ความคิดเห็นที่ 1 ได้... เมื่อไม่อยู่ในสายตาชายที่ไม่ใช่สามี.... แฟชั่นแบรนด์เนมจากยุโรปนั้นขายดีมากในกลุ่มสตรีชาวซาอุดิอาระเบีย พวกเธอจะใส่ในโอกาสที่พบปะสังสรรค์กันในที่ที่ไม่มีผู้ชายอยู่ร่วมด้วยครับ แต่ภาพที่คุณนำมาลงนั้น...ไม่น่าะเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในซาอุดิอาระเบีย แต่น่าจะเป็นมุสลิมสตรีนิกายชีอะห์มากกว่า.. จากคุณ : หมู4X เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 15:54:39

ความคิดเห็นที่ 2 ได้ ถ้าเป็นการแต่งกายในบ้าน จะใส่ชุดอะไรก็ได้ตามใจชอบ กฏหมายไม่ห้าม จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 16:03:22

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนานี้ เค้ากีดกันทางเพศจิงๆ จากคุณ : Def Leppard เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 16:49:15

ความคิดเห็นที่ 4 อิสลามไม่ได้กดขี่ผู้หญิงนะจ๊ะ เขาสร้างกรอบเพื่อป้องกัน ดีกว่าที่จะแก้เอาตอนหลังเหมือนที่ไหนไม่รู้ (สังเกตดูว่าสังคมที่ไหนมีปัญหาโน่นนี่เยอะแยะ) จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 17:14:48

ความคิดเห็นที่ 5 แล้วซุกระเบิดฆ่าคนก็ได้ด้วยซิ ต่อให้ตำรวจหญิงก็ค้นไม่ได้ ก็อ้้างว่าไม่ใช่ศาสนาเดียวกัน! จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 18:20:04

ความคิดเห็นที่ 6 กีดกันไหมไม่ทราบ แต่ถ้าอยู่สังคมแบบนี้ตูย้ายหนีออกนอกประเทศทันทีที่ทำได้ และไม่ย้อนกลับไปอีกแน่ จากคุณ : นางสาวคานทอง เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 18:32:43

ความคิดเห็นที่ 7 แขวะคนอื่นเก่งกันจังเลยนะครับ จากคุณ : เจือจาง เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:32:39

ความคิดเห็นที่ 8 กว่าครึ่งตำหนิศาสนา แต่ไม่ตอบ.................. เอางี้นะครับ เข้าใจว่าคงเลือกซาอุเป็นตัวแทนแถบนั้น   แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าแต่ละประเทศในตะวันออกกลางไม่เหมือนกัน ซาอุไม่อนุญาตให้สตรีขับรถ แต่ UAE มีพนักงานขับรถไฟสตรี และ คูเวต มี สส หญิง อิหร่านมีตำรวจหญิงที่รบได้ไม่แพ้ชาย และกัดดาฟีสมัยมีอำนาจใช่แต่ บอร์ดี้การ์ดสตรี การแต่งกายจะยึดซาอุฯอาจไม่ถูกนัก  จะว่าไป ซาอุก็ต้องถามด้วยว่าซาอุย่านไหน  อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงประเทสที่มีขนาดๆพอๆกับอินเดีย  มีภาษาที่ใช่ในประเทศ 4 ภาษา(อาหรับมีภาษา 4 แบบ ภาษาในกุรอานเป็นเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น) ครั้งหนึ่งผมเคยคุยกับผู้หญิงชาวอาหรับที่เป็นเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวที่ Alain UAE เพราะเจ้าหน้าที่ชายภาษาอังกฤษไม่ดีเท่า  หลังคุยผมจึงถามเธอว่า เธอคุยกับบุรุษที่ไม่ใช่สามีได้หรือ  เธอถามกลับมาว่าใครห้าม เมื่อพูดคุยสักพักจึงทราบว่าที่ UAE โดยเฉพาะ อาบูดาบี้ เน้นให้ คนของเขา ทั้งบุรุษและสตรีทำงาน ดังนั้นสิทธิ์สตรีแบบผสมหลายที่รวมกันแล้วยัดเยียดว่าใช่ คงไม่ยุติธรรมกระมั่ง มาถึงเรื่องการแต่งกาย  อยากให้ลองมองสตรีท่านสุดท้าย สังเกตกระโปรงที่ซ้อนอยู่ไม่ดำ  ชุดสีดำที่สวมอยู่คือ อาบาย่า ซึ่งใช่ทั่วตะวันออกกลาง จะมีสีหลักคือดำ  ไม่ได้จำกัดสี แต่ยอมรับละครับ  ผมเจอแต่สีดำเสียส่วนใหญ่  มีครั้งเดียวที่เจอสีน้ำเงิน ถึงจะดำแต่ลายปักว่ากันอีกเรื่อง แต่ละตัวจะปักต่างกัน ถึงกระนั้นจะว่าไปบางส่วนของตะวันออกกลางลายปักก็ไม่ยอมให้มีลายปักก็มี ปัจจุบันสตรีตะวันออกกลางจะแต่งตัวสวยไว้ในแล้วคลุมอาบาย่า  เมื่อไปถึงที่ส่วนตัวที่มีแต่สตรีจึงถอดออกแล้วโชว์ชุดกัน สตรีที่นำภาพมามีการคลุมแบบ พิเศษ  จะว่าไปผมก็ไม่เคยเห็นใครคลุมแบบนี้ปิดลูกตาที่ไม่ใส่ถุงมือ ปกติหากคลุมหมด ปิดลูกตาและสวมถุงมือด้วยเรื่อง บูร์คา แต่หากปิดหน้าและปาก และเปิดมือ เรียกว่า นิกับ หากปิดแต่ผมเปิดหน้าและมือ เรียก ฮิญาบ การคลุมแบบที่เห็นเป็นส่วนหนึ่งของอาหรับ และอาจจะส่วนหนึ่งของ ซาอุ ด้วย เสริมให้ครับ ครั้งหนึ่งที่ซาอุฯเคยมีสตรีคนหนึ่งขอหย่าสามี  เพราะจับได้ว่าสามีแอบเปิดดูหน้าเธอตอนนอน เธอและสามีแต่งมา 12 ปี สามีไม่เคยเห็นหน้าเธอ................ แว่วมาว่าคืนดีกันแล้ว ศาลไกล่เกลี่ยให้  สามีขอโทษเธอและสัญญาจะไม่ทำอีก ในขณะที่ในริญาด เมืองหลวงซาอุ  ในวันแต่งงาน  เจ้าบ่าวจะได้รับเชิญเพียงคนเดียวให้ทานอาหารกับครอบครัวฝ่ายหญิง  โดยวันนั้นสตรีทุกคนจะเปิดผ้าคลุมหน้าเพราะมองว่าเป็นญาติกันแล้ว......... ประเทศเดียวกันนะนั้น sigree จากคุณ : nana5104 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:39:06

ความคิดเห็นที่ 9 Black Abaya จากคุณ : nana5104 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:43:59

ความคิดเห็นที่ 10 Red Abaya จากคุณ : nana5104 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:44:20

ความคิดเห็นที่ 11 ขึ้นอยู่กับมองมุมไหนน่ะครับ ที่ประเทศไทยมีเคสเด็กนักเรียนหญิงมุสลิมคนหนึ่งเรียกร้องคลุมฮิญาบไปโรงเรียนวัดได้ ถ้าบังคับไม่เห็นควรแต่ถ้าสมัครใจก็ว่าไปอย่างนึง จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:48:40

ความคิดเห็นที่ 12 ดีครับ เวลาจีบจะได้ไม่ต้องสนใจหน้าตา จากคุณ : vision เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:49:38

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าต้องออกมาข้างนอกแดดทะเลทรายร้อนๆ   คงไม่ค่อยมีคนอยากจะใส่สีขาวๆหรือสีอื่นหรอกครับ สีขาวมันไม่ดูดความร้อนก็จริง    แต่มันก็กันรังสีได้น้อยด้วย        ใส่สีอ่อนๆไปมีหวังผิวใหม้เอาง่ายๆ แต่สีดำถึงมันจะดูดความร้อน    แต่มันกันรังสีได้ดี       ถึงแม้จะอบหน่อย    แต่ก็ปลอดภัยกว่าสีขาว อย่างคนไทยสมัยก่อนที่ทำนาทั้งวัน   ก็จะเห็นเลยว่าส่วนใหญ่จะใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเป็นหลัก     เหตุผลแบบเดียวกันละครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 20:49:24

ความคิดเห็นที่ 14 เค้าเลือกคู่แต่งงานกันยังไงหรอครับ ปิดหน้า ตลอดแบบนี้ แล้วอ่านของคนที่8 แต่งงาน12ปีไม่เห็นหน้า เออใช้ชีวิตคู่กันยังไงเนี้ย จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 21:10:25

ความคิดเห็นที่ 15 การจับคู่แต่งงานแบบตะวันออกกลางมีหลากหลาย  อย่างที่บอกว่าพืนที่กว้างครับ มีทั้งคลุมถุงชน พบปะตามสถานที่ต่างๆ  ทำความรู้จักกันเองก็มี เพื่อนผมชาวอินเดียคนหนึ่ง แต่งงานกับผู้หญิงตะวันออกกลาง ผมเคยถามเขาทำนองว่าเขาเจอและแต่งงานได้อย่างไร  เขาเล่าว่ารู้จักกับพี่ชายภรรยาก่อน  จากกลุ่มคนรู้จักกัน จากนั้นพี่ชายเธอชวนเขาไปทานอาหารที่บ้านเขา และได้เจอว่าที่ภรรยา เขาบอกกับพี่ชายภรรยาตอนนั้นทำนองน้องสาวเขาน่ารักดี  จากนั้นเขาก็เป็นแขกประจำถูกชิญไปทานอาหารที่บ้านสาวเจ้าบ่อย  มีโอกาสคุยกับเธอโดยมีพี่ชาย น้องชาย หรือพ่อเธออยู่ด้วย จนพ่อสาวเจ้าถามเขาเรื่องรักลูกสาวเขาไหม?  พอเขาตอบรับก็จัดงานแต่งงาน เขาเล่าทำนองหากสาวเจ้าไม่สนใจเขาตั้งแต่วันแรกที่เขาไปทานอาหาร  การเชิญเขาไปร่วมโต๊ะบ่อยๆอาจไม่เกิดขึ้น แต่อย่ายึดว่าทุกรายละ  อย่างที่บอกย่านนี้มันกว้างและหลากหลาย ส่วนกรณี ไม่เปิดหน้า 12 ปีนั้น  เอาลิงค์ไปอ่านดูครับ http://www.oknation.net/blog/sigree/2008/05/19/entry-4 บางราย 30 ปีนะเอ้า sigree แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 55 21:39:03 จากคุณ : nana5104 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 21:35:14

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องของวัฒนธรรมแต่ละชาติแต่ละศาสนา คงบอกไม่ได้หรอกครับว่าอะไรถูกอะไรผิด เป็นความเชื่อของเขาซึ่งไม่เหมือนกัน ส่วนเรื่องสถานภาพสตรีมุสลิมแต่ละชาติก็แตกต่างกัน บางประเทศที่เคร่งมาก ข้อห้ามก็จะเยอะหน่อย แต่บางประเทศที่ไม่เคร่งจัด ผู้หญิงก็มีอิสระที่จะทำอะไรได้มากพอสมควรครับ รวมถึงการเล่นกีฬา แม้แต่กีฬาที่ดูเหมือนว่าเป็นที่นิยมของผู้ชายมากกว่าอย่างฟุตบอล ผู้หญิงมุสลิมบางประเทศก็เล่นได้ครับ เพียงแต่ต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามหลักศาสนา (แต่ต้องไม่ขัดกับกฎฟีฟ่าด้วย) เช่น ใส่เสื้อกางเกงให้มิดชิดไม่เปิดเผยเนื้อตัว คลุมผมให้เรียบร้อย เป็นต้น จำได้ว่าเมื่อซักปีหรือสองปีก่อน ก็มีทีมชาติฟุตบอลของหญิงอิหร่านชุดเยาวชน มาแข่งขันที่เมืองไทย ยังได้ไปดูเลยครับ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 22:12:16

ความคิดเห็นที่ 17 ดำ เทาเข้ม น้ำตาลเข้ม เขียวเข้ม ส่วนใหญ่เค้าจะทำตามคัมภีร์ copyมาเช่น เมียของนบีแต่งตัวแบบนี้ เค้าก็จะแต่งตาม ผู้ชายด้วย เช่น นบีไว้หนวดทรงนี้ ย้อมหนวดเป็นสีแดง ใส่เสื้อสีนี้ บ้านทาสีนี้ เค้าก๊จะทำตาม ถือว่าได้บุญมาก จากคุณ : superkoy เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 22:29:36

ความคิดเห็นที่ 18 เหมือนกับว่าจะห้ามไม่ให้ผู้ชายเกิดกำหนัดทางเพศแล้วมาทำมิดีมิร้ายผู้หญิงหรือเปล่าคะ เหมือนเคยได้ยินมาอย่างนั้น จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 22:37:52

ความคิดเห็นที่ 19 ถือเป็นของสวยงามครับ เรือนร่างสตรี เป็นการปกป้องไม่ให้เกิดการลวนลามทางสายตา ลองอ่านกระทู้นี้นะครับ บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า พอเป็นมุสลิมปุ๊บ คนจะมองแย่ไปทันที ทั้งๆที่ ศาสนาอื่นก็มีสอนแบบนี้ ลองอ่านกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11756433/X11756433.html ความคิดเห็นที่ 224 ความคิดเห็นที่ 224 MsgStatus(Msv[224], 224); เมื่อกี้นั่งดูรายการ ตลาดสดสนามเป้า ที่ว่ากล่าวถึงอิสราเอล จะมาขออนุญาต ให้ความรู้เพิ่มเติม สาวไทยที่ออกรายการ ที่ไมใช่พิธีกรและคุณเจ้าของร้านอาหาร เราไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ว่าก็เคยเห็นหน้า รู้จักบ้าง เธอเป็นคนน่ารักมากกก ขอเล่านิดนึง ที่เค้าถามเรื่องการแต่งตัวของคนอิสราเอล สาวๆที่แต่งตัวมิดชิด เป็นพวกเคร่งศาสนา ใส่เสื้อปิด กระโปรงยาวมิดชิดเพราะตามหลักศาสนาห้ามเห็นหัวเข่า แหม หัวเข่าสาวนี่มันทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้หรือไง ต้องปิดกันปานนั้น แต่เรื่องโกนผม อันนี้ขอชี้แจงนิดนึง สาวยิืวที่เคร่งศาสนา ถ้ายังไม่แต่งงานจะไม่โพกผ้าจ้ะ แต่ถ้าแต่งงานแล้ว ก็โพกผ้า แต่จะไม่ถึงขั้นโกนผม เค้าแค่โพกผ้าเฉยๆ บางครั้งเค้าก็จะใส่วิกผม หลายคนที่ไม่ทราบอาจเข้าใจผิดว่าเค้าโกนผม เปล่า บ่ใจ๋ แต่เหตุผลก็คือ ทางหลักศาสนา เส้นผมของผู้หญิงถือว่าเป็นสิ่งสวยงามมาก ถึงผมจะแตกปลายก็เหอะ ก็ยังถือว่าสวยงาม เพราะฉนั้น เมื่อแต่งงานแล้ว จะเก็บไว้ให้แต่สามีของตนเห็นแต่เพียงผู้เดียว เวลาไปข้างนอกเขาจึงโพกผ้า หรือใส่หมวกทับไว้บ้าง แต่ก็มีคนที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่โพกผ้ากลับใส่วิกคลุมทับผมจริงอีกที อันนี้ก็ไม่ถือว่าผิดหลักศาสนา เพราะชายอื่นก็ยังไม่สามารถมองเห็นผมอันแท้จริงของเธอได้นั่นเอง คือผมจริง เก็บไว้ให้ผัวดู แต่ผมปลอมคนอื่นดูได้ไม่ผิด คงเหมือนกับผู้หญิงปกติ หน้าอกหน้าใจชั้น สามีชั้นเห็นได้คนเดียว เวลาออกไปนอกบ้าน ถึั้งชั้นจะใส่เสื้อในแบบดันทรง ให้อึ๋มมากมายแค่ไหน แต่สิ่งที่เธอเห็นก็ไม่ใช่ของจริงเนื้อใน เห็นแค่ภายนอกแล้วจินตนาการเอา เข้าใจยั้งงงง ....... แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 55 20:20:51   จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 55 20:10:08 ถูกใจ : คนพิการ, Siberian Inkie, Navarat.C, DrumzillA อันนี้เขาอธิบายค่อนข้างดี ถึงหลักศาสนายิว และมุสลิมก็คล้ายกันครับ ถือเป็นสิ่งควรปกปิด คล้ายหน้าอก หรือของสงวนนั่นเอง   ที่ว่าเพื่อป้องกันการลวนลามทางสายตา บางคนคิดว่าเว่อร์ ใครจะมามองเห็นเรือนผม เรือนร่างที่มีเสื้อผ้าด้วยสายตาหื่นกามขนาดนั้น ก็ขอบอกว่ามีครับ ลองอ่านดูจากคนไปเจอของจริง ความคิดเห็นที่ 247 MsgStatus(Msv[247], 247); มีคนถามว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนยิว คนไหนอาหรับ บอกตามตรง มันมีนิดดดดเดียว แต่อธิบายไม่ถูก แต่จริงๆแ้ล้ว เผ่าพันธุ์ตั้งแต่โบราณหลายพันปีก่อน ก็โคตะระ เดียวกัน ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เรางงกว่านั้น จำไม่ได้ใครเป็นใคร เพราะหน้าเหมือนกันหมด ชนิดที่ว่าเรางงมากกก เอ้า เมื่อกี้เพิ่งคุยกันมา อีกคนมาทักเรา ก็ยังไปปล่อยไก่ว่าอ้าวเมื่อกี้เมิงเพิ่งคุยกะกรูไปนี่หว่า แบบว่าสับสนปานนั้น แต่ยังดีที่จำผัวตัวเองได้ ไม่ไปกะผัวชาวบ้าน ฮ่าๆ จมูกโต ตาโต เหมือนกันไปโม้ดดดด ทำไงได้ ชั้นมาจากประเทศที่คนส่วนหนึ่งดั้งแหม่บ และชั้นก็เป็นอีแหม่บ หนึ่งในนั้นกะเค้าด้วย พอมาถึงนี่เห็นแต่จมูกโด่งปรี๊ด ปรับเลนส์ตารับกับความโด่งของดั้งเค้าไม่ได้ อันนี้ใช้เวลานิดนึงกว่าจะแยกแยะถูก คนอาหรับ ต่างจากยิวนิดเดียว ต้องอาศัยว่าสายตาชินก่อนแล้วจะพอแยกได้เอง แต่อย่างแรกที่อาหรับคล้ายๆกันคือสำเนียงการพูดภาษาฮีบรู ถ้าไม่แน่ใจว่าอาหรับหรือยิวต้องคุยกันด้วยฮีบรู เพราะพี่อาหรับออกเสียงบางตัวอักษรของภาษาฮีบรูไม่ชัด แต่ขอบอกว่า อาหรับหนุ่มๆ รุ่นเจี๊ยวหวานเนี่ย หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักมากกกก คม เข้ม แต่ถ้าสามารถหยุดอายุและหน้าตาน้องๆไว้ได้ไม่ให้โตขึ้นจะเริ่ดมากกก เพราะถ้าเริ่มมีอายุ จะเริ่มหน้าตาน่ากลัว ถ้าแก่ตัวไปนี่อาจคิดได้ว่าผัวชั้นเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเปล่าวะเนี่ย พี่แกหน้าโหดจริงๆนะ แอบนินทานิดนึง อาหรับที่อิสราเอล ส่วนมากที่เราเจอ มักทำงานก่อสร้าง งานใช้แรง แต่ที่เค้าทำงานดีๆ นิสัยน่ารักก็มี อาหรับที่นี่ หื่น มว๊ากกกกกกกก มองผู้หญิงเหมือนทะลุเสื้อผ้า ข่มขืนทางสายตา แบบว่าจะให้กรูท้องให้ได้ อะไรแบบนั้น แซวสาวแบบไม่มีมารยาท ยิวว่าไร้สมบัติผู้ดี เพราะพี่แกตรงเกินไป แต่อาหรับนี่ไม่ไหว เดินผ่านทีไร เอาปี๊ปคลุมหัวเรียกว่าไม่พอ คลุมแมร่งทั้งตัวปลอดภัยกว่า ใครมีสามีอาหรับประเทศอื่นอย่าถือสา น้องนินทาแค่อาหรับในอิสราเอลจ้ะ จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 55 22:34:15 ถูกใจ : Lalawolf, yorch, คนพิการ, sumalai_computer, Siberian Inkie, tus_sks อันนี้จากคนไปเจอของจริงมา ผมตามอ่านกระทู้เขาอยู่เพราะน่าสนใจ ผมเองก็สนใจวัฒนธรรมยิวมากด้วย แล้วก็เจอเรื่องของเพื่อนบ้าน คุณ motek เขาก็เลยเอามาเล่าต่อว่า ที่เขาคลุม เพื่อป้องกันพวก หัวใจเป็นโรคพวกนี้แหละครับ อย่าคิดว่าคนไทยไม่มี มันมีครับ แต่มันไม่แสดงออกแบบอาหรับ จะว่าไปมันก็มีพวกหื่น พวกหัวใจเป็นโรคทุกทีนั่นแหละครับ ฮิญาบคือ ตะฮาเราะฮฺ (ความสะอาดบริสุทธิ์) อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา ทรงทำให้เราได้เห็นถึง “ฮิกมะฮฺ (พระปรีชาญาณ)” ของพระบัญญั ติแห่งการสวมใส่ฮิญาบ “และเมื่อพวกเจ้าขอสิ่งใดจากพวกนาง (บรรดาภรรยาของท่านเราะสูล) ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน เช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกเจ้าและจิตใจของพวกนาง” (อัลกุรอาน 33:53) “ฮิญาบ” นำมาซึ่ง “ความบริสุทธิ์” ต่อหัวใจของทั้งผู้ศรัทธาชาย และผู้ศรัทธาหญิง เพราะ “ฮิญาบ” นั้นช่วยปกป้องคุ้มกัน “อารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำของหัวใจ” หากปราศจาก “ฮิญาบ” แล้ว หัวใจอาจจะเกิดความปรารถนา แต่ด้วย “ฮิญาบ” การล่อลวงของสายตาอันชั่วร้ายย่อมถูกขัดขวาง “ฮิญาบ” ช่วยขจัดความคิดอันชั่วร้ายและตัณหาที่อยู่ภายในหัวใจที่ป่วยเป็นโรค “หากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮฺ) ก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก (หรือด้วยน้ำเสียงที่หวาน) เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของผู้ที่มีโรคเกิดตัณหา แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่เหมาะสม (ด้วยมารยาทที่ดี)” อัลกุรอาน 33:32 เพื่อความเข้าใจน่ะครับ เพราะคนเราทุกคนไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดี พวกหื่น พวกเลว พวกที่ความชั่วในหัวใจ เรามองหน้ามันไม่รู้หรอก ว่าหัวใจมันคิดชั่วอะไรไว้ ดังนั้นการแต่งกายอันมิดชิดก็เป็นตัวช่วยหนึ่งไม่ให้สตรีโดนพวกใจชั่วพวกนี้ เอาเปรียบแล้วลวนลามทางสายตาได้ แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 55 08:11:50 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 08:11:11

