ความคิดเห็นที่ 1 Learning English - Lesson Eleven (Irony and Coincidence) In this lesson we look at irony and ironic situations. We also look at coincidence. Learning English - Lesson Eleven (Irony and Coincidence ) Irony = noun การประชด การเหน็บ Coincidence =  noun ความซ้ำซ้อน การเท่ากัน การบังเอิญ การพ้องกัน การตรงกัน การเหมือนกัน การประจวบกัน การเกิดขึ้นเวลาเดียวกัน   Hi everybody. This is Misterduncan in   England สวัสดีครับทุกท่าน นี้คือนายดันแคน ในอังกฤษ   How are you today? คุณสบายดีมั๊ยครับวันนี้?   Are you OK? ... I hope so! คุณโอเคมั๊ย?... ผมคิดว่างั้นนะ!   Are you happy? ... I hope so! คุณมีความสุขดีมั๊ย?... ผมคิดว่างั้นนะ!   In this lesson we are going to look at Irony and Coincidence ในบทนี้นะ เรากำลังจะมาดูที่ IRONY การประชดเหน็บแนม และ Coincidence ความประจวบเหมาะพอดี กัน   The word IRONY means a situation คำว่า IRONY นั้น หมายถึง สถานการณ์   where two events relate to each other ที่ 2 เหตุการณ์ เกี่ยวข้องกัน   often, there is a deep and profound meaning to this. บ่อยครั้ง มีความหมายลึกซึ้งและกินใจต่อ (เหตุการณ์) นี้ profound = adjective ลึกซึ้ง สุดซึ้ง  เต็มที่ กินใจ สนิท   Sometimes producing and  response... บางครั้งก่อเกิดปฎิกิริยาตอบสนองที่สะเทือนอารมณ์   ... such as regret or sadness. อย่างเช่น ความเสียใจหรือความโศกเศร้า   Irony can be either positive or negative... Irony สามารถเป็นได้ทั้งในทางบวกและทางลบ   ... depending on the situation. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์   The occurrences can also be described as IRONIC สิ่งที่เกิดขึ้นก็สามารถอธิบายได้ว่า  IRONIC ประชด/เหน็บ occurrences = ที่เกิดขึ้น   You may find yourself saying... เธออาจพบว่าตัวเธอกล่าวว่า   "Isn't it ironic?"  (มัน)ไม่ได้ประชดหรอ?   "That is so ironic!"  นั่นประชดสุดๆ!   Here are some examples of irony. นี่คือบางตัวอย่างของการประชด   "I went to town this morning to buy a new wallet and on the way I lost my money!" ชั้นไปในเมืองมาเมื่อเช้านี้ ซื้อกระเป๋าตังค์ใหม่และระหว่างทางชั้นทำเงินหาย!   "I rushed to catch a Bus, but just missed it. Then fifteen minutes later three buses arrived at the same time!" ชั้นรีบไปจับรถบัส แต่ก็พลาด  แล้ว 15 นาทีต่อมา รถบัส 3 คันก็มาถึง(ป้าย)พร้อมกัน   "My first child was born on the anniversary of my Father's death." ลูกคนแรกของชั้นเกิดวันครบรอบที่พ่อชั้นเสีย   "I traveled all the way to Greece for my holiday and it rained every-day. When I returned to England I found that the weather here had been hot and sunny!" "ผมเดินทางตรงไปยังกรีซสำหรับฮอลิเดย์ของผมและฝนดันตกทุกวันเลย พอผมกลับอังกฤษ ผมพบว่าอากาศที่นี่ช่วงนั้นร้อนและมีแดด!"   So, as you can see... ดังนั้น อย่างที่คุณเห็น ...   ...irony can be a very ironic thing indeed! การประชด ... อาจเป็นสิ่งที่น่าขันมากจริงๆ!   "C o i n c i d e n c e"   ประจวบเหมาะ    The word coincidence means two events คำว่า coincidence หมายถึง สองเหตุการณ์   that happen at or around the same time ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ หรือ ใกล้เคียงกัน   which seem in some way to have been planned. ซึ่งดูเหมือนบางครั้งได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว   A coincidence can be either a positive or negative event... ความบังเอิญสามารถเป็นได้ทั้งกรณีที่บวกหรือลบ ...   depending on the situation. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์   " Example of coincidence " "ตัวอย่างของความบังเอิญ"   "Yesterday I was talking about my best friend in China.. "เมื่อวานนี้ ชั้นเพิ่งพูดถึงเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นในจีน ..   and this morning I received a letter from him!" และเช้านี้ผมก็ได้รับจดหมายจากเขา! "   "... What a coincidence!" "... ช่างบังเอิญอะไรกัน!"   "The car and motorbike were coming around the sharp bend at the same time... "รถยนต์และมอเตอร์ไซด์กำลังมาเข้าโค้งพร้อมกัน ...   ... and could not avoid each other... ... และไม่สามารถเลี่ยงกันและกันได้ ...   ... it is a sad coincidence." .. มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าเศร้า. "   "I traveled all the way to Australia and during the second day there... "ผมเดินทางตรงไปยังออสเตรเลียและระหว่างวันที่สองที่นั่น ...   ... I bumped into one of my former work colleagues!" ... ผมได้พบเข้ากับเพื่อนร่วมงานในอดีตของผมคนนึงอย่างไม่คาดฝันมาก่อน! " colleagues = เพื่อนร่วมงาน bump into somebody/something  = to unexpectedly meet someone or find somethingพบคน/สิ่งของ(บางอย่าง)อย่างไม่คาดฝันมาก่อน     "Such a coincidence!" "ช่างบังเอิญนะครับ!"   Maybe you discovered my English lessons while you were  searching for something else on the internet! บางทีคุณอาจค้นพบบทเรียนภาษาอังกฤษของผม ขณะที่คุณกำลังสืบค้นอะไรอย่างอื่น บนอินเทอร์เน็ต!   What a lucky coincidence! ช่างบังเอิญโชคดีอะไรนี่!   This is Misterduncan in   England saying... นี่คือ Misterduncan ในอังกฤษกล่าวว่า ...   ...thanks for watching and bye-bye for now. ขอบคุณสำหรับการรับชม และลาก่อนสำหรับตอนนี้นะครับ                         แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 14:21:27 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:23:47

