Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน (๒) ติดต่อทีมงาน

เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน

ตอนที่ ๒ ถูกทิ้งระเบิด

พ.ท.ชาญ กิตติกูล

เมื่อกล่าวถึงนาม ค่ายจักรพงษ์ ทหารสื่อสารเก่าจำนวนมิใช่น้อย ต้องร้องอ่อ เพราะบางท่านเคยไป บางท่านเคยอยู่ เร็วบ้างช้าบ้างแล้วแต่กรรมที่ทำไว้ สมัยนั้นถือกันว่า ค่ายจักรพงษ์ เป็นแดน เนรเทศ แดนที่แห้งแล้ง อดอยาก เต็มไปด้วยภัยต่าง ๆ มีภัยจากโรคไข้ป่า ภัยจากยาพิษ โดยเฉพาะยาสั่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถึงกับทหารไปซ้อมรบไม่ยอมกินน้ำตามบ้าน เว้นแต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทหารไปยิงปืนสั่งซื้อน้ำขวด ยังไม่ยอมให้คนขายเปิดฝาจุก ต้องเอามาเปิดเอง

ค่ายจักรพงษ์ตั้งอยู่ที่ตำบลดงพระราม พอเอ่ยชื่อนี้ทุกคนก็รู้ว่าเป็นชื่อของตัวพระเอกในเรื่องรามกียรติ์ แล้วมาเกี่ยวข้องกับที่ตั้งค่ายอย่างไร ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน รู้แต่ว่าชื่อสำคัญ ๆ เขาเอามาเป็นชื่อถนนไว้เยอะแยะ เช่น ถนนพระราม ถนนพระลักษณ์ ถนนสุครีพ ถนนหนุมาน ถนนองคต ถนนมัจฉานุ ฯลฯ

ถนนเส้นหนึ่งตั้งอยู่ที่ทางเข้าสถานีวิทยุประจำถิ่น ที่เดิม ให้ชื่อว่าถนนกินอน อ่านชื่อถนนแล้วอยากจะกินเหล้าร้องเพลงที่มีชื่อว่า “เอาความทุกข์ไปทิ้งแม่โขง” ซะจริง ผ่าซี

เอ่ยชื่อ “ค่ายจักรพงษ์” ก็นึกได้ถึงของคู่กันคือ “เจ้าพ่อต้นกระบก” หรือจะเรียกให้ถูกต้อง คือ “เจ้าพ่อหมื่นวิเศษ” ที่ประตูทางเข้าหน้าค่ายทางขวามือมีศาลใหญ่ สร้างไว้อย่างสวยงาม เป็นตึกมีหน้ามุขสามมุข หลังคามุงกระเบื้องเคลืบสีอย่างสวยงาม บริเวณศาลตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านสาขากว้างขวางมีชื่อเรียกว่าต้นกระบก ที่คนชอบเอาไปเผาถ่านนั่นแหละ

ที่ศาลนอกจากจะมีเจ้าพ่อแล้วยังมี “ลูกช้าง” เป็นทหารผลัดกันไปเฝ้าเป็ระจำ ทำหน้าที่เป็นคนทำความสอาด เป็นคนขายทองใบ ขายใบเสี่ยงทายของเจ้าพ่อ นอกจากทหารแล้ว ยังมีลูกศิษย์อีกฝูงหนึ่ง เป็นนกผู้มีบรรดาศักดิ์ บางคนเห็นเข้าเรียกว่า “พญาแร้ง” บางคนเรียก อีแร้ง ไม่เคยได้ยินใครเรียกว่า ไอ้แร้ง สักที นกฝูงนี้อาศัยอยู่ที่ต้นกระบกมานาน บางคนว่าอยู่มาก่อนตั้งศาลเสียอีก ขนาดออกลูกออกหลานโดยไม่มีใครทำร้าย เพราะเกรงใจเจ้าพ่อ

พญาแร้งหรืออีแร้งดังที่ว่ามา นับว่าเป็นสัตว์ที่ถือศีลเคร่งครัดในข้อ”ปานาติบาต” คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่นให้ตายตก จะกินแต่ซากศพเท่านั้น หลักฐานและพยานเหก็นจะต้องอ้างคำโคลงซะแล้ว ดังนี้