ความคิดเห็นที่ 20 เพื่อนแม่ผมแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกา เคยไปอยู่ซาอุฯ(ถือวีซ่าอเมริกัน)  เค้าบอกเห็นคลุมมิดตัว แต่ข้างในอย่าให้พูดเลย วัยรุ่นบางคนแทบจะเรียกว่ามีแต่เสื้อในกับกางเกงใน แบบว่าเก็บกัดเต็มที่ ปล่อยไม่ได้ ก้เก็บไว้ข้างในแล้วกัน มีทั้ง สายเดี๋ยว(แบบตะวันตก) ขาสั้น เสื้อผ้าแบรนแนม แต่งหน้าทาปาก จัดๆทั้งนั้น จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 14:41:01

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบ 19 ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ก็ยังคิดอยู่ดีว่ามันเป็นการกดขี่ทางเพศ คนหื่นไม่ใช่ตูสักหน่อย แทนที่จะไปอบรมสั่งสอนคนที่มีปัญหา ดันมาบังคับตูเสียนี่ จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 15:35:12

ความคิดเห็นที่ 22 คนนอกกับคนในก็มองต่างมุมกันแหละครับ อย่างผมถ้าไม่สามารถเห็นหน้าภรรยาได้เลยก็ไม่รู้จะแต่งไปทำไมเหมือนกัน แต่คนในสังคมนั้น วัฒนธรรมนั้นที่เคร่งครัดจริง ๆ เขาก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ทุกสังคมก็มีทั้งคนเคร่งและไม่เคร่ง คนพุทธที่ยังไม่บวชแต่เคร่งมาก ๆ ก็ถือศีลแปดศีลสิบไปโน่นเลยก็มี อีกอย่างเรื่องศาสนาใครที่ไม่ศรัทธาก็ไม่ควรไปวิจารณ์เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา และการมองต่างมุมกันแต่แรกไม่ว่าอย่างไรก็นำไปสู่การประนีประนอมได้ยาก จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 17:57:20

ความคิดเห็นที่ 23 กฏ ระเบียบ ข้อบัญญัติในศาสนา แต่ละศาสนา มีที่มาที่ไปและมีเหตุผลเสมอ ทั้งนี้มาจากแหล่งที่มาของศาสนา ซึ่งมีประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ต่างกัน ศาสนาเป็นเรื่องของศรัทธา บางคนเอาศาสนามาเป็น"ข้ออ้าง" ในการกระทำของตนเอง  ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือบิดเบือนความหมายไปได้ ในเมื่อศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำความดี ก็ขอให้เคารพในศาสนา และ ความศรัทธาของผู้อื่น ศาสนาอื่นด้วยจะดีกว่า จากคุณ : ยัยจอมป่วน เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 18:31:00

ความคิดเห็นที่ 24 บังคับทั้งคู่ครับ ก่อนที่จะให้ผู้หญิง แต่งตัวมิดชิด ก็ให้ผู้ชายลดสายตาและไม่มองเสียก่อน แต่ก็นั่นแหละครับ มันต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะบางคนจิตใจมันควบคุมไม่ได้ก็ต้องกันผู้หญิง และผู้หญิงบางคน ก็ชอบที่จะโชว์อวดเนื้ออวดหนัง ก็ต้องกันทั้งสองฝ่ายครับ กันหมดล่ะครับ ทั้งพวกบ้ากาม ทั้งพวกแรด จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 11:25:55

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ ^ ตอบ Carroth คคห 19 และ 24 ถ้าอยากรู้ว่ากดขี่หรือไม่กดขี่ทางเพศก็ลองทำง่ายๆแบบนี้ดู 1. อนุญาตให้ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในประเทศมุลลิมทั้งหมดประกาศต่อชาวโลกว่า "ถ้าเลือกได้พวกเธออยากหรือไม่อยากที่จะเกิดเป็นผู้หญิงมุสลิมในประเทศมุสลิม และเพราะอะไร" 2. ให้ผู้หญิงที่ไม่ใช่มุสลิมทั้งหมดในโลก แสดงความคิดเห็นต่อชาวโลกว่า "พวกเธออยากหรือไม่อยากที่จะไปเกิดเป็นผู้หญิงมุสลิมในประเทศมุสลิม และเพราะอะไร" แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากดขี่หรือไม่กดขี่ทางเพศโดยฟังจากเสียงส่วนใหญ่ของประชากรทั้งโลก! ไม่ใช่ได้แต่จะมาอ้างกันลอยๆใช้ lame logic (ตรรกะป่วย) พูดเฉไปเฉมา ให้อ่านแล้วเวียนหัวเปล่าๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 12:24:51

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ Carroth พูดว่า "บังคับทั้งคู่ครับ ก่อนที่จะให้ผู้หญิง แต่งตัวมิดชิด ก็ให้ผู้ชายลดสายตาและไม่มองเสียก่อน แต่ก็นั่นแหละครับ มันต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะบางคนจิตใจมันควบคุมไม่ได้ก็ต้องกันผู้หญิง" ^ คุณเข้าใจอะไรผิดๆซะแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ใช้ sexual energy (พลังที่ใช้สืบพันธ์) สร้างมนุษย์ขึ้นมา และเต๋ากับเซนก็สอนให้เราใช้ sexual energy เป็นพลังในการสร้างความเปล่งปลั่งในชีวิต และเป็นพลังรักษาโรค เรา download หนังโป๊มาดูบ่อยๆ เพื่อให้ตัวเองมีความรู้สึกทางเพศมากๆ เพราะมันเป็นการกระตุ้นระบบในร่างกายเราให้ผลิต sex hormones ขึ้นมามากๆ เพื่อคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล คุณเคยไปในประเทศแถบยุโรปที่มีพวกมุสลิมไปท่องเที่ยวกันบ้างหรือไม่ล่ะ ถ้าเคยคุณจะเห็นว่ามีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากออกไปท่องเที่ยวกันเพื่อไปมี free sex กับดื่มสุรา กันตั้งมากๆ ใครมีเงินก็ซื้อความสุขได้ ใครไม่มีเงินก็ต้องอยู่ตามกฎระเบียบแต่ในบ้านของตัวเอง ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ธาตุแท้ของมนุษย์ ก็คือชอบ sex และยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ ยิ่งผิดธรรมชาติ เราเคยคุยกับโสเภณีฝรั่งที่ให้บริการผู้ชายมุสลิม พวกเธอเล่าให้ฟังว่าผู้ชายมุสลิมส่วนใหญ่หื่นกระหายกามจนถึงขั้นทำอะไรวิปริตกับพวกเธอหลายๆอย่าง! ผู้หญิงมุสลิมรวยๆก็ไปมี free sex ต่างประเทศกันทั้งนั้น ตกลงข้อห้ามนี้มันเอาไว้ห้ามคนจนเท่านั้นหละ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 12:37:42 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 12:31:08

ความคิดเห็นที่ 27 แม่ยายเราซึ่งเป็นฝรั่ง ตอนเลิกกับสามีฝรั่ง เธอเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมุสลิมซึ่งมาจากอียิปต์ และเรารู้จักผู้ชายมุสลิมคนนี้ด้วย เรารู้จากเขาว่าประเพณีพวกเขาไม่เห็นผู้หญิงมีค่าเลยนะ วิธีที่ผู้ชายจะหย่าขาดจากเมีย (ประเทศอียิปต์นะ ไม่รู้ประเทศอื่นเป็นไง) มันง่ายมากๆ แค่ไปจุดธูปกลางลานแล้วบอกว่า "ข้าไม่รับเจ้าเป็นภรรยาอีกต่อไป ให้หย่าขาดจากกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป" แค่นี้ผู้ชายก็ไล่เมียตัวเองไปได้แล้ว! แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 12:49:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 12:44:10

ความคิดเห็นที่ 28 ^ ^ ^ ^ ^ แต่ในทางกลับกันถ้าผู้หญิงต้องการหย่าจากสามีในประเทศมุสลิมแล้วสามีไม่ยอม ทำได้ยากมากๆ เพราะผู้ชายถือว่า "ผู้หญิงเป็นสมบัติของเขา (แม้ว่าผู้ชายจะไม่ส่งเสียให้ผู้หญิงก็ตาม)" ไปดูตัวอย่างผู้หญิงคนนี้เธอเขียนมาขอคำปรึกษา Hi I’m from Melbourne Australia. I’m a Muslim Shia and I’ve been married for 14 years. I have been separated NOW for 4 years and am finding hard to get a Muslim Shia divorce. All the sheiks here won’t give me one because it has to come from my husband, and what he says goes. They all know how he is. Islam is a man’s religion. I say it’s not fair. I have 3 kids and they live with me. I get no financial support, which I don’t want and yet my husband is making my life hell. I lived in hell for 13 years. He says, he will never divorce me so he can ruin me. He says he will never let me remarry again. Why is it so hard for a woman to get divorced? I left him because I had no financial support from him. I worked all my life and he was very verbally abusive even in front of the children. My daughter suffered depression and was seeing a counselor at the age of 8. I’m 34 years of age and I’m entitled to find love and HAPPINESS.  Please! I’m begging you to help me get out of this hell and help me get my divorce please. Sara Hi Sara, This is a strange. You have given all the power to your husband and a bunch of mullahs and are complaining that you are living in hell.  This is like a caged bird complaining about her captivity when the door of the cage is open. You live in Australia. Why do you have to go to the Sheikhs to get divorce? Why the divorce has to be Islamic?  Go to a divorce lawyer and tell her you want to divorce your husband in accordance with the Australian law.  Declare yourself a non-Muslim and you are no longer under anybody’s control. If you were living in an Islamic country, where the door of the cage is closed and locked, I would understand your plight. But I don’t understand why in Australia you have to cow-tow to Islamic laws? The Sheikhs don’t have any control over you, unless you give it to them. In Islamic countries, where the Sheikhs control the government, the situation is different. If you live in the west, all you have to do is say sayonara to Islam and claim your independence and freedom. If you fear your abusive husband, go to the police and seek protection. Maybe you have to change your city or even your name. Start dating . Check out www.plentyoffish.com. The sea is full of fish. Make sure you don’t date a Muslim again. Life is better when it is shared with a loving partner. Good luck, Ali Sina Hi Ali sina Sorry I forgot to mention that I have been divorced Australian law. But how can I get it islamically because he will put my family in shame by spreading rumors that I have committed adultery if I did meet someone and my ex husband will continue giving my life hell and will ruin my name forever as I’m very well known and respected by many because of my honesty, purity and me as a human itself. I have many friends that know what kind of man he is and what life I had suffered with him for many years. My kids are very happy and I work full time to support myself and my beautiful children. I am happy doing it. PLEASE CAN YOU HELP ME get a divorce islamically so I can get out of this whole and away from him and this whole mans religion itself! Sarah Dear Sarah, Once you divorce according to the Australian law, you are divorced.  You are giving legitimacy to a cult that does not deserve any.  Islam is a lie. Unless you had a civil marriage as well, your Islamic marriage was null to begin with. I can’t ask the Shiekhs to grant you your Islamic divorce. What I can do is to persuade you not to give power to them and to your husband to destroy your life. You are divorced in front of the law and that is all that counts. If your community does not understand, leave it. You live in Australia. Find new friends who are supportive and understanding. Find a good church that has support groups. Some years ago I found a Mennonite church that was not very far from me. I used to go there to meet people and to socialize. I liked the choirs and even the sermons. I attended also a bible study group. I was more knowledgeable about the Bible than anyone else. No one knew that secretly I was a non-believer. There were support groups for divorced people. After the lecture we used to meet in a large hall. Food was simple and cheep. But it was an occasion to sit with other humans and interact.  I moved and I have not tried to find a church again.  I strongly recommend you do so. If you have small children, they need also to have that special experience that is only possible when you are a child. Bahais also have good Sunday classes for children and they are open to anyone. Stop empowering your husband, the sheikhs, and the Muslim community. We make ourselves victims of our own false beliefs.  Do I give a damn what Muslims think about me? Of course not!  Eventually they will come to see they are victims and I am free. Your problem is not your husband. Your problem is your own fears. You have to work on yourself. Imagine Islam as a shackle on your feet. Now imagine you are given a key. Open those shackles and throw them away. Now see yourself free, with no fear from people and what they say. Our backward Middle Eastern cultures (note that I did not say Islamic) are shame based. All that matters to us is the image. How others think of us? What they say behind our back? How can we keep up the appearances and make others see us as upright dignified people? Even if we feel like sh*t inside, we want to project an image of grandeur. This is our sickness. It is a personality disorder.  Our cultures are narcissistic. The westerners have based their culture on guilt. What is important to them is to feel good about themselves. They don’t give a damn what others think about them. As long as they are content with their conscience they are happy. As the result they don’t put their noses into each other’s businesses. (เราชอบ 2 วรรคสุดท้ายนี้ที่ Ali เขียนมากๆเลยหละ มันทำให้ผู้คนฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า "ความเชื่่อบางอย่างถ้าเราไม่สลัดมันออกไป ชีวิตเราก็ไม่เป็นสุข ไม่มีอิสระ") Cultural taboos weigh on us heavily. Only we can get rid of them. I have done it to a great extent, but not completely. It is not easy. I am a thinker and have an analytical mind. I always challenge my convictions, beliefs and feelings. You can live with all these archaic beliefs that have been loaded on you through your upbringing or you can use your intelligence, find a more civilized community, find new friends that are liberated and start a new life. It is going to be hard to change, but at least allow your children to have that chance. They don’t have to suffer the way we suffer from mores of our primitive cultures. Ali แหล่งที่มา http://alisina.org/how-can-i-divorce-my-muslim-husband/ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 18:03:35 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 17:57:02 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 17:54:35 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 17:50:04

ความคิดเห็นที่ 29   ถ้าตั้งคำถามโดยเอาอารมณ์ฝ่ายต่ำไปตั้ง มันก็ต้องได้ผลตามอารมณ์ฝ่ายต่ำนั้นอยู่แล้ว เหมือนเอา คำถามไปถามว่า 1. นักเรียนอยากทำการบ้านไหม 2. อยากให้มีช่องฉายหนังโป๊ 24 ชั่วโมงหรือเปล่า มันเป็นคำถามที่ไม่รู้จักตั้งขึ้นมาทำไม เพราะมันไม่ได้ประเทืองปัญญาอะไร แล้วคำถามประเภทนี้ก็เป็นคำถามที่เรียกได้ว่า ไม่เกิดประโยชน์ในการใช้ปัญญาครับ เพราะถ้าถามผู้หญิงมุสลิม ผู้หญิงมุสลิมก็ต้องตอบว่า เธอยินดี ที่จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ และสิ่งที่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว หรือคุณจะไปถามคำถามนี้ ในห้องศาสนา ถามกับสตรีมุสลิมเองก็ได้ จะลองไหม ถามเป็นรายบุคคลเลย เช่นกันถ้าถามคนที่ไม่ใช่มุสลิม เขาก็ต้องตอบว่า ไม่อยากอยู่เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ผมไม่ทราบว่าคุณคิดก่อนที่จะตอบหรือเปล่าครับ ส่วนอันนี้ ผมขอเป็นหลักฐานไว้เลยนะครับ ความคิดเห็นที่ 27 MsgStatus(Msv[27], 27); แม่ยายเราซึ่งเป็นฝรั่ง ตอนเลิกกับสามีฝรั่ง เธอเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมุสลิมซึ่งมาจากอียิปต์ และเรารู้จักผู้ชายมุสลิมคนนี้ด้วย เรารู้จากเขาว่าประเพณีพวกเขาไม่เห็นผู้หญิงมีค่าเลยนะ วิธีที่ผู้ชายจะหย่าขาดจากเมีย (ประเทศอียิปต์นะ ไม่รู้ประเทศอื่นเป็นไง) มันง่ายมากๆ แค่ไปจุดธูปกลางลานแล้วบอกว่า "ข้าไม่รับเจ้าเป็นภรรยาอีกต่อไป ให้หย่าขาดจากกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป" แค่นี้ผู้ชายก็ไล่เมียตัวเองไปได้แล้ว! แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 12:49:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 12:44:10 ผมขอหน่อยว่า มันเป็นประเพณี การกระทำ หรือเป็นหลักการของใครครับ จุดธูปกลางลานแบบที่คุณว่า เพราะกรณีนี่ ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่า ไม่คุณ ก็แม่ยายคุณ โกหก ครับ ส่วนเรื่อง sex energy นั้น มุสลิมไม่ปฏิเสธครับ มุสลิม หรืออิสลาม สนับสนุนการแต่งงานครับ เรื่องเพศเป็นเรื่อง ธรรมชาติของมนุษย์ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องผิดครับ และผมก็ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดครับ แต่การจะให้มองผ่านทะลุเสื้อ ผ้า หรือเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ อันนั้นมันก็ไม่ต่างจากสัตว์หรอกครับ ถ้าใครจะมองว่า มนุษย์คือสัตว์ประเภทหนึ่ง เลยอยากทำตัวแบบสัตว์ ที่มันหื่นไม่รู้เวลา ผสมพันธุ์ไม่เลือกหน้า หรือ เอาเรื่องเพศมากระตุ้นโดยอ้างความอ่อนวัย ผมก็คงไม่เอาด้วยหรอกครับ เพราะกฎเกณฑ์ ความเหมาะสม และระเบียบ มันทำให้มนุษย์เราดีกว่าสัตว์ ถ้าไม่มีตัวนี้ มนุษย์ก็จะแย่กว่าสัตว์เสียอีก เหมือนกับการกินอาหาร การกินอาหารเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่เราทำกันอยู่ แต่มนุษย์นั้น มีการกินที่ปราณีต และมีแบบแผนกว่าสัตว์ เราไม่กินของเน่าเสีย เราไม่กินอุจาระตัวเอง เราไม่ลักขโมยของใครกิน หรือเราไม่ใช้กำลังเข้าแย่งชิงอาหารจากผู้อื่นนะครับ แต่ถ้าเราไม่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ มันก็วุ่นวาย และก็เช่นกัน เราก็คงแย่กว่าสัตว์อีก ตอนนี้ ผมเห็นคำพูดของคุณ ถ้าไม่แม่ยายเล่า ก็อ้างว่าฟังจากโสเภณี แต่มันไม่ได้มีสาระ หรือมีความหนักแน่นอะไรสำหรับคำพูดคุณเลยว่า มุสลิมผู้ชาย วิปริตอย่างนั้น มุสลิมผู้หญิง วิปริตอย่างนี้ อ้างแบบไม่มีที่มาที่ไปทั้งนั้น แต่ที่ผมเห็นๆ ก็คือ สังคมที่ไม่ใช่สังคมมุสลิม เช่นประเทศไทย เป็นแหล่งรวมความวิปริตต่างๆ สรุปคือ ยิ่งเปิด คนก็ยิ่งเลยเถิด ไม่มีความอาย ไม่มีการละอายต่อความชั่ว นี่ถึงกับบอกว่า ตัวเองเปิดหนังโป๊ดูบ่อยๆ เพื่อให้อ่อนวัย อันนี้ผมว่ามันไม่ธรรมดาแล้วล่ะครับ เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติครับ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำอะไรกันมักง่าย หรือการที่จะมาสมสู่ หรือการที่จะมาแสดงออกให้ดูกันแบบไร้ยางอายแบบนี้ครับ โอเค ถ้าคณมองว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเปิดเผยซะขนาดนั้น มันก็เป็นเรื่องของคุณแล้วล่ะครับ แต่อิสลาม ถือว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องที่ต้องควบคุม และวางกรอบให้ถูกต้อง วางอยู่บนพื้นฐานของการรับผิดชอบ เพราะการมีเพศสัมพันธ์นั้น ก็เพื่อการสืบพันธุ์ นั่นคือธรรมชาติ และเป้าหมาย ไม่ควรเอาเป้าหมายโยนทิ้ง แล้วเอามาทำเป็นเรื่องบันเทิงแบบผิดศีลธรรมครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 18:42:20

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 26 . . . . คุณเคยไปในประเทศแถบยุโรปที่มีพวกมุสลิมไปท่องเที่ยวกันบ้างหรือไม่ล่ะ ถ้าเคยคุณจะเห็นว่ามีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากออกไปท่องเที่ยวกันเพื่อไปมี free sex กับดื่มสุรา กันตั้งมากๆ ใครมีเงินก็ซื้อความสุขได้ ใครไม่มีเงินก็ต้องอยู่ตามกฎระเบียบแต่ในบ้านของตัวเอง ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ธาตุแท้ของมนุษย์ ก็คือชอบ sex และยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ ยิ่งผิดธรรมชาติ เราเคยคุยกับโสเภณีฝรั่งที่ให้บริการผู้ชายมุสลิม พวกเธอเล่าให้ฟังว่าผู้ชายมุสลิมส่วนใหญ่หื่นกระหายกามจนถึงขั้นทำอะไรวิปริตกับพวกเธอหลายๆอย่าง! -------------------------------------------------- ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองฝรั่งหรอกครับ ไปดูแถวแหล่งท่องราตรีในเมืองไทยก็ได้เห็นมากมายแล้ว ทั้งพัฒน์พงษ์  พัทยา และแหล่งท่องเที่ยวทางชายแดนใต้ ทุกเย็นวันศุกร์ จะมี นักท่องเที่ยวจากประเทศติดกันทางใต้ พากันเข้ามามากมาย ทั้งจีน ทั้งแขก แล้วพวกสาวบริการทั้งหลายที่นั่น เขายินดีต้อนรับ นักเที่ยวเชื้อชาติใด รังเกียจเชื้อชาติใด ไปทำแบบสอบถามวิจัยได้เลย ถ้าต้องการข้อมูลอ้างอิง ทางวิชาการ จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:40:14