ความคิดเห็นที่ 2   Learning English with MisterDuncan  เรียนภาษาอังกฤษกับ MisterDuncan   Lesson Twelve  บทที่ 12   Come on Misterduncan we're waiting มาเร็ว  Misterduncan พวกเรารออยู่นะ   Hurry up! เร็วๆเข้าซี่!   Where are you? คุณอยู่ไหนล่ะ?   Come on ... Hurry up!! มานี่ ... เร็วๆ เข้า!   Get a move on! ขยับมาได้แล้ว!   Misterduncan where are you? ... Quickly!! Misterduncan คุณอยู่ไหนเนี่ย? ... เร็วๆหน่อย!   Come on ... Hurry up!! มานี่ ... เร็วๆ เข้า!   Hurry up!! เร็วๆ เข้าซี่!   Misterduncan we're waiting for you!! Misterduncan พวกเรารอคุณอยู่นะ!   My gosh!  มาย กอช!   OK... โอเค...   Oh... I'm so sorry I'm late!  โอ้ ... ชั้นขอโทษ ชั้นมาสาย!! Hi everybody. This is Misterduncan in   England. สวัสดีครับทุกท่าน  นี้คือ Misterduncan ในอังกฤษ   How are you today? คุณเป็นไงบ้าง วันนี้?   ...Are you ok?... I hope so!  คุณสบายดีมั๊ย? ... ผมก็คิดว่างั้นนะ!!   ...Are you happy?... I hope so! ... คุณมีความสุขดีมั๊ย? ... ผมก็คิดว่าเช่นกัน!   In this lesson we're going to talk all about ในบทนี้ เรากำลังจะมาพูดคุยทุกเรื่องเกี่ยวกับ   You and your character. ตัวเธอและการแสดงออก บุคลิกลักษณะ ความประพฤติ ของเธอกัน character//noun ตัวอักษร ตัวละคร ลักษณะ บุคลิก อุปนิสัย ความประพฤติ เครื่องหมาย กำลังใจ   ALL ABOUT YOU!! ทั้งหมดเกี่ยวกับเธอ!!   The way you behave and the way you act with other people... วิธีที่คุณแสดงออกและวิถีทางที่คุณแสดงต่อคนอื่น...   can be described using many different words. สามารถอธิบายได้ด้วยการใช้คำที่หลากหลายแตกต่างกัน     For example... ดังตัวอย่าง... ... your  "Character" ... or your "Individuality" ... your  "Manner" ... your  "Persona" ... your  "Personality" ... your "traits"                             Your em0tional reactions determine your character. อารมณ์ที่คุณแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ จะกำหนดบุคลิกความประพฤติของคุณ   What you say... What you do... สิ่งที่คุณพูด ​​... สิ่งที่คุณทำ ...   ... even what you think! ... แม้กระทั่งสิ่งที่คุณคิด!   There are many different type of character บุคลิกการกระทำ มีแตกต่างกันหลายประเภท   ... and they are all very individual and unique. ซึ่งทั้งหมดล้วนมีลักษณะเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์   Each group of characteristics แต่ละกลุ่มของลักษณะแต่ละอย่าง   ... fall into two categories ... แบ่งเป็น 2 หมวด   ...they can be positive or negative. .. ลักษณะพวกนั้นสามารถเป็นบวกหรือลบ     Words that describe a positive character.  คำที่อธิบายบุคลิกลักษณะในเชิงบวก Affable  สุภาพ Bright  สดใส Cheerful  ร่าเริง Extrovert ร่าเริง รักสังคม Friendly  เป็นมิตร Genial  ใจดี Generous  ใจกว้าง Gregarious  ชอบสังคม Happy  ยินดี Sociable  เป็นกันเอง Sunny  สดใสอบอุ่น Warm  อบอุ่น   Words that describe a negative character. คำที่อธิบายบุคลิกลักษณะในเชิงลบ Aloof ห่างเหิน Bitter  เจ็บช้ำ ขมขื่น Cold หนาวเหน็บ(แบบโดดเดี่ยว)/เย็นชา/(เลือด)เย็น Cynical  เหยียดหยาม Dark  มืด ชั่วร้าย Dour  ดื้อดึง ถือทิฐิ Introvert  เก็บตัว Odd ประหลาด ส่วนเกิน Scathing  แสบไส้ Sceptical น่าสงสัย ไว้ใจไม่ได้ Spiteful  เจตนาร้าย คิดร้าย Unsociable  ไม่เอาสังคม                         Would you say that you have a positive เธอจะพูดว่า เธอมีบุคลิกในทางบวก   ... or negative character? หรือทางลบกันล่ะ?   Another word for describing your character คำอื่นสำหรับอธิบายบุคลิกภาพของคุณ   ... is "Mood" ก็คือ "Mood"   This word means the way you feel at a certain time คำนี้หมายถึงสิ่งที่คุณรู้สึก ในเวลาธรรมดาปกติ   Your mood can change, depending on many things. อารมณ์ของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง   For example... สำหรับตัวอย่างนะ   ... if you feel tired ...... ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อย ...   Maybe you have heard some bad news, บางทีคุณอาจเคยได้ยินบางข่าวร้าย   You may feel unhappy. คุณอาจรู้สึกทุกข์   You are in a bad mood. อารมณ์คุณไม่เป็นบวกอยู่                          Perhaps you have found your perfect partner... บางทีคุณได้พบเพื่อนร่วมทางที่สมบูรณ์แบบของคุณ   .. maybe you are in LOVE!  ... บางทีคุณกำลังมีความรัก!   ... or perhaps you are just glad to be alive. ... หรือบางทีคุณแค่ดีใจที่มีชีวิตอยู่   You are happy... คุณมีความสุข ...   You are in a good mood. คุณอารมณ์ดี   I hope you are in a good mood today. ผมหวังว่าคุณอารมณ์ดีนะครับวันนี้   This is Misterduncan in England นี้คือ Misterduncan ในอังกฤษ   ...saying thanks for watching... กล่าวว่า ... ขอบคุณสำหรับการรับชม ...   and bye-bye for now! และลาก่อนนะครับ สำหรับตอนนี้!         แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 55 03:40:24 แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 55 03:26:48 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 14:25:25 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:26:13