นกแร้งดูร่างร้าย รุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า
เสพสัตว์มรณัง นฤโทษ
ดั่งจิตสาธุชนกล้า กลั่นสร้างทางผล

และตรงกันข้ามกับนกแร้ง ก็มีโคลงอีกบทหนึ่งเปรียบเทียบไว้ให้เห็น

ยางขาวขนเรียบร้อย ดูดี
ภายนอกสดใสสี เปรียบฝ้าย
เสพสัตว์เช่นปลามี ชีวิต
ดุจดังคนใจร้าย นอกนั้นดูงาม

ก่อนจะว่าถึงอีแร้งฝูงนี้ ขอว่าถึงเจ้าพ่อเสียก่อน เดี๋ยวจะปะปนกันยุ่งเหยิง เจ้าพ่อต้นกระบกนัยว่าเดิมเป็นนายทหารชั้นประทวน รุ่นก่นสร้างค่ายจักรพงษ์ ท่านผู้นี้มียศจ่าสิบเอก มีบรรดาศักดิ์เป็น หมื่นวิเศษ และเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว ความที่ท่านผู้นี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างค่ายด้วยผู้หนึ่ง ท่านจึงกลายเป็นเจ้าที่สิงอยู่ ณ ต้นกระบกดังกล่าว ไม่ยอมไปเกิด ใครมีทุกข์มีร้อนประการใด จุดธูปบนบานท่าน ๆ ก็สามารถบันดาลให้ร้ายกลายเป็นดีได้ สินบนที่ท่านต้องการนั้น มีเพียงมะพร้าวอ่อนกับขนมเท่านั้น แต่มีคนสัปดนแกล้งทำเป็นเข้าทรงแล้วขอกัญชา กับน้ำตาลทรายเป็นเครื่องแก้บน สาเหตุเพราะคอกัญชาอยากได้กัญชามาสูบเท่านั้น พอถึงคราวเจ้าพอตัวจริงมาเข้าทรง ท่านจึงชี้แจงให้ฟัง ระยะนั้นเจ้าพ่อเสียชื่อไปพักใหญ่ เพราะคนที่นับถือพากันรังเกียจ

ถ้าผู้อ่านจะถามว่า เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ผู้เขียนไม่รับรองแต่จะขอเล่าถึงผู้ที่เคยผจญอภินิหารของเจ้าพ่อมาแล้ว พอหอมปากหอมคอ

รายหนึ่ง เป็นทหารสื่อสารเรานี่แหละ สำเร็จจากโรงเรียนแล้วถูกบรรจุไปอยู่ค่ายจักรพงษ์ ท่านผู้นี้ยังหนุมเหน้า มีฝีมือในการใช้ปืนลูกกรด สามารถยิงรูสตางค์แดงถูกทุกนัดในระยะ ๑๐ ก้าว พอไปอยู่ค่ายจักรพงษ์เกิอดรำคาญ เพราะค่ายนี้สมัยก่อนลือกันว่าเป็น “ไซบีเรีย”ของค่ายทหาร เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวสิ้นดี พอถึงวันหยุดคิดว่าดงพระรามเป็นป่า จึงถือปืนเดินรอบ ๆ บริเวณค่ายจะหายิงนก ว่างั้นเถอะ เดินจนรอบค่ายก็ไม่มีนกซักตัว เดินมาถึงบริเวณต้นกระบก เห็นพญาแร้งเกาะกิ่งไม้ยั้วเยี้ย เลยทดลองทางปืนดู ระยะที่นกเกาะกับระยะที่ยิงคงไม่เกิน ๘-๑๐ เมตร ยิงเท่าไรก็ไม่ถูก จนเกิดโทษะ มีลูกปืนเท่าไรก็ยิงเสียเกลี้ยง นกตัวนั้นก็ยังเกาะเฉย ไม่หนีไม่ขยับเขยื้อน เกิดเอะใจขึ้นมาจึงกลับไปเล่าให้คนอื่นฟัง ผู้ที่ทราบดีจึงบอกว่า

