ความคิดเห็นที่ 1 ข้อดีนั้นมีหลายประการครับ แต่ให้ท่านอื่นๆเสนอแนะดีกว่า ผมขอเสนอเฉพาะข้อเสียของเติ้ง 1. เติ้งเป็นพวกลัทธิแก้ เขาเอาการตลาดแบบทุนนิยมเข้ามาแพร่กระจายในสังคมจีนอีกรอบ ทำให้เกิดการเฟื่องฟูของการสะสมทุนโดยเอกชน อภิสิทธิ์ชน และถ่างช่องว่างทางรายได้ของประชาชน 2. เติ้งปรับเปลี่ยนนโยบายของประเทศ จากการมุ่งสร้างสังคมนิยมตามแนวทางของประธานเหมา ไปสู่การกอบโกยและมุ่งหน้าทำเงินอย่างตะกละตะกลาม ทำให้ประเทศชาติที่นักปฏิวัติรุ่นก่อนๆ พยายามสั่งสมรากฐานมาต้องพังทลายลง 3. เติ้งปรับทัศนคติของข้าราชการจีนและสังคมจีน จากการรับใช้มวลชน อุทิศตนเพื่อสังคมนิยมและการปฏิวัติ ไปสู่การทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อเงิน และทำเพื่อความร่ำรวย 4. เติ้งได้ทำให้พวกนายทุนและเจ้าที่ดินกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในจีน สิ่งชั่วร้ายต่างๆได้ถูกนำกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่จีนได้พยายามกำจัดสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว 5. เติ้งได้ทำลายการปฏิวัติวัฒนธรรม การต่อสู้ทางชนชั้น ซึ่งเป็นหัวใจหลักเพียงวิธีเดียวในการบรรลุถึงสังคมนิยมอันสมบูรณ์แบบได้ ทำให้ประเทศจีนถอยหลังไปสู่ยุคศักดินากึ่งทุนนิยมอีกรอบ 6. เติ้งใช้วิธีสกปรก ป้ายสีประธานเหมา โจมตีนโยบายการสร้างสังคมนิยมของท่าน อาศัยเล่นพรรคเล่นพวกทำลายฮว่ากั๋วเฟิงและวังตงชิงจนอำนาจในพรรคถูกพวกของเคิ้งยึดครองไปเสียหมด 7. เติ้งละทิ้งหนทางของการปฏิวัติเพื่อปลดปล่อยชนชั้นกรรมชีพทั่วโลก ทำให้จีนต้องเสียความเป็นแกนนำในการต่อสู้กับพวกนายทุนไปเสีย 8. เติ้งอ้างตนว่าเป็นนักสังคมนิยมสายมาร์กซ์ แต่ทว่ากลับไม่ดำเนินการสร้างสังคมนิยมตามแนวทางที่มาร์กซ์ แองเกล และเลนินนำเสนอเอาไว้ ไปใช้วิธีที่ผิด ปิดหูปิดตาสมาชิกพรรค และยังใช้วาจาหว่านล้อมหลอกลวงให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมากหลงไปตามลมปากของเขา 9. เติ้งได้ใช้วิธีวางตัวผู้สืบทอดอำนาจทางการเมือง ละทิ้งหนทางความเป็นประชาธิปไตยอันมีชนชั้นกรรมชีพเป็นแกนนำ ที่เป็นกำลังหลักในการสร้างสังคมนิยมไปเสีย ทำให้รัฐบาลจีนแปรสภาพจากรัฐบาลแห่งชนชั้นกรรมชีพ ไปเป็นรัฐบาลแห่งอำนาจของเติ้งและพวกพ้องไปเสีย จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 19:12:39

