ความคิดเห็นที่ 1 แม้วันนี้เรื่องราวของท่านอาจไม่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ และหลายคนอาจไม่รู้จักท่าน  แต่เชื่อแน่ว่าหากทุกคนได้อ่านเรื่องราว คงรู้สึกซาบซึ้งใจเช่นเราแน่นอน ข้อมูลค่อนข้างเยอะ ขอแบ่งเป็นสองกระทู้นะคะ  กระทู้แรก เป็นเนื้อข่าว จากหนังสือพิมพ์สองฉบับ และ บทความ ตอนที่ ๑ – ๒  ส่วนกระทู้ที่สอง จะเป็นบทความตอนที่ ๓ -๕ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:11:24

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนที่จะมาฟังประวัติของบุคคลท่านนี้ เรามารู้จักที่มาของการสืบค้นข้อมูลของเรากันก่อนนะคะ  เมื่อหลายเดือนก่อน พี่วิ ชยานันท์  แก่นแก้ว ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ถามเราว่า “สาวเคยได้ยินเรื่องชาวต่างชาติที่มีบทบาทในวงการตำรวจไทย ที่ได้มาตายที่ตรังบ้างไหม”  แม้ว่าเราจะสนใจประวัติศาสตร์ของจังหวัดตรังมานาน เรื่องราวของบุคคลนี้เราไม่เคยได้ยินเลย จึงรับปากว่าหากมีเวลาจะไปหาข้อมูลให้จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติฯ  จังหวัดตรัง   และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (๒๖ มี.ค ๕๕) เราจึงได้มีโอกาสได้ไปที่หอจดหมายเหตุฯ เพื่อหาข้อมูล ๓ เรื่อง ซึ่งสองเรื่องเป็นการบ้านที่ “หนุ่มรัตนะ” แห่งห้องสมุดในพันทิบให้สืบค้น และอีกเรื่อง คือเรื่องนี้  ซึ่งสรุปแล้วว่า สองเรื่องการบ้านของ หนุ่มรัตนะ หาไม่เจอ แต่ไปเจอข้อมูลของ บุคคลท่านนี้เพียงคนเดียว ซึ่งทราบมาจากอาจารย์สุนทรี  สังขอยุทธ์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุฯมานานแล้วว่ามี อาจารย์บอกเราว่า มีหนังสือพิมพ์ข่าวเสรี หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของจังหวัดตรัง ทำไว้เมื่อนานมาแล้ว ให้ลองเข้าไปหา จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:12:09

ความคิดเห็นที่ 3 ดังนั้น เมื่อถึงเวลา เราจึงไปหาเรื่องราวของบุคคลท่านนี้ ข้อมูลที่ได้มีเพียงว่า ‘เป็นคนต่างชาติที่วางรากฐานของกรมตำรวจไทยในอดีต’  วันที่ไปหาข้อมูล โชคดีได้เจออาจารย์สุนทรี  อาจารย์เลยบอกแนวทางให้น้องในหอจดหมายเหตุ หาข้อมูลให้ เพราะจำได้ว่าเคยมีคนมาค้นข้อมูลนี้เหมือนกัน เมื่อน้องหาสักพัก จึงได้เจอข้อมูลเก่าที่คนมาสืบค้น แต่ปัญหาคือ เค้าบอกเพียงว่า ค้นหาข้อมูลของนายออกัสฟิกเกอร์ จากหนังสือพิมพ์ข่าวเสรี ฉบับปี 40  ‘เรื่องใหญ่เลยทีนี้  40 มีตั้งหลายฉบับ โชคยังดีที่บอกปี’ หลังจากหา หา และก็หา ในที่สุด ก็เจอ เป็นข่าวใหญ่ของเดือน สิงหาคม ๒๕๔๐ เลยทีเดียว ตอนเจอคิดตอนนั้นคือ ดีใจ ปิติ มีทุกอย่าง  ก่อนไปอ่านข่าวพาดหัวและข่าวในขอเล่าให้จบก่อนเลยนะคะ ข่าวพาดหัวที่เราเจอเป็นของ ข่าวเสรีปีที่ 6 ฉบับที่ 288 วันที่ 28 ก.ค. – 3 ส.ค. พ.ศ. 2540 ราคา 5 บาท... เจอฉบับนึง ดีใจ นึกว่าหมดแล้ว กำลังจะกลับ แวะหาอาจารย์สุนทรี ด้วยความดีใจ อาจารย์ถามว่า “เจอแล้วใช่ไหม เค้าทำสกู๊ป ประมาณ ๓ ฉบับ”  เรา ‘แหม เกือบกลับแล้วเชียว ไม่งั้นคงพลาด’ อยากขอบคุณอาจารย์สุนทรี สังขอยุทธ์ ดังดัง ขอบคุณมากนะคะอาจารย์ จากนั้นเราก็ไม่หาต่อ เค้าทำดีมากๆ จากฉบับแรกเป็นต้นไป เค้าทำสกู๊ปต่ออีก ๕ ฉบับ รวม ๖ ฉบับ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งต่อลูกหลานนามสกุล “โกละสุต”  และกับผู้หาข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้าที่เจะไปที่หอจดหมายเหตุนั้น เราลองไปหาข้อมูลใน google เจอแค่นี้ อันแรกจากเว็บ ประวัติตำรวจภูธรภาค 3 http://www.ppr3.