Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน (๔) ติดต่อทีมงาน

เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน

ตอนที่ ๔ กรรมของสัตว์


สถานีวิทยุของเรา ตั้งอยู่ที่สระแก้วได้สองคืน ก็ถูกสั่งย้ายไปเข้าอรัญประเทศ คราวนี้ระยะทางใกล้จึงเดินทางโดยรถยนต์ ถึงกระนั้นทางกองทัพยังสั่งรถมอร์เตอร์ไซค์ชนิดพ่วงข้างติดปืนกล มาคุ้มครองสองคัน ออกหน้าหนึ่งคัน ตามหลังหนึ่งคัน เล่นเอาผมกับลูกน้องขวัญหัวไม่ค่อยดีเพราะรู้ความสำคัญของตัวเองและเครื่องมือขึ้นมาเดี๋ยวนี้เอง

ที่ว่าความสำคัญของตนเองคือ นายสิบที่ทำหน้าที่นายสถานีวิทยุสนาม ฝ่ายตรงข้ามจ้างฆ่าหัวละห้าหมื่นเปียส เงินอินโดจีน บรื๊อ ขนหัวลุก

ถึงอรัญประเทศ ถูกชี้ให้ตั้งสถานีวิทยุใต้ถุนโรงแรม ซึ่งเป็นพื้นดินค่อนข้างชื้นแฉะ ตั้งสถานีเสร็จแล้ว เริ่มรับส่งข่าวให้กับกองทัพทั้งวันทั้งคืน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเวลาไปสังเกตการณ์ที่สถานีรถไฟบางเวลา จึงมีเรื่องบ้าน้ำลาย มาเล่าให้ท่านฟังอีกหลายเรื่อง

วันหนึ่งตอนบ่าย ผมว่างจากการรับส่งข่าว จึงออกมาเดินเล่นหลังสถานีรถไฟ พอดีมีรถพิเศษเข้าเทียบสถานีหนึ่งขบวน รถไฟขบวนนี้บรรทุกทหารราบประมาณหนึ่งกองพัน พร้อมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ครบ พอรถจอดสนิท ทหารโดดลงจากรถในชุดเครื่องสนาม แล้วมุ่งหน้ามาเข้าแถวหลังสถานีรถไฟ ขณะที่ทหารกำลังทยอยเดินมานั่นเอง เครื่องบินฝ่ายข้าศึกเครื่องหนึ่งพุ่งหัวมาจากด่าน ปอยเปต ตรงมาที่สถานีรถไฟ พอมันมาถึงเห็นทหารกำลังลงจากรถเช่นนั้น มันเลยบินอยู่ในระยะต่ำ จนมองเห็นคนขับขี่ถนัด ผมแดงผิวขาว ทหารไทยจึงร้องเอะอะกันขึ้น แล้วพากันวิ่งแตกกระเซอะกระเซิงเหมือนผึ้งแตกรัง บ้างก็วิ่งไปขึ้นรถไฟ บ้างก็วิ่งออกกลางทุ่งหน้าสถานีรถไฟ เครื่องบินวนอวดโฉมอยู่ ๒-๓ รอบแล้วจึงบินกลับโดยไม่ได้ทำอะไรกันทั้งสองฝ่าย

พอเครื่องบินกลับแล้วจึงได้ยินสัญญาณแตรเดี่ยวบรรเลงเพลง “ภัยทางอากาศ” ฝ่ายทหารไทยที่วิ่งหนีเครื่องบินเมื่อตะกี้ พอได้ยินแตรสัญญาณ นึกว่ามีเครื่องบินมาอีก เลยพากันโกยอ้าวเข้าป่าสะแกชายทุ่งหายเงียบไปเลย เป็นอันว่าทหารกองพันนั้น สอนบทเรียนให้กองทัพต้องจัดปืนกล ๒ กระบอกมาคุมสถานีรถไฟอรัญประเทศ โดยตั้งไว้ที่หัวโค้งไปปอยเปตหนึ่งกระบอก ที่สะพานดำหนึ่งกระบอก มีอย่างที่ไหน สถานีขนถ่ายไม่มีปืนคุม ดีฝ่ายข้าศึกไม่ซ้อมมือปืนกลอากาศลงมา ถ้าบีบสักชุดสองชุด เหรียญกล้าหาญคงต้องปั๊มเพิ่มแน่

