Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เคราะห์กรรมซ้ำสอง ติดต่อทีมงาน

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม (๑๓)

เคราะห์กรรมซ้ำสอง

" เล่าเซี่ยงชุน "

ครั้งหนึ่งท่าน เปาบุ้นจิ้น ได้เดินทางไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อมาถึงเมือง ไซเกีย บรรดานายแขวงนายอำเภอและตุลาการ ก็ได้นำสารบบบัญชีคดีความทั้งเก่าใหม่มาให้ เปาบุ้นจิ้นตรวจดู เปาบุ้นจิ้นได้เห็นสำนวนคดีเรื่องหนึ่ง มีหญิงสองคนแม่ลูกเป็นจำเลย แต่ไม่ยอม รับเป็นสัตย์ ยังค้างคาอยู่หาได้ตัดสินไม่ เรื่องราวในนั้นมีอยู่ว่า

ชายผู้หนึ่งชื่อ กังม้อ อยู่บ้านตำบลย่งอันติ้น ห่างจากเมืองไซเกียไปประมาณห้าลี้ ได้เป็นโจทก์ฟ้อง นางเอี๋ยงสี ผู้เป็นมารดา กับ นางเตียวหนึง บุตรสาว ว่าทั้งสองคบหาชายชู้ หลายคน รวมทั้ง ย้งบั๊ก คนใช้ในบ้านด้วย และได้หึงหวงกันจนเกิดฆ่าฟันย้งบั๊ก ถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ผู้เป็นโจทก์มิได้มีส่วนได้เสียในคดีนี้แต่อย่างใด เพียงแต่เคยเป็นคนรู้จักกับ เตียสุยเก สามี ของนางเอี๋ยงสี ซึ่งได้ตายไปแล้วเท่านั้น

ในคดีนี้ อั๋งจายกุ้ย นายอำเภอได้รับแจ้งความตามฟ้องแล้ว ก็ให้นักการไปเกาะตัว นางเอี๋ยงสี กับนางเตียวหนึง มาซักถาม ทั้งสองแม่ลูกก็ให้การสอดคล้องต้องกันเป็นความว่า

เดิมนางเอี๋ยงสีได้อยู่กินเป็นภรรยาเตียสุยเก ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลย่งอันติ้น ได้ทำมา หากิน จนมีเงินทองทรัพย์สินมากมาย เกิดบุตรหญิงคนหนึ่งคือนางเตียวหนึง มีลักษณะงามยิ่งนัก และนางเตียวหนึงนั้นก็มีฝีมือปักและเย็บเสื้อผ้าได้สวยงาม ทั้งมีความขยันหมดจดรอบคอบ ใน การงานเหย้าเรือน เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดายิ่งนัก ครั้นเติบโตเป็นสาว เตียสุยเกจึงบอกกับ ภรรยาว่า

"......บุตรของเราบัดนี้อายุได้สิบห้าปีแล้ว ถ้าชายผู้ใดมีฝีมือคุณวุฒิดีจริง แล้ว เราจะยกให้แก่ผู้นั้น....."

ในขณะนั้นเตียสุยเกมีลูกจ้างไว้ใช้สองคนคือย้งบั๊กกับ อ้วนเจียง ย้งบั๊กนั้นเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย ขยันเอาใจใส่หมั่นดูแลการงานบ้านเรือน ต่อมาเตียสุยเกป่วยลง หาซินแสหมอยามารักษา เท่าใด โรคนั้นก็ไม่บรรเทามีแต่ทรุดลงไปทุกวัน อยู่มาได้ถึงสิบวัน เตียสุยเกเห็นว่าอาการหนัก ชีวิต จะไม่รอด จึงปรับทุกข์กับนางอ๋องสีผู้ภรรยาว่า

