ความคิดเห็นที่ 1 เวลาพูดเร็วๆ (ไม่ใช่ออกเสียงทีละพยางค์) เขาเรียกว่า connected speech ใน connected speech จะมีปรากฎการณ์ 3 อย่างเกิดขึ้นคือ 1 sounds change 2 sounds disappear 3 sounds join together ส่วนที่คุณถามว่า "เทคนิควิธีต้อง อ่านอย่างไรให้ถูกต้อง รบกวนทีค่ะ" ^ คำตอบก็คือ "ตอบสั้นๆไม่ได้ เพราะต้องบรรยายยาวเป็นวิชา phonetics หลายเดือน!" คืออันไหนจะเป็นยังไงนั้น มันต้องให้อาจารย์ที่มีความรู้ด้าน phonetics อธิบายโดยยกตัวอย่างให้ อยู่ดีๆนักเรียนที่ยังพูดไม่คล่องจะคิดเอง หรือฟังใครอธิบายแค่ 2-3 บรรทัด แล้วออกเสียงถูกหมด มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะจำนวน permutations มันเยอะมากๆ เอายกตัวอย่างแค่คำ 2 คำก่อนเช่น do it พูดเร็วๆเป็น ดูหวิท see it พูดเร็วๆเป็น ซีหยิด คราวนี้ลองยากๆหน่อย เช่น There is not any. พอพูดเร็วๆเป็น There isn't any. เสียงมันจะเป็นทำนองนี้คือ แดริสเซิ่นเถอะนิ (สะกดยังไงก็ไม่เหมือนเสียงจริง) (นี่ถ้าเอาแบบคนอังกฤษไม่ขี้เกียจนะ) แต่ถ้าเอาแบบอเมริกันขี้เกียจ มันจะกลายเป็น There ain't any. แดเร้นเอนิ (สะกดไงก็ไม่เหมือนเสียงจริง) แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 55 23:55:58 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 23:54:27

ความคิดเห็นที่ 2 link นี่น่าสนใจก็คือ ความแตกต่างระหว่างเสียง r ใน British English กับ American English ยกต้วอย่างเช่น paper bag คนอังกฤษไม่ออกเสียงตัว r ตรงพยางค์ท้าย ของคำว่า paper เพราะ bag ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่พอเป็น paper industry คนอังกฤษจะ link เสียง r กับ i กลายเป็น เพเพอะรินเดิสทริ (เขียนยังไงก็ไม่เหมือนเสียงจริงเว้นเสียแต่จะใช้ตัว IPA เขียน) แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่จะออกเสียง r หมดเลย ทั้งใน paper bag กับ paper industry  ยกเว้นบางสำเนียงของคนอเมริกัน อย่างเช่นสำเนียงคนมาจาก Boston เป็นต้น เขาจะออกเสียงตัว r คล้ายๆคนอังกฤษ technical term เรื่องตัว r นี้ เขาเรียกว่า rhotic accent กับ non-rhotic accent นั่นก็คือคนที่พูดด้วย rhotic accent จะออกเสียง r ในเกือบทุกตำแหน่ง ในขณะที่คนที่พูดด้วย  non-rhotic accent จะออกเสียง r เฉพาะเวลามันตามด้วย เสียงสระใน phrase เดียวกัน หรือใน prosodic unit เดียวกัน ซึ่งถ้าจะศึกษาให้ละเอียด ก็ต้องไปศึกษาเรื่อง linking and intrusive R แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 00:13:08 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 00:11:45

ความคิดเห็นที่ 3 สิ่งที่น่าสนใจศึกษาจับตามองก็คือ "สระหลอก" (เราบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาเอง) อย่างเช่น man อ่าน แมน age อ่าน เอจ  แต่พอรวมกันเป็น manage กลายเป็นอ่าน แมนนิจ (ตัว a ตัวที่ 2 กลายเป็นเสียง อิ ให้เวียนหัวเล่นๆ) for อ่าน ฟอร์ rest อ่าน เรสท์ แต่พอรวมตัวกันเป็น forest มันดันอ่าน ฟอริสท์ (เสียง เอะ เปลี่ยนเป็น อิ) แต่ฝรั่งบางคนก็อ่าน forest เป็น ฟอเริ่สท์ (เสียง เอะ เปลี่ยนเป็น schwa (คือเสียง เออะ สั้นๆ)) เสียง schwa มีอยู่ทุกหนแห่ง เช่น It's a new car. อิตเสอะนิวคาร์ แม้กระทั่งในคำๆเดียว schwa ก็แอบแทรกเข้ามาได้อย่างเช่น destiny ตัว i ออกเสียงเป็น อิ ก็ได้ (คือ เดสทินิ) หรือออกเสียงเป็น schwa ก็ได้ (คือ เดสเท่อะนิ) ส่วน connected speech ของแต่ละสำเนียง ก็มีลีลาพิศดารต่างๆกันที่น่าศึกษา อย่างเช่น ในสำเนียง cockney ข้อความนี้ She said that... เวลาพูดเป็น connected speech กลายเป็น ชีเช่แอ๊ะ หรือ That's it.  กลายเป็น แอ๊ะสิ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 11:05:50

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณมากๆเลย ค่ะ ที่เข้ามาให้ความรู้ พอจะเข้าใจได้นิดหน่อยแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ จากคุณ : ยองฮางลิน เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 11:19:54

ความคิดเห็นที่ 5 like a virgin หละครับอ่านอย่างไร ใช่ Vowel to vowel linking หรือปล่าวครับ จากคุณ : thusana98 (thus98) เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 14:25:35

ความคิดเห็นที่ 6 like a virgin ถูกป่าวไม่รู้ แต่ผมอ่าน ไล้คึ อะ เฟว้อ จิ่น ออกเสียงเร็วๆกลายเป็น ไล้ ค่ะ เฟว้อ จิ่น จากคุณ : WanderFoolLife (meanamide) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 11:52:57