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งจวนค่ำแล้ว และรถไฟขบวนปกติเข้าที่เรียบร้อยแล้ว มีรถไฟพิเศษมาเทียบอีกหนึ่งขบวน มีทหารเดินทางมาจากลพบุรีหนึ่งกองร้อย พอรถหยุดสนิททหารเดินลงมาเข้าแถวหลังสถานี ผู้ควบคุมบอกหน้าเดินพาแถวมุ่งเข้าที่พัก แต่..เอ๊ะ ท้ายแถวทหารไทย กลับมีแถวทหารเพิ่มขึ้นจำนวน ๑๘ ตัว ไม่ใช่ทหารไทยครับ แต่เป็นทหาร”พระนารายณ์” ลิงครับ ลิงป่าเรานั่นแหละ แต่เป็นพันธุ์ “หนุมาณ” เดินต่อท้ายแถวทหารไทยทำหน้าตาเฉย บ้างก็หยอกล้อกัน บ้างหกหน้าหกหลัง บางตัวแตกแถวไปเก็บเปลือกแตงข้างทางขึ้นมาดมแล้วขว้างทิ้ง มีตัวหนึ่งใหญ่มากขนาดเด็กชายอายุ ๘-๑๐ ขวบ เดินอุ้ยอ้ายรั้งท้าย นาน ๆ ก็หันหลังแหกตาหลอกฝูงสุนัขซึ่งวิ่งตามเห่า ทำท่าจะขย้ำคอ แต่อ้ายตัวใหญ่ทำไม่รู้ไม่ชี้

มีสุนัขดำตัวหนึ่งกำลังหนุ่ม วิ่งจี๋มาจากข้างถนน โจนเข้าตะครุบลิงตัวใหญ่ท้ายแถว แต่ผิดหวัง เจ้าตัวใหญ่โจนตัวลอยตกลงบนหลังสุนัข แล้วจับโคนหางสุนัขเหวี่ยงด้วยกำลังหนุมาณ สุนัขร้องเอ็ดลอยคว้างไปกลางอากาศ แล้วหล่นตั้บลงข้างถนนชักแหง็ก ๆ ตาปลิ้น ผมนึกว่าเสร็จครู่หนึ่งลุกขึ้น โงนเงน แล้วออกวิ่งตุปัดตุเป๋ ปากก็ร้องเอ๋ง ๆ ไปตลอดทาง เป็นที่ชอบอกชอบใจของฝูงชนที่เฮฮาอย่างเอิกเกริก

หลังจากที่เจ้าหนุ่มสุนัขดำถูกจับขว้างด้วยกำลังหนุมาณร้องเอ็ดไปแล้ว ฝูงลิงทั้ง ๑๘ ตัว จึงตบเท้าเดินตามแถวทหารอย่างสง่าลับหายไปทางชายริมห้วย พรมโหด ท่ามกลางเสียงโจทก์จรรย์ของ ฝูงชนที่มุงดูฝูงลิงอย่างแปลกใจ

รุ่งเช้าชาวตลาดอรัญประเทศต้องแตกตื่นกันอีกครั้ง พอเปิดร้านออกมาก็ได้เห็นฝูงลิง ๑๘ ตัว มาเดินพาเรดตรวจตลาดอยู่แล้ว พ่อค้าแม่ค้าตกใจพากันปิดร้าน เพราะกลัวฝูงลิงจะเข้าปล้น แต่มีฟพ่อค้าผลไม้คนหนึ่งหัวไวคิดได้ว่า ลิงมันคงหิวเพราะป่าอรัญประเทศลูกไม้กินไม่ได้ ตาแกจึงเอากล้วย ฝรั่ง และขนมเปี๊ยะ มาวางไว้ที่โต๊ะหน้าร้าน แล้วปิดประตูร้านแอบดูตามช่อง

