษาศาสตร์ premiss 1 ถูก premiss 2 ถูก แต่ conclusion ผิด เพราะอะไร? เพราะการที่คนไม่จบศึกษาศาสตร์เป็นครูได้ มันก็มิได้หมายความว่าคนจบศึกษาศาสตร์เป็นครูไม่ได้นี่นา และในกระบวนความคิดนี้ มันมีเรื่องของ some (บางคน บางอย่าง) กับ all (ทั้งหมดทุกคน ทั้งหมดทุกอย่าง) เข้ามา ให้แยกแยะ ปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ ไม่ได้สอนคุณให้แยกแยะเรื่อง some กับ all หรือไง real application (การใช้งานจริง) ในเรื่องการแยกแยะ some กับ all นั่นก็คือ มหาลัยบางแห่งผลิตครูที่ไม่มีคุณภาพ ม้นก็สมควรยุบไปได้ แต่มหาลัยที่ผลิตครูมีคุณภาพมันก็เป็นคุณประโยชน์ เพราะเราเคยเป็น editor ตรวจแก้คำแปล videos ด้านการศึกษา แล้วเห็นว่าในประเทศทางแถบตะวันตกมีการทำงานประสานงานกันระหว่างคนจบศึกษาศาสตร์ (ซึ่งเป็นนักวิชาการทางด้านการศึกษา)กับครูที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์มา แต่เขาไม่ได้มีกฎระเบียบเรื่องสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครูซึ่งเป็นการกีดกันคนไม่จบศึกษาศาสตร์อย่างในประเทศไทย คุณภวังค์ในหัวใจเธอ พยามยัดคำพูดใส่ปากเราว่าสิ่งที่เราพูดคือ premiss 1: คณะศึกษาศาสตร์ตั้งไว้ผลิดครู premiss 2: คนที่ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์เป็นครูได้ conclusion: ดังนั้นจึงต้องยุบคณะศึกษาศาสตร์ แล้วพยายามหลอกคนที่ใช้เหตุผลไม่เป็นให้หลงคิดว่าเราไร้เหตุผล (ทั้งๆที่สิ่งที่เราพูดมันตีความเป็นแบบนั้นไม่ได้) ^ ดังนั้นคนจบมัธยมต้นอย่างเราจึงจำเป็นต้องสอนวิชา elementary logic ให้คุณคุณภวังค์ในหัวใจเธอหัดใช้เหตุผลเป็นสมดังเป็นศึกษาศาสตร์บัณฑิต เผื่อคุณจะได้ออกไปเป็นแม่พิมพ์ของชาติที่ดีกว่าที่คุณเป็นอยู่ในขณะนี้ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 04:30:38 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 04:26:04

ความคิดเห็นที่ 83 แม้คุณหมอดูจะไม่ได้จบตรีก็ตาม แต่ภาษาอังกฤษของเค้าเป็น real English และมีประโยชน์มากๆ เพราะประเทศไทยมัวแต่มองกันที่วุฒิ ไม่มองที่ความสามารถเป็นหลักไง ประเทศถึงได้ก้าวช้าแบบนี้ จากคุณ : RaziexQ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 04:31:51

