ความคิดเห็นที่ 1 อืมม ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะไม่รู้เรื่องไม่รู้จักคนหรือเหตุการณ์ที่น้องเล่ามา จะถามรายละเอียดหรือให้ยืนยันก็คงไม่ได้ เพราะน้องเองก็ได้ข้อมูลมาจากคนอื่นอีกที เอาเป็นว่าพี่เล่าเรื่องในที่ทำงานพี่ก็แล้วกันนะ ที่ทำงานพี่เป็นคณะที่มี นศ.ต้องไปฝึกงานในโรงพยาบาลและสถานที่ต่างๆในชุมชน แปดโมงเช้าอาจารย์ที่ควบคุมการฝึกปฏิบัติงานทางตลินิคต้องไปถึงโรงพยาบาลหรือสถานที่ฝึกงานแล้ว ด้วยเหตุนี้ที่ทำงานจึงไม่บังคับให้อาจารย์เซ็นต์ชื่อ ใครจะขับรถมาเซ็นต์ชื่อก่อนตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งหรือจะกลับมาเซ็นต์ชื่อทีหลังก็ได้ไม่ว่ากัน นอกจากนี้อาจารย์ยังมีหน้าที่ไปราชการ(ไปสอน ไปเลคเชอร์นั่นแหละ) นอกสถานที่ตามแต่เขาจะเชิญอีก ดังนั้น ไม่มีใครหวังว่าจะหน้าอาจารย์ประจำโต๊ะตอนแปดโมงครึ่งทุกวันแน่ๆ ส่วนเวลาออก ตารางสอนก็กำหนดให้สอนถึง 17.00 (บางวัน) ซึ่งแปลว่ากว่าจะได้กลับก็เกือบหกโมง บางทีมีงานเสาร์-อาทิตย์ (งานนักศึกษาบ้าง ลงชุมชนบ้าง) เนื่องด้วยลักษณะงานแบบนี้ การใช้ระบบ flex-time จะเหมาะสมกว่าการบังคับให้อาจารย์ต้องมาเซ้นต์ชื่อเข้า 8.30 และออกตอน 16.30 และเขาใช้การวัดผลงานเป็นการประกันคุณภาพแทน ส่วนเรื่องการไปกินแล้วมาเบิกเงิน อันนี้คุณต้องไปดูว่างบไหน เบิกจ่ายอย่างไร เท่าที่เคยเห็นจะเป็นพวกงบรับรอง ประเภทโปรเฟสเซอร์ที่รู้จักกันมาเที่ยวเมืองไทย เลยขอเชิญมาสอน นศ เราหน่อย จะให้ค่าตัวก็ให้ตามเรทเขาไม่ไหว ทางโน้นก็ไม่อยากรับเพราะรู้ว่าเราจน สุดท้ายเลยสรุปว่า งั้นเราเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อหรือพาไปเที่ยวสักวันแทนก็แล้วกัน ซึ่งการใช้เงินแบบนี้ ถ้าไม่ผ่านการอนุมัติอย่างถูกต้อง ฝ่ายการเงินเอาตายค่ะ หรือถ้ารอดจากการเงินก็เจอ สตง. ต่ออยู่ดี ปล นี่ถ้า จขกท มาเห็นดิฉันพาโปรเฟสเซอร์ไปขี่ช้างเป็นการตอบแทนที่ยอมอยู่เมืองไทยต่อเพื่อเปิด workshop ให้ นศ ก็คงจะคิดมากขึ้นไปอีก ปล 2 แล้ว จขกท คิดว่าการพาโปรเฟสเซอร์ไปขี่ช้างนี่เป็นการทำงานหรือการไปเที่ยวคะ จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 14:08:05