ความคิดเห็นที่ 3 Learning English - Lesson Thirteen ( Grammar! ) In this lesson we look at the hardest part of learning English... GRAMMAR! Learning English - Lesson Thirteen ( Grammar! ) Learning English  With Misterduncan เรียนภาษาอังกฤษกับ มิสเตอร์ดันแคน   Lesson Thirteen บทที่ 13 Hi everybody. This is Misterduncan in   England. สวัสดีครับทุกๆคน  นี่คือ มิสเตอร์ดันแคน ในอังกฤษ   How are you today? คุณเป็นอย่างไรบ้างครับวันนี้?   ...Are you OK?... I hope so!  คุณสบายดีไหมครับ? ผมก็หวังว่าอย่างนั้นนะครับ!   ...Are you happy?... I hope so! คุณมีความสุขดีมั๊ย? ผมคิดว่ามีนะ!   In this lesson we're going to talk all about a part of English ในบทเรียนนี้ เรากำลังจะคุยกันทั้งหมดเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของภาษาอังกฤษ   ... that causes many young learners of English ที่ทำให้นักเรียนรุ่นเล็กๆที่เรียนภาษาอังกฤษจำนวนมากมาย ... to have difficulty. ได้รับความความยากลำบาก   A part of English that is very scary... ส่วนหนึ่งของภาษาอังกฤษที่ที่น่ากลัวมาก   something that many students learning English สิ่งที่นักเรียนภาษาอังกฤษหลายคน   ... tend to avoid. มีแนวโน้มจะหลีกเลี่ยง   Today we're going to talk about... วันนี้เรากำลังจะพูดถึง ...   ...Grammar! ไวยากรณ์!    What exactly is Grammar? ไวยากรณ์ แท้จริงแล้วคืออะไรกัน?   Grammar is the system that is built up by words,   all with their own meaning and place within a sentence. ไวยากรณ์คือระบบที่สร้างขึ้นจากคำหลายๆคำ แต่ละคำ มีความหมายในตัวเอง และ(เอาแต่ละคำมา)ใส่เข้าในประโยค   The sentence is a result of composing these words in the correct order. ประโยคเป็นผลมาจากการเรียบเรียงคำเหล่านี้ในลำดับที่ถูกต้อง   Grammar is one of the hardest parts of learning English and is the main reason   why many people give up studying English as a second language.   ไวยากรณ์เป็นหนึ่งในส่วนที่ยากที่สุดของการเรียนภาษาอังกฤษและเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมคนจำนวนมากถึงเลิกเรียนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สอง   Grammar can be divided into eight sections. ไวยากรณ์สามารถแบ่งออกได้เป็นแปดส่วน Verbs คำกริยา words that describe an action คำที่อธิบายถึงการกระทำ  Doing Words คำที่แสดงการกระทำ   Nouns คำนาม words that give a name to something คำที่ใช้เรียกสิ่งของ Naming Words คำที่ใช้เรียก Adjectives คำคุณศัพท์ words that add description to something คำที่เพิ่มรายละเอียดให้กับบางสิ่งบางอย่าง Describing Words คำที่ใช้อธิบาย   Adverbs กริยาวิเศษณ์ word that add meaning to an action คำที่เพิ่มความหมายให้การกระทำ Action Words คำแสดงการกระทำ (คำขยายการกระทำ, action vs doing ต่างกันยังไง? action ละเอียดกว่า doing)   Pronouns สรรพนาม words that show possessiveness and replacing nouns คำที่แสดงความเป็นเจ้าของและคำที่ใช้แทนคำนาม Relate Words   Prepositions คำบุพบท words that describe 'where' and 'when' คำที่อธิบายว่า 'ที่ไหน' และ 'เมื่อไหร่' Placement Words   Conjunctions คำสันธาน word that continue a sentence คำที่เชื่อมประโยค Join Words คำเชื่อม   Interjections คำอุทาน words that show emotional sounds คำที่โชว์เสียงแสดงความรู้สึก Exclaim Words คำอุทาน   Examples of Verbs ตัวอย่างของคำกริยา act  การกระทำ bake  อบ jump  กระโดด open  เปิด push  ดัน run  วิ่ง speak  พูด swim  ว่ายน้ำ throw  โยน walk  เดิน     Examples of Nouns ตัวอย่างของคำนาม cat  แมว computer  คอมพิวเตอร์ dictionary  พจนานุกรม dog  สุนัข egg  ไข่ house  บ้าน man  มนุษย์ paper  กระดาษ water  น้ำ woman  หญิง     Examples of Adjectives ตัวอย่างของคำคุณศัพท์ big  ใหญ่ cold  เย็น damp  ชื้น fat  ไขมัน hairy  ปุย heavy  หนัก small  เล็ก stupid  โง่ tall  สูง weak  อ่อนแอ       Examples of Adverbs ตัวอย่างของ Adverbs loudly สนั่น fervent  แรงกล้า slower  ช้าลง lazily  อย่างเฉื่อยชา often  มักจะ well  ดี quietly  เงียบ ๆ abruptly  อย่างฉับพลัน constantly  อย่างต่อเนื่อง faster  ได้เร็วขึ้น     Examples of pronouns ตัวอย่างของคำสรรพนาม hers  ของเธอ his  ของเขา ours  ของเรา some  บาง their  ของพวกเขา who  ใคร you  คุณ yours  ของคุณ     Examples of Prepositions ตัวอย่างของคำบุพบท at ที่ during ในระหว่าง for  สำหรับ from  จาก in  ใน of  ของ on  เกี่ยวกับ since  ตั้งแต่ to  ไปยัง with  ด้วย     Examples of Conjunctions ตัวอย่างของคำสันธาน also  ด้วย and  และ but  แต่ for  สำหรับ or  หรือ so  ดังนั้น though  แม้ yet  ยัง     Examples of Interjections ตัวอย่างของคำอุทาน ah!  อะห์! dear! ที่รัก! eh! เอ๊ะ! erm! เอิ่ม! oh! โอ้! uh!  เอ้อ! um! อืม!     How important is Grammar? ไวยากรณ์สำคัญอย่างไร?   If you want to master the English language, then you will need to know how sentences are formed. ถ้าคุณต้องการเก่งภาษาอังกฤษ คุณจะต้องรู้วิธีการสร้างรูปประโยค   However it is not the most important part of learning English. แม้ว่ามันไม่ได้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ   Remembering the meaning of words and expanding your vocabulary will always be the most important part of learning English. การจดจำความหมายของคำศัพท์ต่างๆและเพิ่มจำนวนศัพท์ที่คุณรู้จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเสมอในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ   So try to relax and take it easy! ดังนั้น พยายามผ่อนคลายและไม่เครียด(กับมัน)!                                                                                      take it easy = relax   Remember, Grammar is not a set rule! จำไว้ว่า ไวยากรณ์ไม่ได้มีกฏตายตัว!   In fact, the English language is constantly changing... ในความเป็นจริงแล้ว ภาษาอังกฤษนั้น มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ...   ... so it is fair to say that Grammar will change too. ... ดังนั้นมันจึงยุติธรรมที่จะกล่าวว่า ไวยากรณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย   Even if you are the greatest English speaker in the world. แม้ว่าคุณจะเป็นนักพูดภาษาอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก   You will need to keep up to date with the new words and ways of speaking. คุณก็ยังจะต้องคอยอัพเดทคำใหม่ ๆ และวิธีการต่างๆในการพูด(ภาษาอังกฤษ)อยู่   I hope you have found this lesson useful and interesting. ชั้นหวังว่าคุณได้พบว่าบทเรียนนี้มีประโยชน์และน่าสนใจ   This is Misterduncan in    England saying... นี่คือ Misterduncan ในอังกฤษกล่าวว่า ...   Thanks for watching and bye-bye for now ขอบคุณสำหรับการชมและลาก่อนครับสำหรับตอนนี้                                                 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 13:56:39 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 13:54:08 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:28:36