ความคิดเห็นที่ 84 คุณกุลรินทร์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรไปจาก คุณภวังค์ในหัวใจเธอ คือ "ใช้เหตผลไม่เป็น" แทนที่จะเถียงโดยใช้เหตุผลที่ถูกครรลอง แต่เขากลับท้าว่าคนไม่จบปริญญาอย่างเราทำอะไรไม่ได้ตั้งหลายอย่างเพื่อเบี่ยงประเด็น เราจึงท้าพิสูจน์ให้เอาคนจบปริญญากับคนไม่จบปริญญามาลองสอนแข่งกัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทยรู้ว่า "แท้จริงแล้วบัณฑิตที่เขายกย่องหลายๆคนก็มีความรู้จริงๆต่ำกว่าปริญญาตรี ซึ่งเป็นการเล่นละครตบตากันในสังคมไทย มานานแล้ว" ^ แต่เขาไม่กล้ารับคำท้า เขาก็เลยได้แต่พูดเฉนอกเรื่อง การที่เราท้าประลองฝีมือการสอนระหว่างทีมงานครูไม่จบปริญญากับทีมงานครูจบปริญญา ถึงมันจะทำให้คนอ่านหมั่นไส้ว่าเราอวดเก่ง  (จนคุณ ช็อปยันเช้า คคห 77 เพ้อเจ้อไปว่าเราจะไปสมัครสอนโรงเรียนเขา ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) ^ แต่ถ้าคิดแบบ scientifically  กันจริงๆ มันก็เหมือนกับว่า การที่เราจะนำหลักการหรือทฤษฎีอะไรไปใช้งานได้ เราก็ต้องพิสูจน์กันแบบเหมือนการทดลองวิจ้ยวัดผลกันแบบ scientifically ซึ่งในที่นี่เรา challenge (ท้าพิสูจน์) ว่า "กฎระเบียบเรื่องการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครู มีไว้เพื่อเป็นการผูกขาดเพื่อปกป้องคนจบศึกษาศาสตร์ที่เศษกระดาษบอกว่าจบปริญญาตรี แต่แท้จริงแล้วมีความรู้ต่ำกว่าปริญญาตรี ไม่ให้คนที่เรียนมาด้านอื่นที่เก่งกว่า เข้ามาแย่งอาชีพครู" การพิสูจน์กันให้เห็นดำเห็นแดงเช่นนี้ "มันจะทำให้ผู้ปกครองเด็กและประชาชนทั้งประเทศหูตาสว่าง จนถึงขั้นที่จะแก้ปัญหาด้านการศึกษาของประเทศไทยได้แบบถอนรากถอนโคนอย่างเป็นรูปธรรม" หากพิสูจน์ได้ว่าครูที่จบปริญญาตรีพวกนี้แท้จริงแล้วมีความรู้ต่ำกว่าปริญญาตรี เราก็สมควรที่จะดำเนินการอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขเยียวยาสถานการณ์ ดังเช่น คือขจัดครูอย่าง คุณ ภวังค์ในหัวใจเธอ และ คุณกุลรินทร์ (ถ้าเขาเป็นครูนะ) ออกไปจากระบบการศึกษาไทยเสียให้สิ้นซาก เพราะคนที่คิดเรื่องง่ายๆไม่เป็น และใช้เหตุผลเลอะเทอะไปหมดแบบระบบตรรกะป่วยแบบนี้ ย่อมไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะสอนเด็กให้คิดได้อย่างชาญฉลาดและมีเหตุผลได้ ^ และคนพวกนี้มีอยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมดในระบบการศึกษาไทย ประเทศไทยตอนนี้ถึงได้กำลังจะกลายเป็นล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านไปซะแล้ว นั่นก็เพราะครูเป็นจำนวนมากจนล้นประเทศจบปริญญาตรีมาแต่ความรู้จริงต่ำกว่าปริญญาตรี แถมยังสมองใช้ lame logic (ระบบตรรกะป่วย) ครูพวกนี้ไปเป็นแบบอย่างที่เลวๆให้แก่เด็กไทย ให้เด็กไทยโง่ลงเรื่อยๆทุกวึ่ทุกวัน ^ สรุปแล้วปัจจุบันนี้น่ะ เด็กไทยที่ฉลาดเรียนเก่งส่วนใหญ่ได้ความรู้มาจากการไปเรียนพิเศษกับติวเตอร์ดังๆกันมากกว่าที่จะได้จากครูในระบบ (เพราะคนที่เรียนจบมหาลัยมาแล้วเก่งมากๆจริงๆจะไปทำงานอื่นที่รายได้ดีกว่าที่จะมาเป็นครูในระบบ) แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 04:44:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 04:36:50

ความคิดเห็นที่ 85 สวัสดี คุณ pimp เอ้ยคุณ Pin คคห 72 ^ นี่ต้องปลด login มาด้วยหรือ กะอีแค่เคยทะเลาะกันมาในกระทู้เก่า ที่คุณพูดว่า "คนบางคนก็รู้ดีไปซะทุกเรื่องค่ะ เหมือนอย่างที่ใครบางคนชื่นชมสำนักพิมพ์หนึ่งที่ทำนิยายแปลว่าแปลดีเหลือเกินนนนนนน ทั้งๆที่แทบไม่เคยอ่านนิยายของสนพ.นี้เลย และสิ่งที่พูดก็ช่างสวนทางกับความเห็นของคนอื่นเหลือเกิน ตามกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/09/K11052753/K11052753.html " ตอบ 1. แล้ว คุณรู้ได้ไงว่าเราไม่เคยอ่านนิยายของสำนักพิมพ์นั้น 2. คุณคงโกรธแค้นกับสำนักพิมพ์นั้น ถึงต้องแสดงอารมณ์อ้นรุนแรง ก็เลยมาเถียงกับเรา เป็นวรรคเป็นเวร แล้วนี่ปลด login มาทำไมก้ัน กล้วไม่รู้หรือว่าเป็นใคร 3. คุณประนามเราว่า "สวนทางกับความคิดเห็นคนอื่น?" มาอีกแล้วไอ้พวกที่ใช้ lame logic (ตรรกะป่วย) ^ ก็ลองกลับไปดูสิว่าคนในกระทู้นั้นที่เขาชอบสำนักพิมพ์ที่ว่านี้มันก็มีนินา แล้วคนที่ไม่ได้แสดงความเห็นในกระทู้นั้นที่ชอบสำนักพิมพ์นี้ ในประเทศไทยมันไม่มีหรือไง? ใช้สมองคิดไม่เป็นหรือไงเนี่ย งั้นก็ดีแล้วเข้ามาเรียนรู้เรื่องวิธีใช้สมองซะ ต่อไปจะได้ฉลาดขึ้นอีกหน่อย ^ แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ในสากลโลกนี้ มันมี universal truth อย่างหนึ่งที่คุณควรหัดเรียนรู้ไว้หากต้องการเติบโตมาในโลกนี้แบบคนที่ใช้สมองคิดเป็น นั่นก็คือ "มันมีความเป็นไปได้ที่คนตั้งหลายคนผิด แต่คนๆเดียวหรือจำนวนน้อยกว่า(ที่สวนกระแสชาวบ้าน) กลายเป็นถูก" ^ คิดออกไหมล่ะว่ามีเหตุการณ์อันใดในโลก ที่เข้าขายนี้ คุณลองกลับไปอ่านบทเรียนที่เราเขียนไว้ในตอนต้นๆสิเรื่อง exhaust all possibilities (คิดคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมด) ถ้าคิดไม่ออกก็จะชี้ทางสว่างให้ ก็ Galileo ยังไงล่ะ เขาสวนกระแสของผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะอะไรลองอ่านดู Because he had proved that it is not the sun that moves but the earth; that day and night come about by the earth rotating round its own axle -a truth now universally admitted by all people! (แปลเอาเองนะ ขี้เกียจแปลให้) ^ แต่จริงๆแล้ว Galileo ถูก ดังนั้น คุณ Pin จะมาประนามคนเพราะเขาสวนกระแสคนเป็นจำนวนมาก มันก็ไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องเสมอไปอะนะ "เพราะคุณก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้ประจักษ์ได้ว่าคนๆเดียวที่สวนกระแสคนจำนวนมาก กับคนจำนวนมากที่ตามกระแสคนจำนวนมาก นั้น ใครถูกใครผิดกันแน่" จริงหรือไม่ล่ะ จริงๆแล้วคุณเอาเรื่องนอกประเด็นมาโจมตีเรา (นิสัยไม่ดี เล่นนอกกติกา) แต่เผอิญเรากำลังเปิดสอนวิชา elementary logic อยู่ ให้พวกครูที่ใช้เหตุผลไม่เป็น ฝึกคิด ฝึกใช้เหตุผล เราก็เลยฉวยโอกาสเอาความคิดที่ไร้เหตุผลของคุณมาทำเป็นบทเรียนซะเลย ขอบคุณมากๆที่คุณ pimp เอ้ยคุณ Pin กรุณาอุตส่าห์ปลด login เพื่อเข้ามาปล่อยไก่ในกระทู้นี้........ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 06:14:28 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 06:13:36 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 06:12:49