“นกนั้นไม่มีใครกล้ายิงหรอก มีคุณนี่แหละกล้าหาญแท้ ๆ “

ท่านผู้นั้นอ้างว่าไม่รู้จึงยิง ต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าพ่อคงไม่ถือโกรธคนที่ไม่รู้

ต่อมาเมื่อประมาณไม่เกินสิบปีนี่เอง ผบ.มณฑลทหารบกที่ ๒ ท่านหนึ่ง จะพบอภินิหารของเจ้าพ่อหรืออย่างไรไม่ทราบ ท่านจึงได้ศาลาขึ้นเสียใหญ่โตสวยงาม ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การสร้างศาลเมื่อเสร็จแล้วมีการเชิญ องบ๋าวเอิง เจ้าอาวาสวัดญวน สะพานขาว ไปทำพิธีอัญเชิญเจ้าพ่อขึ้นสู่ศาล พิธีนั้นทำกันใหญ่โตจนเรียบร้อย

คราวนี้หวนกลับไปเมื่อคราวไทยเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศสอีกครั้ง ในขณะที่แนวหน้าเริ่มปะทะกันนั้น ผมยังอยู่ที่ค่ายจักรพงษ์ ทำหน้าที่นายสถานีวิทยุให้กองทัพบูรพา ตั้งสถานีอยู่ขิดกับ บก.มทบ.๒ พอสถานีวิทยุไปตั้งได้สองวัน เจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้าต่อสายพิเศษมาว่า เป็นสัญญาณดับเครื่องเวลาเครื่องบินโจมตี (โรงไฟฟ้าอยู่ห่างสถานีประมาณ ๕๐๐ เมตร) เพราะขณะนั้นนายนกกระจอกกับนายน้ำมันก๊าดของวิทยุไซ่ง่อนพูดว่า จะส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดกองทหารไทย นอกจากสัญญาณดับไฟแล้ว ยังเอาโทรศัพท์มาตั้งเป็นยามอากาศไว้ด้วย สามารถรู้ดีว่า ฝ่ายข้าศึกบินมาถึงไหนแล้ว จะได้หนีได้ทัน

ตอมาอีกสองวันก็ได้เรื่อง ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินสองเครื่องยนต์มาโจมตีค่ายจักรพงษ์จริง ๆ คืนนั้นผมจำไดเว่าเป็นคืนเดือนหงาย เวลาม่เกิน๒๑.๐๐ น.แนวหน้าโทรมาบอกว่า

“ได้ยินเสียงเครื่องบินในแนวหน้า” และ “ผ่านกระบินทร์บุรีแล้ว”

ผมหันกลับไปสับสวิทช์ไฟพิเศษทันที ครั้นแล้วค่ายจักรพงษ์ทั้งต่ายก็ตกอยู่ในความมืด เพราะโรงไฟฟ้าดับเครื่อง ตัวผมเองถือโทรศัพท์แนบหู คงได้ยินเสียงบอกมาว่า

“ถึงประจันตคามแล้ว” ผมจึงออกจากสถานีวิทยุเข้าไปอยู่ใต้ต้นก้ามปู หูได้ยินเสียงเครื่องบินดังอืด ๆใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกที ทันใดนั้นเสียง ปตอ.ของเราซึ่งตั้งคุ้มครองบริเวณค่ายอยู่ที่ ชายดง บ้านตาแทน วัดโยธา วัดบ้านพระ ยิงสนั่นหวั่นไหว กระสุนส่องวิถีสว่างวาบเป็นคราว ๆ

เสียงทหารตามกองร้อยร้องตะโกนบอกต่อ ๆกันเป็นทอด

“เครื่องบิน บินไปทางแม่น้ำ”

“หันหัวกลับมาแล้วโว้ย”

“มันยินผ่านหัวไปแล้ว มุ่งไปเขาอีโต้”

“อ้าว....กลับมาทางแม่น้ำอีกแล้ว”

“เฮ้ย........ระเบิดลงแล้วโว้ย...หมอบ.....พวกเราหมอบ.........”