ความคิดเห็นที่ 4 ออ ใครผ่านไปผ่านมา ช่วยกดเก็บเข้าคลังให้หน่อยจ้า หายไป 2 อันแล้วจ้า (1-2) ขอบคุณมากจ้า จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:51:39

ความคิดเห็นที่ 5           Business English - 7 Common   Workplace Abbreviations    ภาษาอังกฤษธุรกิจ - 7 คำย่อที่ใช้ประจำในที่ทำงาน            An abbreviation is a shortened form of a word or phrase. In written English, we use abbreviations to shorten common sentences to save time. ตัวย่อ คือ รูป(เขียน) ที่สั้นลงของคำหรือวลี ในการเขียนภาษาอังกฤษ  เราใช้คำย่อเพื่อทำให้ประโยคสั้นลงเพื่อประหยัดเวลา   This lesson will explain some common written abbreviations that are used in a business setting. บทนี้จะอธิบายบางคำย่อที่ใช้เขียนกันทั่วไปในพื้นฐานธุรกิจ     Hi! My name is Valen, and this lesson is on Common English Abbreviations that you will find in a workplace. สวัสดีค่ะ! ดิชั้นชื่อ Valen และบทเรียนนี้คือเรื่องคำย่อภาษาอังกฤษที่ใช้ทั่วไป ที่คุณจะพบในที่ทำงาน   So the Abbreviations in English is a shorten form of a word or a phrase. ดังนั้นคำย่อในภาษาอังกฤษคือรูปที่สั้นลงของคำหรือวลี   And we do that to save time when you're writing and sometime we use abbreviations for when we're speaking,too. และเราทำอย่างนั้นเพื่อประหยัดเวลาตอนที่คุณเขียน และบางครั้งเราก็ใช้คำย่อตอนที่เราพูดด้วยเช่นกัน   So we gonna do 7 abbreviations and they're all use commonly in business setting. ดังนั้นเราก็กำลังจะมาดู ตัวย่อ 7 ตัว และทั้งหมดก็ใช้กันเป็นปกติในพื้นฐานธุรกิจ   So a first one is ASAP ดังนั้นตัวแรกคือ ASAP   or  A - S - A - P หรือ A - S - A - P   1. ASAP or  A - S - A - P = as soon as possible โดยเร็วที่สุด   So, what's  mean? ดังนั้น ASAP หมายความว่าอย่างไร   It means =  as soon as possible มันหมายความว่า  = โดยเร็วที่สุด(เท่าที่จะเป็นไปได้)   so when we're speaking, somebody might say to you. ดังนั้น เมื่อเรากำลังคุยกันอยู่ บางคนอาจพูดกับคุณว่า   "I need that report ASAP" "ฉันต้องการรายงานนั้น ASAP "   They might also say เขาอาจพูดอย่างนี้ก็ได้   "I need that report A - S - A - P" "ฉันต้องการรายงานนั้น  A - S - A - P"   It means the same thing. มันมีความหมายเหมือนกันค่ะ   That mean, "I need that report as soon as possible." นั่นหมายถึง "ชั้นต้องรายงานนั้นให้เร็วที่สุดค่ะ"   ASAP   Very very common. พบบ่อยมากๆ   2. RSVP = Please Respond = กรุณาตอบ   The next abbreviation is RSVP ตัวย่อถัดมา คือ RSVP   And this stand for a french phrase which is "Repondez sil vous plait"   และคำนี้มาจากวลีภาษาฝรั่งเศสว่า "Repondez sil vous plait"     Which mean in English (You don't really need to know the French)  = Please respond ซึ่งในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า (คุณไม่จำเป็นต้องรู้แบบฝรั่งเศสหรอก) = กรุณาตอบ   So RSVP means = Please respond ดังนั้น  RSVP มีหมายความว่า = กรุณาตอบกลับ   People will generally not say to you RSVP. คนทั่วไปจะไม่พูดกับคุณว่า RSVP   They would more than written invited, shown at the end of an email, at the end of an invitation. เขาจะมากกว่าเขียนเชิญ โดยแสดงที่ส่วนท้ายของอีเมล, หรือตอนท้ายของหนังสือเทียบเชิญ     Usually, to a social event, people will ask you RSVP by phone, by email, by regular mail. ปกติ เพื่องานสังคม เขาจะขอให้คุณตอบกลับ RSVP ทางโทรศัพท์,ทางอีเมล, หรือด้วยจดหมายธรรมดา   How they gonna want you to respond. And they say RSVP แล้วแต่วิธีที่เขาจะให้คุณตอบกลับ และเขาจะบอกว่า  RSVP   And they asking you to respond and tell them weather or not you are attended the event. และเขาจะถามคุณถึงคำตอบกลับ(ว่าจะมาร่วมงานมั๊ย) แม้คุณจะไม่เข้าร่วมงานก็ตาม   So RSVP   And the speaking conversation, sometimes someone might say to you... และบทสนทนา บางครั้งบางคนอาจพูดกับคุณว่า ...   "Oh! You're going to someone's wedding, have you RSVP ? = have you let them know that you are attend or not ?" "โอ้! คุณกำลังจะไปร่วมงานแต่งของบางคน คุณ RSVP รึยัง  = คุณตอบกลับเค้าไปหรือยัง   = คุณแจ้งให้เค้าทราบหรือยัง ว่าคุณจะเข้าร่วมงานหรือไม่ไป?"   3. ATTN = Attention = เรียน   The next one is not use in spoken English. อันต่อมา ไม่ใช่ในภาษาพูด ภาษาอังกฤษนะคะ   But you will see this a lot, especially on faxes in a workplace. แต่เธอจะเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะในแฟกซ์ในที่ทำงาน   And what's this (ATTN) stand for is attention และ (ATTN) ย่อมาจาก attention = ความสนใจ   and what's it mean? และความหมายคืออะไรหรอคะ?   It's for example, what's you see is something like that ตัวอย่างนะคะ, ที่คุณเห็นคืออะไรอย่างนี้ค่ะ   ATTN: Joe Smith   what's that mean? Is that the fax? ความหมายคืออะไรหรอคะ? นั่นคือแฟกซ์หรอคะ?   It's the address to Joe Smith มันคือ ให้ส่งให้ Joe Smith น่ะค่ะ   It's for his attention, and you should forward the fax to him. มันคือสำหรับ Joe Smith และคุณควรส่งต่อแฟกซ์ไปยังเขา   So ATTN = Attention   And you'll always see in Capital Letters. และคุณก็มักจะเห็นเป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่นะคะ   4. CEO = Chief Executive Officer = ประธานกรรมการบริหาร   The next one is an important one. อันต่อมาเป็นอันสำคัญนะคะ   It's CEO. มันคือ CEO   And what's CEO means ? และ CEO หมายความว่าอะไรคะ?   