ความคิดเห็นที่ 86 ^ เรื่อง Galileo ที่สวนกระแสผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะสิ่งที่เขาค้นพบ คือ Because he had proved that it is not the sun that moves but the earth; that day and night come about by the earth rotating round its own axle -a truth now universally admitted by all people! ^ มันขัดกับคำสอนของศาสนา ดังนั้นจึงสวนกระแสผู้คนเป็นจำนวนมาก ไปอ่านต่อได้ที่นี่ http://www.womenpriests.org/theology/bellar8.asp จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 06:22:07

ความคิดเห็นที่ 87 เออ ยาวมากอะ อ่านไม่จบนะ มาคอมเม้นก่อน ตอนคลิกเข้ามาไม่ได้ดูว่ามีกี่ความเห็นไม่รู้ว่ายาวขนาดนี้ นึกว่าไม่มีคนตอบกัน ขอคอมเม้นก่อนนะ เดี๋ยวกลับไปอ่านต่อ เรางงมากที่อาจารย์มาให้ช่วยคิดคำอบรมและให้โอวาทนักเรียน อ้าว แล้วตอนสอบครูสอบความสามารถ9อย่างอะไรน่ะ ไม่มีสอบภาษาอังกฤษหรอ อย่างน้อยเรียนมาตั้งแต่ ป.5 สอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย ตอนเรียนระดับปริญญา จนจบปริญญา น่าจะมีความรู้ภาษาอังกฤษพอจะสอนเด็กได้นะ อย่างน้อยสังคมก็คาดหวัง อย่างน้อยก็เป็นครูสอนภาษาเหมือนกัน ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ อย่างนี้ ถ้าเด็กมาถามภาษาอังกฤษทำไงเนี่ย อืม ก็ใช้ความสามารถที่มีอยู่อะค่ะ ร่างหัวเรื่อง หัวข้อ ภาษาไทยมาคร่าวๆก็ได้ ว่าเราจะพูดเรื่องอะไร แล้วก็ลงรายละเอียดอะค่ะ แล้วลองเขียนเองเป็นภาษาอังกฤษแล้วลองเอามาให้ดูที่นี่หรือให้ อาจารย์ภาษาอังกฤษดูก็ได้ค่ะ คืออย่างน้อยก็ทำไรมาบ้าง เพราะเราจะได้รู้ว่าพื้นขนาดไหน ไม่งั้นถ้าเราเขียนให้ เราจะใช้ศัพท์ยากไปมั๊ย จะเข้าใจที่เราเขียนแค่ไหน พูดให้เด็กระดับไหนฟัง ประถม หรือมัธยม เราก็ไม่รู้ ความยาวแค่ไหนกี่นาที เด็กกี่คน เราก็ไม่รู้ และจะไม่กลายเป็นมาอ่านโพย ต่อหน้าเด็กไปหรอคะ เพราะต้องให้โอวาทและอบรมมันคือพูด ไม่ใช่อ่านโพยอะค่ะ ประมาณนี้อะค่ะ สรุป คุณครูลองเขียนโครงร่างเป็นภาษาอังกฤษมา และให้รายละเอียดมานะคะ อย่างน้อยก็ทำไรมาให้เราเห็นบ้างอะค่ะ จะได้ช่วยถูก  พอละกลับไปอ่านต่อ งงมาก ณ จุดนี้ ******************************** อ่านจบละ คุณหมอดูแกพูดถูกนะ คหสต ไม่มีแบบ ถูกทั้ง สองหรอ เน้นประนีประนอม คอมโพรไมซ์ แบบคนที่สอบ 9 ความสามารถอะไรน่ะ ก็ควรเก่งระดับคุณหมอดู ส่วนคุณหมอดู แค่แกไม่ได้ไปสอบ  9 ความสามารถ เพราะไม่จำเป็น แต่ ความสามารถระดับที่คุณหมอดูพูด และ สอบ 9 อย่าง ควรจะเป็นอันเดียวกัน แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ มันไม่เท่ากัน แค่นั้นแหละ คหสต แม้จะสอบ 9 อย่างผ่านแล้ว ครูก็ควรจะพัฒนาความสามารถต่อไป แล้วเรื่องจะรับไม่รับแกเข้าทำงาน เราว่าคงมีคนกลุ่มหนึ่งอยากไปเป็นลูกศิษย์แกนะ แต่บางทีดูคุณสมบัติหรือหน่วยก้านแล้ว แกคงไม่รับเหมือนกัน แกก็มีสิทธิเลือกเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 08:49:16 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 08:38:36 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 07:29:10