ความคิดเห็นที่ 2 ผมนับถือเติ้ง ในฐานะที่เขาเป็นนักปฏิวัติที่ดี และเป็นนักมาร์กซิสต์ที่เชี่ยวชาญอย่างหาตัวจับได้ยาก แต่ทว่า ผมไม่ค่อยชอบเติ้งเสี่ยวผิงนัก ก็เพราะ 9 ข้อที่เอ่ยมาในข้างต้นครับ คำนิยามสั้นๆสำหรับเติ้งก็คือ เขาเป็นพวกลัทธิแก้......... ด้านความสามารถทางการรบ, การจัดการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ความเข้าใจในสังคมและการเมือง เติ้งมีความสามารถเหนือกว่ากรมการเมืองในยุคเดียวกันหลายๆท่านมาก เสียแต่ว่า เติ้งกลับมีแนวคิดบิดเบี้ยวไปทางหนทางที่ถูกต้องของการสร้างสังคมนิยมครับ เติ้งพยายามบอกสมาชิกพรรคเสมอๆว่า เขากำลังสร้างสังคมนิยม และทายาทสายเติ้งก็บอกว่า จีนกำลังสร้างสังคมนิยมในแบบของจีน........... ตลกสิ้นดี สังคมนิยมที่ไม่มีการต่อสู้ทางชนชั้น ไม่มีการรณรงค์ให้มวลชนลุกขึ้นทำการปฏิวัติทั้งแนวคิด การศึกษา และความตระหนักในสิทธิ สังคมนิยมที่ให้เอกชนสะสมทรัพย์กันอย่างจุกปลิ้น..........นี่ไม่ใช่สังคมนิยม แต่เป็นพวกทุนนิยมอันล้าหลังและตกยุค จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 19:20:58

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะเติ้ง บรรลุเห็นไปข้างหน้า มากกว่า มาร์ซ ว่า สังคมนิยม ในมวลหมู่มนุษย์มันไม่มีจริง มีแต่เผด็จการในคราบสังคมนิยม ใช้การข่มขู่แบบจิตวิทยาหมู่บังคับให้คลั่งลัทธิ ใครออกปากค้านก็โดนไปเข้าค่ายแรงงาน 8. เติ้งอ้างตนว่าเป็นนักสังคมนิยมสายมาร์กซ์ แต่ทว่ากลับไม่ดำเนินการสร้างสังคมนิยมตามแนวทางที่มาร์กซ์ แองเกล และเลนินนำเสนอเอาไว้ ไปใช้วิธีที่ผิด ปิดหูปิดตาสมาชิกพรรค และยังใช้วาจาหว่านล้อมหลอกลวงให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมากหลงไปตามลมปากของเขา - ป๋าเติ้ง ไม่ได้หลอกสมาชิกพรรคคนไหนเลยน่ะครับ ทุกวันนี้สมาชิกพรรคคอมฯและลูกหลานสมาชิกพรรคในจีน ครอบครองความมั่งคั่งกว่า 90% ของประชาชาติจีนไว้กลุ่มเดียว บรรดาลูกหลานสมาชิกพรรค มีคำเรียกกัน เค้าเรียกกันว่า องค์ชายน้อย เห็นมั๊ยล่ะ ว่ารวยอู้ฟู่ไปตามกัน ส่วนประชาชนคนเดินดินก็ไม่ได้อะไร แต่พวกเค้าส่วนใหญ่ก็ชอบมากกว่าอยู่ในยุคเหมา จากคุณ : อิๆ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 21:38:16 A:61.90.66.39 X: TicketID:052378

ความคิดเห็นที่ 4 ผมมองว่า สังคมนิยม เป็นอะไรที่ผิดปกติจากความเป้นพื้นฐานของมนุษย์ จากคุณ : เจ้าพระยาอาน (SuiE) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:49:52

