Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน (๓) ติดต่อทีมงาน

เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน

ตอนที่ ๓ ไปแนวหน้า

พ.ท.ชาญ กิตติกูล

หลังจากค่ายจักรพงษ์ถูกทิ้งระเบิดแล้ว การรบในแนวหน้าเริ่มทวีความดุเดือดขึ้น ยิงกันราวกะประทัดตรุษจีน ดีอยู่อย่างหนึ่งที่ทหารไทยเราขวัญดีเหลือเกิน ไม่มีใครกลัวตาย ทุกคนแย่งกันจะขึ้นแนวหน้า ส่วนพวกที่อยู่แนวหน้าก็ค่อย ๆ รุกเข้าไปทีละน้อย การรบในคราวนั้นเราต้องเจอกับ “มือชั้นครู” แต่เราก็ไม่หวั่น เพราะฝรั่งเศสเองก้ถูกเยอรมันตีถอยร่นจาก หน้าด่านถึงโคนด่านล่องจุ๊นอยู่เกือบทุกวัน พลรบไม่ใช่ทหารฝรั่งเศสก็จริง แต่ “หัวเสธ.” เป็นชาวฝรั่งเศส ทั้งสองฝ่ายจึงต้องเปียกไปด้วยกันแบบสาดน้ำ

ตกมาถึงระยะนี้ กองทัพบูรพาได้จัดการโยกย้ายกองทัพ จากค่ายจักรพงษ์ไปตั้งที่โรงแรมรถไฟ หลังสถานีรถไฟอรัญประเทศ ซึ่งย่อมเป็นของแท้ ที่สถานีวิทยุอันเปรียบกับเส้นประสาทของกองทัพ ต้องเคลื่อนย้ายติดตามไปด้วย

ผมจึงได้รับคำสั่งให้เตรียมออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น กองทัพเดินทางโดยรถยนต์บรรทุก แต่ผมกับลูกน้องและสถานีวิทยุถูกสั่งห้าม ม่ให้เดินทางโดยรถยนต์ กองทัพสั่งการมาว่า รถไฟก็ไม่ได้ ผมสดุ้งสามกลับ นี่จะให้ผมย่ำด้วยบาทาไปหรือไง กะว่าห้าวันห้าคืนคงถึงซีน่า

ผบ.กองสื่อสาร กองทัพบูรพา ท่านช่วยแกปัญหาให้ โดยท่านเขียนจดหมาย ขอยืมรถต๊อกของรถไฟมาเป็นพาหนะส่งผมกับลูกน้อง จึงไม่ต้องเสียเวลาเดิน และมีการผจญภัยเล็กน้อย พอปลุกประสาทให้ตื่นตัวได้เหมือนกัน ก่อนที่จะขยับถึงการเดินทาง ขอบ้าน้ำลายสักเล็กน้อย

อันว่าทหารสื่อสารในสมัยนั้น ๒๔๘๑ – ๒๔๘๒ โรงงานสื่อสารพึ่งสร้างเครื่องมือได้เอง คือเครื่องวิทยุ รงส.แบบ รส.๕ การสร้างของเราคงจะช้าเพราะยังไม่ชำนาญ ความต้องการเครื่องมีมาก เครื่องที่ผลิตใช้งานได้แล้ว จึงต้องประคับประคองและหวงแหน การใช้งานต้องใช้ให้สมกับที่เราผลิตได้ยากเย็น แม้ว่าการใช้เครื่องจะยุ่งยาก ไม่สบายแฮเหมือนที่ฝรั่งสร้างมาขายให้ก็ตาม

ทหารสื่อสารรุ่นนั้นต่างก็พากันภูมิใจที่ใช้เครื่องคนไทยประกอบได้เอง แม้ว่าจะไม่บริดวก โกง เก อย่างไรก็ทนเอา บางครั้งได้เวลาติดต่อ เครื่องรับ-เครื่องส่ง ขี้เกียจซะแล้วไม่เอาไหนเสียงั้นแหละ ผู้ใช้ก็อุตส่าห์ขยับโน่น ดึงนี่ เช่นขั้วหม้อไฟหลวม ปลั๊กหลวม ขาหลอดไม่เข้าที่ วุ่นวายพอใช้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากความไม่คุ้นเคยกัน พอรู้ใจเจ้าแล้วทุกอย่างก็เรียบร้อย ตรงกับคำพูดพล่อย ๆ ของผู้เขียนที่ว่า “ เคยแล้วซำบาย “

คนที่ใช้เครื่องก็เช่นเดียวกัน ทหารสื่อสารรุ่นนั้นร้อยละร้อย รับ -ส่งเลขสัญญาณได้ขนาดใช้นิ้วเคาะโต๊ะกินข้าวล้อชื่อพ่อกันยังได้ แต่ตอนจะเข้าเครื่องซิ เกิดกลัวตัวเองว่าจะรับ –ส่งไม่ได้ ทั้งนี้มันก็ลำเดียวกับที่ว่ามาแล้ว “ เคยแล้วซำบาย “

ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้ว ทางราชการจึงหวง ทั้งคน ทั้งเครื่อง ผมจึงถูกห้ามม่ให้เดินทางด้วยพาหนะดังกล่าว ครั้นถึงวันเดินทางเราก็ช่วยกันขนเครื่องมือ (เครื่องรับ เครื่องส่ง เสาอากาศ ฯลฯ)มาวางรอที่ข้างทางรถไฟ ตรงที่ถนนตัดกับทางรถไฟ ข้างศาล “เจ้าพ่อปื๊ด” ซึ่งยังอยู่จนเดี๋ยวนี้ ศาลนั้นเป็นศาลเก่าแก่ ใครสร้างไว้ก็บ่ฮู้ ผุจวนจะพัง ถ้าจะถามว่าเจ้าพ่อคือใครผมก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ประวัติ

รถต๊อก ๆ (รถเล็ก ๆ ที่แล่นบนรางรถไฟใช้สำหรับตรวจเส้นทาง) วิ่งอู้มาจากสถานีปราจีน โดยเราต้องใช้คนไปตามสองครั้ง คราวแรกคนขับยังนอนไม่ตื่น ครั้งที่สองต้องตามที่ร้านเหล้า เพราะคนขับไป”ถอน” เมียแกเป็นผู้บอก เมื่อคืนคงจะถองมากไปหน่อย

ขนของขึ้นรถซึ่งพ่วงมาอีกคันหนึ่ง เอาสถานีวิทยุขึ้นวางทำท่าจะล้ม ต้องเอาเชือกหนวดพราหมณ์ (เชือกรั้งเสาอากาศ) มาผูไว้ แล้วให้ลูกน้องนั่งคุม ส่วนผม ผู้หมวด และคนขับนั่งเก้าอี้คันหน้าอย่างโก้ คิดเสียว่าวันนี้แอ็คเป็นสารวัตรตรวจทางสักทีเถอะ ของที่ขาดไม่ได้ของทางการรถไฟคือ ธงแดง ต้องมีปักไปบนรถด้วยซีน่า

๐๖.๓๐ น.อ้ายต๊อกออกเดินทางท่ามกลางสายตาคนสามล้อ ๔ – ๕ คน ที่มายืนประดับเกียรติ พอจวนจะลับสายตาคนสามล้อถอดหมวกใบลานโบกให้ แกจะไชโยให้หรือไงไม่ทราบเห็นปากพะงาบ ๆ “ กราบลาละคร้าบ เจ้าพ่อปื๊ด”

เนื่องจากใกล้เวลาที่รถเช้าจากอรัญประเทศจะเข้าเทียบสถานีปราจีน คนขับจึงเร่งเครื่องเต็มสตีม บอกว่า

“ เราไปหลีกรถไฟที่ประจันตะคาม “

ที่ไหนได้เรากะเวลาพลาดไปเพียงสามนาทีเท่านั้น จึงเกิดชุลมุนกันขึ้น เพราะเมื่อออกจากสถานีโคกมะกอก จะไปรอหลีกที่ประจันตะคาม แต่พอเลี้ยวโค้งสุดท้าย เราก็เห็นรถไฟกำลังแล่นมาใกล้ตรงเชิงสะพานยาวข้ามแม่น้ำพอดี เนื่องจากคนขับรถต๊อกยังสลึมสลืออยู่ ตะแกไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเรากับลังจะสวนกับรถไฟ(ในรางเดียวกัน) พี่แกนั่งเหม่อตาลอย ผมเห็นแล้วว่าถ้าเราไม่หยุด รถไฟไม่หยุด มีหวังเป็นตอร์ปิโดบก ด้วยกันทั้งสองฝ่ายอย่างแน่แท้ ผมตะโกนบอกพี่แกว่า “ เฮ้ยรถไฟสวน “

คนขับสะดุ้งราวกับถูกจี้ด้วยก้นบุหรี่ แกก้มลงคว้าโน่นคว้านี้ทำท่าจะหยุดรถซึ่งขณะนั้นกำลังวิ่งมาเกือบถึงกลางสะพานแล้ว รถเริ่มชลอความเร็ว ผมตะโกนอีกว่า “ ฮิ้วอย่าหยุด เร่งเต็มที่ “ เพราะเห็นว่าถึงหยุดรถก็ไม่มีทางหลีกเพราะอยู่กลางสะพาน คนขับจึงเร่งเร็วปรู๊ดมาจนเลยคอสะพานเกือบสิบเมตรจึงหยุด

ก่อนอื่นผมกระชากคันธงแดงออกจากที่ปัก โดดห่างไปข้างหน้ารถต๊อก ๕-๖ เมตร ยืนขวางกลางราง มือทั้งสองโบกธงแกว่งไปมา ความตั้งใจจะเอาตัวขวางทางรถไฟ ไม่ให้วิ่งชนรถต๊อกของเราได้ตัวตายช่างมัน ขออย่างเดียววิทยุสนามแบบ รส.๕ อย่าพังก็แล้วกัน..........
(๒)
คนขับรถไฟหรือ พขร.แกคงตกใจเหมือนกัน อยู่ดี ๆ ไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้เอาธงแดงมาโบกเล่นบนทางรถไฟ แกชักหวูดปู๊น ๆ ๆ ๆ หลายครั้ง รถไฟชะลอความเร็วลงทันทีแต่ไม่ถึงกับหยุด ผมหันไปมองอ้ายต๊อก เพื่อนยาก เห็นพวกเราชุลมุนยก รส.๕ ออกจากรถพ่วง เหลือบเห็นลูกเสือและตำรวจวิ่งมาจากใต้สะพาน ผสมกับเด็กเลี้ยงควายอีก ๓-๔ คนวิ่งตรงมาที่รถเรา เลยร้องบอกว่า “ อย่าเอาของออก ยกทั้งคันรถเลย “