ความคิดเห็นที่ 88 เข้าใจละ   ว่าใครมีนิสัยอย่างไร และหลังจากอ่านกระทู้นี้แล้ว ทำให้เชื่อมั่นเข้าไปอีกว่า นิสัยของคนจะดีหรือไม่ดี การศึกษาในระบบมีส่วนช่วยปลูกฝังนิสัยดี ๆ ในตัวคนด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากพ่อ แม่ ผู้ปกครองแล้ว คุณครูก็มีส่วนในการปลูกฝังนิสัยดี ๆ ให้กับลูกศิษย์เช่นกัน     จากคุณ : น้องเล็ก Soi 1 เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 08:43:15

ความคิดเห็นที่ 89 ถ้ามีนักเรียนที่สนใจภาษาอังกฤษเข้ามาอ่านกระทู้นี้ คงแปลกใจว่าหัวข้อกระทู้ที่ จขกท ต้องการความช่วยเหลือกับเนื้อหา คห ต่อ ๆ เขียนแสดงความเห็นบานปลายหลายหลากน่าแปลกใจ   อาจตั้งกระทู้ถามในใจด้วยว่า ผู้ใหญ่เขาทะเลาะกันด้วยเหตุเล็ก ๆ แค่นี้หรือ  จากคุณ : กื้อ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 08:51:29

ความคิดเห็นที่ 90 ตอบ*88 ใช่ค่ะ เป็นหน้าที่ของครูเลยค่ะ เช่นในเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดีอะค่ะ ที่เราร้องกันในโรงเรียน "1 นับถือศาสนา" มาข้อแรกเลยค่ะ ข้อ 3 ต้องเชื่อฟังครูค่ะ ************************************************** เด็กเอ๋ยเด็กดี เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน หนึ่งนับถือศาสนา สองรักษาธรรมเนียมมั่น สามเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ สี่วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน ห้ายึดมั่นกตัญญู หกเป็นผู้รู้รักการงาน เจ็ดต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน แปดรู้จักออมประหยัด เก้าต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะแก่การสมัยชาติพัฒนา สิบทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา... เด็กสมัยชาติพัฒนาจะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน (ซ้ำ) แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 08:52:56 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 08:52:11