ปรากฏง่าพญาวานรหิวจริง ๆ ตรงเข้าหยิบกล้วยใส่ปากจนแก้มตุ่ย บางตัวยังถือติดมือไปอีกด้วย พรึ่บเดียวทั้งขนมและผลไม้ก็หมดเกลี้ยง เจ้าตัวใหญ่ส่งเสียงครอก ๆ ทำหัวผงก ๒-๓ ครั้ง แล้วหันกลับเดินมาที่สถานีรถไฟ ท่ามกลางฝูงชนที่บ้างก็หนี บ้างก็แย่งกันดู ลิงทั้งหมดโจนขึ้นหลังคาตู้รถโดยสาร โดยไม่มีตัวไหนซื้อตั๋วโดยสารวักตัวเดียว พอ ๐๗.๐๕ น.รถไฟชักหวูด แล้วเคลื่อนขบวน ลิงทั้งฝูงจึงติดไปกับขบวนรถไฟ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ

บางคนว่า “ ลิงหนุมาน “

บางคนว่า “ ลูกสมุนเจ้าพ่อพระกาฬ ลพบุรี เพราะทหารกองนั้นมาจากลพบุรี “

บางคนว่า “ เจ้าพ่อพระกาฬให้ลูกน้องตามมาส่งลูกศิษย์ของท่าน เพื่อให้มารบกับอินโดจีนฝรั่งเศส “

บางคนวิจารณ์ว่า “ นั่นมันคงกลับไปลพบุรี “

มีผมคนเดียวที่เป็นทุกข์ “ กลัวลิงจะต่อรถผิด ผ่าขึ้นไปโคราช เรื่องมันจะยุ่ง “

ขณะนั้นแนวหน้ายังยิงกันโคราม ๆ ทุก ๆ วัน จากสรุปรายงานของกองทัพ ผมพอจะทราบว่า ทหารไทยกำลังเป็นต่อ เพราะรุกยึดพื้นที่เข้าไปจนถึงบริเวณ บ้านตะครองเคร้า ใต้ ก.ม.๓๗ เล็กน้อย

ภายในประเทศ เลือดไทยทุกเพศทุกชั้นวรรณะ กำลังผนึกน้ำใจกันอย่างแน่นหนา พอตกกลางคืน นายมั่นนายคงก็ขยับเรื่องการรบ จ้อกับนายนกกระจอกและนายน้ำมันก๊าดของไซ่ง่อน เป็นที่เฮฮาเอิกเกริก เมื่อประกาศผลการรบว่าฝ่ายไทยรุกคืบหน้าเข้าไปเรื่อย ๆ

ณ ที่กองทัพบูรพา ขณะนั้นมีพระภิกษุเดินรุกขมูลหนึ่งองค์ มาปักกรดอยู่ชายทุ่งทางไปสนามบินชั่วคราว ท่านบอกว่า เป็นศิษย์หลวงพ่อพระครูสุก สำนักวัดมะขามเฒ่า ท่านอยากช่วยทหารไทยทำการรบ แต่ท่านเป็นสมณเพศ จึงมีแต่อำนาจพระพุทธคุณเท่าที่จะช่วยได้

พอรุ่งขึ้นตอนกลางวันท่านได้มาขอพบแม่ทัพ แล้วนำตะกรุดทองแดงมีด้ายสายสิญจน์ผูก สำหรับคล้องคอ ออกมาวางบนโต๊ะกำมือใหญ่

“ ขอให้คุณโยมสั่งให้คนกำตะกรุดนี้ไปทดลองยิงได้ “

“ ของ ๆ ท่านดีทางใด ? “

“ ดีทางแคล้วคลาด ขอให้นำไปทดลองยิงได้เลย ถ้ายิงถูกอาตมาจะนำไปปลุกเสกเสียใหม่ ถ้ยิงไม่ถูกก็ขอให้คุณโยมแจกจ่ายให้ทหารของชาติติดตัวไว้ แต่อาตมาขอให้ผู้ที่ต้องการทำบุญตะกรุดละ ๓ บาท เงินที่ได้จะนำไปสมทบสร้างโบสถ์ทั้งหมด “