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=124&Itemid=116 ในย่อหน้าที่ ๒ หัวข้อ การปกครองบังคับบัญชา บังคับบัญชานักเรียนนายร้อยตำรวจในสมัยนั้น มี นายร้อยโท ม.ร.ว.แดง ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และทำหน้าที่ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรด้วย นายร้อยโท ต่วน , ว่าที่นายร้อยตรี เจ้าฟั่น ณ น่าน , ว่าที่นายร้อยตรี ภู และว่าที่นายร้อยตรี โต เป็นผู้ช่วย การปกครองและฝึกหัดสั่งสอน มี นายร้อยเอก ออกัส ฟิกเกอร์ เฟรดเดอริก คอลส์    ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของเจ้ากรมตำรวจภูธร มอบหมายให้เป็นผู้ปกครองอบรมนักเรียนนายร้อยตำรวจภูธรโดยเด็ดขาด ในสมัยเริ่มแรก กรมตำรวจภูธรมิได้วางหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยตำรวจไว้อย่างเป็นกิจลักษณะ การปกครองและการฝึกอบรม จึงอยู่ที่ นายร้อยเอก คอลส์ จะเห็นสมควร นักเรียนนายร้อยตำรวจคนใดมีบุคลิกลักษณะเหมาะสม มีระเบียบวินัยดี การฝึกหัดเข้มแข็ง มีความรู้ข้อบังคับและกฎหมาย ซึ่งนายร้อยเอกคอลส์เห็นว่าเป็นนายร้อยตำรวจตำรวจภูธรได้ เจ้ากรมตำรวจภูธรก็รับฟัง และออกคำสั่งบรรจุตามความเห็นของนายร้อยเอก คอลส์ เรื่อง เกี่ยวกับ การปฏิบัติหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชาและฝึกอบรมนักเรียนนายร้อยตำรวจ ภูธรของ นายร้อยเอก คอลส์ พ.ต.อ.มงคล จีระเศรษฐ ได้กล่าวถึงไว้ตอนหนึ่งสรุปได้ดังนี้..... ".....นักเรียนนายร้อยตำรวจภูธรสมัยนั้น ใครมีระเบียบวินัยแข็งแรง ครูคอลส์เห็นเหมาะสม ก็ให้สวมหมวกหม้อตาลสีขาว ให้อยู่หัวแถว แสดงว่าพร้อมที่จะออกเป็นนายตำรวจ.." *ฯลฯ และอีกเว็บหนึ่ง คือ เล่าเรื่องเมืองตรัง โดย อาจารย์สุพรรณ  วังกุลางกูร http://province.prd.go.th/trang/hismang.htm ในข้อที่ 8. เมืองตรังสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ย่อหน้าที่ ๓ เนื้อความดังนี้ เพื่อเป็นการนำร่องท่านได้ชักชวนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีทรัพย์ ทำสวนยาง เป็นตัวอย่างเพื่อเป็นผลได้ ทั้งส่วนตัวและบ้านเมือง เช่น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สร้างสวนยางที่ ตำบลกะช่อง พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ กฤษฏาญณ์ ทำสวนยางที่กันตัง จนกลางเป็นพืชเศรษฐกิจ แพร่กระจายไปสู่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปัจจุบัน  รวมทั้งการตั้งกองตำรวจหลวงขึ้น  มีตำรวจม้าด้วย ซึ่งมี  พ.ท. ออกัส ฟิกเกอร์ เฟรดเดอริก คอลส์  นายตำรวจเดนมาร์ก เป็นผู้มาให้การฝึกสอนตำรวจที่จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรก และซื้อกลไฟ ไว้ลาดตระเวนให้ความปลอดภัยทางน้ำ การคมนาคมได้ตัดถนนผ่านเขาพับผ้าไปพัทลุงถึงกันตัง ไปห้วยยอด (เขาขาว) การค้ากับต่างประเทศส่งสินค้าไปขายปีนัง ซึ่งสำหรับลูกหลาน และผู้ต้องการทราบประวัติของท่าน ในความคิดของเรา ถือว่าเป็นข้อมูลที่น้อยมาก สำหรับความดีที่ท่านได้ทำไว้มากมายในอดีต ประกอบกับเนื้อหาที่เราได้มา จากการไปอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวเสรี ฉบับปี 40  .... เราจึงตัดสินใจ คัดลอกเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์ฉบับนี้  เพื่อเป็นโยชน์ให้กับลูกหลาน ตระกูล “โกละสุต” และ วงการตำรวจไทยต่อไป ปล.ข้อมูลนี้เราพิมพ์ไว้ตามปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ดังนั้นการคำนวนปี พ.ศ. ต้องบวกไปอีก 15 ปีนะคะ ปล.๒  การสะกดชื่อ เราสกุล เราไม่แน่ใจว่าที่ถูกคืออันไหน เลยพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์นะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:20:45