ความคิดเห็นที่ 2 เอาเฉพาะเรื่องการทำงานอย่างเดียวนะครับ ผมว่าไม่ใช่แค่ ม.ในขอนแก่นหรอกครับที่เป็นอย่างนี้ งานวิชาการ ไม่เหมือนงานฝ่ายสนับสนุน  งานสอนเป็นงานคล้ายกับงานเหมาจ่าย อาจารย์จะต้องมีการเตรียมสอน ตรวจงาน งานวิจัย งานบริการชุมชน ซึ่งงานเหล่านี้บางงานก็ต้องทำนอกเวลาราชการ อยากจะให้บอกลูกบอกหลานว่า ตอนเป็นนักเรียนให้ตั้งใจเรียนและตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็อย่าไปเลือกเรียนสาขาที่เรียนง่ายจบง่าย แต่ออกมาทำงานแล้วต้องทำงานหนักกว่า มันก็คงประมาณ งานพยาบาล กับ หมอ งานโฟร์แมน กับ วิศวกร นั่นแหละครับ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว(บางคนก็ไม่รู้) ว่างานมันเป็นอย่างนี้ แต่ทำไงได้ ก็เลือกเรียนมาอย่างนี้เองนี่ จากคุณ : ชาวทัวร์ เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 14:49:24

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ใช่เรื่องลับลมคนในอะไรครับ ในมหาวิทยาลัยนั้น บุคลากรสายวิชาการมักจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องลงเวลาปฏิบัติงาน ดังเหตุผลที่ คห.ข้างบนกล่าวไว้ครับ จากคุณ : สัญญาณหางปลา เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 16:11:31

ความคิดเห็นที่ 4 ขนาดมี flex-time เซ้นต์ชื่อย้อนหลังได้ จขกท ทำไมไม่นีกว่า คนเก่งยังไม่อยากมาเป็นอาจารย์เลย ถ้าให้ทำแบบ scan ลายมือ คุณอาจจะได้อาจารย์ที่มีความรู้ระดับ ครูโรงเรียน คุณต้องการแค่นั้นหรือครับ ต้องให้เกียรติอาจารย์ที่เรียนมาอย่างหนัก หนักกว่าสายธุีรการหลายเท่ากว่าจะเป็นอาจารย์ได้ ส่วนเรื่องเบิกเงินรับรอง ผมไม่รู้ และุ จขกท ก็ไม่รู้รายละเอียด ถ้าเห็นว่า ผิดจริง ร้องเรียนแบบ anonymous ก็ยังได้ ถ้าไม่มี action ไม่พอใจระบบแบบนี้ ลาออกครับ จะอยู่ไปทำไม นอกเสียจาก คนที่อึดอัดไม่เก่งจริง ไม่มีที่ไปแล้ว กล้วตกงานเป็นเสียอย่างงี้ เอาเวลาที่อึดอัดไปเพิ่มความรู้ให้ตัวเองเจ๋งๆ จะได้มาเป็นอาจารย์หรือลาออกไปทำงานที่อื่นที่ดีกว่านี้ดีกว่า เข้่าท่ากว่าครับ จะอยู่ไปทำไมในสถานที่เราไม่มีความสุข? หรือผมคิดไปเองว่า จขกท อิจฉาอาจารย์? จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 16:20:39

ความคิดเห็นที่ 5 ก็อาจารย์เป็นผู้เขียนกฏระเบียบออกมาบังคับใช้ไงครับ บังคับใช้กับใครล่ะ ตามทั่วไปก็บังคับใช้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีที่ไหนออกกฏมาเพื่อบังคับใช้ตัวเอง จากคุณ : Mr.Review เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 17:59:25

ความคิดเห็นที่ 6 อาจารย์มหาวิทยาลัยเข้าสอนตามตารางของตัวเองครับ ไม่ต้องลงเวลา ไม่ใช่มีอภิสิทธิ์อะไร เวลาที่ไม่เข้าสอน ท่านอาจต้องไปวิจัยที่อาจมีผลต่อประเทศไทยทั้งหมดก็ได้ หรือรับเชิญไปเป็นวิทยากร เขียนตำรา แล้วปิดภาคเมื่อไร เขาก็ให้นักศึกษาประเมินผู้สอนเอง สอนไม่ได้เรื่อง ไม่มีประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยดี ๆ เขาก็ไม่เอาไว้หรอกครับ จากคุณ : armomo เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 19:10:56

