|
ขอคิดแหกคอกไม่เหมือนใครนะ
การเรียนต่อมักจะมีวัตถุประสงค์คือ
1.เรียนเพราะอยากรู้ 2.เอาวุฒิไปขึ้นเงินเดือน 3.เอาวุฒิไปหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม 4.มีวุฒิที่สูงๆไว้เพื่อทำให้ผู้คนนับหน้าถือตาในวงสังคม
^ เราเรียนจบมาแค่ มศ.3 (เท่า ม.สมัยนี้) และเราก็ยอมรับว่าเมื่อก่อนเราก็อยากเรียนต่อเพื่อวัตถุประสงค์ทั้ง 4 อย่างข้างบนนี้ แต่จากการที่โดนผู้คนดูถูกว่าเราการศึกษาต่ำ บางทีสมัครงานดีๆไม่ได้ หรือโดนคนดูถูกในกระทู้ pantip เราเลย "ฮึดสู้" โดย think positive (คิดบวก) ให้มีพลังจิตเพิ่มขึ้น และมีพลังแห่งการเรียนรู้ด้วยตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่บางครั้งเรา "ลืมตัว" เพราะ "ของขึ้น" ก็เลยไปลองปะทะคารมกับคนเรียนจบสูงๆในกระทู้ต่างๆใน pantip เพื่อ "ลองวิชาตัวเองที่เรียนมาด้วยตัวเอง" แล้วก็โดนคนรุมด่าว่า "เราอวดฉลาด เรามี eq ต่ำ" ^ ดังนั้น เราจึง "ตั้งใจทำลาย eq ตัวเองให้หมด" เพราะการไม่มี eq มันเพิ่มพลังแห่งการเรียนรู้ ยิ่งวุฒิต่ำๆและยิ่งอายุมากๆแล้วไม่มี eq (ซึ่งเกิดจากการเพิ่มพลังจิตให้แรงกล้าจนพร้อมที่จะแข่งขันกับตัวเองและผู้อื่น) เรายิ่งไฟแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำลาย eq ตัวเองให้หมดเพื่อให้คนประนาม เรายิ่งมีพลังร่างกายและพลังสมองเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ (ตอนนี้เราตื่นเช้าลุกขึ้นมาฝึกวรยุทธ์จีนและโยคะอย่างหนักทุกวัน จนกลายเป็นเราตอนอายุมากๆแข็งแรงกว่าสมัยเราเป็นวัยรุ่นซะอีก) แล้วกลายเป็นใช้พลังเร้นลับดึงดูดให้งานดีๆเงินเยอะๆเข้ามาหาตัวเราได้อย่างน่าประหลาด
และสิ่งมหัศจรรย์ก็เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อไม่กีวันนี้เอก นั่นก็คือ ในกระทู้ drama ที่เราพยายามพิสูจน์ว่าทักษะและความเชี่ยวชาญในการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 เกิดจากการค้นคว้าทดลองของคนที่เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโดยการอาศัยความรู้ที่เรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษมาหรือจากประสบการณ์การทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพมาเป็นเวลาหลายปี โดยเป็นนักคิด ที่ใช้สมองพลิกแพลงค้นคิดหาวิธีการสอน สร้างสื่อการสอน วัดผล ฯลฯ แปลกๆใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพ จึงประสบความสำเร็จในการสอนภาษาอังกฤษ เพราะครูสอนภาษาอังกฤษซึ่งฝึกฝนมาแบบนี้และมีประสบการณ์แบบนี้จะทำลาย non-native speaker's errors (ข้อผิดพลาดในการใช้ภาษาอังกฤษของคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา(ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ)) ไปจนหมดหรือเกือบๆหมด จึงได้เปรียบครูสอนภาษาอังกฤษที่พูดเขียนอังกฤษไม่ได้แต่ได้เป็นครูเพราะจบศึกษาศาสตร์จากมหาลัยระดับหางแถว ^ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความสำเร็จในการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ไม่ใช่ผลผลิตของคนที่เรียนไม่เก่ง เอ็นเข้ามหาลัยดีๆไม่ได้แล้วจำใจต้องไปเรียนศึกษาศาสตร์ในมหาลัยระดับหางแถว กับสอบ 9 มาตรฐานวิชาชีพครูเพื่อรับใบอนุญาต