ความคิดเห็นที่ 91 เฮ้อ เถียงกันยาว จนอ่านแทบไม่หมด เรื่องความรู้ของคุณหมอดู ฮ่าๆ มาสอนหนูบ้างได้ไหม ^ ^ สอนฟรีนะคะ ไม่มีปัญญาจ้าง ภาษาอังกฤษของคุณหมอดู ดีจริงๆนั่นล่ะ ชื่นชมค่ะ กว่าจะเก่งได้ขนาดนี้คงต้องใช้เวลาและประสบการณ์มาก ส่วนเรื่องการศึกษาไทย มันเกินกว่าจะเยียวยาได้แล้วมั้งคะ เรื่องคุณครูที่ไม่มีคุณภาพ หนูไม่มีความเห็น เพราะไม่เคยเจอ ตั้งแต่เกิดมา เรียนจากอนุบาลประถมจนจะจบมัธยมปลาย โชคดีจริงๆ :) สำหรับหนู ครูไทยที่สอนภาษาอังกฤษ ไม่ต้องเก่งระดับคุณหมอดูหรอกค่ะ (การจะให้ครูทุกคนเก่งระดับนั้น มันยากเกินไป และไม่มีทางเป็นไปได้) แต่ต้องเก่งและแม่นพอในระดับที่จะสอนนักเรียนของตัวเองได้ ไม่สอนมั่ว ไม่สอนผิด ที่สำคัญ สอนในวิธีการที่ถูกต้อง ให้นักเรียนรู้สึกสนใจและอยากไปค้นหา และศึกษาต่อด้วยตัวเองค่ะ ^ ^ นักเรียนจะเก่งไม่เก่ง มันอยู่ที่การขวนขวายของตัวเองด้วย คุณครูไม่สามารถให้ได้ทุกอย่างหรอกค่ะ จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิดใครถูกนะคะ เพราะทุกคนก็มองแต่ในมุมของตัวเอง ที่จริงแล้ว ในสังคม ทั้งคนที่จบปริญญา และไม่ได้จบปริญญา มีทั้งคนเก่งและไม่เก่งปะปนกันไป ปริญญาแผ่นเดียวมันตัดสินอะไรไม่ได้ (บางคนขยันเรียนเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะจบ บางคนแค่อาศัยลอกคนอื่นก็จบได้) คนจบปริญญา ไม่ใช่ทุกคนที่จะเก่ง คนไม่จบปริญญา ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่เก่ง (บางคนมีความจำเป็นที่ไม่สามารถไปเรียนได้ หาความรู้ประสบการณ์ด้วยตัวเองก็เก่งได้เหมือนกัน) เถียงกันไปก็ไม่จบหรอกค่ะ เรื่องใบวิชาชีพ อันนี้หนูว่า น่าจะให้มีการสอบเหมือนกันให้หมด ทั้งคนที่จบครู และไม่ได้จบครู เพราะคนที่จบครูจะต้องกลัวอะไรล่ะคะ เราก็เรียนมาเหมือนกัน ถ้าเขาเก่งกว่าเราก็ต้องยอมรับ แล้วก็พยายามเพิ่มพูนความรู้ของตัวเองต่อไป (หนูคิดในมุมมองของเด็กๆนะคะ ถ้าทำให้ผู้ใหญ่หลายๆท่านไม่พอใจก็ขอโทษด้วยค่ะ) ปล. ค่านิยมของสังคมไทยมันทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด ครู อาชีพที่สอนอนาคตของชาติ ควรได้รับการสนับสนุนและพัฒนามากกว่านี้ (ไม่ใช่อาชีพที่ใครสอบเข้าคณะอื่นไม่ได้ แล้วก็ไปเป็นกัน คนที่อยากเป็นครูจริงๆก็มี แต่น้อย) เกษตรกร อาชีพที่เป็นรากฐานของคนไทยมาตั้งแต่อดีต กลับโดนกดให้ต่ำลง ไม่มีใครคิดจะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น แม้แต่ให้เกียรติ สังคมยังไม่ให้เขาเลย -------------------------------------------------- ขอแก้ไขเรื่องใบวิชาชีพนิดนึงค่ะ ตกลงเขาไม่ได้สอบเอาความรู้ที่จะไปเป็นครูหรอคะ ฮ่าๆ ถ้าไม่ใช่นี่ตลกมาก เพราะจรรยาบรรณมันวัดไม่ได้ด้วยการสอบ คนเรามันโกหกกันได้ค่ะ งั้นที่เราบอกว่าให้สอบเหมือนกันหมดนี่ เราหมายถึงสอบในวิชาที่จะสอนนะคะ ^ ^ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 17:49:30 จากคุณ : Soleindee เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 10:07:00

ความคิดเห็นที่ 92 กระทู้นี้เห็นด้วยกับคุณหมอดูค่ะ เห็นเด็กแถวบ้านแล้วเพลียมากๆ ภาษาอังกฤษนี่แย่มากๆ จนบางครั้งยังนึกว่าอยากจะไปสอนเองซะด้วยซ้ำติดตรงที่วุฒิครูไม่มีนี่ละค่ะ ครูที่ไม่มีความรู้ความสามารถและเด็กมันจะเก่งได้ยังงัยค่ะ บ้านนี้เมืองนี้คนเก่งๆเยอะมากๆนะคะ น่าจะมีการเอาคนเหล่านี้มาช่วยสอนให้เด็กไม่ใช่เอากระดาษบ้าๆนี่มาปิดกันคนมีความรู้ความสามารถไมให้เป็นครู จากคุณ : ผู้หญิงที่สวยเลอค่าที่สุด เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 12:54:20

ความคิดเห็นที่ 93 ถ้าวิชาจรรยาบรรณ ศีลธรรม 9 ประการมันเทพมาก ทำไมไม่สอนเด็กมัธยมทุกคนเลยล่ะครับ จากคุณ : แอบรักสาวใจร้าย เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 14:02:09

ความคิดเห็นที่ 94 เห็นด้วยกับคุณ fortuneteller ครับ เพื่อนผมเรียนครุศาสตร์ เอกสอนภาษาจีน ในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ตอนนี้ก็ปี 3 เข้าไปแล้ว แต่ภาษาจีนของเขากลับย่ำแย่จนน่าตกใจ และที่น่าตกใจกว่าคือ คะแนนของเพื่อนผมคนนี้ สูงที่สุดในเอกแล้ว!!! แล้วอย่างนี้ ว่าที่คุณครูในอนาคตเหล่านี้จะไปสอนเด็ก ๆ ให้เข้าใจได้อย่างไรกัน ในเมื่อตนเองก็เข้าใจในสิ่งที่สอนแบบผิวเผิน แปลออกมาแบบลวก ๆ ตัวผมก็ไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่กลับต้องมาคอยแก้งานให้กับเพื่อนผมคนนี้เป็นประจำ บางทีถึงขั้นต้องลบทิ้ง แล้วเขียนให้ใหม่หมดเลย เฮ้ออออ... จากคุณ : ระวังแตก เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 14:30:45

ความคิดเห็นที่ 95 เอ่อ...อะไรเนี่ย แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 17:00:15 แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 15:49:25 จากคุณ : สุวัจนีย่ะ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 15:43:04