เสียงระเบิดแหวกอากาศดัง แซ็ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ดังขึ้นทุกที ทุกที ระเบิดยิ่งใกล้พื้นดินยิ่งดังแซ็ด ๆ ขู่ขวัญยิ่งขึ้น ทหารบางคนถึงกับออกวิ่ง เพราะระงับสติอารมณ์ไม่อยู่ เสียงมันข่มขวัญชะมัด

ผมเองรู้สึกหนาวมีอาการสั่นไปทั้งตัวเพราะความตื่นเต้น ระเบิดทำลายลูกแรกตกข้างทางรถไฟ ใกล้ ๆ โรงกุลี ลูกที่สองตกที่ชายสนามบิน ลูกที่สามลงระหว่างหัวกองพันปืนใหญ่ที่ ๕ กับกองสื่อสาร เครื่องบินบินเลยไปทางเขาอีโต้แล้วก็ตีวงกลับ ยึดเอาลำน้ำปราจีนกับเขาอีโต้เป็นจุดสกัด บ๊ะ....มันฉลาดแท้ ๆ บักผีเปรต

เครื่องบินจากลำน้ำผ่านค่ายจักรพงษ์อีกครั้ง ทหารคงร้องบอกกันตามเคย คราวนี้มันทิ้งใกล้จุดหมายเข้าไปมาก ลูกที่หนึ่งลงห่างโรงไฟฟ้าไม่เกิน ๒๐๐ มตร ลูกที่สองลงชายคาโรงม้าของสื่อสาร ลูกที่สามตกข้างกระสุนระหว่างหัวห้องแถวกับตัวคลัง ลูกนี้มันทิ้งแม่นจริง ผะผ่าลงในส้วมพอดี (ไม่ใช่แกล้งเขียนลงส้วมจริง ๆ ถามคนเก่า ๆ ที่เคยอยู่ค่ายจักรพงษ์ดูก็ได้) แต่จะเป็นเพราะอะไรก็เหลือเดา คืนนั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดจนหมดระวางที่บรรทุกมาแล้วก็หันหัวกลับไปไซ่ง่อน

(๒) รุ่งเช้ามีการสำรวจตรวจผลของการทิ้งระเบิด แล้วรายงานเข้า บก.ทหารสูงสุด รายงานผ่านผมซึ่งเป็นนายสถานีวิทยุตามเคย ยังจำข้อความได้ดังนี้

ระเบิดลูกที่ ๑ ระเบิดสังหาร ตกบริเวณท้ายบ้านแจ้ง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของค่าย ลงในป่าไผ่ดง ผลเสียหายคือ ต้นไผ่ดงขาดกลาง ๓ ต้น นกสาลิกาที่ทำรังอยู่บนกิ่งไผ่ตาย ๕ ตัว เป็นนกใหญ่ ๒ ตัว นกเล็ก ๆ ๓ ตัว สันนิษฐานว่าเป็นครอบครัวของนก ทรัพย์สินและชีวิตคนไม่เป็นอันตราย สันนิษฐานอีกครั้งว่านักบินคงมุ่งจะหย่อนระเบิดใส่ ปตอ.เพราะบริเวณห่างจากระเบิดลูกนี้ตก มีปตอ.ตั้งยิงเห็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนได้ถนัด นักบินคงบอกคนทิ้งระเบิดให้ทราบ จึงหวังจะทำลายเสีย แต่โชคไม่ดีกลับไปฆ่านกซึ่งไม่รู้เรื่องตายไป ๕ ตัว

ระเบิดลูกที่ ๒ ลูกนี้ใคร ๆ ไปดูแล้วพากันประหลาดใจ บางคนพูดว่าเจ้าพ่อช่วยผลัก เพราะมันตกลงบนหลังคาโรงสำหรับเก็บเครื่องบินรบ “ฮ็อคพับฐาน” ซึ่งเป็นเครื่องบินรบที่ทันสมัยที่สุดที่กองทัพอากาศมีอยู่ในขณะนั้น ระเบิดลูกนี้เลือกตกลงในช่องว่างพอดี เพราะนักบินเขาเก็บเครื่องบินหนึ่งช่อง แล้วเว้นช่องว่างไว้หนึ่งช่อง จำเพาะระเบิดลงตรงช่องว่างจึงไม่ถูกเครื่องบิน ที่แสนจะแปลกใจคือระเบิดลูกนั้นด้าน ตกตุ้บแล้วมุดดินลึกลงไปประมาณสองเมตร แล้วกบดานเงียบไม่แสดงอิทธิฤทธิ์เหมือนระเบิดทั่ว ไป เนื่องจากรัเบิดแทรกตัวลงไปในพื้นติน จึงทำให้ผิวดินอืดเป็นเนินสูงเหมือนกับเนินดินในสนามกอล์ฟ ทำให้เครื่องบินที่จอดอยู่สองช่องข้าง ๆ เอียงกระเท่เล่ ทำท่าจะคว่ำแต่ไม่ถึงคว่ำ ระเบิดลูกนั้นทราบภายหลังว่าเป็นระเบิดทำลาย