It is a Chief Executive Officer มันคือ Chief Executive Officer = ประธานกรรมการบริหาร   So CEO ดังนั้นซีอีโอ   The Chief Executive Officer is the boss of the company. ประธานกรรมการบริหาร คือ หัวหน้าของบริษัท   The chairperson of the company, usually boss. ประธานของบริษัท ปกติคือ หัวหน้า   You say "My company's CEO" คุณพูดว่า ประธานกรรมการบริหารของบริษัทชั้น   And you pronoun like that "C-E-O" not "Cee- O" และคุณออกเสียงว่า "ซี-อี-โอ" ไม่ใช่ "ซี-โอ" นะคะ   C-E-O   5. No. = Number = "เลขที่"   The next thing you might see in the work place is this สิ่งต่อมา ที่คุณอาจเห็นในที่ทำงานคือ "No."   And it doesn't mean "NO!" as the opposite of "YES". และมันไม่ได้หมายถึง "NO!" ที่ตรงข้ามกับ "YES".   It's means number. มันหมายถึง "เลขที่" ค่ะ   So, you might see something like this "No.1" ดังนั้น คุณอาจเห็น อะไร เช่นนี้  "No.1"   N-o-1 = Number One = same meaning with this "#1" or this, just = 1 เลขที่ - 1 = เลขหนึ่ง = ความหมายเหมือนกันกับอันนี้ "# 1" หรือนี้ ตัวเดียว = 1   (No.1 = #1 = 1 )   When we're express this way "No.1" เมื่อเราแสดงว่า "No.1"   Like I said, it's means number เหมือนที่ชั้นพูดไปแล้ว มันหมายถึง ตัวเลข   and not "NO" , not the opposite of "YES" และไม่ใช่  "NO!"  ไม่ใช่ที่ตรงข้ามกับ "YES" นะคะ   6. N/A = Not  Applicable  = ระบุไม่ได้   Alright.  เอาหละนะคะ   N/A   So an expression written in English "N-Slash-A" และการเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ว่า "N-Slash-A"   But we just say "N-A" แต่เราพูดว่า "N-A"   And what's it means is = "not  applicable." และความหมายมันคือ = "ระบุไม่ได้" Applicable =  adjective สามารถใช้งานได้ เหมาะสม ประยุกต์ได้ ใช้ประโยชน์ได้ ใช้สอยได้   So, in general conversation, you wouldn't say... ดังนั้น, ในบทสนทนาทั่วไป คุณจะไม่ใช้พูดนะคะ...   if someone ask you a question, and it wasn't an applicable question. ถ้ามีคนถามคำถามคุณ และมันไม่ใช่คำถามที่จะระบุได้   You wouldn't just say N/A ไม่ใช่คุณจะพูดว่า  N/A นะคะ   It's more something that we use in written English (คือ) เราใช้ในการเขียนภาษาอังกฤษ มากกว่าน่ะค่ะ   So for example, ดังนั้น สำหรับตัวอย่างนะคะ   you're filling that questionnaire. คุณกรอกแบบถามคำถาม   And it said, และมีว่า   Married Status: Single/Married สถานภาพสมรส : โสด/สมรส   You check Single คุณตอบโสด   and they say และคำถาม มีว่า   Name of Spouse ________________ ชื่อของคู่สมรส ________________   Well, if you're not married, you'll write ซึ่งถ้าคุณไม่ได้แต่งงาน คุณจะเขียนว่า   N/A   = Not  Applicable =  ระบุไม่ได้   7. PR = Public Relations =  ประชาสัมพันธ์   Alright, the last abbreviation is PR เอาล่ะค่ะ ตัวย่อตัวสุดท้าย คือ PR   And what PR stand for is = Public Relations. และพีอาร์ก็ย่อมาจาก = ประชาสัมพันธ์   So the public Relations department is responsible for the flow of information between the company and the general public. ดังนั้น แผนกประชาสัมพันธ์เป็นผู้รับผิดชอบต่อการรับส่งข้อมูลระหว่าง บริษัท และประชาชนทั่วไป   And sometimes you will say และบางครั้งคุณจะกล่าวว่า   "The Public Relations Department" "แผนกประชาสัมพันธ์"   But it's more common to hear people say แต่มันก็ปกติมากที่จะได้ยินคนพูดว่า   "The PR Department" or "แผนกพีอาร์" หรือ   "The people that work in PR" = "คนที่ทำงานในพีอาร์" =     "The people that work in Public Relations" "คนที่ทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์"   And it's express in writing like this และในรูปการเขียน เขียนอย่างนี้ค่ะ   "Capital P" "Capital R" "พีตัวใหญ่" "อาร์ตัวใหญ่"   Or by saying "P-R" not by saying "PeRR!!" หรือโดยพูดว่า "พี-อาร์" ไม่ใช่ "เพอรร์"   "P-R"   So Public Relations ก็คือ ประชาสัมพันธ์   So the abbreviations we learn today are ดังนั้น คำย่อที่เราเรียนวันนี้ มี 1. ASAP or  A - S - A - P = as soon as possible 2. RSVP = Please Respond 3. ATTN = Attention 4. CEO = Chief Executive Officer 5. No. = Number 6. N/A = Not  Applicable 7. PR = Public Relations   You can take a quiz and test your knowledge of business written abbreviations at www.engvid.com และคุณสามารถทำแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบความรู้ เรื่องตัวย่อเพื่อการเขียนเชิงธุรกิจ ได้ที่เว็บอิงวิดค่ะ คลิกที่นี่เพื่อทำแบบฝึกหัด>> http://www.engvid.com/business-english-7-common-workplace-abbreviations/      แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 13:29:02 แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 55 10:40:53 แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 55 10:34:58 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 11:57:35 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:54:31