ด้วยความพร้อมอกพร้อมใจ ทั้งทหาร ตำรวจ ลูดเสือ เด็กเลี้ยงควาย คนขับรถ และผู้หมวด ร้องฮูเร แล้วยกรถพ่วงลอยละลิ่วจากทางรถไฟ ไปวางไว้บนไหล่ทาง แล้วหันกลับมายกหัวรถต๊อกอีกครั้ง เอาไปวางไว้ใกล้ ๆ กัน เสียงรถไฟเปิดหวูดปู๊น ๆ ๆ ผมโดดออกจากทางรถไฟ หัวรถจักรพ่นไอฟืดฟาดคลานผ่านผมไปอย่างสง่า พขร.ชะโงกหน้ามาร้องตะโกนว่า

“ ขอโทษ ผมหยุดไม่ได้เดี๋ยวถูกตัดเงินเดือน โชคดีนะพี่ทหาร “

ผมตะโกนตอบบ้างว่า

“ ไม่ตายก็ดีแล้ว โชคดีเพื่อน “

รถไฟแล่นผ่านผมช้า ๆ แล้วเร่งความเร็วทีละน้อย เสียงของมันฟังเป็นบทเพลงได้ว่า...... ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ชั่ง ไม่ถึงก็ชั่ง..........พอรถโบกี้ผ่านผม มีคนโดยสารโผล่หน้าต่างดูสลอน บางคนเอาขนมโยนลงมา บ้างก็โยนบุหรี่ให้ มีป้าคนหนึ่งแกยื่นไก่ย่างทั้งตัวจนสุดแขน ผมโดดคว้าไว้ได้ แกตะโกนว่า

“ ไปเอาพระตะบองคืนมา ทหารของชาติ “

แล้วรถไฟก็ผ่านผมไปทั้งขบวน ผมยืนตลึงตัวชาด้วยความคิดของตัวเองที่ว่า....คนไทยเรานี่ เวลาเกิดเรื่อง เขาสามัคคีกันดีแท่ ๆ ผ่าซี

เราหันกลับมายกรถต๊อกและรถพ่วง ขึ้นวางบนรางรถไฟตามเดิม แล้วการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมยกไก่ย่างขึ้นมองดูแล้วฉีกแบ่งกันกิน กินไปก็คิดไป.......เอ...เรานี่กินไก่ หรือกินน้ำใจคนกันแน่

เราผ่านสถานีประจันตะคาม – กบินทร์เก่า – ศาลาลำดวน เรื่อยมาจนเย็นจึงถึงสถานีสระแก้ว ณ ที่นี้ ผบ.สื่อสาร กองทัพบูรพา ใช้สารวัตรสนามมาดักเราอยู่ จึงได้รับคำสั่งห้สถานีวิทยุตั้งที่โรงทหารชั่วคราว ผมกับลูกน้องจึงต้องไปตั้งสถานีอยู่กลางป่า ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ ๗๐๐ เมตร

ในพื้นที่นี้ผมต้องผจญภัยกับแมลงวัน และการขาดแคลนน้ำอย่างหนัก ที่สระแก้วนี้เดิมเป็นป่า มาหักร้างถางพงแล้วปลูกโรงยาว ๆ มุงหลังคาจาก ใช้เป็นที่รวมพล คราวนี้คนน่ะอยู่รวมกันมาก ๆ ถ้าไม่มีระเบียบข้อบังคับแล้วมักจะเกิดเรื่อง ต่างคนต่างช่วยกันทำสกปรก สารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อไม่ต้องการก็ทิ้งขว้างตามใจชอบ โดยเฉพาะเวลาประกอบอาหารของสกปรกทั้งนั้น แมลงวันกี่ป่าไม่ทราบมาเกาะมาตอม ตอมของไม่พอเลยเกะกะมาถึงคน จะกินจะนอนจะทำงาน มือหนึ่งต้องคอยโบกไว้ ไม่งั้นมันเกาะปาก ไชจมูก ไชหู แคะคา เกาะหัว ว้าวุ่นวายสิ้นดี เวลาประกอบอาหารเสร็จต้องกางมุ้ง มิฉะนั้นมันเข้าแทรกจนกินไม่ได้ เวลากินข้าวก็ติ้งเข้ามุ้งเหมือนกัน ทุกคนจึงหงุดหงิดงุ่นง่านด้วยแมลงวัน

ขี้เกียจแมลงวัน ขยันแมลงผึ้ง

เห็นจะจริงอย่างหลวงพ่อเงินท่านว่าไว้

#################

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 06:13:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com