ทางไปดูสไลด์ สถาปัตยกรรมวังนี้และเครื่องใช้ในวัง คลิกที่นี่
ที่มาของวัง
พระยา อภัยสงคราม และพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง)ได้แบ่งเขตแดนและการบริหารปกครองสำเร็จแล้ว ได้ให้หนิเดะเป็นพระยาระแงะ แล้วจึงเริ่มก่อสร้างวังขึ้น
ซึ่งวังเจ้าเมืองนั้นนอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็ยังใช้เป็นที่บริหาร ราชการงานเมืองด้วย พระยาระแงะ (หนิเดะ) ได้ตั้งวังขึ้นครั้งแรกอยู่บริเวณพรมแดนเมืองกลันตันต้นทางที่จะไปเมืองทอง โต๊ะโม๊ะนั้นเอง หนิบอสู ชาวบางปู ผู้รักษาราชการเมืองระแงะคนต่อมา ได้ย้ายไปตั้งวังอยู่ที่ตะหยงหนะ(ปัจจุบันคือตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังพระยาระแงะ(หนิเดะ)ห่างออกไปเป็นระยะทางเดิน เท้าประมาณ ๑ วัน (พลชินพงค์,๒๕๒๙ : ๓๐๒๐)
เปิดบ้าน ชมสถาปัตยกรรมวังพระยาระแงะ
ศิลปะและสถาปัตยกรรมที่งดงามแบบมลายู วังระแงะในปัจจุบันนี้ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 2 ถนนจาตุรงค์รัศมี ตำบลบางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส มีอาณาเขตด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือจดบ้านเรือนประชาชน ทิศตะวันตกออกจดโรงยางนูซันตารา ทิศใต้จดถนนจาตุรงค์รัศมี
วังระแงะ สร้างโดยสถาปนิกจากรัฐตรังกานูที่มีฝีมือดีมาก ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลักษณะรูปทรงสร้างเป็นเรือนไม้ ๒ ชั้นยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงมนิลาหรือบลานอ ทางขึ้นวังมีบันไดอยู่ทางด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันตก
เนื่องจากวังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนต่อกาลเวลาได้ ด้วยเหตุนี้รูปทรงดั้งเดิมของจึงเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะส่วนที่ชำรุดได้รับการซ่อมแซมต่อเติมให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน
โครงสร้างและองค์ประกอบของวังจึงผสมผสานกันระหว่างรูปทรงที่ใช้กับวัสดุเก่า กับรูปทรงที่ใช้วัสดุใหม่ โดยรอบล้อมด้วยกำแพง ๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูนเป็นกำแพงชั้นในปัจจุบันเหลือเพียงด้านหลังบางส่วน ขอบกำแพงวังมีลายนูน กำแพงวังชั้นนอกไม่มีร่อยรอยเหลือให้เห็นแล้ว
ด้านหลังของตัววังมีบ่อน้ำห่างจากตัววังประมาณ ๑๕ เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๘ เซนติเมตร เดิมมีความสูง ๒๓ เซนติเมตร ต่อมาต่อเติมให้สูงขึ้นอีก ๓๖ เซนติเมตร รอบๆ บ่อน้ำใช้แผ่นซีเมนต์ปูพื้นซึ่งทำใหม่เป็นที่อาบน้ำ
เสาของตัววังใช้ไม้เนื้อแข็งจำพวกตะเคียน หลุมพอแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๖.๕ เซนติเมตร และสูง ๑.๗๕ เมตร จำนวน ๓๐ ต้นอาศัยโครงสร้างที่ยึดกันและน้ำหนักของตัวอาคารที่ได้สัดส่วนจึง ทำให้เสาที่วางอยู่บนฐานคอนกรีตบนพื้นดินปรับเรียบเสมอกัน ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง
ส่วนด้านหลังของวังใช้เสาก่ออิฐ ถือปูน ๒๙ ต้น กว้าง ๕๓ เซนติเมตร สูง ๑.๕๙ เมตร ด้านหน้ามีบันไดทางขั้น ซึ่งทำด้วยไม้กระดาน ๕ ขั้น ขึ้นไปยังเฉลียงซึ่งเป็นส่วนที่ต่อเติมใหม่สู่ชานขนาดเล็ก แคบๆราวลูกกรงบันไดไม้กลึงแบบโปร่ง และยกพื้นขึ้นไป ๑ ขั้นสู้พื้นวัง
ส่วนหลังของวังมีบันไดขึ้นชั้นบน ๒ ด้าน ด้านละ ๑๑ ขั้น เฉลียงด้านหน้านี้มีม้านั่งเป็นกระดานวางอยู่ใช้เป็นที่ผักผ่อนและพื้นที่ เอนกประสงค์ พื้นวังและชานพักทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งตามแนวขวางของวังทั้งชั้นบนและ ชั้นล่าง ส่วนฝายืนส่วนบนสุดของฝาผนังที่ติดกับโครงหลังคามีการฉลุลวดลายแบบเรขาคณิต
หลังคาวัง ออกแบบเป็นรูปจั่วแบบมนิลาหรือบลานอมุงด้วยกระเบื้องดินเผากระเบื้องหางแหลม แบบโบราณ เมื่อมองจากภายในสามารถมองเห็นโครงสร้างหลังคาไม้ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากไม่มีฝ้าเพดาน ปลายมุมแหลมของยอดจั่วทำเป็นเสาขนาดเล็ก ตกแต่งด้วยลวดลายฉลุไม้งดงาม แต่ในปัจจุบันยอดจั่วส่วนหลังของวังชำรุดเป็นบางส่วน เชิงชายใช้ไม้กระดานเป็นเชิงชายแผ่นเดียว ด้านล่างฉลุไม้เป็นลวดลายรอบตัวเรือนเป็นลายเรขาคณิต ผสมผสานกันระหว่างรูปโค้งและรูปเหลี่ยมต่างๆ
ประตูใหญ่หรือประตูหน้า คือ ประตูทางเข้าห้องโถง ทำเป็นประตูโค้ง กว้าง ๑ เมตร ๑๕.๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๗๕ เซนติเมตร ส่วนโค้งด้านบนยาว ๑ เมตร กว้าง ๓๘ เซนติเมตร สลักลวดลายพรรณพฤกษาตามแบบศิลปะชวาอยู่ด้านบน ด้านข้างและด้านหลังยังมีประตูอีก ๔ บาน เป็นประตูภายในวัง ๒ บาน และประตูทางออก ๒ บาน บานประตูทำด้วยไม้ กว้าง ๑ เมตร ๘ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๘๖ เซนติเมตร
ส่วนบนของบานประตูทำเป็นช่องลมฉลุลวดลายแบบต่างๆประตูบานที่ ๒ ซึ่งอยู่ภายในตัว โถงลวดลายฉลุระหว่างลายเรขาคณิตกับลายพรรณพฤกษา ประตูบานที่ ๓ ซึ่งอยู่ภายในตัวโถงและประตูทางออกด้านขวา ฉลุลายพรรณพฤกษา ส่วนประตูทางออกด้านซ้าย มีบานประตูเป็นลายลูกฟักแบบจีน ด้านบนฉลุลายอักษรอาหรับประดิษฐ์ปัจจุบันประตูนี้ได้ปิดไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากมีการสร้างห้องขึ้นใหม่
หน้าต่าง เป็นแบบประตูเปิดคู่ ตัวบานทำเป็นลายลูกฟักเหนือขึ้นไปมีช่องลมฉลุลวดลายพรรณพฤกษาปละดาว ช่องลมหน้าต่างส่วนหน้าของวังเป็นลวดลาวเรขาคณิต ช่องลมภายในตัววังล้วนใช้ลวดลายพรรณพฤกษา ยกเว้นช่องลมชั้นบน ใต้หลังคาตรงส่วนหลังเป็นลวดลายผสมระหว่างลายพรรณพฤกษาและลายเรขาคณิต
การใช้พื้นที่ภายในวังในอดีต
แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือส่วนชั้นล่างของวังและส่วนชั้นบนของวัง
๑.ส่วนชั้นล่างของวัง แบ่งออกเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง
๑.๑ ส่วนหน้า ประกอบด้วยลานดินโล่งด้านหน้าและด้านข่างก่อนถึงตัวอาคารซึ่งมีบันไดทางขึ้น ภายในอาคารเป็นอาคารห้องโถงขนาดใหญ่มีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการ ใช้สอย ใช้สำหรับพิจารณาคดีความ ตนกูยาลินี สนิทวาที เจ้าของวังระแงะคนปัจจุบัน เล่าว่า เจ้าเมืองระแงะจะนั่งอยู่มุมเสาทางด้านซ้ายของห้องโถง ส่วนบริเวณด้านขวาใช้เป็นสถานที่ยื่นฏีการ้องทุกข์(สัมภาษณ์ ๓ กันยายน ๒๕๓๖ )