".....เรามีบุตรแต่ผู้เดียวเป็นหญิง บุตรของเราเจริญวัยเป็นสาวขึ้นแล้วแม้ข้าตาย ไปแล้วเจ้าอยู่ข้างหลัง จะยกบุตรของเราให้มีเหย้าเรือนไป บุตรของเราก็จะต้องจากเจ้าไปไกล ไม่มี ผู้ใดจะอยู่ปฏิบัติเจ้า เจ้าก็จะได้ความว้าเหว่เปลี่ยวใจ เราเห็นว่าย้งบั๊กคนใช้ของเราผู้นี้เป็นผู้หมั่น การงาน รอบคอบ ควรจะยกให้แก่ย้งบั๊ก จะได้ช่วยทำมาหากิน และดูแลในการเหย้าเรือน จึงจะชอบ....."

เมื่อได้สั่งเสียภรรยาถี่ถ้วนทุกประการแล้ว ต่อมาโรคกำเริบขึ้นเตียสุยเกก็ถึงแก่ความ ตายไป นางเอี๋ยวสีกับนางเตียวหนึงก็ร้องไห้เศร้าโศก อาลัยเตียสุยเกยิ่งนัก ครั้นค่อยคลายความโศก จึงพากันเอาศพไปฝังและเซ่นไหว้ทำกงเต๊กตามประเพณี

ต่อมานางเอี๋ยงสีปรารภกับบุตรสาวว่า จะจัดการแต่งงานให้กับย้งบั๊ก เป็นสามีภรรยา กัน นางเตียวหนึงก็กอดมารดาเข้าแล้วก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า

".....บิดาข้าพเจ้าพึ่งตายลงยังไม่ทันจะข้ามปี มาบัดนี้มารดาจะแต่งให้ข้าพเจ้า มีเหย้าเรือนไปนั้นหาควรไม่ ถ้ากระไรขอให้มารดางดรอไปให้ได้สักปีหนึ่ง หรือสองปีก่อนเถิด....."

นางเอี๋ยงสีได้ฟังบุตรสาวทัดทานดังนั้นก็เชื่อฟังคำ จึงให้รอการแต่งงานไว้ก่อน เมื่อ ย้งบั๊กทราบเรื่องที่นางเอี๋ยงสี มีความเมตตารักใคร่จะยกนางเตียวหนึงบุตรสาวให้เป็นภรรยา ก็ยิ่งมีความอุตสาหะจงรักภักดี หมั่นเพียรดูแลการงานเอาใจใส่ มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน การงานสิ่งใดในเรือนก็เป็นที่ไว้วางใจแก่ย้งบั๊กทั้งสิ้น

อยู่มาวันหนึ่งถึงกำหนดที่จะต้องเสียเงินค่านา นางเอี๋ยงสีก็ได้มอบเงินจำนวนมาก ให้ ย้งบั๊กไปเสียค่านาแทน เพราะในวันนั้นญาติในเมืองไซเกีย ได้เอาเทียบมาเชิญนางเอี๋ยงสีกับบุตรสาวไปกินเลี้ยง เมื่อเสร็จงานกินเลี้ยงแล้วกลับมาบ้าน ก็พบว่าย้งบั๊กนอนตายอยู่ มีบาดแผลถูกฟันโลหิตไหลอาบไปทั้งตัว สองแม่ลูกไม่แจ้งว่าผู้ใดมาทำร้ายแก่ย้งบั๊ก ต่างพากันร้องไห้เศร้าโศก ในเคราะห์กรรมของย้งบั๊กยิ่งนัก นางเอี๋ยงสีก็รำพันกับบุตรสาวว่า เหตุทั้งนี้ด้วยวาสนาของเราไม่ใช่คู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันกับย้งบั๊ก ส่วนนางเตียวหนึงนั้นก็ร้องไห้อาลัยรักคู่มั่นหมายของตน กลิ้งเกลือกไปมาจนสิ้นสติสมปฤดีไป