ความคิดเห็นที่ 6           Expressing Time in English. การบอกเวลาในภาษาอังกฤษ           This is a lesson on different ways to express time in English. นี้เป็นบทเกี่ยวกับวิธีการบอกเวลาหลายๆ แบบในภาษาอังกฤษนะคะ   The lesson covers vocabulary related to time -- something every beginner needs to learn! บทนี้ ครอบคลุมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเวลา - (ซึ่งเป็น)บางสิ่งที่ผู้เริ่มต้นทุกคนต้องการเรียนรู้ค่ะ! Hi!    My name is Valen. สวัสดีค่ะ! ชื่อชั้นคือวีเลนนะคะ   And this is a lesson on the different ways to express time. และนี่คือบทเกี่ยวกับวิธีที่แตกต่างกันในการบอกเวลา   OK. So, when someone asked you "What time is it?" or โอเค  ดังนั้นเมื่อมีคนถามคุณว่า "กี่โมงแล้วคะ?" หรือ "Do you have a time?" (อันนี้ผิดแกรมม่านะ ในประโยคสำนวนนี้ ใช้ the เท่านั้น) "Do you have the time?" (สำนวน = )  "กี่โมงแล้วคะ"   ( = can you tell me what time it is)   There're couple different ways that you can answer that question. มี 2 - 3 วิธีที่ต่างกัน ที่คุณสามารถตอบคำถามนั้นค่ะ   So we just gotta go for some of the basic first, really quickly. ดังนั้น เราจะมาเริ่มกันจากขั้นต้นกันก่อน อย่างไวเลยนะคะ   And we gonna get into different ways to express time. และเราก็จะค่อยเข้าสู่วิธีการบอกเวลาอีกแบบค่ะ   OK. So, if our clock is like this. โอเค ดังนั้น ถ้านาฬิกาเราเป็นอย่างนี้นะคะ     This could be   "Noon." นี่ อาจเป็น "เที่ยงวัน"   Or this could be    "Midnight." หรืออาจเป็น "เที่ยงคืน" ค่ะ   So, ดังนั้น,   "noon"   is  = 12 o'clock P.M. "เที่ยงวัน" คือ = 12:00 P.M. ค่ะ And และ   "midnight"   is = 12  o'clock A.M. "เที่ยงคืน" คือ = 12:00 A.M.ค่ะ   Now ตอนนี้นะคะ P.M.   stand for the last word คำเต็มของคำสุดท้าย   =  "(Latin) Post Meridiem" You don't really need to know that.  = "(Latin) Post Meridiem" คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก   (from Latin, meaning  =   "after noon")   Basically it's mean  ปกติแล้วนะคะ  มันห​​มายถึง   =  in the afternoon, so  = ในช่วงบ่าย, ดังนั้น   =  past noon = เลยเที่ยง, หลังเที่ยง   And และ   A.M. mean  =  "before noon." AM หมายถึง = "ก่อนเที่ยง"   So ดังนั้น   12 o'clock P.M. =  this is "noon" =  lunch time 12:00 นาฬิกา (P.M.) = นี้คือ "เที่ยง" = เวลามื้อกลางวันค่ะ   And และ   12  o'clock A.M. =  this is "midnight." So = in the middle of the night. 12:00 นาฬิกา (A.M.) = นี้คือ "เที่ยงคืน." ดังนั้น = ในกลางดึกค่ะ   OK, so we gonna go with the easiest way to express time, first. โอเค และเราก็จะเริ่มด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดในการบอกเวลา, เป็นประการแรกนะคะ   And we gonna say that ... it is... และเราก็จะพูดว่า ... มันคือ...   Let's say "5 o'clock" So "the hour hand" is pointing at the 5. มาพูดว่า "5 โมง" ดังนั้น "เข็มชั่วโมง" ก็จะชี้ที่เลข 5 นะคะ   And now at "the minute hand" is pointing.... และตอนนี้ที่ "เข็มนาที" ก็กำลังชี้ไปที่ ....     That's obviously tell us, how many minute it is, after the hour. นั่นบอกเราได้ชัดเจนว่า มันกี่นาที, หลังจาก(บอก)ชั่วโมงค่ะ   That's pretty easy, right? นั่นมันง่ายๆจริงๆเลยค่ะ ใช่มั๊ยคะ?   So, we would say that, this is (5.05 =) "Five-o-five." เอาหละ, เราก็จะพูดว่า, นี่มัน  (5.05 =) "ห้าโมงห้านาที" นะคะ   That's how we would expressed it verbally. นั่นคือวิธีการบอกเวลาด้วยการพูดค่ะ   In writing, we're probably, would write the numbers like this ในการเขียน, เราอาจจะเขียนเป็นตัวเลขเช่นนี้นะคะ...   "five" "ห้า"   We're probably,  just write 5.05 เราอาจเขียนแค่ว่า  5.05   OK? So, pretty simple. โอเคมั๊ย? ก็ค่อนข้างง่ายอะนะคะ   5.05 ... 5.10 ... 5.15  ...  5.20 ...   And then we count, all the way up to 5.55 และเราก็นับ เรื่อยมาจนถึง 5.55   Of course, it's not plenty to the 5. แน่นอนว่า ไม่นับเลข 5 มากไปนะคะ   It can be 5.06 ... 5.16 ... 5.22 มันสามารถเป็น 5.06 ... 5.16 ... 5.22 ก็ได้   That is the simplest way to express time. นั่นก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อบอกเวลาค่ะ                   OK.   Little bit of the more complex way to express time, is this... วิธีบอกเวลาที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกนิดนึง นี่ก็คือ...   Now, we divided the clock into quarter ตอนนี้, เราก็แบ่งนาฬิกา ออกเป็นสี่ส่วน   So 15 minute past the hour is = "a quarter after." ดังนั้น 15 นาทีหลังจากผ่านชั่วโมง คือ = "a quarter after." = " (... โมง) กับอีก 15 นาที "   or sometime you say = "a quarter past."  หรือบางครั้งเราก็เรียกว่า = "a quarter past"    So, if we have "a quarter" over this... ดังนั้น ถ้าเรามี " ส่วน สิบห้านาที " ผ่านอันนี้ (ผ่านเข็มชั่วโมง)   This's hour hand.  This's our minute hand. นี้คือเข็มชั่วโมง นี่คือเข็มนาทีของเรา   This would be...  "a quarter after five." นี้จะเป็น "a quarter after five" "ห้าโมงกับอีกสิบห้านาที" นะคะ   So first way to express this, is you need to say... like you learn before. ดังนั้น วิธีแรกที่จะพูดบอกเวลานี้ ก็คือเธอจำเป็นต้องพูด... อย่างที่เรียนมาแล้วนะคะ     "five fifteen" "ห้าโมงสิบห้า"   we can say เราสามารถพูดว่า   1. - "five fifteen"  "ห้าโมงสิบห้า"             or we can say หรือเราสามารถพูดว่า   2. - "a quarter after five"   or  หรือ   3. - "a quarter past five"   All  3  ways are correct and they're all mean the same thing. ทั้งหมดทั้ง 3 วิธีนั้นถูกต้อง และทั้งหมดมีความหมายเหมือนกันค่ะ           OK. So, we can say that โอเค ดังนั้น เราสามารถพูดว่า   "It's 5.30"  "มัน 5.30"   Which is probably what people will say most of the time. ซึ่งบางที วิธีนี้คนจะพูดบ่อยสุด   If I say, "what time it is?"  You will see you watch. ถ้าชั้นพูดว่า, "ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ?"  คุณก็จะดูนาฬิกาคุณ   And this way the hour and the minute hand were. และเข็มชั่วโมงและเข็มนาที ก็จะเป็นแบบนี้   You will say คุณจะบอกว่า   - "It's 5.30."  "มัน 5.30 ค่ะ"   You could also say "It's half past..." and what hour was the half past? In this case's five. So คุณยังสามารถพูดว่า "มันเลย .... มาครึ่งชั่วโมงค่ะ" และ กี่โมงที่เลยมาครึ่งชั่วโมงรึ? ในกรณีนี้ คือ ห้า ค่ะ ดังนั้น    - "It's half past five." "มัน ห้าโมงครึ่งค่ะ"   Or หรือ   - "It's 5.30" Same meaning. ความหมายเดียวกันค่ะ                   Now your clock was a little more, like this. ตอนนี้ นาฬิกาคุณ ขยับลงมาหน่อย, อย่างนี้   Actually, they were like this, right? ปกติ มันเป็นอย่างนี้ใช่มั๊ย?   So, you will say... ดังนั้น คุณก็จะพูดว่า     - "It's 5.45."  That's the first way we learn, the most simple way. - "มัน 5.45"  นั่นคือแบบแรกที่เราเรียน วิธีที่ง่ายที่สุดน่ะค่ะ   Or we will say หรือคุณจะพูดว่า   - "It's a quarter to...."    And you say next hour..... -  "มัน อีก 15 นาทีจะ .... โมง" และคุณก็พูดเลขชั่วโมงที่จะถึง...   So, in this case, it would be ดังนั้นในกรณีนี้, มันจะเป็น...   - "a quarter to ...."     And the hour that's coming up is "6 o'clock" -  " อีก 15 นาทีจะ .... โมง" และ ชั่วโมงที่กำลังจะถึงคือ ."6 โมง" (หรือ 6 นาฬิกา)   so we can say ดังนั้น เราสามารถพูดว่า   -  "5.45"    or หรือ   -  "a quarter to six." -  "อีก 15 นาที หกโมง" ค่ะ                               OK. So, those are the two different ways to express time. โอเค  ดังนั้น พวกนั้นคือ 2 วิธีที่ต่างกันเพื่อใช้บอกเวลานะคะ   - The first way, the simplest way.  วิธีแรก วิธีที่ง่ายที่สุด   It's to say, the hour that it is, and how many minute pass the hour. คือบอก ชั่วโมงตอนนั้น และ กี่นาทีจากชั่วโมงนั้นมา   - Let's just do one more example. So we're do 5 o'clock. มาทำอีกตัวอย่างหนึ่งนะคะ ดังนั้นเราทำ 5 นาฬิกาไปแล้ว   Let's do 1 o'clock มาทำที่ 1 นาฬิกากัน   You will say, this is "one thirty - five." เธอจะพูดว่า นี่คือ "บ่ายโมงสามสิบห้า"   So, first, we say the hour = one : "It's one." ดังนั้น อันดับแรก เราพูดว่า  ชั่วโมง = หนึ่ง ( = บ่าย ) :  "มันคือ บ่ายโมง"   And then, we express, how many minute pass the hour. = "thirty - five" และจากนั้น เราพูดว่า กี่นาทีผ่านจากชั่วโมง = "สามสิบห้า"   - "It's one thirty - five." - "มันคือ บ่ายโมง สามสิบห้า"                       - And then, the second way. We learn how to express is.... และต่อมา, วิธีที่สองนะคะ เราเรียนว่าจะพูดอย่างไร   It's we would say... นั้นคือ เราจะพูดว่า   - "twenty five to two." So "It's twenty five to two." - "อีกยี่สิบห้านาที สองโมง" ดังนั้น "มันคือ อีกยี่สิบห้านาที สองโมง"   So it's   - "One thirty - five."  Or it - "บ่ายโมง สามสิบห้า" หรือว่า   - "Twenty five to two." - "อีกยี่สิบห้านาที สองโมง"   Now both ways are expressing time are equally correct. นี้ ทั้ง 2 วิธี นั้นบอกเวลาได้ถูกต้องเสมอกันค่ะ   And you'll be understand it, if you use either way. และคุณจะเข้าใจมัน ถ้าคุณใช้แต่ละวิธีน่ะค่ะ   That's just 2 different ways. นั่นคือ 2 วิธีที่เพียงแตกต่างกันค่ะ   Remember จำไว้ว่า   - If the minute hand is at the three. = It's "a quarter after" - ถ้าเข็มนาที ชี้ที่เลขสาม = มันคือ "(... โมง) กับอีก 15 นาที "   - If the minute hand is at the six. = It's  "half pass" - ถ้าเข็มนาที ชี้ที่เลขหก = มันคือ "..... โมงครึ่ง" ค่ะ   - If the minute hand is at the nine. = It's "a quarter to" - ถ้าเข็มนาที ชี้ที่เลขเก้า = มันคือ " อีก 15 นาที  ....โมง" OK.   So remember that, and time wouldn't be that difficult. ดังนั้น จำพวกนี้ไว้ และเรื่องเวลาก็จะไม่ยากขนาดนั้น   Now there's a quiz at the end of this video. ตอนนี้ มีแบบทดสอบตอนท้ายของวิดีโอนะคะ   So please take the quiz and visit us at www.engvid.com ดังนั้น กรุณาทำแบบทดสอบนะคะ และเยี่ยมพวกเราที่เว็บอิงวิดค่ะ OK. Bye! :)) คลิกที่นี่จ้า  http://www.engvid.com/speaking-english-how-to-express-time/     แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 10:24:12 แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 09:49:46 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:56:08