ความคิดเห็นที่ 96 เดิมสิงอยู่แต่ในห้องเฉลิมไทยแบบเงียบๆ (หรือจริงๆ ก็คือนานๆ ทีเข้ามาในพันทิพสักครั้งน่ะนะ) ดันมาเจอกระทู้ที่โดนใจเข้า ประเด็นของกระทู้นี้ ที่ไม่เกี่ยวกับจขกท. แต่เป็นเรื่องที่คุณ fortuneteller (เห็นเรียกกันว่าคุณหมอ ใช่ไหมครับ?) และคุณกุลรินทร์ถกเถียงกันในเรื่อง "ใบวิชาชีพครูและการเป็นครู" ผมอาจจับหัวข้อผิด หรือเขียนหัวข้อสื่ออกมาไม่ดีก็ได้ แต่เอาเป็นว่าผมเข้าใจแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ ประเด็นมันก็มีอยู่สั้นๆ แค่ว่า "คนที่มีความสามารถและรู้จริงในวิชาๆ หนึ่งโดยที่ไม่ได้จบปริญญาครูน่ะมีอยู่นะ แต่กลับถูกกีดกันจากกฏหมายที่กำหนดว่าต้องมีใบปริญญาครูถึงจะเป็นครูได้" โดยมีคุณ fortuneteller ที่มาแสดงวิสัยทัศน์ในส่วนของเขาที่ไม่ได้มีใบปริญญาด้านนี้ แต่มีความรู้และเข้าใจจริงในภาษาอังกฤษ และอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ตัววิชา แต่รวมไปถึงวิธีการสอนและอื่นๆ ที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ และคุณกุลรินทร์ที่มาถกเถียงในฝั่งของครูที่จบปริญญาครู คือกฏหมายกำหนดมาตามนี้ หากคนไม่มีปริญญาก็ไปสอบวัด 9 มาตราฐานมาเป็นครูแล้วเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบด้วยตัวเองสิ (อันนี้ผมเพิ่งรู้นะนี่ว่าถึงไม่ได้เรียนครูแต่ก็มาสอบได้ ว้าว! - ผมไม่ได้อยากเป็นครูนะครับ แต่ถ้าอนาคตนึกครึ้มอยากมาสอนบ้างก็ไม่แน่เหมือนกัน) ก็เป็นการถกเถียงในเชิงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายที่อยู่ต่างจุดยืนกัน และมีความคิดต่างกัน ถึงอ่านๆ ไปแล้วอาจรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยบ้างเหมือนกัน (ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือบางข้อความของคุณ fortuneteller ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีน่ะครับ จะด้วยเพราะมันแรงเกินไป หรือมันแทงใจดำเกินไปผมก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันครับ ๕๕๕) แต่ก็เป็นปกติของการสื่อสารผ่านตัวอักษรที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดหรือรู้สึกอย่างไรในระหว่างที่พิมพ์ลงมา จุดนี้คงต้องพยายามอ่านด้วยมุมมองเป็นกลางแล้วรับเฉพาะสารที่ถูกสื่อออกมาจะดีกว่า ในความคิดของผมนะครับ หากจะถามผมว่าผมเห็นด้วยกับท่านไหน ผมเห็นด้วยกับคุณ fortuneteller ครับ :) ปล. ผมก็เป็นแค่นักเรียนม.ปลายของรร.แห่งหนึ่งที่หวังแค่ว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของระบบการศึกษาไทยก็เพียงเท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 17:23:42 จากคุณ : หยาดนิลกาฬ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 17:22:29

ความคิดเห็นที่ 97 กุลรินทร์ =  เกรียน+สลิ่ม คุณธรรมค้ำจุนโลกกันเลยทีเดียว สงสัยจะดูเปาบุ้นจิ้นมากไป บนโลกใบนี้มีแต่คุณธรรมก็พอ  ความรู้ความสามารถไม่ต้องมีกันเลยทีเดียว (มันก็ได้แหละนะถ้าอยู่ตามป่าตามเขาอะ  เก็บผักขี่แพะ อะไรแบบนั้น) พอเค้าเอาเหตุผลมาเถียงสู้ไม่ได้ก็บอกว่าเค้าไม่มีคุณธรรม คนที่ว่าแต่คนอื่นไม่มีคุณธรรมไม่สูงส่ง โดยไม่มีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมมาส่งเสริมซักนิดเลย เรียกว่า  "สลิ่ม"         พวกนี้น่าเบื่อตรงที่มันด่าเอาๆ ด่าจริงจัง ด่าอยู่ั่นแหละ  พอถามว่าด่าทำไม มันตอบว่า "แกมันไม่มีคุณธรรม  ไม่มีศีลธรรม" แล้วก็วนอยู่นั่นแหละ  ถามอะไรก็บอกอยู่แค่นั้นแหละ      นโยบายของรัฐก็มาจากการพรรคการเมือง  มาจากเลือกตั้งเป็นเรื่องของการเมือง เรามีสิทธิที่จะเห็นแย้ง เพราะที่นี่เป็นประเทศที่ปกครองแบบ "ประชาธิปไตย" ไม่ใช่ "เผด็จการทหาร" แต่บางทีตอนนี้เราอาจจะ "เผด็จการทางศีลธรรม" อยู่ก็ได้ เลยคิดเรื่องเหตุเรื่องผล ตรรกะพื้นฐานไม่เป็นซะเลย(พยายามไม่อิงการเมืองละนะ) จากคุณ : PCHREX เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 17:39:38

