|
ประชาชาติธุรกิจ
ทีดีอาร์ไอ ชี้ ปฏิรูปการศึกษาล้มเหลวทุ่มงบเพิ่ม 2 เท่า-เงินเดือนสูง-นักเรียนมีชั่วโมงเรียนเพิ่ม แต่ผลสัมฤทธิ์ต่ำ ผลคะแนนสอบมาตรฐานต่ำรั้งท้ายประเทศเพื่อนบ้าน เสนอรื้อระบบประเมินโรงเรียน-ครู ใช้นำคะแนนสอบมาตรฐานวัดผล
จี้กระทรวงศึกษาฯ เปิดผลคะแนนโอเน็ตรายโรงเรียนให้สาธารณะช่วยตรวจสอบคุณภาพ
การจัดงานสัมมนาวิชาการของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งในปีนี้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง การยกเครื่องการศึกษาไทย สู่การศึกษาที่มีคุณภาพทั่วถึง โดยผลการศึกษาพบนักเรียนไทยเรียนหนักงบประมาณครูเพิ่มแต่ผลสัมฤทธิ์การศึกษาต่ำ นักเรียนสอบตกการสอบมาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ
ดร.อัมมาร สยามวาลา ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้นำเสนอผลงานวิจัย เรื่อง การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ซึ่งเขาได้ระบุว่าปัญหาการพัฒนาการศึกษาไทยไม่ได้อยู่ที่ไม่มีเงินงบประมาณ หรือไม่มีบุคลากรที่เพียงพอ เพราะที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้งบประมาณเพิ่มเป็นขึ้น 2 เท่า ซึ่งเป็นงบประมาณที่ไม่ได้น้อยไปกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
งบเพิ่มแต่ผลลัพธ์ศึกษาต่ำ ส่วนเงินเดือนครูก็เพิ่มขึ้นเช่นกันไม่น้อยอย่างเช่นที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 14,000 บาท เพิ่มเป็น 24,000 บาท แต่การศึกษาไทยยังคงล้าหลัง แม้ว่าเด็กไทยจะมีเวลาเรียนมากถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านเด็กไทยเรียนหนัก แต่ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนที่วัดจากการผลสอบมาตรฐานทั้งในประเทศ คือ O-Net ซึ่งคะแนนเฉลี่ยตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง และผลของ PISA หรือ Programme for international Student Assessment ซึ่งเป็นการทดสอบนานาชาติ ที่ไทยอยู่ในอันดับท้ายๆ ซึ่งยังน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก
ที่ผ่านมา แผนการพัฒนาการศึกษาของภาครัฐยังไร้ทิศทาง สร้างความสับสนให้กับสังคม เพราะมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยครั้ง ขณะที่โครงสร้างในการบริหารการศึกษายังเป็นการรวมศูนย์ ที่สนใจเฉพาะเรื่องของการศึกษา แต่ไม่ครอบคลุมเรื่องของการเรียนรู้ และ ครูที่มีหน้าที่สอนหนังสือ ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น วิธีการสอนก็ยังล้าหลัง ยังเน้นเป็นการท่องจำ ในส่วนของนักเรียนก็มีชั่วโมงเรียนมากเกินไป ทำให้เด็กได้รับความรู้เฉพาะวิชาการมากแต่ไม่ค่อยได้เรียนจริยธรรม ดร.อัมมาร กล่าว
โออีซีดีชั่วโมงเรียนเด็กไทยสูง
ดร.อัมมาร กล่าวอีกว่า จากการรายงานของ OECD บอกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเวลาเรียนมากที่สุด แต่กลับมีผลสัมฤทธิ์ต่ำ โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ที่มีเวลาเรียนมาก แต่ผลคะแนนจากการสอบต่ำ เห็นได้จากผลสอบ O-Net ที่ไทยมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ข้อมูลของ PISA ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้พบว่า ผลการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่ำลงมาโดยตลอด ซึ่งอาจจะต่ำกว่า 50 % สามารถสะท้อนได้ชัดเจนว่าการศึกษาของไทยเป็นอย่างไร
ที่ผ่านมาการสอบวัดผลการเรียนรู้ เราชนะประเทศอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียว ส่วนประเทศอื่นๆ ในเอเชียล่วงหน้าไปกว่าไทยมาก ดร.อัมมาร กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษา เห็นได้จากโรงเรียนที่เป็นลูกรักของ ศธ. มีคุณภาพการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว ขณะที่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา TDRI ได้ทำการศึกษาปัญหาการศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียง พบว่าเป็นที่น่าตกใจมาก เพราะว่าเด็กระดับ ป.4 ะ ป.6 ที่ไปพบยังท่องสูตรคูณไม่ได้ อ่านภาษาไทยไม่ถูก ท่องจำเอบีซีไม่ได้เลย ซึ่งมีความแตกต่างกันมาก