ก่อนจะว่าถึงระเบิดลูกที่ ๓ ต้องขยับเรื่องระเบิดลูกนี้ซะก่อนให้หายข้องใจ ทำไมระเบิดลูกนั้นจึงลงตรงช่องว่าง ทำไมไม่ตกลงในช่องที่มีเครื่องบินอยู่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมเองก็ตอบไม่ได้ ถ้าจะว่าไปเห็นจะเป็นเหตุบังเอิญ ก็ทำไมบังเอิญอย่างนั้น ทำไมไม่บังเอิญเป็นอย่างอื่นเล่า พิลึกจริง

และถ้านักบินปลดช้าอีกนี้ด หรือเร็วอีกนี้ดเดียวอะไรจะเกิดขึ้น คุณลองหลับตานึกดูก็แล้วกัน เพราะช่องกว้างไม่เกินแปดเมตรเท่านั้น และถ้าระเบิดตกแล้วไม่ด้าน ระเบิดตูมออกไป อะไรจะเกิดขึ้น เพราะโรงเก็บสร้างเป็นโรงยาวหลังคามุงจาก เครื่องบินทั้งหมดประมาณ ๑๒ เครื่องเก็บอยู่ในโรงเดียวกันไม่ได้เก็บแยกกัน สมมุติว่าเกิดไฟไหม้ ใครจะเอาเครื่องบินหนีไฟ ว้า...ยิ่งคิดยิ่งมีปัญหามากขอผ่านไปดีกว่า

ระเบิดลูกที่ ๓ ลูกนี้ก็อีกนั่นแหละมันตกลงตรงช่องว่าง ระหว่าง กอง ส.และ ป.พัน.๕ ซึ่งมีช่องว่างอยู่ประมาณ ๒๐๐ เมตร มันเลือกตกลงโคนต้นก้ามปู เลยหัว กอง ส.ไม่เกิน ๑๐ เมตร แรงระเบิดทำให้กระเบื้องบนหลังคา กอง ส.บินหนีไปหลายร้อยแผ่น ต้นก้ามปูทำท่าเซถลาไปนิดหน่อย

ระเบิดลูกนี้เป็นผลให้ทหารเก่าคนหนึ่งหงายท้องล้มทั้งยืน เพราะพี่แกเฝ้าคลังอยู่ชั้นล่าง พอได้ยินเสียงเครื่องบินพี่แกเปิดหน้าต่างออกมาดู แรงผลักทำให้หงายท้อง พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องไปสามวันเจ็ดวัน ทหารคนนั้นยังอยู่หรือตายแล้วก็ไม่รู้ ชื่อ พลทหาร กอบ พ่อตาชื่อ โกย เป็นทหารเฝ้าคลังและเลี้ยงนกนำสาร พวกเพื่อนรู้เรื่องเข้าก็พากันแช่งส่ง เพราะกรรมที่อ้ายกอบชอบเบียดบัง เอาถั่วเขียวของนกไปต้มน้ำตาลกินบ่อย ๆ แล้วไม่แบ่งคนอื่นมั่ง สมน้ำหน้า (นกที่ว่าคือนกพิลาปนำสาร) ระเบิดลูกนี้ถ้าลงช้ากองทหาร ป.พัน.๕ แหลก ถ้าลงเร็ว กอง ส.เละ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ระเบิดลูกที่ ๔ เลือกลงอย่างเหมาะเหม็ง กล่าวคือมันตกลงตรงชายคาโรงม้าของ กอง ส. ทะลุสังกะสีแผ่นต่ำสุด มุดดินแล้วระเบิดตูม ฝาคอกม้าถูฉีกขาดด้วยแรงระเบิดหลายแผ่น สังกะสีเด้งตัวหนีก็หลายแผ่น นกกระจอกซึ่งอาศัยกินนอนอยู่กะม้า ตายไปหลายร้อยตัวเพราะแรงระเบิด ส่วนม้าเคราะห์ดีมันพังคอกออกไปตั้งแต่ระเบิดลูกที่สามดังขึ้น คนเลี้ยงม้าที่วิ่งเตลิดไปตามม้า หรือวิ่งเพราะต๊กกะใจก็ไม่รู้ เลยพ้นเคราะห์ไม่เป็นอันตรายร่วมกับนก