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณ  หนังสือพิมพ์ข่าวเสรี ที่ทำบทความดีดีนี้ออกมา ขอบคุณ   จดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตรัง  ซึ่งมีอาจารย์สุนทรี  สังขอยุทธ์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุฯ สำหรับการชี้แนะเรื่องข้อมูล และขอบคุณ   คุณชยานันท์  แก่นแก้ว ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตรังที่บอกเรื่องราวของบุคคลท่านนี้ ซึ่งทำให้เราได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลที่เป็นโยชน์ต่อไป จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:22:24

ความคิดเห็นที่ 5 ทีนี้เรามาเข้าสู่เนื้อหา เริ่มจากข่าวพาดหัวของ หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรีปีที่ 6 ฉบับที่ 288 วันที่ 28 ก.ค. – 3 ส.ค. พ.ศ. 2540 ราคา 5 บาท ข่าวพาดหัวมีว่า... ทวงคืน สุสานพท.ออกัสฟิกเกอร์ พบแล้วหลุมศพ พท.ออกัสฟิกเกอร์  ชาวเดนมาร์กผู้วางโครงสร้างตำรวจภูธรในอดีตพบอยู่ในสุสานคริสต์ ถูกปล่อยรกร้างมานานหลายปี ผู้ว่าฯ ผู้การฯ ทราบข่าวรีบรุดไปดูด้วยตา สั่งสอบประวัติ และเตรียมบูรณะสุสานขึ้นใหม่ให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติ เนื้อหา สุสานโบราณ ตามที่ นางอรุณี  เสาวภาคพงศ์ (โกละสุต) อายุ 48 ปี เจ้าของโรงงาน ณ  นวเซรามิค ตั้งอยู่ เลขที่ 311 หมู่ 1 ต.ยางเนิ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ แจ้งความประสงค์ไว้กับ พ.ต.ท.บรรลือ  ชูเวทย์ สว.สส.สภอ.เมืองตรัง ต้องการค้นหาสุสานของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์ นายทหารชาวเดนมาร์ก อดีตผู้วางโครงสร้างตำรวจภูธรในประเทศไทย และเป็นบุคคลสำคัญของวงการตำรวจไทยในอดีต ซึ่งเป็นต้นตระกูล “โกละสุต” มีศักดิ์เป็นปู่ของนางอรุณี สำหรับพ.ท.ออกัสฟิคเกอร์ ทราบแต่เพียงว่าเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2454 หรือเมื่อ 86 ปีมาแล้ว ในขณะนั้นได้รับพระราชทานแผ่นหินจารึกพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แต่ไม่ทราบว่าจุดที่ฝังศพของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์  อยู่ตรงจุดไหนในพื้นที่ จ.ตรัง ซึ่งญาติพี่น้องทั้งในประเทศไทย และจากประเทศเดนมาร์ก ต้องการค้นหาให้พบ เพื่อทำการบูรณะ และประกอบพิธีทางศาสนาเป็นประจำทุกๆ ปี จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:36:02

ความคิดเห็นที่ 6 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ว่า พ.ต.ท.บรรลือ ซึ่งพยายามสืบเสาะจากบุคคลหลายสาขาวิชาชีพ  พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนในท้องถิ่น จนกระทั่งสามารถติดต่อกับนายสาธร  แซ่ลิ้ม อายุ 55 ปี ผู้ดูแลสุสานสมาคมคริสจักรตรัง ถ.กันตัง ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จึงทราบว่าภายในบริเวณสุสานริมรั้วติดกับป่าช้าสมาคมฮกเกี้ยนดังกล่าว มีศพฝรั่งชาวเดนมาร์ก 2 คน ไม่ทราบว่าเป็นบุคคลที่ต้องการค้นหาหรือไม่ พ.ต.ท.