Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หญิงร้ายชายทราม (เปาบุ้นจิ้น ๙) ติดต่อทีมงาน

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม (๙)

หญิงร้ายชายทราม                                                                  

“ เล่าเซี่ยงชุน “

             ขณะเมื่อ เปาบุ้นจิ้น ได้อยู่ปฏิบัติราชการตามรับสั่งของ  พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ณ เมืองเกงฮวยนั้น ก็มีผู้มาร้องเรียนขอให้ดำเนินคดีกับ เตียวฮ่วงอู๋ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายอำเภอ แขวงเมืองซัวตั๋ง โดย แพเองหัง ผู้เป็นโจทก์ ได้เล่าความให้เปาบุ้นจิ้นฟัง พอจะเรียบเรียงได้ ดังนี้

                  แพเองหังเป็นช่างมีฝีมือแกะสลัก ภรรยาชื่อ นางค้อสี มีบุตรชายอยู่คนหนึ่งอายุได้ห้าปี เดิมตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองซัวตั๋ง แพเองหังได้พาครอบครัวมารับจ้างแกะสลักอยู่ที่เมือง     เกงฮวย แต่ทำมาหากินอยู่ได้ประมาณหกเดือน  ก็มีงานน้อยหาเงินได้ไม่พอแก่การเลี้ยงชีวิต คิดจะกลับบ้าน ก็ไม่มีเงินจะจ่ายค่าโรงเตี๊ยมและค่าโสหุ้ยในการเดินทาง นางค้อสีจึงช่วยสามีทำงานเป็นช่างปักรองเท้าอีกแรงหนึ่ง

                  ต่อมามีนักเรียนสอบไล่ได้ถึงชั้นกือหยินชื่อ เตียวฮ่วงอู๋ มาพักอยู่ที่ตึกตรงข้ามกับโรงเตี๊ยมของ นางอ๋องผัว ที่แพเองหังเช่าอยู่  เพื่อรอตำแหน่งที่จะได้รับแต่งตั้งให้ไปทำราชการ

                  วันหนึ่งนางอ๋องผัวก็มาบอกแก่แพเองหังว่า มีผู้ต้องการจะว่าจ้างให้ไปสลักหนังสือจะเห็นประการใด นางค้อสีก็บอกสามีว่า

                    "....บัดนี้ท่านผู้เจ้าของโรงเตี๊ยม ท่านหาช่องให้แก่เรา จงไปกับท่านเถิด....."

                    แพเองหังก็ตกลงตามที่ภรรยาว่า จึงจัดเครื่องมือใส่หีบ ตามนางอ๋องผัวไปถึงบ้าน คิมเทียนก่ำ  แพเองหังก็ถามว่าท่านนี้หรือจะจ้างสลักหนังสือ แต่คิมเทียนก่ำบอกว่า หลีก๋ง เป็นคนต้องการจะจ้าง แล้วก็พาแพเองหังไปหาหลีก๋ง ว่าจ้างตกลงราคากันแล้ว หลีก๋งก็จัดโรงงานให้      แพเองหังอยู่สลักหนังสือ

                  อยู่มาได้พักหนึ่งแพเองหังก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมของนางอ๋องผัว จะรับตัวภรรยาไปอยู่ด้วยกัน นางค้อสีก็ยินดี แต่นางอ๋องผัวบอกว่า

                   ".....ท่านจงอุตส่าห์ทำการอยู่กับหลีก๋งไปก่อนเถิด หลีก๋งผู้นี้เขารักผู้มีฝีมือ ถ้าเขาเป็นขุนนางขึ้นเมื่อใดแล้ว ตัวท่านก็คงจะได้พึ่งบุญเขาต่อไป  แต่ภรรยาของท่านอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้กับข้าพเจ้าแล้ว ท่านอย่ามีความห่วงใยสิ่งใดเลย....."

                    แพเองหังก็เชื่อใจ จึงพาบุตรชายไปอยู่กับตน ปล่อยนางค้อสีไว้ที่โรงเตี๊ยม เพื่อทำงานปักรองเท้าต่อไป

                    อยู่มาอีกไม่นานแพเองหังคิดถึงนางค้อสี จึงพาบุตรกลับไปเยี่ยมภรรยา ก็พบแต่นางอ๋องผัว แพเองหังถามถึงภรรยา นางอ๋องผัวก็ทำเป็นโกรธพูดว่า

                      "....วันที่แล้วมานั้น ท่านให้คนหามเกี้ยวมารับเอาภรรยาท่านไปแล้ว ในส่วนเงินค่าเช่าโรงเตี๊ยมของข้าพเจ้าก็ยังค้างอยู่ ยังหาได้ไม่ บัดนี้ท่านทำเล่ห์กลเพทุบายมาถาม ท่านเห็นควรอยู่แล้วหรือ...."