ความคิดเห็นที่ 7 คนอยากเป็นอาจารย์กันเยอะแยะครับ ตั้งแต่เก่งมากจนถึงเก่งปานกลาง คนเรียนเก่งระดับนักเรียนทุนอานันทมหิดลมหาวิทยาลัยเค้าก็มีระบบล๊อกให้เขาต้องกลับมาทำงานเป็นอาจารย์(เช่น เซ็นสัญญาจ้างเป็นอาจารย์ด้วยวุฒิป.ตรีแล้วเอาทุนส่งไปเรียนทันที จะต้องกลับมาทำงานชดใช้ทุนให้มหาลัยเป็นระยะเวลาสองเท่าของที่ไปเรียน) ดังนั้น ที่บอกว่าคนเก่งไม่อยากมาเป็นอาจารย์จึงไม่ใช่ความจริง หรือไม่ต้องดูไกล แค่ในห้องสมุด ก็มีกระทู้อยากเป็นอาจารย์ออกมาให้เห็นอยู่เสมอๆ ส่วนเรื่องลงชื่อย้อนหลังนี่ ถ้าถือตามมติ ครม.ที่ออกมาในการคุมวินัยข้าราชการถือว่าเป็นความผิดวินัยนะครับ ทางที่ดี คือคณะไม่ควรจะให้มีการลงชื่อเข้าเวลาของอาจารย์ด้วยซ้ำไป จะได้ตัดปัญหาไปเลย เอาแค่อาจารย์ทำงานที่รับผิดชอบได้ครบถ้วน ไม่งอแง ไม่โดดสอนก็โอเคแล้ว ส่วนพวกงานสนับสนุนคณะพวกงานธุรการ งานรูทีน จะทำแบบงานออฟฟิศปกติ เข้างานแปดโมงครึ่งเลิกงานสี่ครึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าทุกคนในมหาวิทยาลัยมีค่าเท่ากันหมด ไม่มีใครเก่งกว่าใคร ไม่มีใครควรได้รับเกียรติมากกว่าใคร ทุกคนมีคุณค่าในความเป็นมนุษย์เท่ากัน คิดแบบนี้รังแต่จะสร้างความร้าวฉานในหน่วยงานเปล่าๆ คนที่คิดก็มีแต่ไดโนเสาร์เต่าล้านปีรอวันตายเท่านั้น จะเอาธุรการไปสอนหนังสือก็คงไม่ได้ จะเอาอาจารย์ไปนั่งลงรับหนังสือ พิมพ์หนังสือ อาจารย์ก็ทำไม่ได้ ถ้าขาดธุรการ อาจารย์ก็ตาย ถ้าขาดอาจารย์มันก็ไม่ใช่มหาลัย รวมถึงการเมืองในคณะหรือในมหาลัย บุคลากรสายสนับสนุนก็มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้ใครได้ขึ้นเป็นคณบดี อธิการบดี ผู้บริหารมหาลัยต้องมีนโยบายเอาใจทุกคน ถ้าขืนออกนโยบายเอาใจแต่อาจารย์คงไม่ได้รับเลือกเป็นผู้บริหาร เพราะจำนวนบุคลากรสายสนับสนุนมันมีเยอะกว่าอาจารย์ และทุกคนมีคะแนนเสียงโหวตคนละหนึ่งเสียงเหมือนกัน อาจารย์มหาลัย ก็คืออาชีพๆหนึ่งเท่านั้น อย่าไปมองว่าเป็นเทวดา แตะต้องไม่ได้ อาจารย์ก็ตกงานเป็น ถูกเชิญออกจากงานได้ อาจารย์จุฬาฯ ถูกประเมินออกจากงานก็เคยมีมาแล้ว อาจารย์เกือบจะถูกสอบวินัยเพราะโกงเงินหลวง เพราะโดดสอนบ่อยๆ ก็เคยมีมาแล้ว ถ้าทำผิดจริง หลักฐานชัดเจนเอาออกได้แน่นอนครับ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 19:40:08 A:115.87.165.46 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 8 หรือไม่ต้องดูไกล แค่ในห้องสมุด ก็มีกระทู้อยากเป็นอาจารย์ออกมาให้เห็นอยู่เสมอๆ ... แล้วพวกนี้มัีนเก่งจริงหรือ? อย่างคนที่ถามมาว่า อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนอังกฤษ แต่สอบ TU-GET ยังได้ไม่ถึง 700 เลย แค่เรียนโทที่นั้นได้ 3.8-3.9 ก็คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว? อย่างที่ว่า ถ้าคนเก่งไม่บังคับให้กลับมารับราชการเป็นอาจารย์หลังได้ทุน คุณคิดว่า คนเก่งเหล่านี้กี่คนจะรักชาติกลับมากินเงินเดือน ถ้าลองไม่ให้เกียรติอาจารย์ จะมีอาจารย์กี่คนที่ทนอยู่ได้่ครับ อย่าไปอิจฉาอาจารย์เลย เขาเรียนมาหนักกว่าสายธุรการมากมาย สติปัญญาก็สูงกว่ามาก ในโลกนี้ไม่มีหรอกครับ ความเสมอภาค เ้กิดมาหัวก็ต่างกันแล้ว ฐานะทางบ้านก็ต่าง ความขยันเรียนก็ต่าง แล้วเพอทำงานจะให้ฐานะเท่ากัน ฝันไปเปล่าๆ ในระบบจีันคอมมิวนิสต์ยังไม่เสมอภาคกันเลย ให้เกียรติคนเก่ง (Intellectual) มากกว่าในสมัยนี้ ไม่เหมือนกับสมัย Red Guards มันหมดสมัยไปแล้ว Everyone is equal, but one is more equal than others. Animal Farm. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 20:38:18