รุ่งเช้าเด็ก ๆ พากันเก็บศพนกกระจอกได้คนละหลายสิบตัว เอาไปให้แม่ทอดให้พ่อแกล้มเหล้าสบายแฮ เด็ก ๆ บางคนตะโกน

“คืนนี้มาทิ้งใหม่โว้ย อั๊วจะเก็บนกให้แม่แกงอีก”

ลูกนี้ก็เหมือนกัน ทำไมเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่ไปตกที่อื่น ลูกที่สำคัญที่สุดคือลูกที่ ๕ ระเบิดลูกนี้ใฝ่ต่ำมาก ที่ ๆ จะลงไม่ลง :-)ไปลงในส้วม และลงได้อย่างงดงามตรงเป้าหมายพอดี อาหารเก่าของคน อาหารใหม่ของหนอน ถูกแรงผลักดันสลายตัวกลิ่นตลบ ระเบิดลูกนี้ความตั้งใจฝ่ายข้าศึกคงตั้งใจจะพังคลังกระสุนมากกว่า หากผิดคลังกระสุนก็คงจะเล่นงานห้องเก็บยาของพยาบาลเป็นแน่ เพราะอยู่ห่างกันไม่เกิน ๑๐๐ เมตร แต่เจ้ากรรมลงเร็วไปนิด เลยลงไปเจอของเหม็น

สะเก็ดระเบิดชิ้นหนึ่งอาละวาดหนัก ปลิวไปถูกครัวไฟ แล้วทะลุผ่านฝาครัวตรงเข้าตัดคอรถจักรยานที่เจ้าของเก็บไว้ในครัวขาด แล้วเลยไปค้นตู้กับข้าวชั้นล่าง ชามแกงจานข้าวแตกไปหลายใบ หมดฤทธิ์เอาที่ฝาอีกข้างหนึ่ง

พอเขียนมาถึงแค่นี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า ฝ่ายเราเป็นอะไรไปจึงไม่สู้ ปล่อยให้มันมาบินข้ามหัว ข้ามไปข้ามมาแล้วปล่อยไข่เหล็กเอาตามชอบใจ ข้อนี้ผมเองตอนนั้นคุยกับเพื่อน ๆ เราก็พากันด่าทหารอากาศเสียอักโข แต่พอทราบความจริงภายหลังจึงเข้าใจ และอยากขอโทษที่เราด่าเขา แต่ไม่ทราบจะไปขอโทษใครจึงเฉยเสีย เราพากันด่าว่า

“ทำไมไม่ส่งเครื่องบินไปสู้กับมัน”

ขอเรียนว่าสมัยนั้นเครื่องบินของเราบินกลางคืนน่ะบินได้ แต่พอขึ้นบินที่ปลายท่อไอเสียจะมีเปลวไฟพุ่งออกมาแดงโร่ทีเดียว ราวกับปล่องโรงงานกลั่นน้ำมันที่บางจาก ขืนบินขึ้นไปสู้เขาตอนกลางคืน ก็เท่ากับขึ้นไปเป็นเป้าให้ฝ่ายตรงข้ามเลือกยิงตามสบายใจ จึงไม่ขึ้นสู้ อาศัยกำลังภายในคอยผลักลูกระเบิดไปตกตามช่องว่างดังกล่าวมาแล้ว