ความคิดเห็นที่ 98 ตอบคุณ ช็อปยันเช้า คคห 77 คุณฝันกลางวันแสกๆไปซะแล้วว่าเราจะจะลดเกียรติ์ตัวเองถึงขนาดไปสมัครเป็นครูที่โรงเรียนคุณ ถ้าเราอยากสอนจริงๆเรามีเงินเปิดโรงเรียนเองได้ เพียงแต่ตอนนี้เรามีอะไรที่ดีกว่านั้นทำ _____________________________________________________________________ โอเค.  โรงเรียนดิฉันต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับคุณ      จริงๆ ใน คห.นั้นต้องการจะสื่อว่าถ้ามีคนซึ่งทัศนคติแบบนี้มาสมัครจะไม่รับ ไม่ได้หมายถึงตัวคุณ จขกท. โดยตรง  แต่เราสื่อไม่ดีเองค่ะ     เราเคยรับครูที่เก่งมากๆ มาคนหนึ่ง  เขาจบวิศวะฯจากมหาลัยชั้นนำของไทย  แต่อนิจจา.. ทัศนคติที่มีปัญหาและ EQ ที่ต่ำทำให้เขาไม่สามารถประสานงานอะไรกับใครได้เลย  มีแต่ "ประสานงา"  เท่านั้น   สุดท้ายโดนเด็กชกค่ะ   เลยต้องออกไปทั้งที่ยังสอนไม่ครบเทอม ------------------------------------------------------------------------------------------------------- จะบอกว่าเห็นด้วยกับคุณ fortuneteller นะ  ในเรื่องที่ว่าไม่ควรปิดโอกาสคนเก่งให้เข้ามาเป็นครู   เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณเกือบทั้งหมดเลย  แต่ไม่เห็นด้วยกับทัศนคติที่ดูหมิ่นดูแคลนคนอื่น ตอนเราเข้าไปสอนในโรงเรียนมัธยมใหม่ๆ  เรารู้สึกเหมือนตัวเองมาจากดาวคริสตัลน่ะค่ะ  ส่วนพวกจบราชภัฏก็เป็นเหมือนมนุษย์โลกธรรมดาๆ   ส่วนเด็กๆ ที่เราสอนก็เป็นเด็กบ้านนอก ที่ทำอย่างไรก็คงไม่สามารถไปถึงจุดเดียวกับที่เราเคยอยู่ ทัศนคติแบบนั้นทำให้เราไม่มีความสุขและไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน   จนทำงานไปได้เกือบปีนั่นแหละถึงรู้ว่าทุกคนต่างก็ "มีดี"  ในตัวเอง ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง คนจบราชภัฏเขาไม่เก่งวิชาการเท่าเรา  แต่เขาเข้ากับเด็กๆ ได้ดีกว่า   อดทนอดกลั้นหนักเอาเบาสู้มากกว่าเพราะส่วนมากเขาต้องปากกัดตีนถีบมา (อันนี้พูดด้วยความชื่นชมนะคะ) ส่วนสิ่งมีชีวิตที่เรียก "เด็ก"  นั้น   ช่างเป็นอะไรที่...    ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร  เอาเป็นว่าถ้าเขาชอบครูคนไหน  เขาก็จะรักวิชานั้น ทุ่มเทให้วิชานั้น   ในทางตรงกันข้าม  ถ้าเขาเกลียดครูคนไหน  เขาก็จะเกลียดวิชานั้นไปเลย   ดังนั้นเรื่องอุปนิสัยใจคอของคนเป็นครูจึงสำคัญมาก  จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง เราคิดว่าอุปนิสัยใจคอของครูสำคัญกว่าความ "เก่ง" ครูจะเก่งแค่ไหน  แต่ถ้ามีลักษณะที่เด็กไม่รัก  เด็กเขาจะไม่รับสิ่งที่คุณถ่ายทอด  เขาจะเกลียดวิชาที่คุณสอนค่ะ  ดังนั้นคนเป็นครูขอแค่เก่งพอประมาณ  ไม่ต้องถึงกับเป็นเลิศ แต่ขอให้มี EQ สูง  มีความเข้าอกเข้าใจ  รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  คำนึงถึงเรื่อง "ความแตกต่างระหว่างบุคคล" อยู่เสมอ   รับรองว่าสั่งไปสิบ  เด็กมันทำมาให้ร้อยเลยค่ะ คุณ fortuneteller  ทำอย่างอื่นน่ะดีแล้วค่ะ   แต่ถามว่ามีสิทธิ์วิจารณ์ครูได้ไหม  ก็ตอบว่าได้ แต่เราในฐานะที่เป็นครูก็อยากจะแชร์ประสบการณ์ที่เราประสบพบเจอมาจริงๆ จากคุณ : ช็อปยันเช้า เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 17:46:48

ความคิดเห็นที่ 99 ลบดีกว่า แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 55 17:52:32 จากคุณ : PCHREX เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 17:50:53

