Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน (๗) ติดต่อทีมงาน

เรื่องเล่าจากสงครามอินโดจีน (๗)

ศึกสงบ

พ.ท.ชาญ กิตติกูล

เสียงปืนในแนวรบสงบลง ตามคำเสนอของญี่ปุ่น และความยินยอมพร้อมใจของไทยและอินโดจีน ต่อจากนั้นจึงเป้นการเจรจา ข้อตกลงในรายละเอียดต่าง ๆ ต่อไป สงสารแต่ทหารในแนวหน้า แม้ว่าสงครามยิงจะหยุดไปแล้วก็ตาม แต่ทหารเหล่านั้นต้องทำสงครามอีกแบบหนึ่ง คือตรึงแนวไว้ตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ตัวเป็นฝ่ายรุกเข้าไป แนวทหารในขณะนั้นได้รุกขึ้นไปถึงก.ม.๓๗ เส้นทางปอยเปต-ศรีโสภณ ส่วนทางกว้างนั้นไม่ทราบว่าเท่าใด

ในขณะที่การเจรจาต่อรองกำลังจะเป็นผลดี กำลังส่วนหนึ่งของทหารไทย ก็ถูกเรียกให้เดินทางเข้าพระนคร เตรียมปูนบำเหน็จรางวัลและเตรียมสวนสนาม อันเป็นการประกาศให้โลกทราบถึงชัยชนะอันมโหฬาร ซึ่งประเทศไทยได้ว่างเว้นมาเสียเกือบร้อยปี

มันเป็นกฎธรรมดาของคนหมู่มาก ที่มีการปกครองบังคับบัญชากัน ย่อมมีทั้งคนที่มีความผิดและมีความชอบ แต่ในกรณีพิพาทคราวนั้นคนผิดรู้สึกว่าจะมีน้อย จึงผ่านไปไม่ขอนำมากล่าว คงกล่าวแต่คนทำความชอบ ปรากฏว่านายทหารบางท่าน(ที่ไม่เสียชีวิต)เลื่อนยศ-ชั้น ข้ามขั้นกันอย่างเอิกเกริก ร้อยตรี เป็นร้อยเอก ร้อยเอกเป็นพันโท ทำให้หวนคิดถึงพระราชนิพนธ์ ของสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ที่ทรงนิพนธ์ไว้ว่า

ผู้ใหญ่ต้องมีใจเป็นธรรม แม้ข้าทำดีดังประสงค์
บำเหน็จแจกให้ดังใจจง หวังให้มั่นคงจงรัก
แม้นใครพลาดพลั้งทำผิด ท่านก็มิได้คิดหาญหัก
อุตส่าห์เป็นห่วงท้วงทัก หวังให้ประจักษืแจ้งใจ
จำเป็นต้องลงอาญา ใช่จะโกรธาก็หาไม่
ท่านต้องมั่นคงครงไว้ รักษาวินัยให้เที่ยงธรรม

สงสารแต่ทหารในแนวหน้า(อีกครั้งหนึ่ง) ที่ต้องกรำแดดกรำฝนเฝ้ารักษาแนวอยู่กลางท้องทุ่งและแนวป่า รอจนกว่าการเจรจาจะตกลงกัน ซึ่งกินเวลาเกือบสองเดือนจึงยุติ โดยญี่ปุ่นวึ่งทำตัวเป็นตาอยู่ แบ่งปลาให้ตาอินกับตานา ในหนังสือแบบเรียนเร็วสมัย ๓๐ ปีผ่านมา ตกลงให้อินโดจีนคืนดินแดนสี่จังหวัดภาคบูรพาให้แก่ไทย รวมทั้งดินแดนฝั่งขวาคือแคว้นจำปาศักดิ์ ให้แก่ไทยด้วย