พอรุ่งขึ้นตอนสาย ฝูงบินของเราก็ส่งเครื่องบินมาตินไปแก้มือ โดยบินไปบอมบ์ที่สถานีรถไฟพระตะบอง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อคราวเข้าไปยึดดินแดน ผมเห็นหลุมระเบิดข้างสถานีรถไฟหนึ่งหลุม ข้าง ๆ อีกหนึ่งหลุม ถามพวกเขมรดู เขาบอกว่า

“ก็เครื่องบินไทยน่ะซี มาทิ้งระเบิดเมื่อคราวรบกัน”

ผมฟังเขมรคนนั้นบอกด้วยภาษาไทยชัดเจน เลยทำท่าสงสัย เขมรคนนั้นบอกต่อไปว่า

“อย่าสงสัยเลยคุณผมเป็นคนไทยน่ะ มาค้าขายได้เดือนกว่าแล้ว”

นั่นซีผมตกใจเพราะเขมรอะไร พูดไทยชัดยิ่งกว่าคนไทยซะอีก

การปะทะครั้งนั้น ต่อมาญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยให้หยุดรบกัน มีการพักรบเพื่อนเจรจากันพักหนึ่ง ญี่ปุ่นก็ตัดสินให้ไทยได้ดินแดนสี่จังหวัดคืนมา

หลังจากไทยชนะ สวนสนามปูนบำเหน็จรางวัลกันแล้ว วันหนึ่งผมเดินไปเที่ยวที่บ้านแจ้ง บังเอิญเจ้าพ่อท่านกำลังเข้าทรง คนมุงกันเต็ม ผมแวะเข้าไปดู พอดีมีจ่านายสิบคนหนึ่งท่าทางจะเมาอ่อน ๆ ถามเจ้าพ่อว่า

“ ทำไมเจ้าพ่อไม่หักคออ้ายพวกที่ขี่เครื่องบินมาทิ้งระเบิดเราซะ ปล่อยให้มันกลับไปไซ่ง่อนทำไม” เจ้าพ่อตอบว่า

“กูจะหักคอเหมือนกัน แต่มัวพะวงลูกระเบิด กลัวจะถูกของสำคัญ ๆ เช่นเครื่องบินโรงทหาร พอมันปล่อยลงมา กูก็คอยเป่าให้มันเฉไปลงที่อื่น มืงไม่เห็นรึ มันจะถูกเครื่องบิน กูก็เหนี่ยวให้ลงตรงช่องว่าง มันจะปึงปังขึ้นมากูก็เป่าเสียแทบแย่ ม่ายงั้นเครื่องบินก็พังหมด”

“ ก็พอมันหมดลูกระเบิดแล้ว ทำไมเจ้าพ่อไม่จัดการล่ะ “

“ กูเหนื่อยว่ะ “ เจ้าพ่อตอบ “ อีกอย่างนึงกูพูดกะมันไม่รู้เรื่อง กลัวมันด่าแล้วฟังไม่ออก ชะตาของมันก็ยังไม่ขาดด้วย เลยปล่อยมันไป อ้ายหมอนั่นไปตายอีตอนปารีสแตก ถูกระเบิดตายเหมือนกัน “

จ่าทำท่าจะถามอีก แต่เจ้าพ่อบอกว่า

“ กูไปละ อ้ายนี่เมาแล้วพูดมาก “

ใครผ่านไปค่ายจักรพงษ์ ทางขวามือนั่นแหละครับ เจ้าพ่อท่านอยู่ที่นั่น แวะเข้าไปดูชมบ้างก็ดี หรือจะไปเที่ยวงานประจำปีของท่านก็ได้ กลางเดือนสาม มีงิ้วให้ดูทุกปี เปล่าครับ ทหารไม่ได้จัดหรอก พวกคนจีนเขาจัดมาให้เจ้าพ่อดูน่ะครับ ทหารเป็นฝ่ายอำนวยการเท่านั้น ต้นกระบกหรือครับ ยังอยู่ครับ พร้อมทั้งฝูงพญาแร้งก็ยังอยู่ครับ.

##########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 55 08:09:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com