ความคิดเห็นที่ 31 ตอบ คุณ Carroth คคห 29 ที่คุณบอกว่า "ถ้าตั้งคำถามโดยเอาอารมณ์ฝ่ายต่ำไปตั้ง มันก็ต้องได้ผลตามอารมณ์ฝ่ายต่ำนั้นอยู่แล้ว"W ^ ก่อนที่จะไปให้ไกลกว่านี้โปรดอธิบายแบบผู้มีปัญญาหน่อยสิว่า "การถามสตรีทั่วโลกว่าอยากหรือไม่อยากที่จะเกิดเป็นผู้หญิงมุสลิมในประเทศมุสลิม" มันกลายเป็นปัญหาใฝ่ต่ำอย่างไร? ถ้าประชากรส่วนใหญ่ทั่วโลกตอบว่า "ไม่อยากเป็นสตรีมุสลิมในประเทศมุสลิม" คุณจะตีความว่าพวกเขาเป็น "คนใฝ่ต่ำงั้นหรือ?" ^ สรุปแล้วใครไม่อยากปฏิบัติตามกฎของคุณ คุณก็ว่าพวกเขาใฝ่่ต่ำ นี่คุณใช้ตรรกะแบบไหนมาคิดเนี่ย? ......................................................................... ที่คุณพูดว่า "แต่การจะให้มองผ่านทะลุเสื้อ ผ้า หรือเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ อันนั้นมันก็ไม่ต่างจากสัตว์หรอกครับ ถ้าใครจะมองว่า มนุษย์คือสัตว์ประเภทหนึ่ง เลยอยากทำตัวแบบสัตว์ ที่มันหื่นไม่รู้เวลา ผสมพันธุ์ไม่เลือกหน้า" ^ นี่คุณกำลังด่าคนทั้งโลกที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าแบบมุสลิมนะ คุณมีสิทธิ์อันใด แม้กระทั่งโคตรพ่อโคตรแม่คุณที่เป็นบรรพบุรุษไทย สตรีก็เปลือยอก เป็นของธรรมดา คุณจะว่าไง พวกเขาเป็นสัตว์งั้นหรือ? ........................................................................ ที่คุณพูดว่า "หรือ เอาเรื่องเพศมากระตุ้นโดยอ้างความอ่อนวัย ผมก็คงไม่เอาด้วยหรอกครับ" นั่นมันเรื่องของคุณ แต่ถ้าคนอื่นเขาอยากมีอิสรภาพ มันก็เป็นสิทธิของพวกเขา คุณไม่มีอำนาจอันใดที่จะไปเขียนกฎระเบียบ   ไปดูคำพูดใต้รูปทีเว็ปนี้ http://alisina.org/how-can-i-divorce-my-muslim-husband/ คนที่เป็นใหญ่ในกลุ่มมุสลิมพูดว่าอะไร พวกเขาพูดว่า We rule as long as you believe. ตกลงพวกคุณเป็นใหญ่ตราบเท่าที่คนอื่นเขาเชื่อ แต่คนอื่น (ที่คิดเป็นและสลัดความเชื่อเหล่านี้ไปเพื่อชีวิตที่ดีกว่า สดใสกว่า) เขาไม่เชื่อคุณก็เลยบอกว่า คนไม่เชื่อเป็นสัตว์ใช่หรือไม่? ......................................................................... ที่คุณพูดว่า "แต่ที่ผมเห็นๆ ก็คือ สังคมที่ไม่ใช่สังคมมุสลิม เช่นประเทศไทย เป็นแหล่งรวมความวิปริตต่างๆ สรุปคือ ยิ่งเปิด คนก็ยิ่งเลยเถิด ไม่มีความอาย ไม่มีการละอายต่อความชั่ว นี่ถึงกับบอกว่า ตัวเองเปิดหนังโป๊ดูบ่อยๆ เพื่อให้อ่อนวัย อันนี้ผมว่ามันไม่ธรรมดาแล้วล่ะครับ" ^ นี่คุณกำลังด่าบรรพบุรุษไทยนะ เพราะพวกเขาก็เปลืออกกัน แล้วทำไมคุณถึงมาโยนที่ไทยว่า "วิปริตต่างๆ" ถ้าเราอยากจะดูหนังโป๊มันจะหนักหัวบิดาใคร แล้วถ้าจะดูซะอย่างมันเป็นความชั่วได้ไง? คุณเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า female genital mutilation หรือเปล่า? มันคือการทรมาณสตรีโดยใช้ตัดปู้ยี่ปู่ยำอวัยวะเพศสตรี เช่นตัด clitoris ผู้หญิงออกไป หรือแม้กระทั่งเย็บช่องคลอดสตรีเพื่อไม่ให้ร่วมเพศกับใครจนกว่าจะแต่งงาน การป้องกันการมี sex แบบนี้ อันไหนมันวิปริตกว่ากัน ถ้าเที่ยบกับบรรพบุรุษไทยที่เปลือยอก หรือเทียบกับสาวสมัยใหม่ (ที่ไม่ใช่มุสลิม) ที่แต่งตัวโชว์เรีอนร่างสวยๆ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 00:02:57 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:46:00

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ ตอบ คุณ Carroth คคห 29 (ต่อ) ที่คุณพูดว่า "เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติครับ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำอะไรกันมักง่าย หรือการที่จะมาสมสู่ หรือการที่จะมาแสดงออกให้ดูกันแบบไร้ยางอายแบบนี้ครับ โอเค ถ้าคณมองว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเปิดเผยซะขนาดนั้น มันก็เป็นเรื่องของคุณแล้วล่ะครับ แต่อิสลาม ถือว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องที่ต้องควบคุม และวางกรอบให้ถูกต้อง วางอยู่บนพื้นฐานของการรับผิดชอบ เพราะการมีเพศสัมพันธ์นั้น ก็เพื่อการสืบพันธุ์ นั่นคือธรรมชาติ และเป้าหมาย ไม่ควรเอาเป้าหมายโยนทิ้ง แล้วเอามาทำเป็นเรื่องบันเทิงแบบผิดศีลธรรมครับ" ^ ตกลงพวกคุณความคุมด้วยวิธีนี้ใช่ไหมที่เรียกว่า  female sexual mutilation คือทำร้ายสตรีโดยการ ทั้งตัด clitoris และหรือเย็บช่องคลอดเพื่อไม่ให้ร่วมเพศกับชายใดจนกว่าจะแต่งงาน ไปดูวิดิโอ แล้วจะรู้ว่าผู้หญิงมุสลิมถูกล่วงละเมิดทางเพศมากขนาดไหน ถ้าใครไม่อยากอยู่ภายใต้กฎแบบนั้นซึ่งเป็นกฎของพวกสัตว์ ก็หมายความว่าผู้หญิงพวกนั่นไม่ใช่สัตว์หรอก ดังนั้น คำถามที่อยากจะถามประชากรทั่วโลกว่า "ใครอยากหรือไม่อยากเกิดเป็นผู้หญิงมุสลิมในประเทศมุสลิม และเพราะอะไร" ^ มันไม่ใช่คำถามใฝ่ต่ำหรอก แต่มันเป็นคำถามใฝ่สูง ที่มีเป้าหมายเพื่่อหยุดยั้งความเป็นสัตว์ป่าที่กระทำการทารุณกรรมสตรีอย่างโหดร้าย แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:59:17 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:57:50 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:52:02 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:48:49

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบ ตอบ คุณ Carroth คคห 29 (ต่อ) คุณพูดว่า "เพราะการมีเพศสัมพันธ์นั้น ก็เพื่อการสืบพันธุ์ นั่นคือธรรมชาติ และเป้าหมาย ไม่ควรเอาเป้าหมายโยนทิ้ง แล้วเอามาทำเป็นเรื่องบันเทิงแบบผิดศีลธรรมครับ" ^ นี่เราไม่รู้ว่าคุณโง่จริงๆหรือแกล้งโง่นะเนี่ย เฮ้อ! คุณพูดเข้าข้างตัวเอง ที่เป็นผู้ชาย! โดยใช้ lame logic (ตรรกะที่ป่วย) อย่างแรง ผู้หญิงชาวมุสลิมบางประเทศต้องทำ female sexual mutilation  คื่อทั้งตัด clitoris ออกไปแล้วเย็บช่องคลอด (เหลือรูฉี่ไว้นิดเดียว กับเหลือรูให้เลือดประจำเดือนออกไว้นิดเดียว) เพื่อไม่ให้ร่วมเพศก้บชายใดได้จนกว่าจะแต่งงาน "มันแค่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงได้รับความบันเทิงทางเพศ แต่มันไม่ได้ห้ามผู้ชายไม่ให้ได้รับความบันเทิงทางเพศ" ^ ตกลงกฎระเบียบแบบนี้เป็นการกดขี่สตรี ใช่หรือไม่? ตกลงสตรีมีความบันเทิงทางเพศ "ผิดศีลธรรม" แต่ผู้ชาย (ที่เถียงโง่ๆดักดานอย่างคุณ) บันเทิงทางเพศ "ไม่ผิดศีลธรรม" ประหลาดดีแฮะ ใช้อวัยวะส่วนไหนคิดเนี่ย? จะยังไงก็ให้ไปดูคำพูดใต้รูปทีเว็ปนี้ http://alisina.org/how-can-i-divorce-my-muslim-husband/ คนที่เป็นใหญ่ในกลุ่มมุสลิมพูดว่าอะไร พวกเขาพูดว่า We rule as long as you believe. ตกลงพวกคุณเป็นใหญ่ตราบเท่าที่คนอื่นเขาเชื่อ แต่คนอื่น (ที่คิดเป็น ใช้เหตุผลเป็นอย่างชาญฉบาด จนะสลัดความเชื่อเหล่านี้ไป เพื่อชีวิตที่ดีกว่า สดใสกว่า) เขาไม่เชื่อคุณก็เลยบอกว่า คนไม่เชื่อเป็นสัตว์หรือผิดศีลธรรม ตกลงการอ้างศึลธรรมคุณอ้างเพื่อกดขี่สตรีเพศ ใครอ่านแล้วลองช่วยๆกันไล่ลำดับเหตุผลกันให้ดีๆ ถ้าจะให้ดีเราจะแปลมันเป็นภาษาอังกฤษแล้วให้คนทั่วโลกช่วยกันแสดงความคิดเห็น จะได้ตัดสินกันได้ซะทีว่า "กฎระเบียบพวกนี้กดขี่หรือไม่กดขี่สตรีเพศ" แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 00:16:25 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 00:13:12

ความคิดเห็นที่ 34 เอารูปจากเวปนี้ http://alisina.org/how-can-i-divorce-my-muslim-husband/ มาแปะไว้ให้ดู We rule as long as you believe. จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 00:20:16

ความคิดเห็นที่ 35 เราเคยเห็นหญิงสาวใส่เสื้อเอวลอยในชุดอะบาย่าดำ ที่สนามบิน ตอนนั้นเธอเข้าไปถอดในห้องน้ำ   เมื่อเข้าสู่แผ่นดินไทย คือตอนเข้าเป็นอะบาย่าดำ  แต่ออกมามาเป็นเสื้อเอวลอย  กางเกงยีนส์รัดรูป  แว่นตาดำ เดินออกไปจากห้องน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอสวยมากค่ะ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 01:15:32

ความคิดเห็นที่ 36 ก่อนที่จะไปให้ไกลกว่านี้โปรดอธิบายแบบผู้มีปัญญาหน่อยสิว่า "การถามสตรีทั่วโลกว่าอยากหรือไม่อยากที่จะเกิดเป็นผู้หญิงมุสลิมในประเทศมุสลิม" มันกลายเป็นปัญหาใฝ่ต่ำอย่างไร? ผมว่าผมพิมพ์ไปชัดเจนแล้วนะครับว่า เหมือนเอา คำถามไปถามว่า 1. นักเรียนอยากทำการบ้านไหม 2. อยากให้มีช่องฉายหนังโป๊ 24 ชั่วโมงหรือเปล่า มันเป็นคำถามที่ไม่รู้จักตั้งขึ้นมาทำไม เพราะมันไม่ได้ประเทืองปัญญาอะไร คำถามประเภทที่ว่า อยากอยู่ในกฎเกณฑ์ไหม หรือ อยากมีระเบียบไหม ถ้าไม่เรียกฝ่ายต่ำไหมล่ะครับ หรือคุณไม่รู้ว่าที่คุณถามนั้น ประเทศมุสลิมเป็นประเทศที่มีกฎระเบียบมากกว่า ประเทศอื่นๆ แล้วดูหรือเปล่าตัวเองถามอะไร ก็ถามกันเห็นๆ ว่า อนุญาตให้ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในประเทศมุลลิมทั้งหมดประกาศต่อชาวโลกว่า "ถ้าเลือกได้พวกเธออยากหรือไม่อยากที่จะเกิดเป็นผู้หญิงมุสลิมในประเทศมุสลิม และเพราะอะไร" ก็เหมือนถามนักเรียนว่าอยากอยู่ในระเบียบไหม? ไม่เรีนกฝ่ายต่ำแล้วเรียกอะไร เมื่อเป็นมุสลิมแล้วถามว่าอยากอยู่ในระเบียบหรือเปล่าแบบนี้? เป็นผมต่างหากที่ต้องถามว่า คุณเอาอะไรคิด เอาตรรกะประเภทไหนมาตั้งคำถามแบบนี้ ผมว่าผมยกตัวอย่างชัดเจนแล้วนะครับ คุณควรอ่านเสียก่อน นี่คุณกำลังด่าคนทั้งโลกที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าแบบมุสลิมนะ คุณมีสิทธิ์อันใด แม้กระทั่งโคตรพ่อโคตรแม่คุณที่เป็นบรรพบุรุษไทย สตรีก็เปลือยอก เป็นของธรรมดา คุณจะว่าไง พวกเขาเป็นสัตว์งั้นหรือ? โคตรพ่อโคตรแม่ใครผม ไม่รู้ แต่โคตรพ่อโคตรแม่ผม สอนมาให้รู้จักสำรวมในเรื่องเพศ และการเปลือยอก หรือการที่ไม่ใส่เสื้อของคนโบราณ ไม่ใช่เรื่องในการกระตุ้นทางเพศครับ แต่เป็นการแต่งกายปกติ ไม่ใช่เพื่อยั่วยุ ผมบอกแล้วว่า ""แต่การจะให้มองผ่านทะลุเสื้อ ผ้า หรือเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ อันนั้นมันก็ไม่ต่างจากสัตว์หรอกครับ ถ้าใครจะมองว่า มนุษย์คือสัตว์ประเภทหนึ่ง เลยอยากทำตัวแบบสัตว์ ที่มันหื่นไม่รู้เวลา ผสมพันธุ์ไม่เลือกหน้า" หรือโคตรพ่อโคตรแม่คุณสอนว่า การเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ มันเป็นเรื่องสมควรครับ โคตรพ่อโคตรแม่คุณสอนแบบนี้หรือเปล่า ก็ถ้าโคตรพ่อโคตรแม่คุณสอนแบบนั้น ผมก็คงไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะเมื่อ คุณมันได้รับการปลูกฝัง กับการสมสู่แบบสัตว์อย่างนี้ ตั้งแต่สมัย โคตรพ่อโคตรแม่ของคุณ แต่บรรพบุรุษคนไทยของผมสอนให้รู้จักการสำรวมในเรื่องเพศ และให้รู้จักควบคุมเรื่องเพศให้อยู่ในกรอบ ไม่ใช่มองผู้หญิง หรือมองอะไรโป๊ๆ เพื่อเพิ่มพลัง หรือเพื่อบันเทิงอย่างเดียว "หรือ เอาเรื่องเพศมากระตุ้นโดยอ้างความอ่อนวัย ผมก็คงไม่เอาด้วยหรอกครับ" นั่นมันเรื่องของคุณ แต่ถ้าคนอื่นเขาอยากมีอิสรภาพ มันก็เป็นสิทธิของพวกเขา คุณไม่มีอำนาจอันใดที่จะไปเขียนกฎระเบียบ  ผมไปบังคับคุณเมื่อไหร่ไม่ทราบครับ และจะแปลกอะไรถ้าผมจะมองพวกที่สมสู่ไม่เลือกหน้า ไม่รู้จักสำรวมในเรื่องเพศไม่ต่างจากสัตว์ แล้วผมก็จะประกาศออกไปแบบนี้ เพราะ บางคนยังมองว่าการ ปกปิด และป้องกันการกระทำเยี่ยงสัตว์แบบนั้น เป็นการกดขี่ทางเพศ แล้วยังเสร่อบอกว่า ตรรกะป่วยซะอีก ผมก็ไม่เข้าใจ ถ้าผมไม่ใช้ตรรกะสัตว์ ที่สมสู่ไม่เลือกหน้า บ้ากามได้แบบไม่ละอาย แล้วมันจะกลายเป็นตรรกะป่วยอย่างนั้นหรือไง? เพราะตอนแรกผมก็ไม่ได้บอกว่า ใครนั้นผิดใครนั้นถูก แต่บอกตามหลักการตัวเองว่า อะไรเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่ทราบว่าตรรกะสัตว์ตัวใด มันยังพยายามยัดเยียดเรื่องกดขี่ทางเพศให้กับมุสลิม แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า การหาความสุขของตัวเอง มันเดรัจฉานแค่ไหน ไร้ยางอายแค่ไหน ต่ำทรามแค่ไหน มันก็แปลกตรงไหน ถ้ามีพวกตรรกะสัตว์ มันไม่ฟังอะไรเลย แล้วมาบอกว่า เรื่องการแต่งตัวที่มิดชิดนี้ กดขี่ทางเพศ แล้วผมจะมองว่า การสำส่อนกันมันเป็นการกระทำแบบสัตว์?   คุณเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า female genital mutilation หรือเปล่า? มันคือการทรมาณสตรีโดยใช้ตัดปู้ยี่ปู่ยำอวัยวะเพศสตรี เช่นตัด clitoris ผู้หญิงออกไป หรือแม้กระทั่งเย็บช่องคลอดสตรีเพื่อไม่ให้ร่วมเพศกับใครจนกว่าจะแต่งงาน การป้องกันการมี sex แบบนี้ อันไหนมันวิปริตกว่ากัน ถ้าเที่ยบกับบรรพบุรุษไทยที่เปลือยอก หรือเทียบกับสาวสมัยใหม่ (ที่ไม่ใช่มุสลิม) ที่แต่งตัวโชว์เรีอนร่างสวยๆ ไม่ทราบว่าการปู้ยี่ปู้ยำอวัยวะเพศสตรี เป็นคำสอนศาสนาใดครับ ยกตัวอย่างมาซิ ขอคำสอนด้วย ตอนแรกก็จุดธูป ที่ไม่รู้ว่า คุณหรือแม่ยายคุณก็โกหกกันแน่ เพราะผมค่อนข้างแน่ใจว่าโกหก ตอนนี้ มาเรื่อง ทำลายอวัยวะเพศสตรี ผมก็อยากทราบว่าใครสอนหรือ? ผมก็อยากรู้ว่า คนที่ถามคำถามที่ยกหางตัวเองว่าใฝ่สูงเนี่ย ในสมองมันรู้อะไรมั่ง เข้าใจอะไรมั่ง นอกจากการหาเรื่องกระตุ้นอวัยวะ คิดอะไรไม่พ้นเรื่องสืบพันธุ์ เหมือนสัตว์แบบนี้นะครับ ถ้าไม่มีปัญญหามาได้ว่าสอนตรงไหน เดี๋ยวผมจะหามาให้คุณเอง จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรซะที   แล้วผมจะรอดูนะครับว่า ตรรกะป่วย นั้นป่วยจริงๆ หรือเพราะพวก ตรรกะสัตว์ มันคิดไม่เป็น หาความรู้ไม่ได้ ได้แต่ฟังกันมา จาก แม่ยายมั่ง โสเภณีมั่ง หาสาระอะไรไม่ได้สักเรื่อง ผมบอกได้เลยครับว่า อิสลามนั้น เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ สามี และภรรยา มีความสุขร่วมกันอย่างถูกต้องตามหลักศาสนาครับ ไม่มีคำสอนใดห้ามให้สตรีมีความสุขทางเพศ ผมก็ไม่รู้พวกตรรกะสัตว์ ไปเอามาจากไหน แต่ผมคิดว่า มันก็คงฟังตามๆ เค้ามา แล้วไม่คิดตามเหมือนเดิม เอางี้ อิสลามอนุญาตให้สตรีขอหย่าจากสามีต่อหน้าผู้พิพากษา เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข ดังเหตุการณ์ต่อไปนี้ 1. เมื่อสามีละเลยเรื่องการใช้จ่ายเลี้ยงดู 2. เมื่อสามีทำร้ายภรรยาจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันอย่างปกติสุขได้  อย่างเช่น  เหยียดหยามต่อว่านาง หรือตบตีนาง หรือทำร้ายจนนางไม่สามารถทนได้ หรือบังคับให้นางกระทำในสิ่งชั่วช้าหรือการกระทำอื่นๆในทำนองนี้ 3. เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนจากการหายตัวของสามีและกลัวฟิตนะฮฺที่จะเกิดขึ้นกับนาง 4. เมื่อสามีถูกกักขังเป็นเวลานานและนางได้รับความเดือดร้อนจากการอยู่โดดเดี่ยว 5. เมื่อนางพบข้อบกพร่องของสามีที่คนทั่วไปรับไม่ได้  อย่างเช่น  เป็นหมัน  หรือ ไม่มีความสามารถในการร่วมเพศ หรือ เป็นโรคที่น่าเกลียดอย่างร้ายแรง หรือสิ่งอื่นๆในทำนองนี้ ดังนั้น ถ้าไม่ให้ความสุขทางเพศ สตรียังฟ้องหย่าได้เลย ผมก็ไม่ทราบว่า คุณไปเอามาจากไหน หรือไปฟังใครเล่ามาอีกเหมือนเดิม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 09:31:59

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ^ ^ ยังไม่หยุดพล่ามความคลั่งศาสนาอีกหรือ ฉันไม่อยากฟังคุณหรอกเรื่องกฎเกณฑ์ของคุณ คุณเก็บไว้สอนคนที่หัวอ่อนเชื่อคุณก็แล้วกัน  คุณพูดจาหยาบคายมากๆเลยนะ ใครไม่เห็นด้วยก็เที่ยวได้ไล่ด่าเขาไปเหมือนหมาบ้าทะเลทราย ศาสนาคุณสอนให้คุณต่ำช้าขนาดนี้เชียวหรือ ขอบอกไว้ด้วยว่า ที่นี่เป็นประเทศไทยนะ ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพวกคุณ คุณจะเคร่งหรือจะคลั่งศาสนาอะไรหรือจะงมงายแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิใดๆที่จะเที่ยวได้ไปไล่ด่าผู้หญิงที่อยากโชว์เรือนร่างงามๆและผู้ชายที่อยากดูเรือนร่างงามๆเหล่านั้น และคุณก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆที่จะเที่ยวได้ไปไล่ด่าหญิงชายที่มีความสุขทางเพศกัน มันเป็นสิทธิมนุษยชนในระดับพื้นฐานของคนในสังคมที่เจริญแล้ว ^ และมันก็เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาด้วย นั่นก็คือพระผู้เป็นเจ้าต้องการให้มนุษย์แพร่พันธ์ดังนั้นท่านจึงสร้างกลไกร่างกายและสมองมนุษย์ให้เห็นเพศตรงข้ามแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศอยากมีเพศสัมพันธ์ด้วย ใครไปปกปิดหรือสร้างกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัดอะไรให้วุ่นวาย ในมุมมองเรานะ มันก็ยิ่งเป็นการขัดต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ^ และนี่เป็นแนวคิดของเรา ถ้าคุณไม่พอใจสังคมไหนหรือไม่พอใจแนวคิดไหน ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องเฉือกได้เที่ยวไปไล่ด่าคนโน้นคนนี้ว่าสัตว์ เพราะดูจากวาจาคุณแล้วมันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าคุณน่ะประเสริฐมากมายอะไรกันขนาดนั้นหรอก เพราะฉนั้นโปรดไปไกลๆ...ซะ! จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 14:23:46