ความคิดเห็นที่ 5 เติ้งไม่ฝืนกระแส และพร่องถ่ายอย่างช้าๆ แต่ลูกๆมีอิทธิพลไม่น้อย รับช่วงต่อจากประธานเหมาได้ดีในสถานการณ์นั้น เพราะถูกรีบูตและติดเครื่องได้ การนำเจียงมารับตำแหน่ง แทนตัวหลักที่เสียสละเรื่องเทียนอันเหมิน เป็นการกลายพันธุ์ที่รวดเร็ว ถ้าไม่ได้กลุ่มเรดการ์ด อาจเสียจริตบางอย่างไป เช่น ยกย่องชนชั้นกรรมาชีพ ยังเป็นจุดขาย นายทุนเป็นรอง ทางทีวี ผลงาน ทำมากได้มาก ค่าตอบแทนตามความสามารถ หนึ่งประเทศสองระบบ ยึดฮ่องกง มาเก๊า คืนมาได้โดยละม่อม สงครามสั่งสอนญวน ประธานเหมา มองได้ลึกจนโหดเหี้ยม ที่ต้องกวาดล้างกันเอง เพราะเชื้อเก่าไม่หมด ถ้าไม่ล้างแรงๆ ก็สิ้นยาก งานนี้โดนหางเลขกันเยอะ เพราะประธานเหมา ใช้คนผิด จึงคุมไม่อยู่ เพราะนึกไม่ถึงว่ามุ้งเล็กจะแสบกว่ามุ้งใหญ่ เติ้งมาได้ เพราะนายกโจวช่วยไว้ ถ้าท่านไม่ป่วย คงไม่เสียหายขนาดนี้ แต่มาได้ถูกจังหวะพอดี จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 12:09:58

ความคิดเห็นที่ 6 ผู้ที่ช่วยเติ้งเอาไว้ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม น่าจะเป็นประธานเหมาครับผม แม้เติ้งจะโดนปลดออกจากทุกตำแหน่งสำคัญ แต่ประธานเหมาก็ยังให้เติ้งมีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ (ประธานเหมาให้เหตุผลไว้ว่า เอาไว้ให้เติ้งอวดลูกหลานในยามแก่) ตอนที่เติ้งโดนเนรเทศไปใช้แรงงานที่ชนบทนั้น ก็ได้ประธานเหมาจัดแจงให้ครอบครัวของเขาได้อยู่ร่วมกัน และตอนที่เติ้งกลับมารับตำแหน่งสำคัญแทนท่านนายกโจวที่ล้มป่วย ก็ได้ประธานเหมาเป็นผู้ดึงตัวเขากลับมาทำงาน (อันนี้เติ้งเป็นคนให้สัมภาษณ์และให้ข้อมูลเองโดยตรง) ประธานเหมาไม่พอใจพวก หลิว-เติ้ง แต่ท่านก็ยังเห็นแก่ความชอบของเติ้งในหนหลัง จึงไม่ได้ตัดเยื่อใยเติ้งเหมือนที่กระทำกับหลิวส้าวฉี การที่ท่านดึงเติ้งกลับมาทำงานในภายหลังก็เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ประธานเหมายังคงเห็นเติ้งเป็นสหายที่ร่วมปฏิวัติได้อยู่ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:38:46

ความคิดเห็นที่ 7 แมวเก๊ แต่ว่าจับหนูเก่ง และมีประโยชน์กว่าแมวแท้เยอะครับ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 01:38:25

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องคอมมิวนิสต์มากนัก แต่รู้สึกว่าสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์มันสุดโต่งเกินไป ทำให้คนหมดความกระตือรือร้นที่จะทำงานสร้างฐานะ ถ้าจีนไม่เปลียนคงต้องแตกสลายเหมือนโซเวียต เติ้งเป็นนักเรียนนอก เห็นโลกกว้างมากกว่าสมาชิกส่วนใหญ่ คงมองการใกลว่าถ้าไม่ปรับเปลี่ยน จีนต้องวิกฤตแน่ แต่ที่ว่าหนึ่งประเทศ 2 ระบบ มันขัดแย้งกันเองอยู่แล้ว คิดว่าเป็นคำที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านได้รับการยอมรับง่ายขึ้น เรื่องแมวขาว แมวดำ จัดหนูได้ ก็เป็นแมวดี เติ้งคงมองที่ผลรับและยอมรับความเป็นจริง มากกว่ามองที่วิธีการหรือติดยึดกับอุดมคติที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง ข้อดีของเติ้งที่ผมเห็นชัดๆคือ การปรับตัวตามสถานการ ไม่ติดยึดกับอุดมการณ์ ประเทศจีนจึงกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต จากคุณ : กิ่งก้ามปู เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 20:31:07