ที่ว่าญี่ปุ่นทำตัวเป็นตาอยู่ ตัดท่อนหัวท่อนหางให้แก่ตาอินและตานาผู้หาลามาได้ แต่ตัวตาอยู่เอาท่อนกลางไปกินเสียอย่างอร่อยเหาะ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าพุงปลานั้นกินอร่อย ทั้งไข่ทั้ง้ครื่องในแม้แต่เนื้อก็มีก้างแต่น้อย สะดวกต่อการเคี้ยวการกลืน หากญี่ปุ่นไม่รีบห้ามทัพ ปล่อยให้ไทยและอินโดจีนยิงกันตูม ๆ แผนการบุกของญี่ปุ่นคงไม่ง่ายดังคิดไว้ อาจถูกลูกหลงเข้าบ้างก็ได้ เพราะว่าหลังจากไทยเข้ายึดดินแดนได้ ๒๔ วัน ญี่ปุ่นก็บอกให้ไทยกลับได้ เหตุการณ์แถว ๆ อินโดจีนญี่ปุ่นจะดูแลให้เป็นอย่างดี ว่าแล้ว ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ พี่แกก็บุกตลุยผ่านอินโดจีนเข้าไทยทางอรัญประเทศ ผ่านไปโจมตี มาลายู – สิงคโปร์ ต่อไปอย่างสะดวก

ทหารไทยในแนวหน้าต้องเฝ้าท้องทุ่งและแนวป่านั้น ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ถูกออกแนว ได้มีโอกาสเข้าเมืองได้บ้าง โดยผลัดกันมา การเข้าเมืองในสมัยนั้น คือการเที่ยวตลาดอรัญประเทศนั่นเอง ที่ตลาดอรัญ ฯ มีของกินของใช้ พอเหมาะกับสภาพของเมืองชายแดน สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือสินค้า ”เนื้อสด” ซึ่งมีบริษัทใหญ่ตั้งแข่งขันกันอยู่บริเวณท้ายตลาด ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม “ป่าสะแก”

สินค้านี้เป็นความปรารถนา ของคนแก่และคนหนุ่ม ยิ่งไปจมอยู่ในแนวตั้งหลายเดือน ย่อมจะเกิดความกดดัน ทำให้อัดอั้นต้องหาทางระบาย อันเป็นกฎธรรมชาติท ทหารในแนวคนไหนก็คนนั้น พอมาถึงในเมืองมักจะเกิดความต้องการทางเพศ พออิ่มท้องแล้วจึงมักจะแอบ ๆ ไปท้ายตลาด

การคัดคนเข้ากรุงเพื่อสวนสนาม คัดได้ตามใจคือไทยแท้ ผมเลยถูกอยู่โยง เพราะเชยเต็มที เหมาะที่จะขัดตาทัพต่อไป โดยได้รับหน้าที่ตามเคย แถมผู้ช่วยอีกคนหนึ่งเป็นพลทหาร ที่มีความรู้ความสามารถ แต่สติไม่ค่อยดีนัก ตัวผมมีงานพิเศษ ต้องเป็นผู้ป้องกันอันตราย ให้แก่ข้าราชการกรมไปรษณีย์ที่ถูกส่งไปวางสายโทรเลข ในเขตที่เรายึดไว้ได้ ข้าราชการเหล่านั้นมาอาศัยนอนอยู่กับพวกผม เช้าขึ้นออกรถวิ่งผ่านด่านปอยเปต ไปเก็บสายโทรเลขที่เขาวางไว้ก่อนลง แล้วเอาสายโทรเลขไทยขึ้นขึงแทน

มีที่น่าสังเกตคือ สายโทรเลขของเดิมเป็นสายทองแดง ไม่เอา เก็บลงเสีย แล้วเอาสายลวดขึ้นขึงแทน สายทองแดงดังกล่าว พอเสร็จสงครามไม่ทราบว่าหายไปไหนหมด น่ากลัวจะกลายเป็นหัวกระสุนก็อาจเป็นได้