ความคิดเห็นที่ 38 ที่นี่สยามเมืองยิ้ม พวกเราชอบสาวๆแต่งตัวแบบนี้กัน...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 14:31:36

ความคิดเห็นที่ 39 คุณไม่อยากฟังก็เรื่องของคุณนะครับ เพราะตอนแรก ตั้งแต่แรกผมไม่ได้บอกให้ใครเชื่อ ผมมาบอกเหตุผล และสิ่งที่ศาสนาสอน และจริงๆ ผมก็ไม่ได้บอกคุณด้วย แต่คนแบบคุณนี่แหละ ที่มาบอกว่า กดขี่นั่นนี่ ถ้าคุณอยากจะแก้ผ้าแก้ผ่อน สมสู่กันแบบไร้ยางอายมันก็เรื่องของคุณครับ ไม่ได้ขอให้มาฟัง ไมได้เชิญให้มาฟังมาอ่านด้วย และที่นี่กระดานสนทนาสาธารณะ ถ้าไม่อยากฟังไม่อยากอ่าน ก็ข้ามไป ไม่ต้องมาสนใจ แล้วไม่ต้องมาปากพล่อย วิจารณ์อะไรโง่ๆ โดยที่ตัวเองไม่รู้ด้วย หัดอ่าน ข้างบนมั่ง ผมเชื่อว่าหลายคนก็ไม่อยากแต่งกายแบบมุสลิมนะครับ และบางคนอาจจะคิดว่า เป็นการริดรอนสิทธิสตรีด้วย แต่เขาก็ไม่ได้มาโจมตีว่ากล่าวแบบไร้สาระแบบคุณครับ เพราะนี่เป็นการนำคำสอน หรือความรู้ที่เกี่ยวกับศาสนามาให้อ่าน เป็นเหตุผลเพื่อให้รู้ว่า สตรีมุสลิมแต่งกายอย่างไร และทำไมจึงแต่งกายแบบนั้น ถ้าคุณบ้าคลั่งเซ็กส์ หื่นกาม ชอบเรื่องการสมสู่มากนัก คุณก็ไปกระทู้อื่นได้ครับ ก็ถ้าคุณคิดว่า การสมสู่แบบไร้ยางอาย การแต่งกายเปิดวับๆ แวมๆ เพื่อยั่วยวนผู้ หรือพวกผู้ชายตัณหาจัด ที่มันไม่รู้จักควบคุมความต้องการทางเพศ ต้องหาอะไรโป๊ๆ มาบำบัดความใคร่ แล้วยังมีหน้ามา ยืดอก ป่าวประกาศกันหน้าด้านๆ อีก เนี่ยเป็นเรื่องถูกต้อง ล่ะก็ มันเรื่องของคุณครับ แต่อย่ามา บอกว่า อิสลามกดขี่ หรือการแต่งกายแบบนี้มันกดขี่สตรี ก็ตัวเองปากพล่อยเอง ว่าคนอื่นเอง แต่พอคนอื่น แสดงแนวคิดที่ต่างออกไป ในลักษณะเดียวกับตัวเองบ้าง ดันบอกว่าไม่มีสิทธิ ก็ถ้าบอกว่าผมไม่มีสิทธิ จะมาว่าคนที่มันสมสู่แบบไร้ยางอายว่า เป็นตรรกะสัตว์ แล้วคุณมีสิทธิอะไรมาบอกว่า อิสลามกดขี่สตรี   ก่อนที่จะบอกให้ผมไปไกลๆ ผมว่า พวกตรรกะวิบัติ ตรรกะสัตว์แบบคุณนั่นแหละครับ ไสหัวไปไกล อย่ามาปากพล่อย ปากไม่มีหูรูด ในกระทู้ครับ ถ้าหื่นกาม อยากสมสู่กันแบบสัตว์มันก็เรื่องของคุณ   มาเสร่อทำอะไรแถวนี้ไม่ทราบ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:16:59

ความคิดเห็นที่ 40 จริงๆ กระทู้มันก็จะจบด้วยดีแล้วนะ เพราะ อย่างที่หลายคนบอก มันคือหลักศรัทธา หลักศาสนา เป็นวัฒนธรรม หลายคนอาจจะไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เพราะไม่งั้นหลายคนคงเป็นมุสลิมไปแล้ว แต่นี่มาว่ากันเห็นๆ อะไรกัน? พอหนักๆ เข้าก็ไล่ให้ไปที่อื่นซะอีก คุณเป็นเจ้าของกระดานสนทนาหรือไงครับ? ทุกคนต้องทำตามที่คุณพอใจงั้นหรือ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:22:27

ความคิดเห็นที่ 41 เคยไปเดินที่แหล่งช๊อปปิ้งใจกลางกรุงเทพที่มีคนหลายชาติมาเที่ยว เห็นผู้หญิงที่คลุมทั้งตัวปิดหน้าปิดตา แต่คลุมเข้ารูป เดินเชิดๆ เป็นนางแบบ ดึงดูดสายตามากๆ ในยูทูปมีสอนคลุมผ้าแบบแฟชั่นมากมาย คนที่มาทำรีวิวก็ดูแฮปปี้ดี มุสลิมในไทยหลายคนแต่ตัวสง่างามอย่างกับเจ้าหญิง แฟชั่นผ้าคลุมของหญิงมุสลิมสวยๆไฮโซมีมากมาย ลองกูเกิลดู ชุดว่ายน้ำสำหรับผู้หญิงมิสลิมก็มี ผมว่าเรื่องการคลุมผมคลุมหน้าของผู้หญิงมุสลิม หลายคนทำเพราะเต็มใจ ชอบ และภูมิใจ การไปเหมาว่ามุสลิมกีดกันเพศหญิงไปทั้งหมด เกรงว่าจะกระทบจิตใจของชาวมุสลิมนะครับ ผมว่าดูเป็นกรณีๆไปจะดีกว่า ถ้าใช้คำพูดรวมๆคงไม่ดีเท่าไรนัก จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:32:53

ความคิดเห็นที่ 42 มีคนเคยบอกว่า อย่าเอาเรื่องการเมือง ศาสนา มาคุยกัน จะเถียงกันไม่จบ จากคุณ : Def Leppard เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:37:13

ความคิดเห็นที่ 43 ตอบ Carroth คคห 39 กับ 40 นับวันคุณยิ่งหยาบคายมากขึ้นเรื่อยๆ เถียงข้างๆคูๆ แถมยังปากเสียเที่ยวไปประนามคนว่าเป็นสัตว์เพราะเขาคิดต่าง นี่หรือคือคุณธรรมที่ศาสนาคุณสอนคุณ คำพูดคำจาคุณ วิธีแก้ต่างว่า "ไม่กดขี่" โดยการเที่ยวไปด่าว่าคนที่ไม่นับถือศาสนาเดียวกับคุณมันฟังไม่ขึ้น ถ้าแปลเป็นอังกฤษให้คนทั้งโลกอ่าน คนที่ไม่ใช่มุสลิมต้องตัดสินว่าคนที่ใช้ตรรกะเยี่ยงสัตว์ไม่ใช่เราหรอกแต่ต้องเป็นคุณอย่างแน่นอน กดขี่หรือไม่กดขี่ก็ดูหลักฐานที่เอามาแปะไว้ข้างบน มีทั้งข้อความจากกระดานสนทนาต่างประเทศ ทั้ง video clips ผู้หญิงถูกตัด clitoris ถูกเย็บช่องคลอดปิด เพื่อไม่ให้ร่วมเพศกับชายใดจนกว่าจะแต่งงาน คุณเป็นชาวต่างชาติจากประเทศไหน เป็นพวก Bin Laden หรือไอ้ตัวที่มันเพิ่งวางระเบิดเมื่อเร็วๆนี้แล้วระเบิดโดนตัวมันเอง หรือเปล่า ถึงบังอาจมากๆที่มาใช้กฎเกณฑ์ประเทศมุสลิมตัดสินและดูถูกคนไทยในประเทศไทย เพราะบรรพบุรุษไทยเปลือยอกมาตั้งนานแล้ว เพิ่งมาใส่เสื้อปิดหน้าอกเมื่อไม่กี่ปี่นี่เอง มาดูรูปให้หายสงสัย แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 22:19:43 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:17:48

ความคิดเห็นที่ 44 รูปผู้หญิงสยามเปลือยอก (ต่อ) จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:20:45

ความคิดเห็นที่ 46 รูปผู้หญิงสยามเปลือยอก (ต่อ) จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:21:52

ความคิดเห็นที่ 47 คราวนี้เป็นรูปชาวบ้านๆที่เชียงใหม่ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:22:29

ความคิดเห็นที่ 48 ภาพผู้หญิงไทยเปลืออกเหล่านี้เอามาจาก http://thaiwomantalks.com/2011/05/01/toplessness-in-thai-culture-the-mammary-truth/ แม้กระทั่งกระทรวงวัฒนธรรมของไทยก็เคยมีภาพนี้ขึ้นหน้าเวปเขา ซึ่งจะหาดูภาพแนวนี้ได้มากมายตามวัดวาอารามหรือโบราณสถานต่างๆของไทย นี่คือประเพณีไทย และพวกเราชาวไทยก็ไม่ใช่สัตว์ การไม่เอาผ้ามาคลุมร่างมิดชิดไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะต้องกลายเป็นสัตว์ไป แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 22:26:54 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:24:39

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องที่คุณ Deckard พูดใน คคห 21 คือ "ตอบ 19 ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ก็ยังคิดอยู่ดีว่ามันเป็นการกดขี่ทางเพศ คนหื่นไม่ใช่ตูสักหน่อย แทนที่จะไปอบรมสั่งสอนคนที่มีปัญหา ดันมาบังคับตูเสียนี่" มีประเด็นให้ชวนคิดต่อยอด ออกไปอีกมากมาย ถ้าจะใช้สติปัญญาคิด ถ้าจะทำได้ต้องไม่คลั่งศาสนา สิ่งที่เราคิดก็คือ เมื่อเปรียบเทียบหญิงกับชาย สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ พระผู้เป็นเจ้าสร้างสตรีให้กลายเป็นมีวิวัฒนาการที่สูงกว่าผู้ชายมากๆ ยกตัวอย่างเช่น 1 มีขนน้อยกว่าผู้ชาย คือผู้หญิงห่างไกลจากความเป็นลิงมากกว่าผู้ชาย 2 เปลี่ยนอาหารไปหล่อเลี้ยงตัวอ่อนในครรภ์ให้เติบโตเป็นเด็กได้ 3 ในแต่ละครั้งที่มี sex ผู้หญิงสามารถถึงจุดสุดยอดได้มากครั้งกว่าผู้ชายโดยเหนื่อยน้อยกว่าผู้ชาย นับตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงกลายเป็นตัวอ่อน และเด็กอยู่ในครรภ์มารดา จนคลอด "ออกมาคลาน" สตรีใช้พลังอันมหัศจรรย์ของเธอนำทารกน้อยผ่านวิวัฒนาการนับล้านปี! ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลเดียว เป็นปลา(อยู่ในน้ำ) เป็นสัตว์เลี้อยคลาน จนเด็กเดินตัวตรงเป็นมนุษย์ได้! ^ คนที่ดูหมิ่นสตรี พยายามลดบทบาทสตรี หากต้องการเรียนรู้พระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ก็สมควรเอา yoni สตรีมากราบไหว้ซะ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 23:16:37 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 22:54:51 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:37:00

ความคิดเห็นที่ 50 คราวนี้เรามาดูข้อ 3 กัน คือ 3 ในแต่ละครั้งที่มี sex ผู้หญิงสามารถถึงจุดสุดยอดได้มากครั้งกว่าผู้ชายโดยเหนื่อยน้อยกว่าผู้ชาย นี่แหละคือตัวปัญหา ขีดความสามารถอันนี้ของสตรี มันทำให้ผู้ชายมีปมด้อย แต่ในศาสนาของเราคือเต๋า แทนที่จะเอาผ้าดำๆไปปิดเรือนร่างสตรีให้มิด หรือไปตัด clitoris หรือเย็บช่องคลอดสตรีซะ เพื่อลดปมด้อยผู้ชาย เต๋าสอนความงดงามของ sex และการมีความสุขทางเพศเอาไว้ สมัยเราไปอยู่ในลอนดอนตอนเป็นวัยรุ่น มันเป็นยุค miniskirts ระบาด เดินไปไหนก็เห็นขาอ่อนผู้หญิง อันนี้เรามากลับเข้าประเด็นที่คุณ Deckard พูดไว้ใน คคห 21 ที่ว่า "คนหื่นไม่ใช่ตูสักหน่อย แทนที่จะไปอบรมสั่งสอนคนที่มีปัญหา ดันมาบังคับตูเสียนี่" ^ ก็เพราะว่าเราไม่คลั่งศาสนามากพอที่จะได้เที่ยวเอาผ้าดำๆไปคลุมตัวผู้หญิงฝรั่งทั่วนครลอนดอนน่ะสิ เราถึงต้องพยายามฝึกฝนวิธีควบคุณความหื่นของเรา ในคัมภีร์เต๋าเขาสอนวิธีกำหนดลมปราณ คนที่ฝึกการเดินลมปราณมาเป็นอย่างดี สามารถสั่งได้ว่าต้องการให้อวัยวะเพศตื่นตัวหื่นมากๆหรือสั่งให้จิตสงบ แล้วหดไปเลย ก็ได้ โดยไม่ต้องไปกดขี่สตรี นักพรตเต๋าค้นคว้าเรื่องพวกนี้ได้มานานหลายพันปีแล้ว คัมภีร์โบราณของเต๋าสอนเราว่า "ในขณะที่หื่นมากๆการทำจิตให้สงบลงจะเปลี่ยน sexual energy (พลังที่พร้อมจะใช้สืบพันธ์) ให้กลายเป็นความเปล่งปลั่งในชีวิต เพราะในช่วงนั้นร่างกายจะผลิต sex hormones ในปริมาณที่มาก พลังอันนี้เป็นการรวบรวม jing (น้ำกาม), qi (พล้งลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) ให้กลายเป็น elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อกลายเป็นเซียน (เทียบเท่าพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธ) ได้" ^ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้นักพรตเต๋าและปราชญ์ฮินดูที่บรรลุระดับพระพุทธเจ้าคิดขึ้นมาได้ตั้งหลายพันปีมาแล้ว enlightenment เป็นวิวัฒนาการระดับสูง สิ่งที่ขับเคลื่อนมัน ก็คือ "ความหื่น" นี่แหละ ดังนั้นพวกปราชญ์ชั้นสูงของเต๋าหรือฮินดูจะไม่แก้ความหื่นโดยการเอาเสื้อผ้าดำๆไปปิดเรือนร่างสตรี แต่จะแก้ไขที่ตัวของตัวพวกเขาเอง ซึ่งกระบวนการที่เปลี่ยนความหื่นให้กลายเป็นความเปล่งปลั่งในชีวิตและเพิ่มพลังการเรียนรู้ให้แก่สมองนี้ นักพรตเต๋าและปราชญ์ฮินดูเรียกมันว่า "sublimation" sublimation เป็นศาสตร์ชั้นสูงที่ใช้แก้ไขความว่่นวายจากการหื่นกาม ได้โดยไม่ต้องกดขี่สตรีเพศ ตามคำถามโจทย์ที่คุณ Deckard ถามมาใน คคห 21 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 23:20:14 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:54:05

ความคิดเห็นที่ 51 คำสอนของเต๋าช่างงดงามนัก เขาแก้ปมด้อยผู้ชายเรื่อง sex แทนที่จะไปจำกัดสิทธิสตรี เต๋าสอนวิธีกำหนดลมปราณให้ผู้ชายสามารถแยกระหว่าง orgasm (การถึงจุดสุดยอด) และ ejaculation (การหลั่งน้ำกาม)เนื่องจากมันเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน! การเดินลมปราณเพื่อสกัดจุดตาย ทำให้ผู้ชายสามารถมี multiple orgasm (ถึงจุดสุดยอดซ้อนๆกันหลายๆครั้ง) ได้เหมือนผู้หญิง แต่โดยไม่หลั่งน้ำกามออกมา เต๋าเรียกวิชานี้ว่า huan jing (the reversal of the semen (การใช้สมาธิและพลังลมปราณดึงน้ำกามกลับคืนสู่ศูนย์รวมกำลังภายใน)) การล่วงรู้ความลับแห่งสวรรค์อันนี้ ทำให้ผู้ชายสามารถแก้ปมด้อยของตัวเองได้ และรับ sexual energy ของผู้หญิงได้ และผสานเป็น harmony with the universal force (การผสมผสานกลมกลืนกับพลังจักรวาล) ได้ เป็นสิ่่งที่คัมภีร์เต๋าสอนไว้อย่างงดงาม ว่าการยกย่องสตรีเป็นสิ่งที่พึงกระทำ เพราะเธอเป็น advanced evolution (วิวัฒนาการที่เหนือชั้น) ความวุ่นวายทั้งหมด มันวุ่นวายเพราะปมด้อยของผู้ชายต่างๆหาก ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในบรรดาอดีตแฟนเราหลายๆคน (ซึ่งรายนี้แปลกมากหน่อย) สะกิดขอมี sex กับเรา วันธรรมดา วันหนึ่ง 3-4 รอบ วันหยุด 8-10 รอบ ความวุ่นวายไม่บังเกิดขึ้นเพราะเราฝึกวิชา huan jing สำเร็จตั้งหลายปีแล้ว และเราแก้ปมด้อยผู้ชายไปได้ตั้งนานแล้วเราจึงสนองความต้องการของเธอได้ แทนที่เราจะเอาผ้าอะไรดำๆไปคลุมหน้าเธอไว้ แล้วจำกัดสิทธิในการแสดงออกทางเพศของเธอ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 23:38:29 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 23:37:01 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 23:35:25 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 23:34:02

ความคิดเห็นที่ 52 เราจะพูดถึง paradoxes ความคิดที่ว่า "ใครมีความหื่นคนนั้นเป็นสัตว์" ^ นี่เป็นแนวคิดแบบที่พวกคลั่งศาสนาจนไม่ลืมหูลืมตาคิดกัน มันฟังดูเหมือนถูกแต่มันผิด แต่สิ่งที่เป็น paradoxes (ฟังดูเหมือนผิดแต่มันถูก) ที่เต๋าสอนไว้อย่างงดงามนั่นก็คือ การเห็นสิ่งที่ยั่วยวนให้มีอารมณ์ทางเพศ เป็นความงดงามในชีวิต ทั้งหญิงและชายที่ฝึกสมาธิและลมปราณตามคัมภัร์เต๋ามาแล้วเป็นอย่างดี จะรู้วิธี ควมคุมและใช้ประโยชน์ sexual energy ร่างกายมนุษย์ร่วงโรยไปตามวัยนั่นก็เพราะมันผลิต sex hormones น้อยลงตามวัย แต่การเห็นสิ่งยั่วยวนจนเกิดอารมณ์ทางเพศเป็นการ "กระตุ้นให้ร่างกายผลิต sex hormones" ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าร่างกายสตรีเป็นวิวัฒนาการที่เหนือชั้นกว่าร่างกายผู้ชาย ดังนั้น ผู้หญิงจะไม่สูญเสียพลังในการมีความสุขทางเพศบ่อยๆ เพราะการทำให้ช่องคลอดเธอเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลาจะเป็นการฝึกฝนเพื่อคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล แต่ในทางกลับกันผู้ชายที่ยังฝึก huan jing ไม่สำเร็จจะสูญเสียพลังไปมากในการมีความสุขทางเพศบ่อยๆ ดังนั้น ทั้งหญิงและชายที่ฝึกคัมภีร์เต๋าสำเร็จแล้วจะมีชีวิตที่สดใสกับความสุขทางเพศได้ และคงไว้ซึ่งความเปล่งปลั่งอ่อนวัยได้ตลอดกาล นั่นก็หมายความว่าความสุขทางเพศเป็นหนทางแห่งสุขภาพ พระผู้เป็นเจ้าเก็บความลับแห่งสวรรค์เอาไว้ให้เฉพาะคนที่เข้าใจ paradoxes มีจินตนาการอันก้าวไกล และมีตรรกะที่แม่นยำ เท่านั้น ^ มันเป็นความงดงามของคำสอนของเต๋า ที่เราได้เรียนรู้มาหลายปีแล้ว แต่ในทางกลับกันคนที่คลั่งศาสนาจะกลับกลายเป็นหน้ามืดตามัวมองไม่เห็น เพราะเชื่ออะไรงมงายโดยไม่ทดลองพิสูจน์ให้เห็นจริง แล้วเที่ยวได้ไปด่าปราชญ์ที่ล่วงรู้ความลับแห่งสวรรค์ว่าเป็นสัตว์ ซึ่งจริงๆแล้วคนคลั่งศาสนากลายเป็นคนที่บาปหนา ถึงได้มีชีวิตที่ไร้ความสุข วันๆไม่คิดอะไรนอกจากจะคอยหาเรื่องคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหมือนพวกเขา แล้วก็เที่ยวได้ไปด่าว่าคนอื่นว่าเป็นสัตว์ ยิ่งด่ามากเข้าคนฟังคนอ่าน (ทั่วโลก) กลายเป็นยิ่งคิดในเชิงลบต่อศาสนาของคนคลั่งศาสนา แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 00:05:20 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 23:56:59

ความคิดเห็นที่ 53 วิธีที่ผู้ชายจะแก้ปมด้อยเรื่อง sex ของตนเอง โดยไม่ต้องกดขี่สตรี จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 00:19:13

ความคิดเห็นที่ 54 ผู้หญิงที่ฝึกเต๋า จนคิดเองเป็น และหลุดพ้นแล้วซึ่งการถูกกดขี่ทางเพศ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 00:21:31

ความคิดเห็นที่ 55 video clips ที่แปะไว้ใน คคห 53 กับ 54 ประเด็นหลักของมันก็คือ พลังของ orgasm ที่เต๋าสอนไว้ นั่นก็คือเวลาผู้ชายหรือผู้หญิงถึงจุดสุดยอดเขาหรือเธอสามารถใช้สมาธิ "ส่ง sexual energy ไปยังอวัยวะสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งไปรักษาอวัยวะที่ป่วย" หรือ ถ้าไม่มีอวัยวะไหนป่วย ก็ "ส่ง sexual energy ไปสร้างความเปล่งปลั่งให้แก่ตนเองและสร้างความผาสุขในชีวิต" นี่คือประโยชน์ของ sex ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้มนุษย์ ^ ผู้ชายบาปที่ไม่เข้าใจพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า รู้เท่าไม่ถึงการในเรื่องความแตกต่างกันระหว่างเพศ 2 เพศนี้ ต้องการปกปิดปมด้อยของตนเอง โดยการกดขี่สตรีเพศ แทนที่จะสลัดความเชื่ออันงมงายออกไป แล้วหันมาศึกษาหาความรู้ เพื่อค้นพบความลับแห่งสวรรค์ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 00:28:58 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 00:25:16