ความคิดเห็นที่ 9 แปลกใจที่คุณอุ้ยบอก สังคมนิยมจะสำเร็จจริงได้ ต้องให้ทุนนิยมสุกงอมถึงที่สุดก่อน แต่ทั้งโลกยังไม่เคยมีทุนนิยมที่สุกงอมขนาดนั้นได้หน่ะครับ ชาติที่มีทุนนิยมโตมากแต่ยังไม่สุกงอมจนเป็นสังคมนิยมซักที ก็คนในชาติ แค่ขั้นต่ำ ก็กินดีอยู่ดีกว่าชาติสังคมนิยม แบบเทียบกันไม่ได้แล้ว อยากถามหน่อยครับ อยากรู้ว่าลัทธิแท้ ถ้ามันแท้ แต่ทำประชาลำบาก แล้วมันจะมีประโยชน์อันได้เหรอครับ มันจะเป็นไปได้ยังไง ลองอธิบายรูปแบบ ศก มาหน่อยว่าคนต้องทำอะไรบ้าง หรือทุกคนปลูกข้าวกิน มีไม่กี่คนทำอาชีพอื่น แล้วก็รู้สึกเท่าเทียมกันหมด？？？？ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 55 02:16:26

ความคิดเห็นที่ 10 ตามหลักการที่มาร์กซ์เสนอมานั้น ทุนนิยมจะสุกงอมจนล่มสลาย เพราะชนชั้นกรรมชีพอดทนต่อการกดขี่และเอาเปรียบไม่ไหวครับ แต่ก็อย่างที่คุณ ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน กล่าวมาว่า ทุนนิยมในโลกนี้ยังไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะในประเทศทุนนิยมตะวันตกนั้นได้อ่านคำทำนายของมาร์กซ์ พวกเขาเลยปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นกรรมชีพในประเทศด้วยการผลักดันให้พวกเขากลายเป็นชนชั้นกลาง และหันไปขูดรีดแรงงานจากประเทศที่ยากจนภายนอกแทนครับ ทีนี้เมื่อคำทำนายของมาร์กซ์ถูกชะลอออกไปด้วยการปรับตัวของพวกนายทุน และรัฐของชนชั้นกรรมชีพในดินแดนที่ทุนนิยมยังไม่สุกงอมถูกกระแสปฏิวัติผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างลัดขั้นตอน (เช่นในโซเวียต ที่เกิดจากความขัดแย้งของระบบทุนนิยมศักดินา กับแนวคิดกึ่งสังคมนิยมกึ่งอนาธิปไตย หรือในจีนที่มีส่วนมาจากการต่อต้านจักรวรรดินิยมผสมกับลัทธิชาตินิยมแบบชนชั้นกรรมชีพ) จึงต้องมีการปรับเอาหลักการแบบสังคมนิยมสายมาร์กซ์มาใช้เพื่อสร้างสังคมนิยมในรูปแบบที่เหมาะสมกับสภาพสังคมนั้นๆครับ การปรับแนวคิดของมาร์กซและแองเกล ถูกกระทำมีหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ เลนินก็ไม่ได้ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ของมาร์กซ์โดยตรง เช่นเดียวกับสตาลิน ที่เน้นการรวมศูนย์ทางอำนาจและเศรษฐกิจอย่างมาก รวมไปถึงประธานเหมาท่านก็ไม่ได้เอาแนวคิดของมาร์กซ์มาตรงๆ แต่จุดที่ควรยึดถือว่า การที่รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เป็นผู้วางแผนการผลิต มีการต่อสู้ทางชนชั้นอย่างถึงรากถึงแก่น และมีทิศทางในการสร้างสังคมนิยมอย่างชัดเจน ซึ่งทั้งเลนิน, สตาลิน และประธานเหมาต่างยึดถือเส้นทางเหล่านี้เป็นปฐม ตรงนี้แลที่ทำให้พวกท่านแตกต่างไปจากพวกลัทธิแก้อย่างครุสชอฟ (ที่กระเดียดไปทางอำนาจนิยมผสมจักรวรรดินิยม) หรือเติ้งเสี่ยวผิง จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:16:47