เรียนให้ทราบแล้วว่าผมเป็นเพียงผู้คุ้มกัน พอพวกเขาลงมือทำงาน ผมก็ออกหายิงสัตว์ เลือกยิงเอาขนาดตัวเหมาะ ๆ ตัวเล็ก ๆ ไม่พอแบ่งกัน ตัวใหญ่กินไม่ค่อยหมด จึงต้องเลือกเอา เขียนเรื่อยไปได้ ทำยังกะว่าสัตว์มีให้เลือกงั้นแหละ มีครับ เลือกได้จริง ๆ ฝูงสัตว์ป่าในเขตอินโดจีน ถ้าจะพูดว่า ชุมยิ่งกว่าฝูงวัวควายที่มีเจ้าของในเมืองไทยเสียอีก ก็ไม่ผิด เพราะมันมากมายเสียจริง ๆ ขณะที่เราวิ่งรถอยู่บนถนน มองไปชายทุ่ง กลางทุ่ง ริมป่า คุณจะเห็นฝูง เก้ง กวาง วัวกระทิง ควายป่า เดิน วิ่ง นอนผึ่งแดดเป็นฝูง ๆ พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ พวกมันจะหยุดชะเง้อดู แล้วก้มหน้ากินหญ้าต่อไป ทำไมมันชุมยังงั้น

งานปลดสายโทรเลขชนิดทำด้วยทองแดงก็หมดไปแล้ว คราวนี้ถึงตาที่จะต้องเอาสายลวดขึ้นแทน ผมยังทำหน้าที่เป็นผู้ป้องกันอันตราย ต้องติดรถไปกับเขาทุกครั้ง แต่เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมา ๒-๓ วัน การขึงสายโทรเลขจึงต้องงด ผมอยู่ที่พักรำคาญมาก จึงชวนช่างสายโทรเลขชื่อพี่สุดออกตะเวนป่าหลังห้วยพรมโหด แต่ก็ไม่มีอะไร พบแต่ชาวไร่ซึ่งปลูกผักหญ้าตามประสา จึงกลับที่พัก

พอดีได้รับโทรศัพท์จากแนว ชวนไปกินน้ำขาวในวันรุ่งขึ้น ผมจึงชวนพี่สุดให้ออกทำงานวันพรุ่งนี้ แม้ว่าฝนตกก็ช่าง

เรามาถึงสถานีโทรศัพท์กลางป่า สุขาติ ลูกศิษย์เก่าเป็นนายสถานีดีใจมากบอกลูกน้องให้เอาเสื่อมาปูบนลานโคนต้นไม้ พอประมาณ ๑๗.๐๐ น.แดดร่มลมตกอากาศอันแสนสบายกลางป่า สุชาติสั่งยกน้ำขาวออกมาตั้ง แกล้มด้วยปลาสลิดเค็มย่างไฟ ใช้กะลามะพร้าวขัดเสียจนเป็นมันแทนจอก เป็นการดื่มน้ำขาวซึ่งแสนจะอร่อยเหาะ ขณะที่นั่งดื่มกันอยู่นั้น พี่สุดสะดุ้งเป็นจังหวะ ผมถามว่า

“ เป็นอะไรพี่สุด ท้องเสียหรือไง “

“ เปล่าท้องไม่เสีย “ พี่สุดสั่นหัว

“ แล้วสะดุ้งทำไม หรือเส้นกระตุก “

“ เปล่า “ พี่สุดสั่นหัว แล้วสะดุ้งเฮือก ก้มลงมองที่เสื่อหวายอย่างสงสัย

“ เอ๊ะ “ พี่สุดร้อง

“ ฮึ อะไรแน่ “ ผมร้องบ้าง

“ ไม่รู้ซีเฮ้ย “ พี่สุดร้องลั่น แล้วก้มลงมองเสื่ออีก

น่ากลัวท้องเสียแน่ผมนึก พี่สุดตามธรรมดาเป็นคนเฉย ๆ ไม่มีพิษมีภัย ชอบดื่มแต่ระงัยสติอารมณ์ได้ดี เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ ผมก็ร้องบอก

“ พี่สุดท้องสียก็เข้าป่าไป๊ ไม่ต้องอายน่า เด็ก ๆ ของเราทั้งนั้น “

“ เปล่าพี่ไม่ท้องเสีย แต่เอ๊ะ “ ว่าแล้วพี่สุดก็ลุกขึ้น มือถือปลาสลิดปิ้งค้าง ก้มมองเสื่ออีกครั้ง ผมมองตามสายตาพี่สุด ซึ่งจ้องมองเสื้อที่นั่งเมื่อตะกี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร พี่สุดถอนใจยาว ยกปลาสลิดขึ้นแทะ หันไปรับกะลาซึ่งบรรจุน้ำขาวจนล้นปรี่ ที่ทหารส่งให้ ก้มลงดื่มอึก ๆ มองเห็นลูกกระเดือกวิ่งขึ้นวิ่งลงจนหมด ส่งกะลาคืนแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เดิม การดื่มเริ่มรอบต่อไป