ความคิดเห็นที่ 56 คิดว่าเป็นวัฒนธรรมจากทะเลทรายด้วยนะครับ ใช้บังแดดบังฝุ่นจะเข้าไป และทะเลทรายสมัยก่อน เรื่องคนหื่นเนี่ย แบบว่าข่มขืนเป็นว่าเล่นได้เพราะป้องกันยาก ไม่ได้เป็นสังคมเมืองด้วย อย่างที่อาซ้ออิสราเอล โมเต็ก ข้างบนว่า ผู้ชายแขก มองแล้วหื่นมาก เอาปี้บคลุมทั้งตัวจะปลอดภัยกว่า อาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้ อยู่กับ ญ ที่ปิดอะไรมามาก ก็เป็นได้ มุสลิม ในแถบเทือกเขาคอเคซัส พวกประเทศกลุ่ม สถาน ทั้งหลาย แต่งตัวกันเอ็กมาก ตั้งแต่คาซัค อุซเบ ทากีจีส ไปจนถึงซินเจียงในจีน แต่พวกนี้ก็ละหมาด และถือศีลอดอย่างเคร่งครัด สรุปว่า คิดว่าเป็นเพราะวัฒนธรรมท้องถิ่น เหมือนที่นึงในซาอุ ที่ห้ามไม่ให้สามีเห็นหน้าภรรยา หรือประเพณีคลิป สตรี ในอาฟริกา เป็นชาติมุสลิม แต่ไม่ใช่ประเพณีมุสลิม แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 03:35:10 จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 00:29:52

ความคิดเห็นที่ 57 วิธีใช้ sexual energy สร้าง immortal body (สร้างทารกน้อยๆที่จะเติบใหญ่กลายเป็นเซียน (เต๋าเรียก "เซียน" ซึ่งเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธ)) ซึ่งพระเยซูก็เคยสร้าง immortal body มาแล้ว แนวคิดนี้ของเต๋าใช้อธิบายได้ว่าทำไม virgin birth จึงเป็นไปได้ แต่ video นี้เป็นวิธีการสร้าง immortal body ของนักพรตเต๋า นั่นก็คือการผสาน jing (น้ำกาม), qi (พลังลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) ให้เป็น elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า sublimation นั่นเอง คนจีนที่ให้สัมภาษณ์ขณะนี้อายุน่าจะประมาณ 70 แต่เขายังดูหน้าตาไม่แก่มากนัก นั่นก็เพราะว่าเขากระตุ้นตัวเองให้มีความรู้สึกทางเพศ และควมคุมและใช้ประโยชน์ sexual energy ได้เป็นอย่างดี นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 00:51:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 00:49:19

ความคิดเห็นที่ 58 sex hormones เป็นพลังแห่งชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าให้มนุษย์มา การกระตุ้นตัวเองให้เกิดอารมณ์ทางเพศ เป็นวิธีการของปราชญ์ ที่จะเสริมสร้าง sexual energy เพื่อความเปล่งปลั่งในชีวิต และคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล คนที่คลั่งศาสนาจนคิดว่า "ความหื่นเป็นพฤติกรรมของสัตว์" จะมีชีวิตที่ไร้ความสุขไร้พลัง ร่างกายและสังขารจะร่วงโรยไปอย่างรวดเร็วมากๆ ที่สำคัญก็คือ "กระดูก" ถ้าขาดการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศร่างกายจะหยุดสร้าง sex hormones กระดูกจะลดมวลลงเรื่อยๆ จนมีปัญหาเดินกระย่องกระแย่ง ดังนั้นคนที่ sexually active อยู่เสมอ จะมีสุขภาพที่ดีตลอดกาล video นี้เป็นวิธีการของเต๋าที่จะกระตุ้นและใช้ประโยชน์ sexual energy เพื่อสร้างความเปล่งปลั่งให้แก่ชีวิต เพิ่มพลังให้สมองในการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ช่วยขจัดความคิดอันงมงาย ช่วยให้ชีวิตมีความสุขและมีอิสรภาพ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 01:19:37

ความคิดเห็นที่ 59 ซ้ำ ลบทิ้ง (ทีแรกคิดว่าแปะ video ใน คคห 58 ไม่ได้ แต่จริงๆแล้วได้) แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 01:22:13 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 01:20:51

ความคิดเห็นที่ 60 งั้นเรามาอ่านกันเลยจะได้รู้ว่า พวกตรรกะสัตว์นั้น มันไม่ใช่แค่ นิสัย และศีลธรรมระดับต่ำสัตว์ แต่มันยังโง่เหมือนสัตว์ด้วย ความคิดเห็นที่ 43 MsgStatus(Msv[43], 43); ตอบ Carroth คคห 39 กับ 40 นับวันคุณยิ่งหยาบคายมากขึ้นเรื่อยๆ เถียงข้างๆคูๆ แถมยังปากเสียเที่ยวไปประนามคนว่าเป็นสัตว์เพราะเขาคิดต่าง นี่หรือคือคุณธรรมที่ศาสนาคุณสอนคุณ คำพูดคำจาคุณ วิธีแก้ต่างว่า "ไม่กดขี่" โดยการเที่ยวไปด่าว่าคนที่ไม่นับถือศาสนาเดียวกับคุณมันฟังไม่ขึ้น ถ้าแปลเป็นอังกฤษให้คนทั้งโลกอ่าน คนที่ไม่ใช่มุสลิมต้องตัดสินว่าคนที่ใช้ตรรกะเยี่ยงสัตว์ไม่ใช่เราหรอกแต่ต้องเป็นคุณอย่างแน่นอน กดขี่หรือไม่กดขี่ก็ดูหลักฐานที่เอามาแปะไว้ข้างบน มีทั้งข้อความจากกระดานสนทนาต่างประเทศ ทั้ง video clips ผู้หญิงถูกตัด clitoris ถูกเย็บช่องคลอดปิด เพื่อไม่ให้ร่วมเพศกับชายใดจนกว่าจะแต่งงาน คุณเป็นชาวต่างชาติจากประเทศไหน เป็นพวก Bin Laden หรือไอ้ตัวที่มันเพิ่งวางระเบิดเมื่อเร็วๆนี้แล้วระเบิดโดนตัวมันเอง หรือเปล่า ถึงบังอาจมากๆที่มาใช้กฎเกณฑ์ประเทศมุสลิมตัดสินและดูถูกคนไทยในประเทศไทย เพราะบรรพบุรุษไทยเปลือยอกมาตั้งนานแล้ว เพิ่งมาใส่เสื้อปิดหน้าอกเมื่อไม่กี่ปี่นี่เอง มาดูรูปให้หายสงสัย แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 22:19:43   จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 22:17:48   เพื่อไม่ให้เกิดการแถหรือลบทิ้ง ผมจะเอามาให้อ่านนะครับจะได้หายโง่ เผื่อพัฒนาจากระดับสัตว์มาเป็นคนดูบ้าง ถ้าอยากรู้ผมจะจัดให้   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 07:28:32

ความคิดเห็นที่ 61 นี่ครับไปอ่านได้ http://forum.gayterday.com/index.php?topic=1661.0 วัฒนธรรมอัฟริกันในการตัดอวัยวะเพศหญิงที่สืบทอดต่อกันมาถึง 4,000 ปีแล้ว หลายคนเข้าใจผิดว่า นี่คือข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย ไม่ได้มีการระบุไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน หรือไบเบิลแต่ประการใดด้วย มันเป็นเพียงประเพณีที่ผู้ชายกำหนดขึ้น ด้วยความโง่เขลาเห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง เพื่อที่จะสามารถถือสิทธิ์ในตัวผู้หญิงได้อย่างเต็มที่และเสพสุขจากเรือนร่างของเธอ ตามความพอใจของตนฝ่ายเดียว!!!!!!! หัดอ่านซะมั่งนะครับ เพราะเรื่องราวของการ ขลิบในสตรีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอิสลามบังคับให้กระทำ ยิ่งการกระทำ ที่ทำลายอวัยวะสตรีนั้น ห้ามโดยเด็ดขาดครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 07:39:44

ความคิดเห็นที่ 62 สำหรับคำสอนของอิสลามนั้น คำสอนของอิสลามกล่าวว่า คำตอบ ท่านอุมมุ อะฎียะฮฺ อัลอันศอรียะฮฺเล่าว่า " أن امرأة كانت تختن بالمدينة فقال لها النبي صلى الله عليه وسلم لا تنهكي فإن ذلك أحظى للمرأة وأحب إلى البعل " ความว่า "สตรีท่านหนึ่งทำคิตาน (การขลิบส่วนบนของปุ่มกระสันต์) ที่เมืองมะดีนะฮฺ ดังนั้นท่านรสูลจึงกล่าวแก่นางว่า เธอจงอย่าขลิบจนหมด แท้จริงสิ่งนั้นคือความสุขของสตรี และเป็นที่ชอบยิ่งสำหรับสามี" (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 4587 บทว่าด้วยเรื่องมารยาท) หะดีษข้างต้นเป็นหลักฐานว่าด้วยเรื่องการทำคิตานของสตรีอย่างชัดเจนเพียงแต่กำชับว่าอย่าขลิบปุ่มกระสันต์ของสตรีจนหมดหรือสั้นเกินไปเพราะสิ่งนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้ฝ่ายหญิงบรรลุถึงความสุขสูงสุดขณะมีเพศสัมพันธ์ เห็นชัดเจนว่า การขลิบในสตรีนั้น มีมานานก่อนสมัยอิสลามแล้ว และอิสลามเอง ก็ห้ามการกระทำที่เลยเถิด ใครสมัครใจทำ ก็ห้ามที่จะทำจนถึงกับตัดหมด เพราะนี้เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ และสตรีก็มีสิทธิได้รับเรื่องนี้ด้วย   ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า คุณเอามาโพสต์ ได้อ่านมั่งหรือเปล่าว่านั่นไม่ใช่หลักคำสอนของอิสลาม แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอกครับ เพราะแหล่งที่มาของคุณถ้าไม่อ้างแม่ยาย ก็ถามเอาจากโสเภณี พอจะเอาข้อมูลจริงๆ แล้ว สิ่งที่ได้คือ ความคลาดเคลื่อน และความผิดพลาด     อ่อผมให้อ่านอีกเรื่องนะครับเรื่องเกี่ยวกับการหย่าของสตรี อิสลามอนุญาตให้สตรีขอหย่าจากสามีต่อหน้าผู้พิพากษา เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข ดังเหตุการณ์ต่อไปนี้ 1. เมื่อสามีละเลยเรื่องการใช้จ่ายเลี้ยงดู 2. เมื่อสามีทำร้ายภรรยาจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันอย่างปกติสุขได้ อย่างเช่น เหยียดหยามต่อว่านาง หรือตบตีนาง หรือทำร้ายจนนางไม่สามารถทนได้ หรือบังคับให้นางกระทำในสิ่งชั่วช้าหรือการกระทำอื่นๆในทำนองนี้ 3. เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนจากการหายตัวของสามีและกลัวฟิตนะฮฺที่จะเกิดขึ้นกับนาง 4. เมื่อสามีถูกกักขังเป็นเวลานานและนางได้รับความเดือดร้อนจากการอยู่โดดเดี่ยว 5. เมื่อนางพบข้อบกพร่องของสามีที่คนทั่วไปรับไม่ได้ อย่างเช่น เป็นหมัน หรือ ไม่มีความสามารถในการร่วมเพศ หรือ เป็นโรคที่น่าเกลียดอย่างร้ายแรง หรือสิ่งอื่นๆในทำนองนี้ ดังนั้น ถ้าไม่ให้ความสุขทางเพศ สตรียังฟ้องหย่าได้   ที่หลังถ้า ไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา ก็หัดถามก่อนครับ ไม่ใช่เอาอะไรมาลงที่มันไม่ใช่คำสอนของอิสลาม แล้วเอามาโจมตีอิสลาม ให้มันรู้มั่งว่ามันมั่ว!!!!!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 07:44:33

ความคิดเห็นที่ 63 ดังนั้นอย่างที่ผมบอก และคุณไม่รู้จักอ่าน ก็คือ เรื่อง sex energy นั้น มุสลิมไม่ปฏิเสธครับ มุสลิม หรืออิสลาม สนับสนุนการแต่งงานครับ เรื่องเพศเป็นเรื่อง ธรรมชาติของมนุษย์ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องผิดครับ และผมก็ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดครับ แต่การจะให้มองผ่านทะลุเสื้อ ผ้า หรือเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ อันนั้นมันก็ไม่ต่างจากสัตว์หรอกครับ ถ้าใครจะมองว่า มนุษย์คือสัตว์ประเภทหนึ่ง เลยอยากทำตัวแบบสัตว์ ที่มันหื่นไม่รู้เวลา ผสมพันธุ์ไม่เลือกหน้า อันนี้แหละครับที่ผมเรียกมันว่า ตรรกะสัตว์   เพราะมันเป็นการเอาข้ออ้าง เรื่อง sex ที่เป็นเรื่องธรรมชาติ มาเพื่อพยายามทำให้การทำตัวเหมือนสัตว์เป็นเรื่องถูกต้อง ผมบอกหลายครั้งแล้วครับ เรื่องเพศนั้นอิสลาม ไม่ปฏิเสธเพราะมันเป็นธรรมชาติแต่ต้องจำกัดให้ถูกต้องถูกวิธี การบรรลุถึงจุดสุดยอดของสตรีนั้น อิสลามไม่ได้ห้าม และยังส่งเสริมให้บุรุษดูแลเรื่องนี้แก่ภรรยาด้วย ท่านก็อส์ บุตรของท่านฏ็อลก์ จากพ่อของเขา กล่าวว่า แท้จริงท่านนบีมุหัมมัดกล่าวว่า “เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเขา เขาจงอย่ารีบร้อน จนกว่า (จะเห็นว่า) นางใกล้จะบรรลุจุดสุดยอด เหมือนกับสิ่งที่เขาชอบที่จะถึงจุดสุดยอดของเขาเช่นกัน” ดังนั้นการมีความสุขทางเพศของสตรี หรือของบุรุษ ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม ซ้ำอิสลามยังสนับสนุนให้ สามีดูและภรรยาด้วย ความคิดโง่ๆ การออกตัวที่แสดงถึงความไร้ปัญญาประเภท นี่แหละคือตัวปัญหา ขีดความสามารถอันนี้ของสตรี มันทำให้ผู้ชายมีปมด้อย แต่ในศาสนาของเราคือเต๋า แทนที่จะเอาผ้าดำๆไปปิดเรือนร่างสตรีให้มิด หรือไปตัด clitoris หรือเย็บช่องคลอดสตรีซะ เพื่อลดปมด้อยผู้ชาย เต๋าสอนความงดงามของ sex และการมีความสุขทางเพศเอาไว้ นั้นมันเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากอิสลามครับ เพราะเรื่องเพศนั้น อิสลามไม่ได้ห้ามแก่สตรี ใครที่มันคิดว่า ห้ามสตรีความสุขทางเพศ หรือทำลายอวัยวะเพศสตรี เพื่อลดทอนความสุขทางเพศ เพราะเห็นว่าสตรีเป็นสิ่งของแล้วล่ะก็ คนนั้น มันโง่ครับ คงไม่แปลกถ้าผมจะเรียกพวกนี้ว่า พวกตรรกะสัตว์ หรือโง่อย่างกับสัตว์ เพราะสัตว์มันชอบส่งเสียงร้อง โดยสัญชาตญาณ ไม่ค่อยผ่านความคิด พวกที่หาว่าอิสลาม ทำลายอวัยวะเพศสตรี หรือกดขี่สตรี เพราะให้แต่งตัวมิดชิด ก็คงไม่ต่างกันเพราะมันไม่ได้ศึกษา แต่มันก็ปล่อยบทความโง่ๆ ออกมาเสียแล้ว   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 07:57:57

ความคิดเห็นที่ 64 การมีเซ็กส์ที่งดงาม หรือการควบคุมอารมณ์เพศนั้น อิสลามสอนไว้แล้วครับ   และโองการที่สอนให้บุรุษลดสายตาลงไม่มองก็เป็นโองการก่อนหน้า ที่จะให้ผู้หญิงได้แต่งตัวมิดชิดเสียด้วยซ้ำถ้าจำไม่ผิด 24:30. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ(*1*) และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา(*2*) นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา(*3*) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ โองการถัดมาจึงเป็น 24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ ...... เราจะเห็นได้ว่าคำสั่งให้ผู้ชายลดสายตา ควบคุมตนเองนั้นมีมาก่อนครับ ไม่ใช่บังคับเฉพาะสตรี ดังนั้น การห้ามบุรุษ ลวนลามทางสายตาแก่สตรี รู้จักควบคุมความต้องการตนเองนั้น มีก่อนแล้วครับ การสอนแบบนี้ ศาสนาไหนก็สอนครับ เพราะผู้ที่จะเข้าไปรุกหาสตรีนั้นก็คือบุรุษเพศนี่เอง การสอนให้ควบคุมตัวเอง มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่มนุษย์ควรทำครับ ใครจะคิดค้นมาหลายพันปี หรือคิดว่าสุดยอดแล้ว อันนั้นผมบอกตรงๆ ว่าไร้สาระ ไม่ได้มีแก่นสาร วิมานอะไรเลย เพราะกี่พันปีมา สตรีก็ยังถูกกดขี่ อยู่เหมือนเดิม คำสอนประเภท เต๋าสุดยอด สอนให้ควบคุมความรู้สึก หรือฮินดูเจ๋ง สอนให้ปรับระดับความต้องการ อะไรไปเรื่อย แต่มันช่วยให้อะไรดีขึ้นไหม? เปล่าเลย ไม่มี สังคมก็ยังแย่อยู่เหมือนเดิม ก็เพราะมันเป็นแนวคิดเพ้อฝัน ที่ทำได้เฉพาะคนที่สนใจ หรือสอนให้แก่คนที่ มีความใฝ่ดีไงล่ะครับ คนใฝ่ดี สอนอะไรก็ฟังครับ ไม่ต้องสอนถึงขั้น ยืดหดอวัยวะ (โฆษณาชวนเชื่อยังกับโสมปู่เซิน) แค่บอกให้ ลดสายตา ควบคุมความต้องการตัวเอง คนพวกนี้ก็พร้อมทำอยู่แล้ว   แต่ปัญหามันมาจากพวกที่หัวใจเป็นโรคครับ พวกที่สอนไม่ได้ คนพวกนี้ ลองให้เทพเต๋าไปสอนซิ หรือเทพฮินดูบราซิล ไปสอนซิ สอนกันได้ไหม? สอนให้รู้จักยืดหดอวัยวะเพศ สอนให้รู้จัก sex energy มันจะฟังไหม? ผมบอกให้เลยมันไม่ฟังหรอกครับ มันจะฆ่าเทพเต๋าเอาด้วย แล้วคนพวกนี้ก็มีจำนวนมากกว่า คนที่ใฝ่ดี แล้วจะทำไง ปล่อยไปหรือครับ อิสลามจึงสอนให้ สตรีรู้จักป้องกันตัวเองจากพวกหัวใจเป็นโรคนี่แหละครับ เพื่อไม่ไปกระตุ้น ความต้องการของมัน เพราะคนพวกนี้ มันควบคุมตัวเองยาก อิสลามจึงสอนว่า “หากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮฺ) ก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก (หรือด้วยน้ำเสียงที่หวาน) เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของผู้ที่มีโรคเกิดตัณหา แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่เหมาะสม (ด้วยมารยาทที่ดี)” อัลกุรอาน 33:32 นี่แหละครับ จึงมีคำสอนนี้ออกมา   ดังนั้น ถ้าคุณชอบโยนี แคม หรือคริฯ มาก ก็เอามันไปแปะหมอน นอนจะได้เอาหน้าแนบ เพิ่มพลังทางเพศไปเถอะครับ แต่อิสลาม สอนให้เรารู้จักใช้ และควบคุมเรื่องเพศให้เหมาะสม และเป็นประโยชน์สูงสุด ตามเป้าหมายของมันครับ ไม่ใช่ พร่ำเพรื่อ ไม่เลือกหน้า เหมือนหมู เหมือนหมา คนในสังคมต้องร่วมมือกัน ชายต้องรู้จักคุมตนเอง ไม่เที่ยวไปจ้องไปมองของคนอื่น แล้วมาบอกว่า กระตุ้นพลังเซ็กส์ให้อ่อนวัย อันนั้นมันต่ำมาก ผู้หญิงก็ควรปกปิดตัวเอง เพื่อป้องกันตัวจากพวกที่ หัวใจเป็นโรค ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งมันก็มีอยู่จริง     ส่วนเรื่อง พลัง sex energy สะกิดวันละหลายรอบ 8 มั่ง 10 มั่ง 20 30 ทำไปเถอะครับ จะทำวันละ 50 รอบ ศาสนาก็ไม่ห้ามครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องปมด้อย ถ้าทำกับภรรยา อิสลามก็สนับสนุนด้วย เป็นเรื่องดี มันเป็นเรื่องความรักในครอบครัว อิสลามไม่ห้ามครับ สตรีจะเสร็จสัก 3 หมื่นรอบ ตายในหน้าที่ไปเลย ก็เอาเถอะครับ ถ้าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันก็ทำไป แต่ไม่ใช่ เฉิดชาย กระตุ้นอารมณ์คนอื่นไปเรื่อย หรือไปมั่วกัน เป็นสัตว์เดรัจฉาน แบบนั้นไม่ใช่ครับ เรื่องเพศหลักๆ คือการสืบพันธุ์ และการรับผิดชอบของมันคือการสร้างครอบครัว ไม่ใช่ฝูงสัตว์ ที่พอใจใครก็จะขี่ จะขึ้นทับอย่างเดียว   มันน่าเบื่อหน่ายนะครับ ที่ไม่รู้จักหาข้อมูลมาแล้วเที่ยวโจมตีคนอื่นว่ากดขี่ ข้อมูลที่เอามาก็มั่วสุดๆ ไม่ได้ดูเลยว่า คำสอนของใครอะไรยังไง สุดท้าย ก็มาโฆษณา พลังเซ็กส์ตัวเอง เหมือนคนมีปมด้อย วัน 8 รอบ 10 รอบ ออกอาการเหมือนคนหมกมุ่น ชีวิตไม่ทำอะไร วันๆ ก็ฟุ้งเฟ้อแต่กับเรื่องเซ็กส์ แต่ถ้ามันช่วยให้รู้สึกดีก็เอาเถอะครับตามสบาย จะวัน สองแสนรอบก็พิมพ์มาเลย แต่ไปหาข้อมูลมาก่อน ก่อนจะว่าคนอื่นกดขี่ เพราะถ้างั้น ผมก็มองพวกที่มันไม่รู้จักอายว่า เหมือนสัตว์นั่นแหละครับ ต่ำกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะสัตว์มันไม่มีศีลธรรมแบบมนุษย์ มันสืบพันธุ์ มันก็จบ แต่อันนี้ วนเวียนหมกมุ่น มันแต่เรื่อง โยนี นี่แหละ ไม่ไปไหนสักที       จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 08:22:28