แนะสร้างระบบรับผิดชอบ
ดร.อัมมาร ยังเสนอว่า แนวทางการปฏิรูปการศึกษาต้องมามองปัญหากันใหม่ เพราะที่ผ่านมาเรามักโทษว่าเกิดจากไม่มีงบประมาณ แต่จากการศึกษาวิจัยบอกได้ชัดเจนว่าเรื่องงบประมาณเป็นเพียงส่วนน้อย เกิดจากการขาดความรับผิดชอบของระบบการศึกษาตลอดทุกขั้นตอน ทั้งในส่วนผู้รับผิดชอบ คือผู้ที่ดูแลเรื่องการศึกษาตามหน้าที่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเดินหน้าระบบการศึกษา
ถ้าจะแก้ปัญหาการศึกษาให้สำเร็จ จะต้องเริ่มจากการรู้ปัญหาก่อน เมื่อเรารู้ว่าปัญหาการศึกษาไม่ได้มาจากการขาดเงิน ขาดคน แต่ปัญหาเกิดจากการขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หรือการใช้ทรัพยากร เนื่องจากระบบการศึกษาไทยขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่
เขาบอกอีกว่า หากจะปฏิรูปการศึกษาไทยควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างความรับผิดชอบของผู้จัดการศึกษาทั้งภาครัฐ โรงเรียน และครู ที่ต้องมีการวัดผลจากผลการเรียนของนักเรียนเป็นหลัก ไม่ใช่โรงเรียนทั้งหมดผ่านการประเมินคุณภาพจาก สมศ. หรือครูที่ทำวิทยฐานะเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือน ทั้งที่ผลการเรียนของนักเรียนยังแย่ลงอย่างที่มีผลออกมาทางคะแนนสอบ O-Net
ด้าน ด้าน ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักวิชาการประจำสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่าการที่โรงเรียนต้องเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนต่อสาธารณะให้ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้ง่ายนั้น จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของโรงเรียนเพิ่มขึ้นในการประเมินคุณภาพโรงเรียนและครู ยังพบว่าความมีอิสระในการบริหารงบประมาณไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงเรียน การกระจายอำนาจจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อโรงเรียนมีความพร้อมในเรื่องกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็งเสียก่อน ไม่เช่นนั้นการกระจายอำนาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประสิทธิภาพของโรงเรียนมากกว่าผลดี
การกระจายอำนาจให้กับโรงเรียนจะส่งผลดีต่อการกำหนดหลักสูตร นอกจากนี้เรายังพบอีกด้วยว่าผลกระทบในทางบวกจะมีมากขึ้นในกรณีที่มีองค์กรส่วนกลางคอยติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง และหากได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง การปฏิรูปการศึกษาก็จะประสบความสำเร็จได้ ดร.ดิลกะ กล่าว
เสนอรื้อระบบประเมินครู
ด้าน ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาระบบการประเมินผลการศึกษาของไทยล้มเหลวมาตลอด เพราะแม้จะมีการประเมินจาก 3 ส่วน คือ การประเมินจากโรงเรียนโดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและคุณภาพการศึกษา (สมศ.) การประเมินผลครูโดย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และการประเมินนักเรียนโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ สทศ. แต่การประเมินทั้ง 3 ส่วนไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าการศึกษาไทยจะมีคุณภาพ
ปัญหาคือ คุณภาพการศึกษาของไทยเมื่อวัดจากผลการสอบมาตรฐานต่างๆ ของนักเรียนกลับต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งการสอบ O-Net และการสอบที่จัดโดยองค์กรต่างประเทศ อย่าง PISA และ TIMSS ล้วนแต่มีผลตกต่ำลง ทำให้มองว่าการประเมินผลโรงเรียน และครูที่ผ่านมาน่าจะมีปัญหา เน้นแค่การประเมินเพื่อเพิ่มตำแหน่งและเลื่อนขั้นเงินเดือนเท่านั้น
พบวัดครูดูผลสัมฤทธิ์นักเรียนน้อย