ความคิดเห็นที่ 9 ชอบมากครับ กับ ความเห็นที่ 8 "หรือไม่ต้องดูไกล แค่ในห้องสมุด ก็มีกระทู้อยากเป็นอาจารย์ออกมาให้เห็นอยู่เสมอๆ ... แล้วพวกนี้มัีนเก่งจริงหรือ? อย่างคนที่ถามมาว่า อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนอังกฤษ แต่สอบ TU-GET ยังได้ไม่ถึง 700 เลย แค่เรียนโทที่นั้นได้ 3.8-3.9 ก็คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว?" จากคุณ : pokemon trainer เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 21:01:21 A:125.27.55.179 X: TicketID:000119

ความคิดเห็นที่ 10 ผมก็คิดว่าน่าจะไม่ต้องลงเวลาก็สิ้นเรื่อง ถึงเวลาสอนมาสอนให้ทัน จะรับจ๊อบงานนอกยังไง งานสอนก็ต้องมาสอนให้ได้ อย่าโดดสอน เพราะการให้ลงเวลามันก็เหมือนให้อาจารย์เหล่านั้นต้องโกหก ก็ไม่รู้ว่า กระดาษแผ่นนี้จะมีไว้ทำอะไร จดว่ามาทำงานหรือไม่ ก็แค่เซ็นชื่อก็พอ ไม่ต้องบอกว่ามากี่โมง สมัยผมเรียนก็ไปห้องธุรการตอนเช้า ๆ อาจารย์คนแรก ๆ ถ้ามาเช้าก็จะลงเวลาตามจริง 7.4* พอคนต่อมาก็จะลงชื่อต่อไป ด้วยเวลาตามจริง แต่ถ้าเกิน 8.00 แล้ว ก็จะใส่ 8.00 กันหมด แล้วจะลงไปทำไมเวลา จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 21:01:45