                       แพเองหังก็ไม่รู้เรื่องอันใด เมื่อไม่ได้พบภรรยาก็ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน  จนใจต้องเดินร้องไห้มือเช็ดน้ำตากลับไปบ้านหลีก๋ง

                  ครั้นอยู่ต่อมาอีกประมาณหกเดือน สิ้นงานการในบ้านหลีก๋งแล้วไม่มีงานจะให้ทำต่อไปอีก เงินทองก็หมดลง  แพเองหังจึงต้องเที่ยวรับจ้าง เป็นช่างเย็บเสื้อผ้าหาเลี้ยงบุตรต่อไป  จนกระทั่ง เตงเล้งตง ชาวเมืองซัวตั๋ง แต่มาเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองเกงฮวย เรียกตัวแพเองหังให้ไปตัดเย็บเสื้อในบ้าน เมื่องานตัดเย็บเสื้อเสร็จแล้วคนใช้ของเตงเล้งตงชื่อ จิ๊นฉาย  ก็เอามุ้งมาให้เย็บต่ออีก  ขณะนั้นบุตรชายของแพเองหังไม่สบายตัวร้อน นอนทับผ้าเย็บมุ้งอยู่ แพเองหังจึงเย็บมุ้งไม่สำเร็จ

                  เมื่อถึงเวลาจิ๊นฉายก็มาต่อว่า  แพเองหังก็เล่าความทุกข์ของตนให้ฟังว่า ภรรยาก็หายไปบุตรชายก็ป่วยไข้  จิ๊นฉายเกิดความสงสาร  จึงเอาความเดือดร้อนของแพเองหัง ไปเล่าให้ นางฮูหยิน ซึ่งเป็นภรรยาของเตงเล้งตงทราบอีกคนหนึ่ง นางก็เมตตาว่าเป็นชาวเมืองเดียวกัน  จึงเรียกตัวแพเองหังมาซักไซ้ไล้เรียงเรื่องราว แพเองหังก็ร้องไห้เล่าความที่ภรรยาได้หายไป ให้ฟังโดยละเอียด

                  นางฮูหยินจึงบอกว่าอย่าได้ไปเที่ยวรับจ้างเย็บเสื้อผ้าต่อไปอีกเลย จงอยู่ดูแลการงานในบ้านนี้เถิด แพเองหังก็ดีใจยอมรับหน้าที่นั้น เมื่อเตงเล้งตงกลับมาจากที่ว่าราชการเมือง นาง      ฮูหยินก็เล่าเรื่องให้ฟัง และขอร้องให้เห็นแก่คนบ้านเดียวกัน ซึ่งเตงเล้งตงก็เห็นใจจึงถามว่ามีหนังสือรับรองการเป็นช่างสลักติดตัวมาหรือไม่ แพเองหังจึงนำหนังสือสำคัญประจำตัวออกมาให้ดูว่า เป็นช่างสลักขอเดินทางมาตั้งแต่เดือนหกเมื่อปีที่แล้ว  อีกไม่นานเตงเล้งตงจึงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้น้อย ไปทำราชการที่ตำบลกุ้ยใจอยู่กับนายอำเภอ ตันเล่ากุ้ย และให้เงินทองเสื้อกางเกงตามยศแก่แพเองหังด้วย

                  แพเองหังก็พาบุตรชายเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่  เมื่อผ่านโรงเตี๊ยมของนางอ๋องผัวก็แวะเข้าไปร่ำลา  และเล่าความซึ่งได้เป็นขุนนาง ไปอยู่กับตันเล่ากุ้ยที่ตำบลกุ้ยใจให้ฟัง นางอ๋องผัวก็ทำท่าตกใจ แต่ก็พูดดีว่า

                   "....ท่านก็เป็นผู้ขัดสน มาบัดนี้ท่านเป็นขุนนาง เตงเล็งตงอุปถัมภ์ท่านให้มีความสุขขึ้น  ข้าพเจ้าจะให้เสื้อเขียวท่านสักตัวหนึ่ง กับผ้าแพรสี จะได้โพกศรีษะเป็นเกียรติยศ......"