ความคิดเห็นที่ 11 หลักการที่ผมคิดว่าควรยึดมั่นก็คือ 1. ปัจจัยการผลิตทั้งปวงเป็นของรัฐ ต่อต้านสิทธิในการครอบครองหรือสะสมทุนโดยเอกชน 2. ทำการรวมกลุ่มการผลิตขนาดจุลภาค โดยรัฐจะมีหน้าที่วางแผนการผลิตระดับมหภาค ให้กลุ่มการผลิต (ขั้นต้นคงเป็นเพียงสหกรณ์ แล้วค่อยพัฒนาเป็นคอมมูน) เป็นผู้รับผิดชอบการผลิตขนาดจุลภาค 3. ผลผลิตทั้งปวงตกเป็นของรัฐ แล้วรัฐจะเป็นผู้ปันส่วนผลผลิตแก่ประชาชน ตามความต้องการและความสามารถ (แต่ต้องไม่มากเกินไปจนกลายเป็นการสะสมทุน) 4. รัฐจะต้องรณรงค์ให้ประชาชนดำเนินการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อรื้อถอนแนวคิดเรื่องปัจเจคชน, การครอบครองเอกสิทธิ์ หรือการสะสมทุนออกไปให้หมด เน้นให้มวลชนอุทิศตนเพื่อรับใช้สังคม 5. ทำการปลูกฝังแนวคิดในด้านการตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และบทบาท ทางการเมืองและสังคมต่อประชาชน 6. ในขั้นต้นรัฐจะต้องดำเนินการโดยชนชั้นกรรมชีพ อาจจะเป็นเผด็จการโดยชนชั้นกรรมชีพก็ได้ แต่ต้องไม่ให้พวกนายทุนหรือปัญญาชนมีอำนาจในขณะที่กำลังสร้างสังคมนิยม ความเท่าเทียมกันในทางสังคมนิยมนั้น แตกต่างไปจากลัทธิอนาธิปไตยครับ เพราะในการสร้างสังคมนิยมนั้น ยังมีรัฐและกลุ่มคณะผู้บริหารที่ปกครองรัฐ (แต่พวกเขาต้องมาจากชนชั้นกรรมชีพและเป็นตัวแทนของมวลชน) ยังมีความแตกต่างในการปันส่วนผลผลิตตามความสามารถ เพื่อกระตุ้นให้มวลชนที่ยังขาดความตระหนักในการทำเพื่อสังคม ยังสามารถใช้ความละโมบส่วนตนในการสร้างสรรคหรือทำงานอย่างหนักได้ แต่รัฐนี่แลจะเป็นผู้ควบคุมว่า ผู้ที่มีทักษะอันหาได้ยาก แม้จะได้รับผลตอบแทนมากกว่าผู้มีทักษะอันหาได้ง่าย แต่ความแตกต่างของรายได้หรือการปันส่วนต้องไม่มากจนกลายเป็นการสะสมทุน และไม่น้อยจนทำให้พวกเขาอดอยากหรือไม่พออยู่พอกิน จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:25:23

ความคิดเห็นที่ 12 แนวคิดคอมมิวนิสต์นั้นเขาว่าในที่สุดจะไม่มีรัฐ ไม่มีคนมาคอยกำกับ กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าคอมมิวนิสต์ไม่เวิร์ก ทำไมไม่ศึกษาไอ้ที่เคยใช้กันจริงแล้วก็เวิร์กด้วย นั่นคือ single tax ซึ่งซุนยัดเซ็นเคย กล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าตั้งใจจะอุทิศอนาคตของข้าพเจ้าให้แก่การส่งเสริมสวัสดิการของประชาชนจีนในฐานะประชาชนชาติหนึ่ง คำสอนของเฮนรี จอร์จ จะเป็นมูลฐานแห่งโครงการปฏิรูปของเรา . . . . [ภาษีที่ดิน] ในฐานะวิธีเดียวสำหรับให้รายได้แก่รัฐบาล เป็นภาษีที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง มีเหตุผล และ กระจายตัวอย่างชอบธรรม และเราจะก่อตั้งระบบใหม่ของเราด้วยภาษีนี้" http://www.oknation.net/blog/utopiathai/2011/01/26/entry-1 จากคุณ : สนทะเลน้อย เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 55 02:32:35