ความคิดเห็นที่ 11 เอ ผมก็ไม่ได้อิจฉาอาจารย์นะครับ อาชีพอาจารย์ผมก็ไม่ได้อยากเป็น ไม่ชอบครับ แล้วเดี๋ยวนี้อาจารย์ก็เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ข้าราชการแล้ว "เขาเรียนมาหนักกว่าสายธุรการมากมาย สติปัญญาก็สูงกว่ามาก" "ต้องให้เกียรติอาจารย์ที่เรียนมาอย่างหนัก หนักกว่าสายธุีรการหลายเท่ากว่าจะเป็นอาจารย์ได้" "เอาเวลาที่อึดอัดไปเพิ่มความรู้ให้ตัวเองเจ๋งๆ จะได้มาเป็นอาจารย์" จากสิ่งที่คุณโพสมา ผมเพิ่งทราบว่าคุณมีทัศนคติว่าความเป็นมนุษย์ไม่เท่ากัน คนที่มีการศึกษาสูงกว่า สติปัญญาสูงกว่า มีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนที่มีสติปัญญาต่ำกว่าหรือการศึกษาด้อยกว่า ผมเองนึกไม่ถึงว่าคนอย่างคุณที่มีคนเคารพนับถือมากมายในห้องสมุด จะมีความคิดเหยียดมนุษย์ด้วยกันเองแบบนี้ ยิ่งคุณพรรณนาความยากลำบากของคุณสมัยเป็นเด็กมากเพียงไร เมื่อก่อนคุณก็แค่เด็กชั้นรากหญ้า ต้องเดินไปกลับโรงเรียนวันละหลายสิบกิโล แล้วต่อมาคุณใช้การศึกษาโหนบันไดยกระดับชนชั้นตัวเองขึ้นไปสู่ระดับชนชั้นที่สูงขึ้น แล้วก็หันมาเหยียดหยามคนที่ด้อยกว่าคุณ ซึ่งคุณเคยอยู่ในระดับเดียวกับเขามาก่อนอย่างที่คุณกำลังทำอยู่ในขณะนี้ ผมรู้สึกละอายใจแทนคุณมาก และผมก็ขยะแขยงคุณมากด้วย จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 21:18:49 A:115.87.165.46 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 12 555 แค่คนไม่ยอมรับความเป็นจริง ผมไปเหยียดหยามธุรการตั้งแต่เมื่อไร คุณมันตีึความไปเอง ผมแค่บอกว่า อย่าไปอิจฉาคนเก่ง ตัวเองต้องถีบตัวด้วยความสามารถตัวเอง เราไม่เก่ง เราไม่รวย เราต้องขยัีนกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า เ้อ้อคุณขยะแขยงผม แล้วคุณเคยทำอะไรให้สังคมบ้างไหม? คุณเคยช่วยตอบปัญหาภาษาอังกฤษบ้างไหม? คุณเคยเสียเวลา 3-4 เดือน วันหนึ่ง 7-8 ชม รวบรวม VOA แล้วแจกจ่ายเป็น CD ให้คนมาขอฟรีๆ กว่า 100 แผ่น เมื่อ 5-6 ปีก่อนหรือเปล่า? เอาความคิดที่อิจฉา ไปพัฒนาปัญญาตัวเอง ให้เก่ง แล้วมาช่วยสังคม มันน่าจะดีกว่าครับ ไม่ต้องมาทำตัวเป็นขยะแขยง คล้ายกับตัวเองเลิศลอยเหนือชาวบ้านแต่ทำอะไรให้ชาวบ้าน ชาวเมืองหรือไม่ ถ้าผมเหยียดหยามคนด้ัอยกว่า ผมไม่เสียเวลา 3-4 เดือนรวบรวมความรู้แล้วส่งไปไปรษณีย์ให้่คนฟรีๆ กว่า 100  คนหรอก ถ้าผมหยามคนด้อยกว่า ผมก็ไม่มาช่วยตอบปัญหากว่า 10 ปีในพันธิป ช่วยมาหลายร้อยคนแล้ว คห 11 เคยทำอะไรแบบนี้บ้างไหม? อย่าให้ปมด้อยตัวเอง มาแสร้งทำเป็นปมเขื่อง แสดองอาการขยะแขยง แบบนางร้ายในลครน้ำเน่าเลย เอาเวลาไปหาความรู้ แล้วมาช่วยคนอื่นดีกว่าครับ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 21:43:42