“ ท่านจะแจกให้เปล่าไม่ได้หรือ ? “

“ แจกให้เขาบุญด้วยแหละดี จะได้มั่นใจว่าได้ของดีจริง ถ้าเขาไม่มั่นใจก็อย่าเอาไป “

“ ตกลงผมจะให้เขานำไปลอง “

นายทหารสื่อสารท่านหนึ่ง นั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ไปสู่ริมห้วยพรมโหด มีไก่โต้งขนงามหนึ่งตัวอุ้มไปด้วย พอถึงชายห้วยจัดแจงตอกหลัก ผูกไก่ติดกับหลัก แล้วเอาตะกรุดผูกคอไก่ นายทหารหนุ่มชักปืน .๓๘ ออโตออกมาขึ้นนก แล้วยื่นปากกระบอกปืนไปจนชิดตัวไก่ ลั่นไกทันที

“ เฮ้ยตายไหม “

“ ม่ายว่ะ ไม่มีแผลเลย เลือดก็ไม่ออก “

“ เอ๊ะ...ไหงมันชักล่ะ “

“ มันตกใจมากกว่า ชะ ๆ อยู่ดี ๆ จับมัดแข้งมัดขา แล้วเอาอะไรไม่รู้มาทำเสียงปึงปัง มันก็ตกใจน่ะซี “

“ เอ้ายิงอีก กะที่ตัวมันนะ “

“ ตกลง “

เสียงปืนระเบิดติดต่อกันอีกหลายนัด ไก่ชักดิ้นชักงอฝุ่นตลบ สิ้นเสียงปืนจับไก้มาดูอีกที ไอ้โต้งร้องกระโต๊ก ๆ อย่างต่นเต้น ถ้พูดได้มันคงจะร้อง......เฮ้ย อะไรกันเว้ย ช่ะ ๆ อั๊วทำผิดอะไรจึงคิดจะฆ่ากัน ผะผ่าซีคนนี่ยุ่งชะมัด แหมหูดับตับไหม้หมด.........

ทุกคนพิจารณาตัวไก่อย่างสงสัย พลิกขนดูทีละเส้นก็ไม่พบรอยลูกปืน จึงสำราจดูที่พื้นทราย โน่นแน่ะกลุ่มลูกปืนตกตรงหน้าไอ้โต้งทั้งหมด แรงของดินปืนผลักลูกปืนทะลุงลงในพื้นทรายเป็นกลุ่ม คนยิงก้เห็น คนดูก็เห็นอ้างเป็นพยานได้

พอทุกคนแน่ใจว่า ตะกรุดนั้นแคล้วคลาดจริง เท่านั้นแหละหลายคนวิ่งออกมามุ่งหน้ามาที่ตั้งกองทัพ พอมาถึงก็ควักเงิน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ออกมาวางคนละสามบาท แล้วคว้าตะกรุดมือขวักไขว่ แว็บเดียวหมดเกลี้ยง หลวงพ่อควักออกมาจากย่ามจนหมด ก็ยังไม่พอกับความต้องการ คนที่ได้เอาไปอวดเพื่อนพร้อมกับคุยให้ฟังถึงผลการทดลอง ยิ่งยั่วให้อยากได้มากขึ้น พอตกกลางคืนพากันแห่ไปที่หลวงพ่อปักกรด แต่ไม่พบเพราะทหารอากาศมานิมนต์เข้าไปที่สนามบิน จะตามไปยามก็ไม่ยอมให้เข้า เลยหน้าแห้งกลับมา หลวงพ่อทราบเรื่องนี้ ท่านจึงทำขึ้นอีก แล้วเอามาให้ภายหลัง

ของผู้เขียนก็ยังอยู่แต่ด้ายสายสิญจน์เปื่อยหมด เพราะนำติดตัวไปในสงครามเชียงตุงด้วย เคนถูกเครื่องบินโจมตีหลายครั้ง ถูกไล่ยิงด้วยปืนกลอากาศก็หลายหน ไม่เคยถูกกระสุนกะเขา จะเป็นเพราะข้าศึกมือเฮงซวยหรือไงไม่ทราบ แต่ผู้เขียนมั่นใจในความแคล้วคลาดของตะกรุดนั้น

ใครจะว่าผู้เขียนเป็นคนบุราณก็ช่าง.

##############

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 06:25:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com