ความคิดเห็นที่ 13 single tax ที่เน้นการเก็บภาษีที่ดินนั้น อาจจะพอใช้ได้ในศตวรรษที่ 19 ที่ทุนยังคงมีส่วนที่ติดกับที่ดินครับ แต่พอศตวรรษที่ 20-21 ที่ทุนไม่ได้ยึดติดกับที่ดินหรือแรงงาน แต่ย้ายฐานไปได้เรื่อยๆตามความต้องการของตลาดนั้น การเก็บภาษีแบบ single tax จะไม่สามารถลดช่องว่างระหว่างผู้มีทุนหรือทักษะอันหาได้ยาก กับผู้ไม่มีทุนหรือผู้มีทักษะอันหาได้ง่ายเลย เพราะมันมุ่งเน้นแต่การแก้ปัญหาที่ความไม่เท่าเทียมในการครอบครองที่ดินแต่ดั้งเดิม หรือการพัฒนาระบบไปเป็นการเก็บภาษีมรดก ก็ไม่ช่วยลดความแตกต่างด้านทุน ระหว่างผู้มีทักษะและผู้ขาดทักษะอันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด คนที่มีทักษะก็จะสะสมทุนได้ตามความต้องการอยู่ดี (แต่ส่งทอดทุนให้ลูกหลานได้ยากขึ้นเท่านั้น) แต่ระบบสังคมนิยมสายมาร์กซ์ ได้ครอบคลุมถึงการปกป้องและรับประกันการกินอิ่มสวมอุ่น แก่ผู้ที่ขาดทักษะที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยเน้นให้ผู้ที่มีทักษะที่มีมูลค่า อุทิศตนเพื่อมวลชน รับใช้มวลชนและสังคม นี่จึงเป็นระบบที่สร้างสังคมอันเกื้อกูลกันอย่างแท้จริง เป็นการก้าวกระโดดของมนุษยชาติจากแนวคิดปัจเจกชนที่กระทำแต่เพื่อตนเอง เป็นการกระทำเพื่อสังคมและมวลชนครับ แน่นอนว่า การมองไปถึงจุดที่ไร้รัฐ ประชาชนทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี ตระหนักในสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ บทบาทอย่างแท้จริงนั้น ไม่สามารถที่จะเป็นจริงได้ หากเอาความรู้สึก ค่านิยม และศีลธรรมของมนุษย์ในยุคนี้ไปกล่าวถึง.............. แต่มาร์กซ์ก็ได้เสนอวิธีและกระบวนการขั้นตอน ในการสร้างสังคมแบบนั้น ผ่านขั้นตอนที่เรียกว่าการสร้างสรรค์สังคมนิยม อันเป็นวิธีการที่เป็นรูปธรรม เป็นวิทยาศาสตร์และสอดคล้องด้วยหลักรัฐศาสตร์มากที่สุดเท่าที่การศึกษาในสายสังคมนิยมเคยมีมา จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 55 08:32:32