ความคิดเห็นที่ 65 คำพูดนี้น่าคิดนะครับ แต่ในทางกลับกันคนที่คลั่งศาสนาจะกลับกลายเป็นหน้ามืดตามัวมองไม่เห็น เพราะเชื่ออะไรงมงายโดยไม่ทดลองพิสูจน์ให้เห็นจริง แล้วเที่ยวได้ไปด่าปราชญ์ที่ล่วงรู้ความลับแห่งสวรรค์ว่าเป็นสัตว์ ซึ่งจริงๆแล้วคนคลั่งศาสนากลายเป็นคนที่บาปหนา ถึงได้มีชีวิตที่ไร้ความสุข วันๆไม่คิดอะไรนอกจากจะคอยหาเรื่องคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหมือนพวกเขา แล้วก็เที่ยวได้ไปด่าว่าคนอื่นว่าเป็นสัตว์ ยิ่งด่ามากเข้าคนฟังคนอ่าน (ทั่วโลก) กลายเป็นยิ่งคิดในเชิงลบต่อศาสนาของคนคลั่งศาสนา เพราะผมเห็น สิ่งที่เรียกว่า ความ ลักลั่น ย้อนแย้ง ในบทความของคุณมาก เพราะถ้า วิชาเต๋าของคุณ มันดีจริง สุดยอดจริง คุณคงไม่หมกมุ่นแต่เรื่องเพศ ออกมายอมรับหน้าตาเฉยว่า ดูหนังโป๊ เพื่อกระตุ้น อารมณ์ หรือความอ่อนเยาว์หรอกนนะครับ และจริงๆ กระทู้นี้ ผมก็ไม่ได้ด่าใครที่ไม่เชื่อเหมือนผมด้วย แต่ผมจัดการกับพวกที่ หาเรื่อง คนที่ไม่หื่นเหมือนตัวเอง แบบคุณต่างหาก ลองกลับไปอ่านดูได้ครับ ตอนแรกกระทู้ก็มาดีดี ถามเรื่องซาอุ และก็มาถึงคำสอนของอิสลาม ผมก็เอามาให้อ่านกันว่า สอนอะไร สอนอย่างไร สอนแบบไหน สอนแล้วเป็นอย่างไร ทำไมสอนแบบนั้น ก็เอามาลง จนมีพวกที่ พยายาม สะกดจิตตัวเองว่า มีพลังเพศเยอะ (มั๊ง) ควบคุมพลังเพศได้ (ควบได้แล้วทำไมต้องดูหนังโป๊กระตุ้นนะ) ทำตัวเป็นพวกไร้ความสุข เข้ามาหาเรื่อง ก่อนเลย หาว่ากดขี่ยังงั้น ยังงี้ แหล่งข้อมูลล่ะ ก็แม่ยายตัวเอง ไม่ก็โสเภณี (คนเดียวกันหรือเปล่าครับ) ว่านั่นว่านี่ พูดลามไปถึงโคตรพ่อโคตรแม่ ซะงั้น เพียงเพราะ ผมไม่หื่น หรืออิสลาม สอนให้รู้จักควบคุมเรื่องเพศให้อยู่ในกรอบ ลองอ่านแล้วพิจารณาดูซิ ว่าใครกันแน่พวกมีปมด้อย เข้ามาหาเรื่องว่าคนอื่น แถมสักพักก็ยัง โพนทนา สาธยาย ป่าวประกาศ สรรพคุณ พลังตัวเองซะงั้น สำเร็จวิชา แต่ต้องดูหนังโป๊ เหอะๆ เป็นอะไรมากไหมครับ? แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 08:32:16 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 08:31:35

ความคิดเห็นที่ 66 และเพราะไม่รู้จัก ศึกษาหาความรู้อื่นๆ ซะมั่ง หาแต่เรื่องเซ็กส์ หมกมุ่นแต่เรื่องเซ็กส์ มันก็เลย เกิดความโง่เขลาแบบนี้ ความคิดเห็นที่ 55 MsgStatus(Msv[55], 55); video clips ที่แปะไว้ใน คคห 53 กับ 54 ประเด็นหลักของมันก็คือ พลังของ orgasm ที่เต๋าสอนไว้ นั่นก็คือเวลาผู้ชายหรือผู้หญิงถึงจุดสุดยอดเขาหรือเธอสามารถใช้สมาธิ "ส่ง sexual energy ไปยังอวัยวะสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งไปรักษาอวัยวะที่ป่วย" หรือ ถ้าไม่มีอวัยวะไหนป่วย ก็ "ส่ง sexual energy ไปสร้างความเปล่งปลั่งให้แก่ตนเองและสร้างความผาสุขในชีวิต" นี่คือประโยชน์ของ sex ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้มนุษย์ ^ ผู้ชายบาปที่ไม่เข้าใจพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า รู้เท่าไม่ถึงการในเรื่องความแตกต่างกันระหว่างเพศ 2 เพศนี้ ต้องการปกปิดปมด้อยของตนเอง โดยการกดขี่สตรีเพศ แทนที่จะสลัดความเชื่ออันงมงายออกไป แล้วหันมาศึกษาหาความรู้ เพื่อค้นพบความลับแห่งสวรรค์ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 00:28:58 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 00:25:16 วันๆ ก็คงจ้อง แต่กับโยนี (สงสัยฝึกวิชากามวิปริตจนธาตุไฟเข้าแทรก) มันจะไปรู้เรื่องอะไร อิสลามไม่ห้ามการมีความสุขทางเพศครับ ซ้ำยังสนับสนุนให้ผู้ชาย ดูแลภรรยาในเรื่องนี้ด้วย แต่ดูแลภรรยาตัวเองครับ ไม่ใช่ไปดูแล คนอื่นเรื่องเพศ ไม่ใช่ไปจ้องมอง คนอื่นครับ     เราสามารถหาความสุขอย่างถูกต้องได้ ไม่จำเป็นต้องไปสำส่อน หรือโป๊เปลือยแบบสัตว์เลยนะครับ นี่แหละความสูงส่งของอิสลาม อ่อแต่ก็ดีครับ วิดีโอต่างๆ น่าเรียนรู้ไปใช้เวลาแต่งงาน เพื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี ถูกกาละเทศะ ไม่ต้องอาศัยหนังโป๊ หรือดูเรือนร่างผู้หญิงอื่นด้วยความหื่นกระหาย แล้วอ้างว่าเอาไว้กระตุ้นความอ่อนวัยตลอดกาล งี่เง่าอะไรนั่นทีหลัง ถือว่าดีครับ วีดีโอน่าศึกษา จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 08:39:10

ความคิดเห็นที่ 67 ส่วนเรื่อง การแต่งกายของ สตรีไทยโบราณผมตอบแล้วว่า ความคิดเห็นที่ 36 MsgStatus(Msv[36], 36); นี่คุณกำลังด่าคนทั้งโลกที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าแบบมุสลิมนะ คุณมีสิทธิ์อันใด แม้กระทั่งโคตรพ่อโคตรแม่คุณที่เป็นบรรพบุรุษไทย สตรีก็เปลือยอก เป็นของธรรมดา คุณจะว่าไง พวกเขาเป็นสัตว์งั้นหรือ? โคตรพ่อโคตรแม่ใครผม ไม่รู้ แต่โคตรพ่อโคตรแม่ผม สอนมาให้รู้จักสำรวมในเรื่องเพศ และการเปลือยอก หรือการที่ไม่ใส่เสื้อของคนโบราณ ไม่ใช่เรื่องในการกระตุ้นทางเพศครับ แต่เป็นการแต่งกายปกติ ไม่ใช่เพื่อยั่วยุ ผมบอกแล้วว่า ""แต่การจะให้มองผ่านทะลุเสื้อ ผ้า หรือเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ อันนั้นมันก็ไม่ต่างจากสัตว์หรอกครับ ถ้าใครจะมองว่า มนุษย์คือสัตว์ประเภทหนึ่ง เลยอยากทำตัวแบบสัตว์ ที่มันหื่นไม่รู้เวลา ผสมพันธุ์ไม่เลือกหน้า" หรือโคตรพ่อโคตรแม่คุณสอนว่า การเกิดความกำหนัด มีเพศสัมพันธ์กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์ มันเป็นเรื่องสมควรครับ โคตรพ่อโคตรแม่คุณสอนแบบนี้หรือเปล่า ก็ถ้าโคตรพ่อโคตรแม่คุณสอนแบบนั้น ผมก็คงไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะเมื่อ คุณมันได้รับการปลูกฝัง กับการสมสู่แบบสัตว์อย่างนี้ ตั้งแต่สมัย โคตรพ่อโคตรแม่ของคุณ แต่บรรพบุรุษคนไทยของผมสอนให้รู้จักการสำรวมในเรื่องเพศ และให้รู้จักควบคุมเรื่องเพศให้อยู่ในกรอบ ไม่ใช่มองผู้หญิง หรือมองอะไรโป๊ๆ เพื่อเพิ่มพลัง หรือเพื่อบันเทิงอย่างเดียว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 09:31:59   คนโบราณเค้าอาจจะยังไม่ประสบปัญหาเรื่องนี้มากนัก หรืออาจจะไม่ได้มองด้วยความหื่นครับ แต่อิสลามกันไว้ก่อนครับ เผื่อพวกที่ควบคุมตัวเองไม่ได้นั่นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 08:42:14

ความคิดเห็นที่ 68 เรื่องการแต่งตัว หาอ่านได้นะครับ http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=new&topic=4&Cate=1  ศธ.จัดเวทีสะท้อนปัญหาข่มขืน รุมโทรม เด็กบ้านกาญจนาภิเษกเผยเหตุก่อคดี ดื่มสุรา-ผู้หญิงแต่งตัวล่อแหลมบ่อเกิดยั่วยุอารมณ์ นึกว่าฟรีเซ็กซ์ ชี้สอนป้องกันตัวช่วยไม่ได้ เสนอทางแก้ปลูกฝังทัศนคติผู้ชาย หากเป็นน้องสาว-คนรักถูกกระทำรู้สึกอย่างไร ระบุไม่ควรสอนเพศศึกษาวัยประถมจะเป็นชี้โพรงให้กระรอก ด้าน'ทศพร'เตรียมทำคัมภีร์ป้องกันตัวถูกข่มขืนแจก น.ร.หญิงทั่วประเทศเดือน ธ.ค.นี้ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนะครับ ที่เขาให้แต่งตัวมิดชิดเพื่อป้องกันพวกหื่นกาม หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ คนเรามันสอนไม่ได้ทุกคนครับดังนั้น นอกจากสอนแล้วยังต้องป้องกันตนเองด้วย บางคนที่ว่า สำเร็จวิชาเต๋า ยังแสดงอาการหมกมุ่นออกมาเลย แล้วคนทั่วไปมันจะขนาดไหน?   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 08:47:01

ความคิดเห็นที่ 69 จริงๆ ผมก็เข้ามาดูเพราะมันเกี่ยวกับซาอุ ก็เจอเรื่องอิสลาม และการแต่งตัว ผมก็เอามาให้อ่านว่า สอนอย่างไร สอนเรื่องอะไร ผลยังไง เหตุยังไง โดยคร่าวๆ ก็ไม่ทราบว่า มันไปสะกิดปมด้อย อะไรใครนะครับ ถึงมาโชว์พลังเพศซะวุ่นวาย ถ้าไม่ชอบ ไม่อยากแต่ง ไม่อยากให้แฟนแต่งแบบนี้ ก็ตามใจสิครับ ผมจะไปบังคับคุณ หรือใครยังไง แต่อันนี้โจมตีกัน ก็ต้องชี้แจงกันหน่อยนะ เอาเป็นว่า ใครที่คิดว่าอิสลามสอนให้ทำลายอวัยวะเพศสตรี ก็ให้รู้ว่าไม่ใช่ครับ อันนั้นมันเป็นประเพณีโบราณก่อนอิสลามแล้ว หรือบอกว่าไม่ให้สตรีรับความสุขทางเพศ ก็ไม่จริงอีกแหละ อิสลามสอนให้ สามีดูแลภรรยาเรื่องความสุขนี้ด้วย และเรื่องเพศนี้ เป็นเรื่องที่สตรีสามารถฟ้องหย่าสามีได้อีกต่างหาก ถ้าวันวัน ไม่หมกมุ่นแต่โยนี และคริฯ ก็น่าจะลองเปิดกระโหลกอ่านมั่งนะครับ พิมพ์อะไรให้มันผ่านสิ่งที่อยู่ในกระโหลกบ้าง ไม่ใช่ใช้พลังเต๋า ขับเคลื่อนบทความ ผ่าน กระ..... ดูกก้นกบอย่างเดียว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 08:54:28

ความคิดเห็นที่ 70 ทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี ผมว่าน่าจะยุติได้แล้วนะครับ จากคุณ : Def Leppard เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 09:46:43

ความคิดเห็นที่ 71 ครับ อยากยุติ เหมือนกัน เห้อ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 10:55:22

ความคิดเห็นที่ 72 ผมอยากถามหน่อยครับ เรื่องชุดที่รัดกุมสุดๆเองก็เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยใช่มั้ย เพราะมุสลิม ในแถบเอเชียกลาง อย่าง พวกคาซัค อุซเบ พวกนี้แต่งตัวกันไม่เคร่งเลย แม้จะเคร่งเรื่องละหมาดและ เรื่องอื่นๆ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 14:00:51

ความคิดเห็นที่ 73 เรื่องชุดก็ อนุญาตเปิดเผยใบหน้า และฝ่ามือครับ ส่วนคลุมหน้า ปิดหน้าไม่จำเป็นครับ แต่ทำก็ถือว่าดีครับ เพิ่มเติมคือ ชุดต้องไม่รัดรูป หลวมๆ ไม่เน้นสัดส่วน จริงๆ แล้ว ชุดจีนโบราณนั้น เหลือแค่เอาผ้ามาคลุมผมก็น่าจะใชได้แล้วล่ะครับ สวยงาม ส่วนสีดำ ผมไม่แน่ใจ ว่าทำไมต้องสีดำ ตัวผมเองชอบสีขาวมากกว่า ดูสะอาดด้วย แต่โดยรวมคือแต่งกายให้มิดชิดไม่เปิดเผยน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 55 15:39:04 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 15:26:56

ความคิดเห็นที่ 74 ชุดซ้ายกับขวานี่ ถ้าเอาผ้าคลุมผมมาคลุมก็โอเคเลยครับ ผมว่าสวยงามอีกต่างหาก แต่ตรงกลางไม่ได้นะครับ จะเปิดส่วนคอกับอก     ปล. เอามาจากพันทิพนี่แหละ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 15:41:27

ความคิดเห็นที่ 75 แวะมาให้กีบคุณ Carroth ค่ะ ตามอ่านคำอธิบายของคุณมา 2 วันแล้ว อยากจะมีส่วนพูดคุยบ้างเหมือนกัน แต่ความรู้เรื่องหลักฐานต่างๆมีน้อย ถึงมีศรัทธาแต่ก็ไม่ทราบจะแก้ต่างให้ฟังดูดีมีเหตุผลได้อย่างไร เป็นกำลังใจให้คุณชี้แจงและไขข้อสงสัยเกี่ยวกับศาสนาอิสลามต่อไปค่ะ จากคุณ : Nymphadora เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 16:11:24

ความคิดเห็นที่ 76 ตอบ Carroth ความคิดเห็นที่ 71     ที่ว่า "ครับ อยากยุติ เหมือนกัน เห้อ" ^ งั้นหรือ? ขอย้ำสถานภาพเดิมคือ 1 ที่นี่ไม่ใช่ประเทศมุสลิม 2 เราใช้ sex ส่งเสริมสุขภาพเราตามคำสอนศาสนาเรา (คือเต๋า) คุณไม่มีสิทธิ์มาด่าเราว่า "สัตว์" 3 เราหื่นและมีความสุขทางเพศ แต่ไม่ได้ไปข่มขืนใคร และไม่ได้ผิดลูกเขาเมียใคร คุณไม่มีสิทธิ์มาด่าเราว่า "สัตว์" 4 เราไม่นับถือศาสนาคุณ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาด่าเราว่า "สัตว์" ดังนั้น ตราบเท่าที่คุณไม่ขอโทษเรา และไม่ถอนคำพูด ที่เรียกเราว่าสัตว์ เราจะแปะหลักฐานเพิ่มเรื่อยๆ เรื่องการกดขี่สตรีเพศที่เป็นปัญหาระบาดทั่วโลก  เพื่อพิสูจน์ว่า กฎเกณฑ์ที่บังคับให้คนเก็บกดทางเพศ มันก็เหมือนกับเอาสัตว์มาขังไว้พอถึงฤดูผสมพันธ์สัตว์มันดุมากๆ มันไม่ใช่ว่ายิ่งห้ามแล้วความวุ่นวายมันจะหายไป   การก่อการร้ายในระดับโลกการกดขี่ข่มเหงสตรีเพศที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก จริงๆแล้วมันไม่ใช่มาจากคำสอนศาสนาอิสลามเพราะศาสนาอิสลามไม่เคยสอนอะไรอย่างนั้น แต่มันมาจากพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่กระทำผิดศีลธรรมและเอาศาสนามาอ้าง  ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นใน primitive society (สังคมพวกคนป่า) ซึ่งคุณ Carroth ก็น่าจะเป็นหนึ่งในพวกมุสลิมหัวรุนแรงด้วยเช่นกัน เพราะคุณใช้อำนาจบาดใหญ่มาด่าเราว่า "สัตว์" กะอีกแค่เพราะเราไม่นับถือศาสนาคุณ จนกว่าคุณจะขอโทษเรา เราจะแปะหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องการกดขี่สตรีเพศ ที่หาข้อมูลได้ทุกวัน วันนี้เรามาอ่านบทความนี้กัน   (ไม่ได้แปลให้หมด แปลเฉพาะบางตอน) Four Dutch-Moroccan women, Rabea, Zohra, Ibtisam and Saïda, were all sexually abused by members of their families: their fathers, uncles, brothers or cousins. สตรีชาวดั๊ทช์เชื้อสายมอร็อคโก สี่คนคือ Rabea, Zohra, Ibtisam และ Saïda ถูกสมาชิกในครอบครัวตัวเอง (คือพ่อ ลุง พี่ชาย/น้องชาย และลูกพี่ลูกน้อง) ลวนลามทางเพศ After years of silence, they have decided to speak out because they know that many other Muslim women suffer the same fate. A care worker: “Taboos, secrecy, silence, shame and a closed community are almost a recipe for sexual abuse.” The idea of ‘family honour’ meant that Rabea, Zohra, Ibtisam and Saïda kept their mouths shut. Now they are telling their stories to try and break the taboo surrounding sexual abuse in Muslim families. They no longer see themselves as victims. Their mission is to help other women who are in trouble now. No criminal report - no figures - no help Young Muslim women who are abused do not figure in reports. Neither do their abusers. Zohra Acherrat, psychiatrist with the ‘Fier Fryslân’ emergency shelter in Friesland in the north of the Netherlands: “Muslim men are underrepresented in vice cases. That’s why we tend to overlook things. In most cases, Muslim girls don’t file a complaint. That’s why the abuse goes unnoticed.” It’s not just in the Netherlands that incest goes unreported. Support workers in Morocco and Denmark know that the abuse goes on there too, but again there are no available figures. And no figures means no help. Willem Timmer from the National Centre for Expertise on Honour-related Violence (Landelijk Expertisecentrum Eergerelateerd Geweld): “We don’t draw conclusions from the stories of individual women but from research based on hundreds of dossiers. That leads me to conclude that there isn’t a higher incidence of incest in the Muslim community than in the native Dutch community.” Click here if you want to react to this article. All information will be treated confidentially. Young victims Their stories are individual but share much common ground. They were all around four or five when someone in their family started abusing them. The girls all kept silent because of threats, but also for fear of bringing ‘dishonour’ on the family. They didn’t even consider going to the police. Even now, they think that would be going too far. Rabea was abused as a little girl by her father. She became caught up in herself and grew defiant. Rebea ถูกพ่อลวนลามตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ............... “It’s so unnatural. If you’re beaten up at school or on the street, you go to your parents or your teacher. But this is your father. That goes against everything you believe in. I didn’t know how to talk about it and to whom I could turn. I was in danger of ending up in prostitution, but that didn’t happen luckily. Other people’s support and my belief in Jesus Christ helped to give me strength in the end.” Robbed of everything Zohra kept her story to herself for years. She now tells of how she was raped by her cousin in Morocco when she was five: Zohra เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับหลายปี  มาแล้ว แต่ตอนนี้เผยความจริงว่าโดนลูกพี่ลูกน้องข่มขืนในมอร๊อกโกตั้งแต่เธออายุห้าขวบ “I was staying with my aunt and my cousin was looking after me. That day is engraved on my memory – he robbed me of everything. My aunt caught us. She said she’d deny everything if I told my parents. Nobody would believe me. I lost trust in everything. You’re damaged by sexual abuse, but I’ve learned that you can recover.” Recipe for abuse Kristina Aamand has heard lots of similar stories. She works at an emergency shelter for young women in Denmark which, like the Netherlands, has a large Islamic immigrant population. “It goes on in immigrant and native Danish families. It’s just that we never look for it in the Muslim community. When I was being trained, I was told I didn’t need to learn anything about sex abuse in Islamic countries because incest was forbidden by Islam and didn’t happen. That was really naïve. Taboos, secrets, silence, shame and a closed community are almost a recipe for sexual abuse.” Cast out of the family Ibtisam was abused by her brother almost daily between the age of six and 12. “If I told on him, he would blame me. I would be killed or cast out of the family. I felt dirty, unhappy and rejected by my own family. I was very lonely. I was a girl that wasn’t alive. I was breathing but that was all.” The abuse stopped a year after Ibtisam threatened to tell on her brother. Ibtisam ถูกพี่ชายลวนลามเกือบทุกวันในช่วงที่เธออายุหกขวบถึง 12 ขวบ Love Matters An RNW website about love, sex, relationships and everything in between. Here you'll find loads of blush-free information to help you improve your sex life and stay healthy and happy. Saïda was the victim of several abusers. She still suffers from the consequences every day. “I was abused from the age of four to 20 by different people. It destroyed me both physically and mentally. I felt afraid. I am still unable to be intimate with men, or fall in love. I did not have a normal childhood.” The doctor said she was mad. A couple of years ago, Saïda set up a project for abused Islamic girls. She realised there are more girls like her who do not tell their stories. Confide Zohra, Rabea, Ibtisam and Saïda are not alone. There are more indications of sexual abuse in Islamic families. A crisis centre in Friesland takes in victims of honour-related violence. Half of them turned out to be sexually abused by a relative. Most of them have a Moroccan or Turkish background, some of them are Iraqi, Afghan or Kurd. ไม่ใช่แต่ Zohra, Rabea, Ibtisam และ Saïda ที่เจอปัญหาเช่นนี้  ยังมีสัญญาญบ่งบอกว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศอีกมากมายในครอบครัวอิสลาม  ศูนย์วิกฤตใน Friesland รับเหยื่อที่ได้รับความรุนแรงในเรื่องราวที่เกี่ยวกับเกียรติยศเข้ามาเป็นจำนวนมาก (น่าจะหมายถึงผู้หญิงคนทำอะไรผิดกฎเรื่องความเคร่งก็เลยถูกทำร้ายร่างกาย)  ผู้หญิงพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นชนชาติมอร็อกโก เตอร์กี บางคนก็เป็นอิรัก อัฟกัน หรือเคอร์ด Zohra, Ibtisam, Saïda and Rabea are older now and have got their lives back in order. They want women with similar problems to confide in someone they trust. “They are not alone. Telling your story gets easier. I hope victims can draw strength from our stories,” says Ibtisam. แหล่งที่มา http://www.rnw.nl/english/article/sex-abuse-muslim-families-goes-unreported จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 22:25:40