                    แล้วก็หยิบเสื้อผ้ามาให้ แพเองหังก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน พอรุ่งเช้ากินอาหารแล้ว ก็พาบุตรเดินทางต่อไป พอถึงตำบลหลิมเช็งซึ่งเป็นทางเปลี่ยว ไม่ใคร่จะมีผู้คนเดินผ่านไปมา ก็มีชายผู้หนึ่งถือดาบออกจากที่ซุ่ม เข้ามาฟันแพเองหังโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ฟันถึงสามครั้งก็ไม่      เป็นอันตราย เพราะอำนาจกุศลผลบุญแต่บุพชาติปางก่อนของแพเองหัง บังเอิญให้ดาบนั้น       พลิกเอาทางสันลง จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

                  ชายผู้นั้นจึงถามว่า เมื่ออยู่ที่เมืองนี้มีเรื่องเดือดร้อน ผิดพ้องหมองใจกับผู้ใดบ้าง      แพเองหังได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ เล่าความทุกข์ที่ตกยากมาจากเมืองซัวตั๋ง อาศัยโรงเตี๊ยมของนางอ๋องผัว แล้วก็ต้องพลัดพรากจากภรรยาให้ฟัง

                  ชายผู้นั้นจึงบอกว่าตนนั้นชื่อ อ๋องเหนง เป็นน้องชายของนางอ๋องผัว พี่สาวของตนใช้ให้ตามมาฆ่าแพเองหัง แล้วตัดศรีษะไปเป็นสำคัญ ส่วนเงินทองที่ยึดได้จากแพเองหังนั้น ให้ตนสองส่วนเอากลับไปให้นางหนึ่งส่วน  แต่บัดนี้ตนมีใจสงสารแพเองหัง จึงจะเอาแต่เสื้อสีเขียวที่ใส่มานั้น กับตัดเอาเส้นผมของบุตรชาย ไปยืนยันกับนางอ๋องผัว ว่าได้ฆ่าแพเองหังกับบุตรตามคำสั่งแล้ว

                  แพเองหังก็มีความยินดี จึงถอดเสื้อและตัดผมบุตรชายส่งให้อ๋องเหนงไป แล้วก็เดินทางต่อไปจนถึงตำบลกุ้ยใจ เอาหนังสือแต่งตั้งจากเตงเล้งตง ให้แก่ตันเล่ากุ้ย  นายอำเภอก็จัดที่อยู่ให้แพเองหัง อยู่มาประมาณสองเดือน มีเทียบเชิญบรรดาขุนนางให้ไปกินเลี้ยง ที่บ้านขุนนางผู้ใหญ่ชื่อ เตียวฮ่วงอู๋ ตันเล่ากุ้ยก็พาแพเองหังไปด้วย

                  ระหว่างการกินเลี้ยง นางค้อสีภรรยาของแพเองหัง ก็วิ่งออกจากหลัง ฉากเข้ามากอดสามี  แล้วก็เล่าเรื่องของตนที่ต้องพลัดพรากจากแพเองหัง ให้สามีฟังทุกประการ  แพเองหังจึงได้พาภรรยามาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเปาบุ้นจิ้น

                  ถ้อยคำที่นางค้อสี บอกเล่าแก่แพเองหังนั้น พอจะได้เนื้อความว่า เมื่อแพเองหังพาบุตรไปทำงานที่บ้านหลีก๋งแล้ว วันหนึ่งนางอ๋องผัวก็พาคนหามเกี้ยวมารับนางค้อสีและบอกว่า

                   ".....บัดนี้สามีของท่านตั้งรับจ้างทำการเป็นปกติแล้ว ให้คนหามเกี้ยวมารับท่านไปอยู่แห่งเดียวด้วยกัน ท่านจงจัดแจงเก็บสิ่งของขนขึ้นเกี้ยวไปเถิด  ข้าพเจ้าจะตามไปส่ง....."  