ความคิดเห็นที่ 13 เอาเถอะ เราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะทัศนคติคุณกับผมมันไม่ตรงกัน ผมคิดว่าผมคงหลีกเลี่ยงที่จะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรกับคุณอีกแล้ว สิ่งที่คุณทำ ถ้ามองอีกมุม มันก็เหมือนคุณกำลังแสดงบทพระโพธิสัตว์กำลังโปรดสัตว์โลกผู้ยากไร้ คำพูดที่ผมยกมา มันก็แสดงให้เห็นชัดว่าคุณมีความคิดอย่างไร แล้วทำไมทำอะไรให้สังคมต้องแค่ช่วยเหลือคนด้านภาษาอังกฤษ?? ช่วยเหลือด้านอื่นไม่ได้เหรอ แล้วถ้านอกโลกไซเบอร์ผมกำลังช่วยเหลือคนในด้านอื่นๆที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษล่ะ ถือว่าให้สังคมไหม จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 22:01:34 A:115.87.165.46 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 14 เท่าที่ทราบมานะ เพราะเพื่อนเคยเป็นอาจารย์อยู่ คณะมนุษยศาสตร์ ม อุบล อาจารย์ทั้งคณะเขาโหวตกัน ยกเลิกการเซ็นชื่อไปแล้ว เห็นด้วยอย่างมาก เพราะเป็นการยุติการขายสตอเบอรีระดับโลก อาจารย์เขานับชั่วโมงการสอนเป็นหลัก ไม่ใช่มานั่งอยู่ที่ออฟฟิศ ส่วนเรื่องออฟฟิสเอาวร์ ก็แล้วแต่จะไปอยู่ตรงไหนก็ได้ขอให้ตามตัวได้ก็พอ เข้าใจว่า จขกท ไม่เข้าใจลักษณะงานของอาจารย์ ม วิทยาลัย ถึงได้มาตั้งกระทู้เรื่องเวลาทำงานของอาจารย์เยี่ยงนี้ จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 22:19:56

ความคิดเห็นที่ 15 อย่าทะเลาะกันเลยครับ งานอาจารย์มันมีงานนอกเหนือเวลาราชการอีกตั้งหลายอย่าง เสาร์อาทิตย์บางทีก็ต้องเข้า ส่วนงานสายสนับสนุนมันจะเป็นเวล่ำเวลากว่ากันครับ จากคุณ : Canon in Science Major เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 22:24:05

ความคิดเห็นที่ 16 สิ่งที่คุณทำ ถ้ามองอีกมุม มันก็เหมือนคุณกำลังแสดงบทพระโพธิสัตว์กำลังโปรดสัตว์โลกผู้ยากไร้... คนช่างอิจฉา ก็กระแหนะ กระแหนไปตามเรื่อง คุณมันหาเรื่องจริงๆ พระโพธิสัตว์กำลังโปรดสัตว์โลกที่ยากไร้ไป และก็ิคิดเหยียดหยามไป คุณคิดได้อย่างไรนี่ ตกลงผมเป็นทั้งสองอย่างใช่ไหม? ทั้งมีเมตตา ทั้งเหยียดหยามคนด้อยกว่า? แค่ความเห็นไม่ตรงกัน ก็เล่น character assassination แล้ว คนแบบนี้ก็มีด้วย ปากบอกว่า เคยชื่นชม ตอนนี้ว่า น่าแขยะแขยง มาล่าสุดเล่นว่า เป็นโพธิสัตว์ เพื่อทำให้คนหมั่นไส้ เล่นแบบน้ำเน่า สงสัยดูละครน้ำเน่ามากจริงๆ แ่ค่แสดงความคิดเห็นว่า อาจารย์ฐานะเหนือกว่าสายสนับสนุน ไม่ต้องไปอิจฉา ก็ทำให้คนเดือดร้อนเล่นส่วนตัวไปเสียแล้ว ในพันธิปมีคนที่ไม่ใช่นักวิชาการ คุยเรื่องความคิดไม่ได้ ถ้าเห็นต่าง ก็เล่นส่วนตัวทันที มีมาบ่อยๆ พวกชอบแสดงบทนางร้ายด่าเสียดสี น่าจะไปอ่านหนังสือให้มากๆ แทนที่จะดูละครน้ำเน่า เน่าจริงๆ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 23:39:07

ความคิดเห็นที่ 17 จขกท ใจเย็นๆก่อนนะครับ คือผมว่าคุณไม่เข้าใจลักษณะงานของอ.มหาวิทยาลัย จริงๆไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าที่ไหน ในโลกของความเป็นจริงนี้ มันก็ไม่เสมอภาคกันอยู่แล้ว ถ้าบอกว่าทุกคนมีค่าความเป็นคนเท่ากัน ทำไมภารโรงไม่ได้ใส่สูทเหมือนผู้บริหาร ทำไมแม่บ้านในบ.ไม่ต้องผูกไทด์ คำตอบมันอยุ่ในนั้นแล้วครับ จากคุณ : ผมรู้ เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 00:01:52