ความคิดเห็นที่ 77 เรื่องนี่น่าสลด ผู้หญิงมุสลิมถูกสามีตัดใบหู 2 ข้างและถูกตัดจมูกออก ข่าวขึ้นหน้า 1 Time Except for the lie about the pedophile mohammed respecting women; this article does a fair job of explaining the plight of Afghan women. This is also not just an “afghan problem” islam is abuse. 21 August 2010, the National Manizha Naderi, as told to Hamida Ghafour Ten months ago I received a phone call from an Afghan-American translator working with the provincial reconstruction team in Uruzgan province, saying that the American soldiers there had a young girl on their base who needed help. He would not tell me what her story was. After I accepted her to our shelter, I was told her husband had cut her ears and nose off. A few days later I went to Kabul airport to pick Bibi Aisha up. I don’t know how to describe it. It was too much. The first thing I saw was a hole in the middle of her face. She was very quiet and trying to cover her face. It was sort of an instinct where if anyone sat in front of her she covered her nose. When she came to the shelter she told us her story. She was given away in a “baad” transaction at the age of 12. This is a tribal tradition. If a family commits a crime, they give a girl to the victim’s family so the dispute is settled. -A lie; this “tribal tradition” is found in many islamic countries, even ones that do not have “tribes”. From the age of 14 onwards, she was living with her in-laws in Chora, a village in Uruzgan province. Her husband was not around and she never met him. He was with the Taliban. For more than three years the in-laws beat her, tortured her and made her sleep with the livestock. -Notice the usage of “wife” and not the correct terminology “slave”. A woman living in her neighbourhood told her that she should run away and that she would help her. The woman told Bibi Aisha she would have good fortune and a good life. Bibi Aisha could not take the beatings any more so she ran away with two women. They took her to Kandahar where, in turn, they wanted to sell her to another man. The police were called and the women were imprisoned. Bibi Aisha spent four months in prison. One day President Hamid Karzai came and toured the prison and pardoned her. -What a guy, thank God we gave him billions (sarcasm) She was referred to the human rights commission in Kandahar. Her father then came looking for her and took her back to the house of her in-laws. That night her father-in-law and husband came home. It was the first time she had ever seen her husband. They said and did nothing that night. The next morning, her husband took her out in front of the community where the rest of his Taliban friends were. He said that his wife had run away and shamed his family. Everyone agreed that she should be shamed too and her nose and ears cut off. Bibi told me her brother-in-law held her down as her husband cut one ear off. She passed out. When she came to, her other ear and nose were gone. They left her bleeding and alone in the desert. She made her way alone to her uncle’s house. He told her to go away, he wanted nothing to do with her. She went to her father-in-law’s home. He took her to the Americans with the provincial reconstruction team in Tirin Kot, the capital of Uruzgan. -Even with all the lies and half truths, everyone knew the Americans would help. A lot of media outlets contact me for stories about women. When they saw Aisha, everyone wanted to write about her. First it was CNN, then ABC News. Then Time contacted me. I think the Time magazine cover has been very important for our work. It opened a worldwide debate about women’s rights and we are very happy about that because the American public and people in the rest of the world are losing patience with the war in Afghanistan. They want their troops to leave. The Taliban released a statement when the Time story came out. They said the whole story was propaganda to help the American army. We think in order for Afghan women to be safe we need the US troops until the Afghan army is strong enough to defend the country. Right now, they are not. Most Afghans agree with us. If the Americans left, civil war would start next week. Bibi Aisha’s case was the most extreme I have ever seen. I’ve seen other women who have been burned, had bones broken. -Not to mentioned, murdered, gang raped, buried alive and somehow all of those crimes and more were left out of the article, strange. Domestic violence is a huge problem. Some form of domestic violence exists in every family. Some are just a slap in the face, others are forced marriage, the custom of “baad”, there are child marriages and torture. Sometimes a girl comes to us because her father won’t let her go to school or she wants to marry someone her father opposes. We need these shelters so women can have a place where they can safely stay until their problems are resolved. We have to explain to people that we are not against men or trying to separate families. We are trying to bring harmony to family relations. First, we try to solve the problem through the family so she can live peacefully without being violated again. In 80 per cent of the cases, mediation works. If a woman comes and says, “My husband is beating me” or “I want a divorce”, we tell the husband to come to one of our family guidance centres and mediate through our lawyers and case workers. -Are any of you good with just forgetting about the other 20 %? Afghanistan is a family-oriented culture. It is almost impossible for women to live by themselves. After a divorce a woman is stigmatised and not accepted by the community. The best place for her is her own immediate family. In the minority of cases, if we think it is dangerous for her to go back home or there is no way to solve the case through mediation, we have lawyers and try to dissolve the marriage in the courts. Then the woman returns to her father’s house. The root causes of the violence are not religion. The Prophet Mohammed never beat his wives, he respected them, he respected women. -We have busted that lie many times over the years; mohammed was scum; pure garbage. It is traditions and tribal law that govern Afghanistan, really. The Quran never says if a male in the family commits a crime you should exchange a girl so the crime goes away. After 30 years of war, men are traumatised and it affects the domestic sphere. Generations of men have grown up knowing only war and killing. It would have an effect on any human being. I think the whole country is suffering from post-traumatic stress disorder. When a woman arrives at a family guidance centre, we take her to a temporary shelter for two or three nights until we know what her story is. Afterwards we transfer her to the main shelter, which is in a secret location, protected by guards. We have to keep it a secret because we don’t want husbands or fathers to go and make trouble for the women. We haven’t had any problems with anyone, although we do get threats from disgruntled fathers and husbands. It costs US$250,000 (Dh920,000) a year to run a centre and shelter. It is not very much. The women get a bed to sleep on, medical care, three meals a day. We have literacy classes, sewing classes and we pay for the mediation sessions and lawyers’ fees. We get funding from the US state department and European Commission. Since 2007, we have helped 2,000 women. This year we opened a shelter in Jalalabad and another in Kunduz. Last month we got 130 women all over the country coming to us. It is very fulfilling work and I feel like we are changing a lot of things. I was born here but grew up in the United States. I feel very fortunate to have left Afghanistan and to have been educated. In all honesty I could have been one of the women tortured under the Taliban. I always wanted to help but what can one person do? I didn’t get involved for years, then, in 2002, I joined Women For Afghan Women which was just established in New York. The next year, I visited Kandahar, a women’s prison there. Most of the women were not there for any kind of real crimes but for running away from abusive relationships. I had to do something about this. I really wanted to come back. So, in 2006, I moved to Kabul. Whether the situation gets better for women depends on the political situation. If there are negotiations with the Taliban it will get worse. Schools are going to close, women are going to be forced to stay at home. Whatever happened under the Taliban will happen again. There was a stoning in Kunduz recently, and the stoning and shooting of a pregnant woman. These things will happen even more if the Taliban are back in the government. -At least that is true. This weekend I returned from the US. I took Bibi Aisha to Los Angeles. She is being treated by the Grossman Burn Foundation which helps burns victims in developing countries. She is staying with a host Afghan family there. If all goes well, she will be in the US for eight months. She needs multiple operations. Until she has the real surgery she is going to have probably a prosthetic nose. The doctors will take parts from the rest of her body, bone, cartilage, and build her a new nose. -I am all for helping the victims of islam, the world needs to know that our system is superior and through actions we learn about both islam and what America really stands for. She has to be ready mentally and physically for the surgery and we don’t think she is at the moment. She had a breakdown. She is very upset. It is too early to decide if she will return to Afghanistan or not. It’ll be her decision after the surgery. She has a younger sister back in Uruzgan who was also given away in the “baad” custom. We don’t know what has happened to her. Maybe the in-laws are taking out their anger on her. It is not really a happy ending. Manizha Naderi, 34 and the mother of two young daughters, is executive director of Women for Afghan Women, a rights group based in New York. Born in Afghanistan, she runs five women’s shelters across the country which help victims of domestic violence. She told her story to Hamida Ghafour แปะรูปให้ดูด้วย น่าสงสารมากๆ แหล่งที่มา http://doctorbulldog.wordpress.com/2010/08/20/the-abused-women-of-islam-a-shocking-story-heard-every-day/ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 22:30:15

ความคิดเห็นที่ 78 งั้น ฟังให้ชัดๆ เลยนะครับ ผมจะไม่ขอโทษใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะคนปากพล่อยบางคน ยังไม่กล่าวขอโทษมุสลิมเลยที่ มาบอกว่าอิสลามกดขี่สตรี ดังนั้นอยากจะแปะก็แปะไปครับ อยากจะประจานตัวเองต่อก็ตามใจ ดีเสียอีก คนในนี้จะได้รู้ข้อมูลของอิสลามเพิ่มขึ้น ผมล่ะชอบจริงๆ เพราะเรื่องขลิบในสตรี บัดนี้ก็รู้แล้วว่า อิสลามไม่ได้สอนเรื่องการทำลายอวัยวะเพศสตรีครับ หรือจะเรื่องความสุขทางเพศของสตรี ก็ได้รู้กันแล้วว่า มุสลิมชายได้รับคำสอนให้ดูแลความสุขของภรรยาดีแค่ไหน ดังนั้น ผมย้ำอีกครั้ง ว่า "ผมไม่ขอโทษใครหน้าไหนทั้งสิ้น" จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 22:46:26

ความคิดเห็นที่ 79 อ่อแล้วผมก็ไม่ใช่มุสลิมหัวรุนแรงที่ไหนหรอกครับ การกระทำผิดหลักศาสนาอิสลามแบบนั้น ผมไม่ชอบ และก็ไม่เกี่ยวข้องด้วยนะ จะเอาอะไรมาลงก็ตามใจเลยครับ   เรื่องตัดหูตัดจมูก นี่ก็เหมือนกัน อย่าว่าแต่ตัดเลย แค่ทำร้ายร่างกาย สตรีก็ฟ้องหย่าได้แล้วครับ ผมเอามาลงแล้วนะ อิสลามอนุญาตให้สตรีขอหย่าจากสามีต่อหน้าผู้พิพากษา เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข ดังเหตุการณ์ต่อไปนี้ 1. เมื่อสามีละเลยเรื่องการใช้จ่ายเลี้ยงดู 2. เมื่อสามีทำร้ายภรรยาจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกันอย่างปกติสุขได้ อย่างเช่น เหยียดหยามต่อว่านาง หรือตบตีนาง หรือทำร้ายจนนางไม่สามารถทนได้ หรือบังคับให้นางกระทำในสิ่งชั่วช้าหรือการกระทำอื่นๆในทำนองนี้ 3. เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนจากการหายตัวของสามีและกลัวฟิตนะฮฺที่จะเกิดขึ้นกับนาง 4. เมื่อสามีถูกกักขังเป็นเวลานานและนางได้รับความเดือดร้อนจากการอยู่โดดเดี่ยว 5. เมื่อนางพบข้อบกพร่องของสามีที่คนทั่วไปรับไม่ได้ อย่างเช่น เป็นหมัน หรือ ไม่มีความสามารถในการร่วมเพศ หรือ เป็นโรคที่น่าเกลียดอย่างร้ายแรง หรือสิ่งอื่นๆในทำนองนี้     ความคิดเห็นบนๆ นั่น ก็เห็นชัดๆ นะว่า ภรรยามีสิทธิมากมายแค่ไหน ความคิดเห็นที่ 8 MsgStatus(Msv[8], 8); ................. เสริมให้ครับ ครั้งหนึ่งที่ซาอุฯเคยมีสตรีคนหนึ่งขอหย่าสามี เพราะจับได้ว่าสามีแอบเปิดดูหน้าเธอตอนนอน เธอและสามีแต่งมา 12 ปี สามีไม่เคยเห็นหน้าเธอ................ แว่วมาว่าคืนดีกันแล้ว ศาลไกล่เกลี่ยให้ สามีขอโทษเธอและสัญญาจะไม่ทำอีก ในขณะที่ในริญาด เมืองหลวงซาอุ ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวจะได้รับเชิญเพียงคนเดียวให้ทานอาหารกับครอบครัวฝ่ายหญิง โดยวันนั้นสตรีทุกคนจะเปิดผ้าคลุมหน้าเพราะมองว่าเป็นญาติกันแล้ว......... ประเทศเดียวกันนะนั้น sigree จากคุณ : nana5104 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 19:39:06 ถูกใจ : ต้นข้าวในทะเลทราย, thezircon, ttj, เกียรตินำ, ฟ้าสาง...ที่บางโพ, ธันวาธาวิน, MOTO WiFi, Ahura, glamorousbuild, Angleevil, หลั่นฉง, น่ารักอย่างกะยักษ์วัดแจ้ง เพราะงั้นเรื่องการทำร้ายสตรีแบบที่ว่า นั่นผิดหลักศาสนาอิสลามครับ   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 23:03:41

ความคิดเห็นที่ 80 รออยู่นะครับ ข้อมูลเรื่องต่อไป เชิญได้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 23:04:20

ความคิดเห็นที่ 81 เรื่องที่แปะไว้ใน คคห 77 ขี้เกียจแปลหมด แต่เรื่องย่อก็คือ ผู้หญิงมุสลิมคนนี้มีนามว่า Bibi Aisha  เมื่ออายุ 12 ครอบครัวยกเธอให้ครอบครัวอื่นไปเพื่อเป็นการไถ่ความผิดตามพิธีที่มีชื่อเรียกว่า "baad" ซึ่งให้เธอไปเป็นภรรยา (จริงๆแล้วเป็น "ทาส"ซะมากกว่า) ชายผู้หนึ่ง แต่พออายุได้ 14 ปี สามีเธอก็ไม่อยู่กับเธอแล้ว  ได้แต่ปล่อยให้เธออยู่กับญาติพี่น้องสามีซึ่งได้แต่ทุบตีเธอทรมาณเธอเรื่อยมา โดยปล่อยให้เธอนอนกับพวกปศุสัตว์ ตอนอายุ 14 เธอทนโดนทรมาณไม่ไหว ก็เลยหนีออกจากบ้านไปกับผู้หญิง 2 คน แต่พวกผู้หญิงนั่นก็จะเอาเธอไปขายให้ผู้ชายอื่นอีก  แต่ทำไปทำมาพวกผู้หญิงนี้โดนตำรวจจับไปติดคุกกันหมด  แล้วพอวันหนึ่ง President Hamid Karzai  ไปเยี่ยมคุกก็เลยช่วยให้เธอได้รับอภัยโทษ (ตกลงทำผิดอะไรหว่า?)   แต่พ่อตัวจริงเธอมา เจอเธอเข้าก็เลยพาเธอส่งกลับบ้านญาติพี่น้องสามีเธอ วันต่อมาสามีเธอโผล่มาแล้วพาเธอไปให้พวกเพื่อนๆ Taliban ดู แล้วบอกว่าเมียตัวเองทำให้ครอบครัวต้องอัปยศ ไอ้พวกเพื่อนๆบ้าคลั่งก็เห็นด้วย ก็เลยเสนอว่าให้ตัดจมูกตัดหูออกซะ พี่เขยเธอก็จับตัวเธอไว้แล้วสามีเธอก็ตัดหูออกข้างหนึ่ง  เธอสลบไป พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าหูอีกข้างหนึ่งกับจมูกก็โดนตัดออกไปด้วย และพวกมันปล่อยให้เธอเลือดไหลอยู่ที่ทะเลทราย..... เล่าต่อไปไม่ไหวแล้ว มันเศร้าเหลือเกิน...ค่อยๆอ่านภาษาอังกฤษเอาเองก็แล้วกัน จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 55 00:36:59

ความคิดเห็นที่ 82 ตอบ Carroth คคห  80 ที่ว่า "รออยู่นะครับ ข้อมูลเรื่องต่อไป เชิญได้" ^ รับรองว่ามีเยอะเลย เรื่องแบบนี้ในประเทศมุสลิม ถ้าคุณยังเถียงว่า "ไม่มีการกดขี่สตรี" ในขณะที่คนทั่วโลกเขารู้กันหมดแล้ว และอีกอย่างหนึ่งคุณก็ "ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปด่าใครว่าเป็นสัตว์ถ้าเขาพูดว่าการกดขี่สตรีมีจริง" ^ เพราะตอนคุณด่าเราว่า "สัตว์" คุณก็อ้างศาสนาคุณ ตกลงคุณจะทำชั่วอะไรก็เอาศาสนามาบังหน้าซะหมด การกดขี่สตรีมีให้เห็นๆอยู่โทนโท่ ดังนั้นการอ้างว่า "เคร่งครับเรื่องบทบัญญัติทางเพศ" ไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวว่า "เป็นคนดีมีศึลธรรม" แล้วไม่สามารถเที่ยวได้ไปด่าคนศาสนาอื่นว่าเป็นสัตว์ได้ อย่างที่คุณคิด เพราะคุณไปหมิ่นประมาทผู้อื่น โดยเอาศาสนามาบังหน้าอีกนั่นแหละ จริงๆแล้ว "ความเก็บกดทางเพศต่างหากที่นำไปสู่ความรุนแรง"...พอจะไปด่าว่าใคร ทำร้ายใคร หรือแม้กระทั่งก่อการร้ายในระดับสากล ก็เอาศาสนามาอ้างอีก... แต่พอมีคนเขาเอาหลักฐานมาแปะให้ดู คุณก็เอาข้อความอะไรก็ไม่รู้มาแปะไว้เต็มไปหมด เพื่อพูดจากลับกลอกเพื่อจะบอกว่า "ศาสนาสอนอีกอย่างหนึ่ง" คุณไม่คิดบ้างหรือว่า "พฤติกรรมของคุณเองทำให้ศาสนาตัวเองเสื่อม" ทำให้ผู้คนทั้งโลกเขารังเกียจ... แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 55 00:54:29 แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 55 00:52:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 55 00:43:55

ความคิดเห็นที่ 83 แน่ใจเหรอครับ ว่าผมเอาอะไรก็ไม่รู้มาแปะ แสดงว่าไม่อ่าน ผมเอาหลักฐานคำสอนของจริงมาลงครับว่า ที่คุณเอามาลงน่ะมันมั่ว มันไม่ใช่คำสอนของอิสลาม ถ้าคุณจะเอาการทำผิดๆ ของศาสนามาลง แล้วอ้างว่าอิสลามกดขี่สตรี แบบนี้ ผมก็เอามาได้ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์เลยครับ แต่ที่ผมเอามาลงก็เพื่อให้ดูว่า การทำลายอวัยวะเพศสตรีนั้น อิสลามไม่ได้สอน หรือการเห็นสตรีเป็นวัตถุ ไม่มีสิทธิได้รับความสุข นั่นก็มั่วอีก อิสลามสอนให้ดูแลสตรีด้วยซ้ำ ส่วนเรื่อง มีการกดขี่สตรี นั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับอิสลาม หรือคำสอนของอิสลาม คุณจะเอามาลงก็เอามาลงเลยครับ เพราะผมไม่เกี่ยวอยู่แล้ว และมันก็ไม่เกี่ยวกับอิสลามด้วยครับ นั่นมันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของศาสนา แปลตรงๆ ก็คือ ศาสนาห้ามแต่คนยังทำกัน นั่นเป็นมันการกระทำเลวในแต่ละบุคคล และที่สำคัญ คุณก็ไม่มีสิทธิ ว่าใครว่ากดขี่สตรี ถ้าคนคนนั้นไม่ชอบการประพฤติตัวเหลวแหลกสมสู่ไม่เลือกหน้า ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมแบบสัตว์ และถ้ามนุษย์ทำ มันก็ยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก ชัดไหมครับ เพราะตอนนี้ คุณก็เอา เอาหัวมุดอยู่ในโยนี แล้วก็เที่ยวมาบอกว่า คนอื่นกดขี่ทางเพศ โดยอาศัย ความหื่นกาม อาศัยอาการอยากเซ็กส์มาเป็นตัวขับเคลื่อน ประหนึ่งว่า ข้อความไม่ได้ผ่านที่อยู่ในกระโหลกเลย แต่มันขับเคลื่อน ผ่าน กระ... อย่างอื่นมากกว่า หรือจะเรียกชัดๆ ว่าคุณเข้ามาว่าคนอื่นว่ากดขี่ทางเพศ โดนอาศัย โยนี บังหน้า ไม่ใช่หรืออย่างไร? หรือคุณด่าว่าคนอื่นได้ โจมตีคนอื่นได้ แต่โดนคนอื่นว่าไม่ได้? ผมบอกแล้ว ผมชอบมากถ้าคุณเอามาลงเยอะๆ ถ้ายังไม่รู้จักสำนึกล่ะ ก็ เอามาลงต่อได้เลยครับ ผมรออยู่ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 55 07:26:19