พี่สุดนั่งไป ๒-๓ นาทีพอจะเพลิน ๆ ก็ต้องสดุ้งอีก คราวนี้แกลุกขึ้นเต้นอย่างโมโห บ๊ะแล้ว คนจะกินให้สบาย ๆ อะไรก็ไม่รู้มารบกวน แกเต้นแล้วร้องบอกสุชาติว่า

“ เฮ้ยสุชาติ พี่ว่าผีเจ้าที่เจ้าทางคงจะแรง พี่นั่งเฉย ๆ ไม่รู้ว่าอะไรมากระทุ้งว่ะ “

“ กระทุ้ง “ สุชาติทำหน้าฉงน “ กระทุ้งอะไร อะไรกระทุ้ง “

“ ไม่รู้ นั่งเพลิน ๆ มันก็แหย่ เฮ้ยไม่ใช่แหย่ มันกระทุ้งทีเดียวนี่ ตรงนี้ “

ว่าแล้วก็ชี้ด้วยหัวแม่มือตรงเสื่อที่เคยนั่ง

“ เอ๊ะ อะไรหว่า “ สุชาติสงสัย มองคนโน้นทีคนนี้ที หันมามองทางผมแล้วว่า

“ พี่ว่าอะไรแน่ ที่กระทุ้งพี่สุด เอ มันไม่เคยมีอะไรนี่นา “

ผมนั่งนึก “ อะไรกระทุ้ง “ พอนึกได้ก็เลยร้องขึ้นว่า “ เฮ้ย งูโว้ย “

“ ว้าย ตาเถนหัวถลอก “ ลูกน้องคนหนึ่งของพี่สุดร้องขึ้น

“ ไหน งูที่ไหน “ พี่สุดกระโดดโหยง ผมว่า

“ ใต้เสื่อนั่นแหละ ไม่งูก็ปลาไหล “

“ บ่อแม่นปลาเอี่ยน “ ลูกน้องชาวอีสานร้องขึ้น “ งูแน่ ๆ แม่นบ่อนาย “

“ จั๊ก แต่คิดว่าเป็นงูแน่ “

“ ทำไงดีล่ะพี่ “ สุชาตร้องขึ้น

“ไม่ต้องทำอะไร เปิดเสื่อขึ้นปล่อยมันไปก็แล้ว
กัน “

ทุกคนพากันออกความคิด ถ้าเป็นงูจริงควรเอาบ่วงคล้องหลังคอมันเวลาออกจากรู บ้างก็ว่าต้มน้ำกรอกรูมัน บ้างว่าตีเอามาแกล้มเหล้าเสีย เสียงล้งเล้งราวกับเจ๊กตีกัน

ทหารคนหนึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายเขมร วิ่งมาจากทางหลังครัว มาถึงพอรู้เรื่องบอกว่า

“ ถอยหน่อยครับ ผมแสดงเอง “

พวกเราถอยไปรวมกันอยู่ที่โคนต้นสะแกอีกต้นหนึ่ง ทหารคนนั้นค่อย ๆ ดึงเสื่อหวายออก พวกเราจับตาดูจึงมองเห็นรูอะไรรูหนึ่ง อยู่ตรงกลางเสื่อพอดี พอเสื่อพ้นไปแล้ว เราจ้องมองที่ปากรูจึงเห็น งูตัวหนึ่งตัวดำมะเมื่อม ค่อย ๆ โผล่หัวออกมา พอพ้นปากรู สักศอกมันแผ่แม่เบี้ยเต็มอัตราศึก หันดูทางโน้นดูทางนี้ เราจึงรู้ว่ามันเป็นงูเห่าหม้อตัวไม่เบา ขนาดท่อนแขน เกร็ดย่น ตาขาวขุ่น ส่งเสียงขู่ฟ่อ เพราะความโกรธที่อยู่ดี ๆ มีคนสัปดนเอาอะไรมาปิดปากรู แล้วยังนั่งทับจนหายใจไม่ค่อยจะออก ต้องออกแรงกระทุ้ง จนที่สุดต้องเผ่น