ความคิดเห็นที่ 7             English Communication Skill part 1-6  Answering the telephone and transferring a call. แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:09:31 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:03:19 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:02:50

ความคิดเห็นที่ 8               English Communication Skill part 1-7 MAKING AN APPOINTMENT               แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:07:28 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:06:57

ความคิดเห็นที่ 9   เรียนภาษาอังกฤษจากสถาบันEF (Education First) Learn to ask and answer questions in English  using "do" and "don't" in the present tense. In this beginner English lesson you will see people going grocery shopping  and asking yes/no questions in English. These questions can be answered with "do" and "don't".             จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:16:56

ความคิดเห็นที่ 10       เรียนภาษาอังกฤษจากสถาบันEF (Education First) Learn English 06 - Like, love, hate Learn to talk about what you like, love, and hate in English. In this beginner English lesson you will see people discussing what types of activities they like and don't like.                   แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:25:02 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:24:02

ความคิดเห็นที่ 11             Business English Vocabulary - Internet Technologies   This Video Vocab lesson is the first of a two-part series   on Business English vocabulary   related to Internet technologies.   In part one, we'll have a look at some of the basic tools   and concepts that allow the Internet to function                         แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:37:19 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:35:50 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:34:30

ความคิดเห็นที่ 12                               English Vocabulary for Internet Technologies 2   This episode of  http://VideoVocab.TV      is the second of our two-part series on vocabulary   related to Internet technologies.   In our last episode, we looked at the basic tools and concepts   behind Web 2.0. In this lesson, we'll focus on   the programming of websites and web-based applications.                 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:53:10 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 12:51:49 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:50:32

ความคิดเห็นที่ 13   Top 36 Job Interview Questions and Answers 2010    Top 36 employment interview questions with answers asked during an interview.   1. Where do you see yourself in 10 years?   Response: You want to grow into the position and into a more responsible and respected positions, but still doing the work you care about.   You also might want to add: Hopefully I'll be alive, healthy, happy and thriving in this career. That you hope to be one of the best loyal employee and continue to work for this firm.   Thank you for viewing -- I hope you have a superb day... :-)                     แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 13:07:23 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 13:06:27 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 13:05:36 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 13:03:37

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ lovelypriest อย่าลืมคลิกคำว่า เก็บเข้าคลังกระทู้ พวกกระทู้สอนภาษาอังกฤษแบบนี้ทุกกระทู้ด้วยนะครับ กระทู้พวกนี้เมื่อเก่าแล้วจะได้ไม่ถูกลบไป แต่กระทู้นี้ผมคลิกแล้ว จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 13:49:07

ความคิดเห็นที่ 15 *14 ค่ะ ได้ค่ะ จะเก็บเข้าคลังกระทู้ พวกกระทู้สอนภาษาอังกฤษแบบนี้ทุกกระทู้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :)) แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 15:57:56 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 14:54:49 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 14:44:52

ความคิดเห็นที่ 16   เพลง   Sesame Street: OK Go - Three Primary Colors เราว่าเพลงตลกมาก ฟังเพลงจบ มีเกมเรื่องแม่สีนี้มาให้เล่น เราไปเล่นมาแล้ว ขำมาก คลิกที่นี่ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 15:58:37 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 14:53:38 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 14:52:24

ความคิดเห็นที่ 17   อันนี้เป็นคล้ายๆ โฆษณา มีเพลง ไม่มีบทพูด น่าสนใจดี ของกูเกิลแมพ เค้าเปรียบเทียบการเล่นอันนี้ (เรียกไม่ถูก อย่างในรูป) กับการค้นหา(จนเจอ)ด้วยแมพกูเกิล มันค่อนข้างเป็นภาษาสัญลักษณ์ แต่ง่ายๆ ดูแล้วก็เพลินดี เพิ่งออกใหม่เมื่อวันที่ (Uploaded by Google on) Jan 9, 2012 นี้เอง   Sometimes getting there can be half the fun. Use Google Maps to explore your world and get to your destination on time.     แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 16:01:21 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:09:36

ความคิดเห็นที่ 18   How the Ancient Egyptians Made "The PYRAMIDS" (Lego History) บางคนอาจเคยอ่านเรื่องการสร้างปิรามิดที่อียิปต์(คลิกเพื่ออ่าน)มาแล้ว มาดูการเล่าเรื่องง่ายๆ สั้นๆ (จริงๆแค่ 2 นาทีเองค่ะ) แบบตัวต่อเลโก้                แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 15:20:28 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:16:21

ความคิดเห็นที่ 19   พาไปเที่ยวนิวยอร์คค่ะ สั้นๆ แค่นาทีกว่าๆค่ะ คลิปเพิ่งอัพเองค่ะ ใหม่มาก Uploaded by LonelyPlanet on Jan 23, 2012 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:32:01

ความคิดเห็นที่ 20   แนะนำแชนแนลน่าสนใจ 1. The SketchUp Show  (4sketchupgo2school's Channel) สำหรับคนที่เรียนงานสเกตช์ค่ะ เป็นคลาสสอน คุณครูยืนพูดที่โพเดียม อธิบายงาน บนจอภาพบนกระดาน จอใหญ่มากค่ะ มีหลายคลิปมากค่ะ เลือกดูได้ทางขวามือ 2. Piano Tutorials (youcanplayit's Channel) อันนี้ดูเค้าสอนเปียโนค่ะ เราก็อยากรู้ว่าเค้าสอนไง พอมาดู มันก็ยากเหมือนกันนะ ต้องจำโน๊ตทั้งเพลงเลย ได้ฝึกสมาธิ/โฟกัส/คาล์ม เหมือนที่เค้าว่าๆกันด้วย เพลงก็เพราะดีค่ะ 3. Great Museums TV   เป็นแชนแนลของคลิปมิวเซียม(พิพิธภัณฑ์) ทั่วโลกค่ะ น่าสนใจมาก กะจะเอามาลงแล้ว แต่ แต่ละคลิปมันยาวเกินค่ะ ประมาณชั่วโมงทั้งนั้นเลยค่ะ ลาไปด้วยคลิปนี้ค่ะ Time Warp - Water Balloon to the Face   (ข้ามไปที่วินาทีที่ 25 - 30 ได้เลยค่ะ) เป็นภาพสโลว์โมชั่นของคนโดนบอลลูนน้ำสาดหน้า คือมันแปลกดี ไม่เคยเห็น มันดูเป็นวิทยาศาสตร์ดี และ มีคนดู 3 ล้านกว่าวิว เป็นหนึ่งในคลิปที่มีคนดูสูงสุดของ DiscoveryNetworks อ่านคอมเม้นในยูทูปแล้วก็น่าสนใจดี และชาแนลนี้ มีคลิปวาร์ปให้ดูเยอะมาก แปลกดี อันนี้มันสั้นสุด และวิวสูงสุด สนใจก็ดูเพิ่มเติมได้     และนั่นคือ ทั้งหมดของสัปดาห์นี้ค่ะ ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 09:25:33 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 16:07:57 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 16:06:56 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 16:05:11 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:47:51

ความคิดเห็นที่ 21 7 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 11:03:25