^ จากการแสดงความคิดเห็นต่างมุมเพื่อสลาย myths (ความเชื่อผิดๆ) เหล่านี้ในแวดวงการศึกษาไทย (ที่หลงคิดว่าการจะเป็นครูที่ดีๆนั้นจะต้องจบศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์มาเสมอ) ส่งผลให้เราโดนรุมด่า ซึ่งฝ่ายตรงข้ามเราต้องการปกป้องการผูกขาดและปกป้องอาชีพครูของพวกเขา ก็เลยปิดกั้นไม่ให้เราเดินหน้าพิสูจน์สิ่งที่เราพยายามพิสูจน์ ก็เลยรุมประนามเราด้วยข้อหาต่างๆดังต่อไปนี้
1. เราต่อต้านกฎระเบียบเรื่องสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครู ดังนั้นจึงตีความได้ว่าเรามีพฤติกรรมที่ชั่วร้าย จะเป็นตัวอย่างที่เลวแก่นักเรียน เราจึงไม่เหมาะที่จะเป็นครู (แปลกดีแฮะ ทำไมฝ่ายตรงข้ามไม่เถียงว่ากฎระเบียบมันทำให้หาครูเก่งๆเข้ามาสอนได้จริงหรือไม่) 2. เราอวดฉลาดและดูถูกผู้อื่นว่าโง่ 3. เราไม่มีปริญญาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรที่น่าเชื่อถือทั้งสิ้น คำพูดที่ออกจากปากคนไร้ปริญญามันไม่น่าเชื่อ 4. เราอวดฉลาดแต่แค่พิมพ์ภาษาไทยยังพิมพ์ผิดเลย (เราชอบข้อกล่าวหาอันนี้นะ น่ารักดีมากๆ...อิๆๆๆ...แสดงให้เห็นว่าคนเราส่วนใหญ่เวลาเถียงจะไม่ใช้เหตุผล แต่จะพยายาม discredit คู่ต่อสู้ด้วยคำพูดให้ได้ทุกวิถีทาง...) 5. มีคนพูดลอยๆแบบ "ส่อความ" ให้คนอ่านคิดว่า "เราอวดฉลาดและดูถูกผู้อื่นว่าโง่ ถ้าเขาเป็นผู้ปกครองเด็กเขาไม่ส่งเด็กมาเรียนกับเราเพราะเด็กจะติดนิสัยไม่ดีจากเรา" อันนี่ก็น่ารัก เพราะถ้าเราบอกว่าคุณมากล่าวหาเราโดยยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นจริง เขาก็ย้อนกลับมาว่า "เขาไม่ได้ระบุชื่อเรา" 6. เรามี eq ต่ำ
^ พออ่านข้อกล่าวหาเหล่านี้ เราก็รู้ว่าเราไม่มีทางให้เหตุผลเพื่อพิสูจน์ในเรื่องที่เราพิสูจน์ได้ เราจึงประกาศยอมแพ้ ในกระทู้นั้น แล้วยอมรับว่า
"เราอวดฉลาดและดูถูกคนอื่นว่าโง่จริงๆ"
อีกทั้งยอมรับว่า
"เราeq ต่ำ"
จากนั้นเราก็คิดแหกคอก โดยการทำลาย eq ตัวเองให้หมด เพื่อใช้ "vibrations (แรงสั่นสะเทือน)" จากการปะทะคารมกับคนเรียนจบสูงๆกว่าเรา มา "สร้างพลังจิตให้แก่ตัวเอง(ซึ่งได้จากไฟแรงอยากแข่งขัน)" เพื่อสร้างแรงดึงดูด ตาม The law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดู) ให้ดึงดูดเอาแต่สิ่งที่ดีๆให้เข้ามาในชีวิตเรา
แล้วอยู่ดีๆกลายเป็น "งานเข้า" คือแฟนเราใช้วุฒิปริญญาโทด้านภาษาอังกฤษของเธอรับงานเขียนเอกสาร PR เป็นภาษาอังกฤษมาให้เราทำจาก โดยที่เธอรับจากลูกค้าที่เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง งานมันราคาดี เราทำไปแค่วันเดียวได้เงินมาประมาณ 10,000 บาท แล้วลูกค้าชมบอกเขียนภาษาอังกฤษได้สวยงาม มันก็เลยมีแนวโน้มว่าเราจะได้งานเพิ่มอีกเพราะเราสร้างพลังจิตเพื่อดึงดูดสิ่งที่ดีๆมาหาตัวเองได้ โดยไม่ต้องใช้ปริญญา
และที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ มันก็มีคนที่ไม่คิดว่า
"เราอวดฉลาดและดูถูกผู้อื่นว่าโง่ ถ้าเขาเป็นผู้ปกครองเด็กเขาไม่ส่งเด็กมาเรียนกับเราเพราะเด็กจะติดนิสัยไม่ดีจากเรา"
^ แต่กลายเป็นมีคนคิดตรงกันข้ามกัน นั่นก็คือคิดว่า
"ถ้าเขาเป็นผู้ปกครองเด็กเขาจะส่งเด็กมาเรียนกับเรา เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากเราว่าจะโต้วาทีอย่างไรอย่างมีเหตุผล เพื่อไม่ให้คนอื่นดูถูกว่าโง่"
ส่งผลให้พลิกล็อก คืออยู่ดีๆกลายเป็นว่าหล้งจากเราโดนรุมด่ามันกลายเป็นมีผู้คนตั้งมากมายติดต่อเราหลังไมค์กับทาง mail เพื่อสมัครเรียนภาษาอังกฤษกับเรา!...อย่างนี้เขาเรียกว่า "ใดๆในโลกล้วนอนิจัง!"