ความคิดเห็นที่ 100 จรรยาบรรณวิชาชีพครู 1. ครูต้องรักและเมตตาต่อศิษย์ ให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียน โดยเสมอหน้า อาทิ การสร้างความรู้สึกที่เป็นมิตร เป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจได้ของศิษย์ 2. ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้เกิดแก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อาทิ การตอบข้อเสนอและการกระทำของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ 3. ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และใจ 4. ครูต้องไม่ปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ 5. ครูต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช่ให้ศิษย์กระทำการใด ๆ อันเป็นการหาประโยชน์ ให้แก่ตนโดยมิชอบ 6. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ วิสัยทัศน์ และการเมืองอยู่เสมอ 7. ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครูและเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู 8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์ 9. ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย จากคุณ : ภวังค์ในหัวใจเธอ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:29:36

ความคิดเห็นที่ 101 Mr. Fortunteller sure has made very good points. I, somehow, see the comments as constructive criticism, in fact. จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:45:53

ความคิดเห็นที่ 102 คิดไว้ไม่มีผิด ไม่ผิดไปจากที่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว #85 คะ นึกแล้วเชียวว่าจะต้องสรุปเอาง่ายๆว่าดิฉันคือคนเดียวกับล็อกอินอีกท่านหนึ่ง เพียงเพราะว่าชื่อคล้ายกัน ถ้าคิดไม่ออกว่าพลาดตรงไหนก็จะชี้ทางสว่างให้นะคะ หัดสังเกตสังกาบ้าง แทนที่จะใช้ตรรกะป่วยๆ ดูที่ TicketID สิคะ ในกระทู้นั้น ดิฉันลงชื่อว่า yam ซึ่งเป็นชื่อเล่นของดิฉัน แต่ในกระทู้นี้ลงชื่อว่า Pin ซึ่งเป็นพยางค์หนึ่งในชื่อจริงของดิฉัน แต่บังเอิญไปคล้ายกับชื่อล็อกอินของอีกท่านหนึ่ง เพียงแค่คล้าย คุณก็คิดทันทีว่าเป็นคนเดียวกัน นี่หรือคะ ตรรกะของคนเก่ง มันเป็นแบบนี้นี่เอง เมื่อวานยังคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า เขาต้องคิดว่าฉันเป็นล็อกอินนั้นแน่ๆ ขอบคุณนะคะที่ช่วยยืนยันสมมุติฐานของดิฉัน ทำให้เห็นว่าคนที่ชอบอ้างตรรกะ กลับสรุปอะไรง่ายๆอย่างผิดๆ เลื่อนลอยและไร้ความรับผิดชอบ และอาจทำให้บุคคลที่สามเสียหาย พูดถึงกาลิเลโอก็ดีแล้วค่ะ ดูเอาไว้เป็นตัวอย่างนะคะ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่จะมีความช่างสังเกตและไม่สรุปอะไรง่ายๆอย่างที่คุณทำอยู่หรอก หวังว่าคราวหน้าคงไม่ปล่อยไก่แบบนี้อีกนะคะ ฮาๆๆๆๆ ขอหัวเราะแค่สั้นๆก็พอนะคะเพื่อเป็นการล้อสำนวนการเขียนของคุณ ไม่งั้นมันจะดูน่าเกลียดเป็นการทับถมคนอื่นเกินไป ไม่วูแมนค่ะ พูดถึงเรื่องการทับถม กดคนอื่นแล้วยกตัวเอง ผู้ที่ดิฉันรู้จักในแวดวงวิชาการ คนที่ยิ่งมีความรู้สูงก็มักจะยิ่งถ่อมตัว คนเรายิ่งศึกษามากเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกว่าความรู้ในจักรวาลนี้มันมากมายเหลือเกิน สิ่งที่ตนเองรู้นั้นก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความรู้ทั้งมวลในจักรวาล เมื่อคิดได้ดังนี้ก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ธุลีเล็กๆ และรู้สึกกระดากที่จะอวดอ้างความรู้ มีแต่คนที่มีความรู้ในระดับหนึ่งแต่ยังไม่สูงพอเท่านั้นละค่ะ ที่จะตื่นเต้นกับความรู้ของตัวเองราวกับเด็กๆที่เพิ่งได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วอยากจะโอ้อวดกับเพื่อน ขอฝากไว้เท่านี้ก็แล้วกันค่ะ จากคุณ : Pin เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:57:18 A:125.24.40.166 X: TicketID:319721

ความคิดเห็นที่ 103 ตอบ คุณ ช็อปยันเช้า คคห 98 คุณเข้ามาโจมตีเราก็เพราะคุณหมั่นไส้เรา  คุณไม่รู้หัวนอนปลาย teen เราว่าเรามีฐานะการเงินยังไง แต่อยู่ดีๆคุณมาพูดจะพล่อยๆออกมาว่าคุณไม่รับเราเข้าเป็นครูเพราะอะไร ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยรู้จักโรงเรียนคุณ แล้วเราก็ไม่ได้กำลังจะสมัครเป็นครูที่ไหน คุณพูดจาไร้สาระแบบนี้ไม่ละอายใจบ้างหรอกหรือ ที่หลงคิดว่าโรงเรียนต้วเองวิเศษวิโสซะเต็มประดา มันจะวิเศษแค่ไหนเงินเดือนมันก็ไม่มากเท่ารายได้เราหรอก แต่จริงๆแล้วคนที่เขียนข้อความ online จะเป็นใครก็ไม่มีใครรู้ บางทีคุณอาจเป็นพวกครูที่ไม่เก่งเข้ามาลักไก่เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นก็ได้ จริงหรือเปล่าล่ะ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 20:02:32