๑.๒ ส่วนหลัง จากประตูซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังเข้าไป ด้านซ้ายเป็นห้องพักของเจ้าเมืองระแงะ ด้านขวา เป็นน้องชายเจ้าเมืองระแงะผ่านประตูบานต่อไปเป็นห้องโล่งมีบันไดอยู่ทางขวา ซึ่งใช้สำหรับขึ้นไปชั้นบน ส่วนบันไดทางซ้ายเป็นบันไดที่เจ้าเมืองใช้ลงมาอาบน้ำ โดยมีประตูไม้เปิดออกจากตัวอาคารวัง ๒ บาน หากเดินผ่านประตูออกไปทางด้านหลังจะเป็นที่อยู่ของเหล่าบริวาร ด้านขวามือมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ๒ แห่ง ด้านซ้ายมือมีอีก ๑ แห่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้เก็บกักน้ำฝนแทนโอ่งน้ำ
๒.ส่วนชั้นบนของวัง
ด้าน ขวามีห้องใหญ่ ๑ ห้อง เป็นห้องของเจ้าเมืองระแงะ ด้านหน้าของห้องเป็นที่โล่ง ด้านซ้ายเป็นบันไดสำหรับลงไปอาบน้ำ นอกจากนี้ภายในวังระแงะมีสิ่งของเครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งที่มีความงด งาม และมีคุณค่าต่อประวัติศาสตร์ท้องถิ่นด้วยกันหลากหลายชิ้น อีกทั้งยังสะท้อนถึงการติดต่อสัมพันธมไมตรีกับชาวต่างชาติในขณะนั้น เช่น ชาวจีน ชาวอินเดีย ชวา มลายู และสิงค์โปร์ เป็นต้นโดย
เฉพาะเครื่องใช้ในครัวเรือนมีทั้งประเภทถ้วยโถโอชาม ภาชนะต่างๆมีลวดลายแบบศิลปะจีน ลวดลายดอกไม้ ลายก้อนเมฆ ลายปลา ลายดอกไม้ใบไม้ ลายนกยูง ลายนกนางแอ่น รวมทั้งเครื่องทองเหลืองหลากหลายรูปทรงหลากหลายรูปแบบการใช้งานอาทิ กาน้ำ เครื่องเขียนหมาก กระปุกรูปทรงต่างๆที่สวยงามและเครื่องครัวประกอบอาหาร เนื่องจากวังระแงะแห่งนี้ เดิมเป็นสถานที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตเครื่องทองเหลืองเป็นอย่างมาก
ณ วันนี้ แม้ว่าระแงะจะเสื่อมโทรมสภาพไปตามกาลเวลา แต่สถาปัตยกรรมของวังที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ช่วยบ่งชี้ให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและเศรษฐกิจในสมัยนั้น และบ่งบอกถึงการนำศิลปกรรมของชวา และแบบตรังกานูเข้ามาผสมผสานกับศิลปกรรมของท้องถิ่นได้อย่างลงตัว จนเกิดเป็นความสง่างามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์โชติช่วงของเมืองระแงะ จวบจนปัจจุบัน
ทีมา : นายมูฮัมหมัดซูเฮร์ แวดือราแม ประธานชุมชนตลาดกลางผลไม้ (เอื้อเฟื้อข้อมูล), นายกูนูรดิน สุริยะสุนทร โต๊ะอิหม่าม ประจำมัสยิดตันหยงมัส (เอื้อเฟื้อภาพสิ่งของเครื่องใช้ในวังพระยาระแงะ),
นาย จิรวัฒน์ ไทยเกื้อ ตำแหน่งครูผู้ช่วยสำนักงานศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส(เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูล),งานประชาสัมพันธ์ กองวิชาการและแผนงานเทศบาลตำบลตันหยงมัส
ที่มาบทความ
http://www.freethailand.com/indexsite.php?act=m&catid=83354&username=dusongyoo