พองูออกมาพ้นปากรู ทหารคนนั้นซึ่งทราบชื่อว่า พลทหารเคลือบ ยกมือขึ้นจ่อปาก พ่นลมเบา ๆ สองครั้งแล้วตรงรี่เข้าหางู เอื้อมมือโบกผ่านหน้างูไปมา ๒-๓ กลับ เจ้างูเห่าตัวโตซึ่งเมื่อกี้แผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อ ๆ เงียบ คอของมันซึ่งแบะออกจนแบบที่เรียกว่าแม่เบี้ยหุบหาย หางของมันซึ่งแกว่งอย่างลำพองเมื่อกี้ ค่อยหดเข้ามารวมเป็นวงกลม พลเคลือบเอื้อมมือลูบหัว ท่ามกลางความเสียวไส้ของพวกเรา พอลูบได้สองครั้งงูก็เอาคางเกยดินทำตาปริบ ๆ เหมือนถูกนะจังงัง ท่ามกลางความแปลกใจของพวกเรา

“ เฮ้ยเคลือบ แกไปหัดเล่นปาหี่มาจากไหน “ สุชาติร้องถาม

“ เปล่า ไม่ใช่ปาหี่ ผมมีคาถาครับ หมู่คงไม่รู้ ผมอยู่บ้านมีอาชีพจับงูขายครับ “

“ เออแน่ะ อยู่ด้วยกันตั้งนานไม่ยักกะรู้ แล้วนั่นจะทำไงต่อไปล่ะ”

“ แล้วแต่หมู่จะเลี้ยงไว้ดูเล่น หรือจะผัดแกล้มเหล้าก้เอา “

“ ผัดใบกระเพราเด็ดน้องสุชาติ “ พี่สุดว่า

“ ตกลง เอ้าเคลือบจัดการซี “

“ ต้องคนอื่นครับ ผมไม่ฆ่างู ไม่กินงู ขืนกินหรือฆ่า ผมจะถูกงูกัด อาจารย์สั่งไว้ “

“ เอา อ้ายซิมเถอะวะ นักฆ่าหมู วันนี้ฆ่างูให้ที “ สุชาติหันไปสั่งทหารไทยลูกจีนคนหนึ่ง

“ ผมเองครับ “ ทหารอีกคนโดดเข้ามา มือถือมีดเหน็บ ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ บุญมี เป็นชายฉกรรจ์ในเขตอำเภอสระแก้ว รับอาสา

พลเคลือบคว้าคองูเห่าตัวนั้นโยนมาตกตรงหน้า พล
บุญมีหวดด้วยสันมีดเข้าคอต่องูเห่าเลยงอก่องอขิง บุญมีจับหางงุหายไปทางโรงครัว ร้องบอกมาว่า

“ รอผมครึ่งชั่วโมงเป็นได้กิน “

เป็นอันว่าเราได้กินงูผัดพริกใส่ใบกระเพรา แกล้มน้ำขาวอร่อยเหาะ แต่แหมอย่าบอกใครเชียว มันทั้งเผ็ดทั้งร้อน โฮ้ย

พอตกดึกผมถ่ายท้องเกือบแย่ เพราะพิษน้ำขาวผสมงู รุ่งขึ้นเจอหน้าพี่สุดและลูกน้องต่างพากันส่ายหน้า ตากลวงโบ๋ไปตาม ๆ กันเพราะถ่ายท้อง ต้องนอนพักไปทำงานไม่ไหวเพราะหมดแรง กรรมเวรแท้ ๆ

ผมอยู่อรัญประเทศต่อมา พวกที่สวนสนามใน
กรุงเทพกลับค่ายจักรพงษ์ ผมจึงได้เดินทางกลับบ้าง ขากลับทหารและนักเรียนตลอดจนครอบครัว พากันมาต้อนรับมีการยืนรายทาง โปรยดอกไม้เมื่อทหารเดินผ่าน

สงครามอินโดจีนสงบลงแต่เงา ของสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังแผ่ทมึนอยู่ทั่วโลก.

#########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 05:21:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com