ขณะที่การประเมินโรงเรียนและครู ที่ผ่านมาไม่ได้วัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอย่างแท้จริง จึงไม่ช่วยสร้างการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างที่ควรจะเป็น ยังพบว่าการประเมินโรงเรียนและครู แทบไม่มีความเชื่อมโยงกับผลการเรียนรู้ของนักเรียน
นอกจากนี้วิธีการประเมินด้วยการจัดทำรายงานยังสร้างภาระต่อครูมากมาย ทำให้ครูห่างจากนักเรียนไปเรื่อยๆ ส่วนการสอบของนักเรียนแม้จะเป็นการวัดผลจากนักเรียนโดยตรง แต่ก็ยังมีปัญหาคุณภาพของข้อสอบ และไม่มีการเปิดเผยผลคะแนนสอบเฉลี่ยของโรงเรียนต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ ทำให้ระบบการประเมินไม่เชื่อมโยงกับการสร้างความรับผิดชอบในการจัดการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา
เสนอ7ข้อประเมินครูนักเรียน
ดร.สมเกียรติ ยังเสนอว่า เมื่อระบบประเมินแบบเดิมไม่ได้สะท้อนปัญหาที่แท้จริง ก็ควรจะรื้อระบบประเมินใหม่ทั้งหมด โดยขอเสนอ 7 ข้อ ได้แก่
1.ควรจะมีการจัดสอบมาตรฐานทุกระดับชั้นเรียน เพื่อเป็นฐานในการสร้างความรับผิดชอบทางการศึกษา นอกจากการสอบเลื่อนชั้นอย่างเดียว
2.ควรมีการปฏิรูปการออกข้อสอบให้มีมาตรฐานมากขึ้น ที่เน้นวัดเรื่องของความเข้าใจ ที่ส่งเสริมความคิดของนักเรียนมากกว่าการวัดเนื้อหา ที่ส่งเสริมการท่องจำ
3.โรงเรียนควรเปิดเผยผลคะแนนการสอบเฉลี่ยเป็นรายโรงเรียนต่อสาธารณะ และให้โรงเรียนจัดทำใบรายงานผลของ ตัวเองเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ในเขตการศึกษาเดียวกัน และโรงเรียนทั่วประเทศให้ผู้ปกครองทราบด้วย
4.ยกเลิกการประเมินคุณภาพการศึกษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ให้มีความเชื่อมโยงกับผลการเรียนของนักเรียน
5.ควรใช้คะแนนสอบมาตรฐานของนักเรียนในการประเมินโรงเรียนและครู ซึ่งจะสะท้อนการพัฒนาของนักเรียน มากกว่าการใช้ระดับคะแนน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่โรงเรียนที่มีทรัพยากรที่แตกต่างกัน
6.ให้รางวัลแก่ผู้บริหารโรงเรียนและครูตามความสามารถในการยกระดับผลการเรียนของนักเรียน และ
7.ควรจะมีการสร้างขีดความสามารถทางวิชาการแก่โรงเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ เช่น สนับสนุนการประเมินตนเองเพื่อปรับปรุงการสอน
แนะกระจายอำนาจงบประมาณ
นายโฆสิต ปั้ยเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาการศึกษาของไทยมีมายาวนานและดูจะยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไขได้สำเร็จในเวลาอันสั้น ซึ่งการปฏิรูปการศึกษาต้องอาศัยเวลาและความอดทน โดยสิ่งที่เป็นความคาดหวังว่าการพัฒนาการศึกษาของไทยใน 2 ปีข้างหน้าขอเสนอว่าควรจะมีการกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณ หรือการจัดหลักสูตรให้แก่โรงเรียนต่างๆ เพื่อให้โรงเรียนเกิดความคล่องตัว ในการบริหารการศึกษา และตอบสนองต่อผู้เรียน ตลาดแรงงาน รวมถึงสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของสังคม แต่การกระจายอำนาจงบประมาณให้โรงเรียนจะมีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อโรงเรียนมีความเข้มแข็งในเรื่องของการบริหารจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ นายโฆสิต ยังเสนอว่า ผู้ที่ดูแลเรื่องการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียน ควรมีความรับผิดรับชอบต่อหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายที่ระบุไว้ชัดเจนว่าแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่อะไร ควรรับผิดชอบตามนั้น อย่างเช่นความรับผิดชอบของโรงเรียน ก็คือ การจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ดังนั้น จะต้องมีระบบตรวจสอบ ติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และความรู้ของนักเรียนว่ามีผลการเรียนอย่างไร เพื่อที่จะสะท้อนปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน
http://daily.bangkokbiznews.com/detail/45641
แต่ละสำนักข่าวรายงานรายละเอียดไม่เหมือนกัน
จากคุณ |
:
หมาป่าดำ
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.พ. 55 13:19:17
|
|
|
|
|