ความคิดเห็นที่ 18 ปัญหาแรก ลักษณะงานไม่เหมือนกัน น่าจะจบนะครับ ปัญหาที่สอง ผมสงสัย ถ้าเป็นเรื่องจริงทำใบเสร็จไปเบิกใส่เหตุผลอะไร ช่วยบอกเป็นวิทยาทานได้มั๊ยครับ น่าสนใจทีเดียว จากคุณ : อุปนิกขิต เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 00:17:21

ความคิดเห็นที่ 19 ตอบ 18 ในกรณีที่ยกตัวอย่างข้างบนไปนะคะ ก็ใช้ใบเสร็จของร้าน ระบุชื่อหน่วยงานและโครงการตามปกติเลยค่ะ แต่ก่อนที่จะไปได้ ต้องมีโครงการชัดเจนอย่างเช่น เป็นโครงการจัด workshop เรื่อง นี้ วันที่ นี้ แล้วก็บอกไปว่า ขอตั้งงบรับรองผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศแทนการจ่ายค่าตอบแทน (จำนวนเงินก็ไม่เกินค่าตอบแทนอัตราปกตินั่นแหละค่ะ) ถ้าหน่วยงานอนุมัติก็ทำได้ การตรวจสอบก็ตรวจสอบตามโครงการที่อนุมัติ จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 01:21:02

ความคิดเห็นที่ 20 "ตอนเล็ก ๆ ไม่เรียนหนังสือ โตขึ้นมาต้องขัดรองเท้า" จากคุณ : เอาชื่อรัยอ่ะ เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 05:06:18

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าจะขจัดความความเหลื่อมล้ำในสังคม มหาวิทยาลัยก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง ที่ต้องรีบดำเนินการ จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 08:05:46

ความคิดเห็นที่ 22 จขกท หายไปไหนแล้วครับ ทำไมตั้งประเด็นให้เขา...แล้วก็จากไป จากคุณ : ชาวทัวร์ เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 09:35:52

ความคิดเห็นที่ 23 สายสนับสนุน ลักษณะงานเป็นงานประจำ จึงต้องลงเวลาตอกบัตร สายวิชาการ ลักษณะงานมีทั้งงานประจำ เช่น งานสอน และงานโครงการ เช่น ที่ปรึกษา และงานวิจัย ซึ่งบางครั้งต้องทำนอกเวลา จะให้มาตอกบัตรยังไง มันคงไม่ใช่เรื่องของชนชั้น แต่มันเป็นลักษณะงานมากกว่า จากคุณ : น้องส้มเช้ง เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 16:27:34

ความคิดเห็นที่ 24 ทำไมอะไรๆก็ต้องโยงเข้าเรื่องชนชั้น ความไม่เท่าเทียมกันหมด??? จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 20:31:48

ความคิดเห็นที่ 25 ดูแล้ว น่าจะเป็นกระทู้ห้องสีลม มากกว่าห้องสมุด เพราะหลักๆ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ วินัยในการทำงาน วินัยในการตรงต่อเวลา และความซื่อสัตย์ของพนักงาน และลูกจ้างของมหาลัย จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:21:54