ตกลงการประกาศยอมแพ้ของเราในกระทู้นั้น ที่ยอมแพ้ก็เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามได้แต่ discredit เราจนเราไม่มีโอกาสให้เหตุผลเพื่อพิสูจน์สิ่งที่เราพยายามพิสูจน์ และเราก็ "แกล้งยอมแพ้" ^ เพราะเราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเราพิสูจน์ได้จริงๆในเรื่องที่เราพยายามจะพิสูจน์ เราก็จะต้องเผยเคล็ดลับของความสำเร็จในการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ซึ่งเราค้นคว้าด้วยตัวเองมาหลายปี เพื่อชี้่ทางสว่างให้แก่คนพูดเขียนอังกฤษไม่ได้แต่ได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ (ที่ไม่ดี) เพราะจบศึกษาศาสตร์มา ^ การทำเช่นนี้ มันเสียเวลาเราโดยเปล่าๆ เพราะพวกเขาไม่มีทางที่จะรู้คุณค่าในผลงานค้นคว้านอกมหาลัยของเราหรอก สู้เราเอาเวลาไปทำงานหาเงินจะดีกว่า ซึ่งการตัดสินใจเช่นนี้ มันกลายเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา มันทำให้เราเรียนรู้พลังที่ได้จาก "การทำลาย eq ของตนเอง แล้ว think positive (คิดบวก) ตามคำสอนในหนังสือ The Secret!"
Happy ending สำหรับเราก็คือ เมื่อเช้านี้แฟนเราโทรมาหัวเราะชอบใจว่าได้รับเงินค่าเขียนเอกสาร PR (ที่เราทำให้เธอไปแล้ว) และแฟนเราบอกว่าลูกค้าชมว่างานเขียนที่ส่งไปภาษาอังกฤษสวยงามดี
แล้วเธอก็พูดหัวเราะขำๆว่า "ฉันห้ามเธอตายก่อนนะ เธอต้องอยู่ช่วยฉันทำงานราคาแพงๆ"
ซึ่งเราก็ตอบเธอไปว่า "ฉันก็ห้ามเธอตายก่อนนะ เพราะฉันก็ต้องอาศัยปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษของเธอรับงานราคาแพงๆมาทำเหมือนกัน" ^ แล้วเรา 2 คนก็ฮาขำกันสุดๆ ^ แต่เราก็คิดว่าการที่เราไม่มีปริญญาแล้วเราโชคดีได้แฟนจบปริญญาโทคนนี้มาช่วยหางานดีๆให้เราทำ มันก็เป็นพลังเร้นลับตาม The law of Attraction (กฏแห่งแรงดึงดูด) นั่นแหละ!
^ สรุปแล้ววิถึชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร มันมีพลังเร้นลับบางอย่างที่ควบคุมอยู่ ความรู้ในเรื่องวิธีใช้พลังเร้นลับอันนี้ มีค่ายิ่งกว่าได้ปริญญาเอกจากมหาลัยมาซะอีก
เราก็เลยทำตัวขวางโลกโดยไม่เรียนต่อในมหาลัย แต่เรียนรู้ด้วยตัวเองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว think positive (คิดบวก) เรื่อยๆว่าอะไรดีๆจะเข้ามาในชีวิตเรา เราว่ามันท้าทายดีกว่าการไปเรียนต่ออะนะ
^ แต่นี่ก็เป็นแค่มุมมองของเราอะนะ สำหรับคนอื่นแล้วการเรียนต่ออาจทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 11:25:20
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ก.พ. 55 11:09:27
|
|
|
|
|