แต่อั๋งจายกุ้ยนายอำเภอ ไม่เชื่อคำให้การของสองแม่ลูก จึงให้ผูกนางเอี๋ยงสีและนางเตียวหนึงเข้าเฆี่ยนตีถึงสาหัส จะให้ทั้งสองรับเป็นสัตย์ แต่สองแม่ลูกก็ไม่ยอมรับ นางเตียวหนึงนั้นร้องไห้บอกแก่มารดาว่า

"....โดยความสุจริตของเรา เทพยดารักษาฟ้าแลดินก็คงจะสอดส่องทิพยเนตร เล็งเห็นความจริง แม้ว่ามารดาจะถึงแก่ความตาย เพราะด้วยอาญาตุลาการผู้ปราศจากแก้วตาปัญญาใจเช่นนี้ ก็ควรอยู่แล้วที่จะต้องจำใจตาย แต่มารดาอย่ารับเลย ชื่อของเราจะเสียอยู่ชั่วฟ้าและดิน แต่ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้น จะขอลามารดาตายไปพบกับสามีของข้าพเจ้า ณ เมืองผี....."

เมื่อนายอำเภอเห็นว่า จำเลยสองแม่ลูกไม่ยอมรับ จึงให้ผู้คุมเอาตัวไปจำขังไว้ในคุก ในวันนั้นเองนางเตียวหนึงก็กลั้นใจ กัดลิ้นตนเองถึงแก่ความตายไปดังคำพูด นางเอี๋ยงสีเห็นบุตรสาวตาย ก็ร้องไห้เศร้าโศกจนคิดจะฆ่าตัวตายตามไปด้วย แต่บรรดาพวกนักโทษที่อยู่ใกล้เคียง ได้ชวนกันพูดจาชี้แจงให้นางเอี๋ยงสีฟังว่า

".....ท่านจงยับยั้งใจไว้ก่อน ด้วยเวลานี้เป็นคราวเคราะห์ร้าย เวรกรรมตามสนอง จะทำอย่างไรได้ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เปาเล่งถูชำระแล้ว ก็คงจะได้ตัวผู้ร้าย ซึ่งกระทำแก่บุตรเขยท่านเป็นแน่ จงอุตส่าห์สู้ทนทุกข์ทรกรรมไปก่อนเถิด....."

นางเอี๋ยงสีได้ฟังเพื่อนนักโทษด้วยกันปลอบใจ ก็เห็นจริงด้วย ความคิดโทมนัสน้อยใจ ก็ค่อยคลายลง จึงมิได้ทำอันตรายแก่ตัวเองให้ถึงแก่ความตาย สู้อดทนรออยู่จนถึงบัดนี้

เปาบุ้นจิ้น ได้อ่านสำนวนและพิจารณาความอย่างละเอียดแล้ว จึงให้หาตัวบรรดาราษฎรซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกับนางเอี๋ยงสี มาซักถามเอาความจริงให้กระจ่าง ราษฎรที่อยู่ในตำบลนั้น ต่างก็ให้การเบิกความ ตามที่ตนรู้เห็นว่า เวลาเกิดเหตุนั้น นางเอี๋ยงสีกับนางเตียวหนึง ได้รับเชิญไปกินเลี้ยงที่บ้านญาติ พอกลับมาจึงได้เห็นย้งบั๊กตาย พวกตนทั้งหลายก็มิได้แจ้งว่าผู้ใดมาทำร้ายย้งบั๊ก เห็นแต่สองแม่ลูกร้องไห้เศร้าโศกอยู่เป็นอันมาก

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้น ก็ใคร่ครวญด้วยวิจารณญาณปัญญาจักษุ เห็นว่าคดีนี้คงจะมีตัวผู้ร้ายที่มีความบาดหมางกัน ด้วยเรื่องในบ้านเรือนนั้นเป็นต้นเหตุ จึงให้ผู้คุมนำตัวนางเอี๋ยงสีมาถามว่า มีคนใช้อยู่ในเรือนกี่คน

นางเอี๋ยงสีจึงบอกว่า

"....เดิมคนใช้ของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่งแซ่อ้วน แต่ข้าพเจ้าได้ไล่ออกจากบ้านข้าพเจ้าไป นานประมาณสักสองปีแล้ว...."