ความคิดเห็นที่ 26 สิ่งที่หัวหน้าภาคและรองคณบดีต้องทำนั้นเยอะมาก -เราต้องไปหาตัวผูู้สอน ติดต่อกับภาคเอกชน หลายครั้งต้องไปเอง เพราะสายสนับสนุนไม่เข้าใจ -เราต้องร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับวิชาการข้างนอก เช่น ไปประชุมที่จุฬาฯ เอแบค และร่วมประชุมเศรษฐกิจเกี่ยวกับอาเซียน (เพิ่งร่างหลักสูตรเสร็จ) -ต้องเสนอและร่างหลักสูตรให้มหาวิทยาลัย -ต้องร่วมกิจกรรมหัวโขนต่าง ๆ เช่น ร่วมประชุมวิชาการ (บางทีมึนมากเพราะหลายงาน บางที่งานบางงานผู้ใหญ่ก็หนีบเราไปเพราะเขาไม่เข้าใจบางเรื่องเช่น เศรษฐศาสตร์) -ตอนเช้าบางทีเหนื่อยมาก ไม่อยากตื่นเร็วเพราะบางวันประชุมทำ TQF เสร็จตอนสอง ทุ่ม บางทีต้องมานั่งดูรายละเอียดเรื่องการประเมินผลหน่วยงานอีกต่างหาก -อันนี้ยังไม่รวมที่ต้องเขียนบทความ หนังสือ แปลภาษาอังกฤษให้อาจารย์ต่างชาติอีก -อันนี้ยังไม่ได้รวมงานสอน ซึ่งบางที เขาหาคนสอนบางตัวไม่ได้ จ้างคนนอกมาก็สอน นอกประเด็น ไม่ทบทวนให้นักศึกษา บางครั้งก็ส่งคะแนนผิด ต้องช่วยแก้ไข ดูเหมือนว่างานสายสนับสนุนจะเยอะ แต่เอาเข้าจริง เป็นงานจบ ๆ กับไปวันหนึ่ง ๆ ไม่ ต้องคิดสานต่ออะไรเป็นหลัก คือเชื่อมโยงเอกสาร รวบรวมเอกสาร พอเขามีระบบครบ ก็จบแล้ว อาจจะดูยุ่งยากสำหรับบางมหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีระบบในช่วงแรก ๆ แต่พอระ- บบเข้าที่แล้วทุกอย่างสบายมาก พนักงานสายสนับสนุนปกติกลับบ้านบ่ายสี่บ่ายห้ากัน ถ้าอาจารย์มีตำแหน่งบริหารและสอนด้วยแล้ว ทำไม่ได้หรอก ยิ่งบางคนชื่อเดียว แต่มี สองตำแหน่ง เช่น ดูวิชาการ ดูบริหาร ดูกรอบนโยบายการศึกษา บางคนดูสองสามหลัก สูตร เช่น ผมดูสามหลักสูตรที่จะเปิด ผู้บริหารบางคนหนักกว่านี้ เพราะยังมีงานนอกอีก เช่น ไปงานศพพ่อแม่อาจารย์คนอื่น ๆ (ไปงานศพกันแทบจะวันเว้นวัน) ยิ่งช่วงน้ำท่วม จำได้เลย พนักงานสายสนับสนุนบอกว่าลำบาก ต้องคอยดูเรื่องเอกสารข้อสอบครบหรือ เปล่า อยากบอกเลยว่า หัวหน้าภาคและรองคณบดีลำบากกว่ามาก เพราะต้องมานั่งตรวจ เอกสารและรายละเอียดอีกด้วย เพราะว่าสายสนับตรวจแค่จำนวนหน้าและชุดแต่เนื้อหา ข้างในบางทีพิมพ์ผิด ภาษาตก ๆ หล่น ๆ แถมต้องตรวจภาษาอังกฤษให้อาจารย์ไทยอีก จากคุณ : ต้น เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 55 10:09:14 A:171.98.142.130 X: TicketID:091427

ความคิดเห็นที่ 27 เราว่า K.Senior ดูถูกคนอื่นจริงๆ แหละ  ไม่น่าเชื่อว่าเว็บโลกสวยจะมีอะไรแบบนี้ด้วย แถมยังมีคนกด like อีก เฮ้อออ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 55 04:35:01 จากคุณ : Aenieas เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 04:34:20

ความคิดเห็นที่ 28 พวกน้ำเน่ามาอีกแล้ว ทำไมไม่ถกหัวข้อ มาถกเรื่องส่วนตัว speculation กันอยู่ได้ เก็บกดมากนักหรือครับ เอาเวลาไปยกฐานะและจิตใจตัวเองให้สูงๆ ดีกว่าครับ ไปช่วยคนอื่นๆให้มากๆ แล้วใจจะเลิกคิดเป็นนางร้ายเสียที เลิกดูละครน้ำเน่าจะดีมากๆ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 20:29:55