ความคิดเห็นที่ 84 อิสลามไม่ได้เป็นศาสนาที่ส่งเสริมการลงโทษด้วยวิธีการทารุณโหดร้าย ตรงกันข้ามอิสลามเป็นศาสนาที่เรียกร้องให้มีความเมตตา กรุณา ยุติธรรม และขันติธรรม ในขณะเดียวกันอิสลามประสงค์ที่จะให้มีการรักษากฏหมายและระเบียบ เพื่อพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของแต่ละคน สิทธิดังกล่าวนั้น รวมถึงสิทธิในชีวิตและทรัพย์สิน สิทธิในการเชื่อ การแสดงออกซึ่งความคิดเห็น สิทธิในครอบครัวของตนเอง ศาสนาอิสลามบัญญัติให้มีการลงโทษ โดยได้คำนึงถึงปัจจัย 2 ประการ คือ ก. โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มิใช่ผู้ที่ปราศจากความผิด และจะถูกยั่วยุให้กระทำความผิดอยู่เสมอ ดังนั้นอิสลามจึงจำเป็นต้องบัญญัติการสารภาพผิด ข. สมาชิกของสังคมแต่ละคน ย่อมมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และมีความรู้สึกว่าตน ครอบครัว และทรัพย์สินไม่ถูกคุกคาม ดังนั้นผู้ที่มีความประพฤติเยี่ยงอาชญากร ต้องได้รับการปฏิบัติในลักษณะที่ จะทำให้สมาชิกในสังคมที่ใฝ่หาสันติใช้ชีวิตในภาวะที่ปราศจากความหวาดกลัว อิสลามมีกฏหมายอาญาลงโทษผู้กระทำความผิด โดยได้เรียกร้องให้มีการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่า จำเลยมีความผิดโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ก่อนที่จะมีการลงโทษ นอกจากนั้นอิสลามยังเปิดโอกาสให้มีการยกฟ้องบุคคลซึ่งสำนึกผิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศาสดามุฮัมมัด ได้กล่าวว่า "พวกท่านจงพยายามหลีกเลี่ยงการลงโทษต่อมุสลิม เท่าที่สามารถทำได้ หากพวกท่านพบว่ามีทางออกก็จงปลดปล่อยเขาเสีย ทั้งนี้สำหรับผู้พิพากษาที่ผิดพลาดในการอภัยโทษ ดีกว่าผู้พิพากษาที่ผิดพลาดในการลงโทษ" คำพูดของศาสดามุฮัมมัด ได้เน้นสาระในเรื่องความเมตตาและการอภัย การลงโทษในเรื่องการผิดประเวณีตามกฏหมายอิสลามนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางประการที่รัดกุมในการปฏิบัติ เงื่อนไขดังกล่าวคือ จะต้องมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ ในประวัติศาสตร์อิสลามมีการลงโทษตามกฏหมายนี้เพียง 2 ครั้ง แต่การบังคับคดีได้เกิดขึ้น เพราะผู้ทำผิดรับสารภาพ ไม่ใช่เพราะมีหลักฐานการรู้เห็นของพยาน โดยศาสดามุฮัมมัด ได้พยายามให้ผู้กระทำผิดได้กลับคำให้การ แต่ผู้กระทำผิดได้ยืนยันในความผิดของตนเองกับท่าน จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องลงโทษ ทั้งๆที่ท่านศาสดามีความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเรื่องนี้ เนื่องจากเงื่อนไขดังกล่าวที่ยากต่อการปฏิบัติ การลงโทษตามกฏหมายนี้จึงเกิดขึ้นได้ยาก อิสลามไม่ได้ลงโทษการตัดมือผู้ที่ลักทรัพย์ เพื่อเลี้ยงตนเองหรือบุตรของตนที่กำลังอดอยาก ศาสนาอิสลามจะลงโทษโจรซึ่งขโมยเงิน หรือทรัพย์สินของผู้ที่ทำงานหนักในการเลี้ยงชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขโมยแบบนั้นเป็นผู้ที่กระจายความชั่วร้ายสู่สังคม และไม่ควรที่จะได้รับความเห็นใจหรือความเมตตากรุณาจากผู้อื่น เพราะโจรนั้นไม่ได้มีความเห็นใจหรือเมตตาบุคคลที่ตนนั้นได้ขโมยมา แท้จริงนั้นอาจปรากฏว่าผู้ซึ่งเป็นเหยื่อมีความต้องการที่จะใช้ทรัพย์สินของตนเองนั้นที่ได้ถูกขโมยไป ดังนั้นทุกสังคมย่อมมีสิทธิที่จะมีกฏหมายบังคับใช้ เพื่อให้มีความปลอดภัยและความมั่นคง เมื่อมีบทบัญญัติการลงโทษแบบนี้ได้มีขึ้นในสังคมอิสลาม ทำให้การลักทรัพย์ไม่ค่อยเกิดขึ้น พ่อค้าจึงสามารถปล่อยสินค้าของตนไว้ได้โดยไม่ต้องมีคนเฝ้า คนทั่วไปสามารถเปิดประตูบ้านโดยไม่มีการปิดล็อค และในทางตรงกันข้าม โจร ขโมยจะแพร่หลายในสังคมที่มีกฏหมายที่หละหลวม เป็นผลให้คดีลักทรัพย์เป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไป เหตุผลที่มีการลงโทษผู้ลักทรัพย์นั้น เพื่อที่จะให้มีความยุติธรรมในสังคม และเพื่อขจัดความยากจน ในช่วงปีแรกๆสมัยการปกครองของทานอุมัร บินคอตตอบ การลงโทษผู้ที่ลักทรัพย์เป็นไปด้วยความยุติธรรม เป็นผลให้คดีลักทรัพย์และปล้นสดมภ์บนเส้นทางแทบจะไม่มีเลย ดังนั้นพ่อค้าจึงเดินทางค้าขายจากซีเรียไปยังมักกะฮ์ ด้วยความปลอดภัย โดยไม่เกรงกลัวผู้ใดนอกจาก พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงยิงใหญ่เท่านัน และเพียงแต่คอยระวังฝูงแกะของตนไม่ให้ฝูงหมาป่าโจมตี ทำให้มีความเป็นเสถียรภาพ เพราะขโมย โจร ทราบดีว่าจะถูกลงโทษอย่างไร จึงจำเป็นจะต้องคิดให้ถ้วนถี่นับพันครั้งก่อนที่จะลงมือ หรือปฏิบัติการกระทำความผิดอื่นๆ ผลปรากฏว่าทำให้ไม่มีการลงโทษในเรื่องการลักทรัพย์เลย ดังนั้นควรจะตั้งคำถามว่า ! อะไรจะดีกว่ากัน ! ระหว่างการมีสังคมที่อยู่อย่างสันติสุขโดยปราศจากความหวาดกลัว แม้จะมีอาชญากรถูกลงโทษเพียงเล็กน้อย หรือสังคมที่อยู่อย่างน่าสะพึงกลัว ที่มีเรือนจำเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย อชาญากร ดังนั้น ควรจะเห็นใจผู้ใด คนเลว หรือสมาชิกในสังคม. ศาสตราจารย์ ดร.มะห์มูด ฮัมดี ซักซูก สาธารณรัฐอียิปต์ ดังนั้นเรื่องการตัดจมูก อันนั้นมันเป็นประเพณี ของคนแถวนั้นมากกว่าครับ ไม่ทราบเอามาทำไม? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 55 07:39:31

ความคิดเห็นที่ 85 จากการทะเลาะกัน (ไม่ว่านะครับ ถ้าใช้คำนี้) ของทั้งสองท่าน แต่ก็ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับหลักของศาสนาอิสลามเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จริงๆแล้วหลายๆข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผมได้ยิน ได้อ่าน ได้ผ่านตามาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็มาจากแว่นของทางตะวันตก ทั้ง TIMES CNN หรือ  Youtube ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีการตีสีใส่ไข่แค่ไหน (ผมก็อ่านอารบิกไม่ออกด้วย เลยไม่เคยเสพข่าวจากฝั่งประเทศมุสลิม) และพอได้คุยกับพี่ๆเื่พื่อนๆที่รู้่จัก ที่เป็นมุสลิม ที่แต่ละท่านจะค่อนข้างสุำภาพและมีหลักการ ทำให้ไม่กล้่าที่จะ้เปิดประเด็นโต้งๆ "พี่ๆ ผู้หญิงมุสลิมเค้าคลิปคริฯกันจริงๆเหรอ" ก็กระไรอยู่ แต่มาวันนี้ ได้คำตอบกระจ่างแล้วครับ (^_^) ส่วนตัวมองว่า ทุกประเพณีวัฒนธรรม มีที่มาที่ไป และก่อนจะวิจารณ์อะไร ควรจะศึกษาแหล่งข้อมูลให้ดีก่อนครับ อิสลามเป็นศาสนาที่เข้าถึงยาก เพราะไม่ค่อยได้เปิดโอกาสให้คนนอกเข้าไปศึกษาเชิงลึก ถ้าเทียบกับพุทธ หรือ คริสต์ ดังนั้น โอกาสที่จะโดนตีความหลายๆประเพณีไปในทางผิดๆ ก็จะเยอะตามไปด้วย ยิ่งตั้งแต่มามีปัญหากับสหรัฐฯนี่ ยิ่งไปกันใหญ่ แต่แหม คุณ Carroth ก็แรงไปนิดนะครับ ที่ไปเปลี่ยนสถานะคุณ fortuneteller ว่าไม่ใช่มนุษย์ไปซะนั่น อย่างน้อยๆเอาประโยคออกไปก็จะดูดีมากครับ จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 18:04:22

ความคิดเห็นที่ 86 เรื่องกดขี่ทางเพศ มันมีทุกที่ทั่วโลกน่ะ อย่ามาดราม่าใส่เรานะ อื่นๆ: เข้ามารีเฟรชทุกวัน จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 06:34:17

ความคิดเห็นที่ 87 ไม่เป็นไร จะพยายามใส่สารอาหารลงไปในชาม มาม่า อิอิ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 08:06:09

ความคิดเห็นที่ 88 เสียดาย มาช้าไปนิดส์ ไม่น่าเลย ^^ ปกติ ก็ไม่ค่อยเข้าห้องนี้เท่าไหร่ เอาเป็นว่าใครที่ยังไม่เข้าใจ สงสัยในเรื่องต่างๆของอิสลาม หรือ อยากได้ความรู้เพิ่มเติม ก็แนะนำนะคะว่า พยายามเข้าไปที่ห้องศาสนา เข้าไปอ่านบทความ หรือจะเข้าไปสอบถามเรื่องอะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับ อิสลาม   จะได้ไม่เข้าใจอิสลามแบบผิดๆอีก ห้องศาสนา ยินดีต้อนรับผู้ที่สนใจ และ พยายามที่จะเรียนรู้ในศาสนา อิสลาม ทุกท่านค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 11:59:26

ความคิดเห็นที่ 89 บังเอิญเข้ามาอ่าน แล้วผงะกับ คห.ของ 2 คห. ติดตามอ่านอย่างต่อเนื่อง และด้วยความระทึกใจ อิอิ คุณ fortuneteller ออกแนววีน ๆ เหวี่ยง ๆ นะคะ แต่ก็ดีค่ะ หาข้อมูลต่าง ๆ มาให้คุณ Carroth ตอบ ซึ่งสวนกลับหมัดต่อหมัด ไม่แพ้กัน แต่จะเคลียร์หรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบค่ะ แต่ที่ราได้รับคือเข้าใจในคำอธิบายของคุณ Carroth  เกี่ยวกับอิสลามมากขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ บางเรื่องยังเรียนรู้ไม่ถึงเลยอ่ะ เอาเป็นว่าเป็นการถกประเด็นกันนะคะ แม้สีสันจะจัดจ้านไปบ้างแต่ก็ได้รับความรู้ทั้งสองฝ่ายค่ะ ว่าแต่ละคนมีฐานความคิด ทีมา และเหตุผลเป็นอย่างไร จะเข้ามาตามต่อเรื่อย ๆ ค่ะ จากคุณ : คนดีอยู่ไหนจ๊ะ? เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 14:49:27

ความคิดเห็นที่ 90 ที่เห็นความเลวร้ายต่างๆเนี่ย มันก็มาจาก "คน" ทั้งนั้น ศาสนาไม่เกี่ยวเลย เฮ้อ - - " จากคุณ : ต้นไม้ยักษ์สีเขียว เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 19:14:23

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณค่ะที่ให้ความรู้ เราอ่านเพลินเชียวค่ะ จริงๆแล้วเคยคิดมาตลอดว่าผู้หญิงมุสลิมจะโดนเฉือนตรงนั้น เพื่อไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศ ทำไมเราถึงคิดเช่นนั้น บอกตรงๆตอนนั้น(อายุ 18) เรา "โลกแคบ" ค่ะ จนเรียนมหาวิทยาลัย มีน้องรูมเมทเพื่อนเป็นมุสลิม มาจากยะลาเลยค่ะ ถือว่าเคร่งนะคะ น้องจะใส่เสื้อผ้าคลุมหมด และกลับมาทำละหมาดที่ห้อง บางทีเราไปเม้าท์ห้องเพื่อน พอน้องกลับมา เพื่อนจะสะกิดเราเปลี่ยนห้องเม้าท์กัน ไปที่ห้องเราแทน เพื่อให้น้องได้ทำละหมาดสะดวกค่ะ ด้วยความอยากรู้ เราและเพื่อนเลยเลียบเคียงถามน้องหลังจากคุยไปได้สักพักนึง ว่าตัวน้องต้องขลิบส่วนนั้นหรือเปล่า  น้องก็บอกว่าขลิบ เรากับเพื่อนทำหน้าตกใจ แล้วถามว่าแล้วเป็นยังไง น้องก็ว่าปกติดี เรายังถามลึกไปอีกว่า แล้วเค้าเอาตรงนั้นออกหมดเลยรึเปล่า น้องทำหน้างงสักพัก แล้วตอบว่า ไม่นะ ยังมีทุกอย่างอยู่ครบนี่ เราก็ถามต่อไปนะ ตามที่เราเคยได้รู้มานั่นแหละ น้องก็บอกว่าไม่ใช่ แบบนั้นมันไม่มีแล้ว จากนั้นเราก็คุยเรื่องอื่นกับน้องต่อไป น้องไม่มีท่าทีว่าไม่มีความสุขหรือโดนกดขี่อะไรนะคะ (ก่อนถาม เราและเพื่อนได้พูดขออณุญาตน้องก่อนแล้ว และน้องตอบกลับมาดีๆแบบไม่มีโ มโหอะไรเลยค่ะ) พอได้คำตอบจากน้อง ถึงมานั่งคิดว่าอะไรทำให้เราคิดฝังใจไปว่าผู้หญิงมุสลิมเค้าต้องโดนแบบนั้นแบบนี้ ที่ตอบตัวเองได้คือ เราโดนคนบางกลุ่มเอาข้อมูลแบบนั้นมาฝังใส่หัวตลอด จนจำฝังไปว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งๆที่เราเป็นคนชอบอ่านนะ แต่เหมือนหนังสือหลายๆเล่มก็ช่างเขียนมาให้อ่านแบบเอียงๆ ดีที่มีอินเตอร์เน็ต ช่วยให้โลกแคบๆจองเราได้กว้างกว่าเดิมสักที เข้ามาอ่านกระทู็ู้นี้ตอนแรก ถึงกับตกใจ คนห้องนี้ทำไมเหมือนแอนตี้ศาสนาอิสลามกันจัง เพราะความไม่ชอบใจส่วนตัวที่เกิดจากเหตุทางภาคใต้หรือคะ จริงอยู่ที่ ผู้ก่อการร้ายส่วนมากเป็นมุสลิมเป็นอิสลาม  แต่ไม่ได้หมายความว่ามุสลิมทุกคนเป็นผู้ก่อการร้ายนี่คะ คนร้ายก็แค่ส่วนน้อย ทำไมมาเหมาไปทั้งศาสนา  ทำไมต้องกระแทกแดกดันศาสนาอื่นเค้าด้วย ผู้เสียชีวิตในพื้นที่ก็เป็นมุสลิมซะส่วนมากนี่คะ  พวกเค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ทำไมเหมารวมซะทั้งหมด ถ้ามีคนมาว่าศาสนาเรา มาว่าคำสอนของศาสนาเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เราก็ไม่ชอบค่ะ แล้วทำไมไปว่าศาสนาคนอื่นแบบนั้น ศาสนาเค้าไม่ได้สอนให้ฆ่าคนนะคะ  พวกผู้ก่อการร้ายต่างหากที่บิดเบือนคำสอน ที่นี่ประเทศไทยค่ะ ที่นี่เปิดเสรีสำหรับศาสนา ที่นี่ไม่ใช่ประเทศมุสลิม แต่ที่นี่เรามีพี่นองส่วนหนึ่งเป็นมุสลิมค่ะ พี่น้องชาวมุสลิมก็มีสิทธิ์มีเสียงเทียบเท่ากับไทยพุทธค่ะ ไม่ทราบว่าเหตุใดต้องพิมพ์แบ่งแยก ไฟใต้ยังลุกไม่พอหรือค่ะ จากคุณ : เทมปุระ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 04:52:32

ความคิดเห็นที่ 92 เห็นด้วยกับคุณเทมปุระค่ะ แต่ก่อนอื่นต้องแยกวัฒนธรรมพื้นฐานของคนที่โน่น(แถบตะวันออกกลาง)กับศาสนาอิสลามก่อนนะคะ ไม่งั้นจะกลายเป็นว่า การกดขี่ผู้หญิงที่นู่นเป็นเรื่องของศาสนา ซึ่งมันไม่เกี่ยวกันค่ะ ศาสนาก็มีหลักของเค้า แต่ผู้ชายแถบนู้นก็อาจจะมีการตีความ เข้าข้างตัวเอง(ก็ธรรมดาของมนุษย์โลกอ่ะนะ) ก็ว่ากันไปค่ะ จริงๆเราว่าทุก ศาสนามีจุดมุ่งหมายให้คนเป็นคนดี อยู่ในกรอบในศีลธรรม เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขนั่นแหละค่ะ ส่วนรายละเอียด ความเข้มข้นปลีกย่อยต่างๆก็และแต่ศาสนาค่ะ อย่างถ้าได้ศึกษาศาสนาพุทธดีๆแบบจริงจังก็จะเห็นว่าเราก็ไม่ได้สอนต่างจากอิสลาม มากนะคะ อย่างศีล 5 น่ะ ใครถือได้ครบก็สุดยอดแล้ว แล้วก็ถ้าทำได้ก็ไม่ต่างจากการปฏิบัติตัวในศาสนาอิสลามด้วยค่ะ (ยกเว้นเรื่องกินสัตว์เท้ากีบกับการแต่งกายของสตรี) ยิ่งศีล 8 นี่ไม่ต้องพูดถึง เข้มงวดกว่าเย๊อะ เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ตัวบุคคลค่ะ ว่าจะเข้มงวดกับการปฏิบัติตัวตามคำสอนของศาสนามาแค่ไหน เพียงแต่มุสลิมเกือบทั้งหมดจะเข้มงวดในการปฏิบัติตัวมากกว่าศาสนา อื่นๆมากกว่าค่ะ เลยทำให้เรามองแล้วรู้สึกว่ากดขี่จัง แต่ีจริงๆเป็นเพราะเราไม่ได้เข้มงวดกับตัวเองขนาดนั้นไงคะ ยกตัวอย่างนะคะ ถ้าคุณเป็นชาวพุืทธ ใช้ชีวิตปกติ(ศีล 5 ก็ยากจะรักษาให้ครบ) แล้วคุณเห็นการวางตัวของหญิงมุสลิม คุณอาจจะรู้สึกว่า โหย ต้องทำขนาดนั้นเลยหรอ อึดอัดไหมเนี่ย บลาๆๆ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ถือศีลแปดมาตลอดชีวิต พอคุณเห็นการวางตัวของหญิงมุสลิมและชาวพุทธด้วยกัน คุณอาจจะตั้งคำถามในใจว่า ทำไมให้ผู้ชายไปโดนตัวได้ล่ะ มันไม่สำรวมนะ(ถึงผู้ชายจะเป็นคนในครอบครัวก็เถอะ) ทำไมถึงวิ่งแบบนั้นล่ะ แต่งหน้าได้ยังไง ใช้่เครื่องหอมได้ยังไง บลาๆๆๆ ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดทั้งมวลแค่จะบอกว่า ถึงแม้จะศาสนาเดียวกัน แต่ถ้าการเข้มงวดในการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาแตกต่างกัน เราก็มองโลกได้ต่างแล้วค่ะ เพราะฉะันั้น ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวเราเองค่ะ ว่าจะเลือกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังไง ให้ศาสนามามีอิทธิพล ในการดำเนินชีวิตขนาดไหนค่ะ อย่างผู้หญิงมุสลิมในแถบอาหรับที่เ่ค้าไม่เข้มงวดแล้วก็มีเยอะแยะค่ะ อย่างประเทศยูเออี เดี๋ยวนี้เค้าจะสนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาท มากขึ้นค่ะ เป็นรัีฐมนตรีก็มีค่ะ เป็นพวกฑูตก็มีค่ะ พวกลูกสาวหรือภรรยาของเจ้าผู้ปกครอง(ที่เรียกว่าชีคคะ)ก็แต่งตัวธรรมดา (ไม่ใส่อะบาย่า)ก็มี ออกสื่อกันเยอะขึ้น มีบทบาทในสังคมมากขึ้น เหมือนเค้ากำลังพยายามจะสร้าง role model ให้กับหญิงอาหรับยุคใหม่น่ะค่ะ ว่าจริงๆผู้หญิงก็มีศักยภาพทัดเทียมพอที่จะทำงานได้เหมือนผู้ชายทั่วๆไปค่ะ และผู้หญิงก็มีคุณค่า จากการทำงานได้ เพราะความเชื่อฝังหัวของผุ้หญิงที่นู่นคือ ไม่ให้ออกความคิดอะไรค่ะ(เราว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องวัฒนธรรมไม่ เกี่ยวกับศาสนานะ) ผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงที่เชื่อฟังสามี ปล่อยให้เรื่องหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเป็นเรื่องของสามี ไม่พูดคุยกับชายอื่น ที่ไม่ใช่สามีหรือญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วผู้ชายที่โน่นก็โคตรขี้หึงโคตรหวง ไม่อยากให้ใครเห็น อยากเก็บไว้ให้ตัวเองเห็นคนเดียว ซุกไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไปทำงาน แล้วก็มันเป็นการดูถูกถ้าผู้ชายบ้านไหนจะปล่อยให้เมียตัวเองออกไปทำงานนอกบ้าน(คุ้นๆไหมคะ คลับคล้ายคลับคลาว่าสยามประเทศก็เคยเป็นแบบนี้เนอะ 555) มันเลยกลายเป็นเหมือนกดขี่ผู้หญิงเพราะเราอาจจะใช้มุมมอง ของเรามอง แต่ถ้าดูลึกๆ ผู้หญิงเค้าอาจจะชอบก็ได้ค่ะ ถูกปฏิบัตตัวเหมือนเป็นเจ้าหญิง วันๆนอนเฉยๆแล้วแต่งตัวสวยรอสามี สามีก็รักก็หวงมาก อยากได้อะไร สามีก็หามาให้หมด อยากไปไหนสามีก็พาไป เอาไปคุยอวดกับบบรรดาเพื่อนๆได้อีก แล้วมองผู้หญิงที่สามีปล่อยให้ทำงานงกๆเงิ่นๆว่าน่าสงสารแบบนี้น่ะเออ รูปผู้หญิงที่มีบทบาทในการปกครองประเทศคนนึงค่ะ เค้าเป็นเหมือนฑูตประมาณนี้แหละค่ะ(ไม่ได้เป็นชีคคะนะคะ) สวยมาก เก่งมาก (ดีกรีปริญญาเริ่ดมากค่ะ >.<) เราชอบคนนี้มากกกกกค่ะ ชื่อ Reem al Hashemi ค่ะ ตำแหน่งใหญ่ขนาดไหน ก็ใหญ่พอขนาดให้ไปรับควีนเอลิซาเบธเมื่อตอนท่านเสด็จเยือนยูเออีน่ะค่ะ่ :) จากคุณ : น้ำแข็งใสสีฟ้า เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 22:13:45