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าทำให้คนในสังคม อุทิศตนเพื่อมวลชน รับใช้มวลชนและสังคมได้ คงไม่จำเป็นต้องเป็นคอมมิวนิสต์หรอกครับ เป็นทุนนิยมแบบเดิม ๆ นี่ก็ได้ แต่ขอให้คนในสังคมมีจิตสำนึก อุทิศตนเพื่อมวลชน รับใช้มวลชนและสังคม ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง จะเป็นสังคมทุนนิยมที่เปี่ยมไปด้วยความสุขมาก แต่ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่คนนี่แหละ มากกว่าระบอบ เราจึงคาดหวังจากระบอบไม่ได้ว่าจะทำให้คนในสังคมจะอุทิศตนเพื่อมวลชน รับใช้มวลชนและสังคม การเก็บภาษีการถือครองที่ดิน เป็นคนละแนวคิดกับภาษีมรดกเลย ภาษีมรดกเป็นภาษีที่มีปรัชญาแนวคิดตื้น ๆ เป็นภาษีแห่งความอิจฉาริษยามากกว่า เป็นภาษีที่แย่มากครับ เป็นคนละแนวคิดกันเลย ภาษีการถือครองที่ดินฟังดูเหมือนต้องการจะเก็บภาษี แต่เบื้องหลังของแนวคิดดังกล่าวแล้วต้องให้อยู่ในสภาวะเสมือนหนึ่งว่าที่ดินเป็นของส่วนรวม ทุกคนต้องเช่าที่ดินจากรัฐมากกว่า มาแก้ไขคำพูดให้เห็นสิ่งที่ต้องการจะสื่อชัดเจนขึ้นครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 55 22:58:58 จากคุณ : สนทะเลน้อย เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 55 22:52:21

ความคิดเห็นที่ 15 รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลควรปฏิรูปภาษี อย่าเอื้อเจ้าของที่ดิน แล้วจะช่วยคนส่วนรวมทั้งประเทศให้พ้นความยากจน เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ลงทุนลงแรงอย่างเป็นธรรมและเสมอภาคทั่วหน้า โดย ค่อยๆ เพิ่มภาษีที่ดินจนในที่สุด ราว ๓๐ ปี ให้ภาษีเท่าค่าเช่าศักย์หรือค่าเช่าที่ควรเป็น พร้อมกับลดภาษีการลงแรงลงทุน รวมทั้งภาษีเงินได้ ชดเชยกัน ภาษีที่ดินที่สูงเท่าค่าเช่าศักย์จะทำให้ผู้คนเลิกเก็งกำไรกักตุนที่ดิน ไม่คิดอยากถือครองที่ดินไว้เกินกว่าที่ตนจะทำประโยชน์ได้คุ้ม และราคาที่ดินจะเป็นศูนย์ คนจน (และทุกคน) ก็จะมีหนทางมีที่ดินเป็นของตนเองโดยเสียแต่ภาษีที่ดินหรือค่าเช่าที่ดินในราคาต่ำกว่าที่เคย (เพราะไม่มีราคาส่วนที่จะสูงขึ้นจากการเก็งกำไรแล้ว) คนที่เคยต้องว่างงานหรือหางานทำได้ยาก ค่าแรงถูกกดต่ำเพราะที่ดินถูกกักตุนเอาไว้ไม่มีที่ดินให้ทำกิน ก็จะหางานทำได้ง่ายขึ้นโดยค่าแรงสูงขึ้นด้วย ส่วนการลดภาษีที่เก็บจากการลงแรงลงทุนก็คือการส่งเสริมการลงทุนลงแรงนั่นเอง เงินได้ไม่ถูกหักภาษี สินค้าไม่แพงเพราะไม่ต้องเสียภาษี ก็จะยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่มั่งมีศรีสุขขึ้น รัฐบาลก็ได้ภาษีเหมือนเดิม แต่จะเสียงบสวัสดิการน้อยลง ทำให้ขยายสวัสดิการได้มากขึ้น เราจึงควรช่วยกันสนับสนุนระบบภาษีเดี่ยวจากที่ดิน ถ้าประเทศใดไม่ทำตาม สินค้าเขาก็จะมีราคาแพง เสียเปรียบประเทศที่ทำ อนึ่ง เมื่อผู้คนเลิกเก็งกำไรกักตุนที่ดิน ก็ไม่มีวิกฤตฟองสบู่จากวัฏจักรอสังหาฯ ความเสียหายทุกข์ยากจากเศรษฐกิจถดถอยแฟบฟุบก็จะหมดไปด้วย (จากแนวคิดของเฮนรี จอร์จ เรื่องภาษีเดี่ยวจากที่ดิน ดูเพิ่มเติมได้ที่ utopiathai.webs.com ขอบคุณครับ) จากคุณ : สุธน หิญ เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 18:17:32