                  นางค้อสีสำคัญว่าเป็นความจริง  จึงจัดสิ่งของขึ้นเกี้ยว  คนหามเกี้ยวก็พาไปถึงท่าเรือ นางอ๋องผัวนำลงไปในเรือ  นางค้อสีเห็นเตียวฮ่วงอู๋เป็นขุนนางมีบ่าวไพร่เป็นเกียรติยศนั่งอยู่ในเรือ  นางก็ตกใจต่อว่านางอ๋องผัวว่า สามีให้มารับแต่นี่ไม่ใช่สามีของตน                                  

                  นางอ๋องผัวก็ตอบว่า

                   ".....สามีของท่านไม่มีเงินจะเลี้ยงดูท่าน บัดนี้ยกท่านให้แก่เตียวฮ่วงอู๋นายอำเภอแล้ว ผู้นี้เป็นผู้ไร้ภรรยาอยู่ ท่านจงไปกับเขาเถิด.."

                    นางค้อสีก็ร้องไห้คิดถึงตัวที่ได้เสียทีแก่กลอุบายของนางอ๋องผัว ตกเข้ามาอยู่ในที่บังคับจะหนีไปแห่งใดก็ไม่ได้ เป็นการจำใจจำจากสามีไปทั้งรัก เตียวฮ่วงอู๋ก็ให้ถอยเรือออกจากท่าไปรักษาราชการตามตำแหน่งหน้าที่ของนายอำเภอใหญ่อยู่แขวงเมืองซัวตั๋ง นางค้อสีจึงต้องตกเป็นภรรยาของเตียวฮ่วงอู๋ ตั้งแต่บัดนั้น

                  เมื่อได้ฟังคำกล่าวโทษแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงให้ เตียโฮ้ว เตียเหลง สองเจ้าหน้าที่ไปคุมตัวนางอ๋องผัว กับเตียวฮ่วงอู๋มาสอบสวน ทั้งสองก็ยอมรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ซึ่งมีรายละเอียดว่า

                  เมื่อเตียวฮ่วงอู๋ได้เห็นนางค้อสี ขณะที่มาอยู่ในตึกตรงข้ามโรงเตี๊ยมของนางอ๋องผัว ก็พอใจในรูปร่างลักษณะอันงามของนางค้อสี คิดจะใคร่ได้นางไปเป็นภรรยา จึงปรึกษานางอ๋องผัวให้ช่วยเหลือ นางอ๋องผัวก็ออกอุบายให้แพเองหัง ไปรับจ้างทำงานอยู่ที่บ้านหลีก๋ง แล้วก็กลับมาล่อลวงนางค้อสี ให้ลงเรือไปกับเตียวฮ่วงอู๋ซึ่ง จะไปรับราชการเป็นนายอำเภอเมืองซัวตั๋ง โดยอ้างว่าแพเองหังต้องการเงินร้อยตำลึง เตียวฮ่วงอู๋จึงให้รางวัลแก่นางอ๋องผัวอีกสิบตำลึง รวมเป็นร้อยสิบตำลึงนางอ๋องผัวก็เอาไว้เองหมด

                  ต่อมาเมื่อแพเองหังมาลาว่า จะไปทำราชการที่ตำบลกุ้ยใจ แขวงเมืองซัวตั๋ง  นางอ๋องผัวกลัวว่าสามีภรรยาคู่นี้จะได้พบกัน จึงใช้ให้อ๋องเหนงน้องชายไปดักฆ่าแพเองหังเสีย แต่บังเอิญเทพยดาบันดาลให้อ๋องเหนงเกิดความสงสาร แพเองหังจึงรอดชีวิตไป จนได้พบกับนางค้อสีที่บ้านของเตียวฮ่วงอู๋

                  คำสารภาพของจำเลยทั้งสองก็สมกับคำฟ้องของโจทก์ทุกประการ ไม่มีที่สงสัย เปาบุ้นจิ้นจึงพิพากษา ให้ประหารชีวิตนางอ๋องผัว ส่วนเตียวฮ่วงอู๋นั้น เปาบุ้นจิ้นก็แต่งใบบอกเข้าไปถวายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ขอถอดออกจากยศขุนาง แล้วส่งตัวไปเป็นพลทหารอยู่ในกองบู๊หลิมต่อไป

                  เรื่องราวของแพเองหังกับนางค้อสี  ครอบครัวที่จำต้องพลัดพรากจากกันไป เพราะหญิงร้ายกับชายทราม ก็พ้นทุกข์ไปได้ด้วยความยุติธรรมของเปาบุ้นจิ้น  ด้วยประการฉะนี้.

                                                         ##########

วารสารสุรสิงหนาท
พฤษภาคม ๒๕๔๐

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 06:17:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com