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ ไปตามหาตัวชายผู้แซ่อ้วนมาให้ได้ เจ้าหน้าที่ก็สืบหาตัว อ้วนเจียง จนได้แล้วพาตัวมาซักถาม อ้วนเจียงก็ให้การปฏิเสธไม่ยอมรับ เปาบุ้นจิ้นลงเนื้อเห็นแน่แก่ใจว่าต้องเป็นผู้ร้ายแน่ จึงให้นักการไปที่บ้านอ้วนเจียง ค้นได้ของกลางคือหีบใบหนึ่งเอามาให้ เปาบุ้นจิ้นเปิดออกดูเห็นมีเบี้ยแปะกับเงินอยู่ในหีบ จึงให้นางเอี๋ยงสีมาดู ว่าหีบนี้เป็นของตนหรือมิใช่

นางเอี๋ยงสีแลเห็นหีบก็จำได้แม่นยำว่าเป็นหีบของนาง ที่ใส่เงินกับเบี้ยมอบให้ย้งบั๊กไว้เพื่อจะเอาไปเสียค่านา จึงยืนยันด้วยความแน่ใจ เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้นักการนำอ้วนเจียง เข้าขื่อคาล่ามโซ่ลั่นกุญแจคอเข้าไว้เต็มที่ แล้วจะผูกตี ตามจารีตนครบาล อ้วนเจียงมีความกลัวยิ่งนักยังมิทันจะได้ผูกถือและโบยตี ก็ยอมให้การรับสารภาพ ได้ความว่า

ตนเองได้เป็นลูกจ้างของเตียสุยเก คู่กันกับย้งบั๊ก แต่นายมีความโกรธเกลียดชัง หาว่าเป็นคนเกียจคร้านบิดพริ้วสับปลับในการงาน จึงขับไล่ออกไปเสียจากบ้าน ตนมีความอาฆาตว่า ย้งบั๊กเป็นผู้ยุยงเตียสุยเกให้ขับไล่ตนเสีย วันหนึ่งจึงได้พกอาวุธมาจะแก้แค้นย้งบั๊ก พอดีเห็นย้งบั๊กกำลังนั่งตรวจนับเงินจำนวนมากอยู่แต่ผู้เดียว จึงเข้าไปใกล้แล้วชี้หน้าด่าว่า

"....มืงหรือเป็นคนสนิทของเศรษฐี...."

แล้วก็ชักอาวุธออกฟันย้งบั๊กถึงแก่ความตาย แล้วก็ยกเอาหีบใส่เงินนั้นหนีไป โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว

เปาบุ้นจิ้นได้ความจริงครบถ้วนแล้ว จึงตัดสินให้ปล่อยตัวนาง เอี๋ยงสีพ้นจากการจองจำ และให้เอาอ้วนเจียงไปประหารเสีย ส่วนกังม้อหมอความผู้เป็นโจทก์ เอาเท็จมาฟ้องจนเจ้าทุกข์ ต้องถูกจองจำและตายไปคนหนึ่งนั้น ให้เนรเทศไปอยู่เมืองไกลอันกันดาร อย่าให้คนทั้งหลายดูเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป.

เปาบุ้นจิ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรัตน์ อันเป็นประโยชน์ใหญ่แก่บ้านเมือง และพระมหากษัตริย์ รวมถึงอาณาประชาราษฎร มาตลอดชั่วชีวิตของท่าน และยังเป็นแบบแผนของผู้ซื่อตรงตงฉิน และข้าราชการผู้เป็นเสวกามาตย์ราชปรินายก ต่อ ๆ มาในภายหลังอีก ด้วย

ซึ่งคงจะไม่มีผู้ใดคัดค้านเป็นแน่นอน.

##########

วารสารสุรสิงหนาท
ตุลาคม ๒๕๔๑

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 55 09:11:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com