บรรลือ พร้อมด้วยสื่อมวลชนเข้าไปพิสูจน์ ต้องตะลึงเมื่อพบสุสานฝังศพ ของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์   เข้าจริง โดยสภาพถูกปล่อยไว้รกร้างไว้หลายปีไม่สมกับเกียรติที่เป็นผู้วางโครงสร้างตำรวจภูธร และเป็นบุคคลสำคัญของกรมตำรวจไทยในยุคก่อตั้ง เหนือหลุมฝังศพพบแผ่นหินขนาดใหญ่ หนาประมาณ 6 นิ้ว สูงประมาณ 1 เมตร แกะสลักข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าคือแผ่นจารึกพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.6 จากการอ่านรายละเอียด พ.ต.ท.บรรลือ จึงสามารถแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ด้วยพระประสงค์ของกษัตริย์แห่งประเทศสยาม หลักศิลานี้ถูกจัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงความจงรักภักดีที่ยาวนาน สู่ความทรงจำของ ผู้หมวด เอ.คอลล์ เกิดที่ เดนมาร์ก  23  กรกฎาคม ค.ศ.1867  เสียชีวิตที่ตรัง  4 กรกฎาคม ค.ศ.1911 “ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อกรมตำรวจ และประวัติศาสตร์เมืองตรัง รวมถึงลูกหลานของ พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์ ถัดลงมาด้านล่าง   พ.ต.ท.บรรลือ ยังพบว่ามีแผ่นหินขนาดเล็กจารึกข้อความที่ระบุไว้ว่า สุสานแห่งนี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยข้อความเป็นภาษาไทยระบุว่า “หลักศิลาพระราชทานแด่งหลุมฝังศพแห่งนี้ เดิมประดิษฐานอยู่ ณ . หลุมฝังศพริมถนนกลางบริเวณสุสาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2454 ต่อมาปี พ.ศ. 2532 สุสานได้ทำการเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพมาไว้ ณ  ที่นี้ นายประลอง  โกละสุต หลานของผู้วายชนม์ จึงได้ทำการย้ายหลักศิลาพระราชทานมาประดิษฐานคู่กับหลุมฝังศพแล้วเสร็จเมือ่เดือน พฤษภาคม 2533” พ.ต.ท.บรรลือ เปิดเผยว่า จากการค้นพบสุสาน พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์   ในครั้งนี้จะได้แจ้งให้ญาติพี่น้อง หรือทายาท ที่ต้องการค้นหาได้ทราบต่อไป รวมทั้งจะได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามขั้นตอน สำหรับสุสานที่สูญหายไปเชื่อว่าเป็นความเข้าใจสับสน เดิมทีสุสานแห่งนี้คงจะอยู่ที่ป่าช้าริมถนนตรัง – สิเกา ที่ชาวตรังเรียกว่าไสลาว ต่อมามีการล้างป่าช้าเพื่อขยายถนน จึงได้ทำการย้ายมาที่นี่ ญาติคงไม่ได้มาด้วยตนเอง และคงไม่มีใครทราบกัน อีกทั้งตนอยากให้ทางราชการโดยเฉพาะกรมตำรวจให้ความสำคัญต่อสุสานแห่งนี้ต่อไป  เนื่องจากเป็นบุคคลสำคัญในยุคก่อตั้งกรมตำรวจไทยเลยทีเดียว ไม่ควรปล่อยให้สุสานถูกลืม ทางด้านนายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ์ ผวจ.ตรัง หลังจากทราบข่าวการพบสุสานเก่าแก่ของบุคคลสำคัญในวงการตำรวจยุคก่อตั้ง ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า ตนจะเดินทางไปเยี่ยมสุสานแห่งนี้ด้วยตนเอง และจะสั่งให้เจ้าหน้าที่บูรณะทำความสะอาดตกแต่งอย่างสมเกียรติ  เพราะถือว่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในอดีตกาล ทางจังหวัดต้องให้ความสำคัญในส่วนที่จะมีการสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นมาหรือไม่นั้นคงต้องหารือกันหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทางตำรวจหรือทายาทของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์   ในปัจจุบัน ซึ่งคงมีมากมายหลายสายทีเดียว จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:39:48

ความคิดเห็นที่ 7 รายงานข่าวความคืบหน้าเมื่อวันที่ 23 ก.ค แจ้งว่า ในตอนบ่ายวันนี้  นายยุงยุทธ  วิชัยดิษฐ์ ผวจ.ตรัง พล.ต.ต.ดำรง  กิระวานิช  ผบก.ภ.จ.ตรัง ได้เดินทางพร้อมกันไปพิสูจน์สุสานและศิลาจารึกพระราชทานจาก ร.6  โดยเฉพาะนางยงยุทธ ถึงกับตะลึงและอุทานออกมาว่า  “เป็นไปได้หรือนี่ทำไมไม่มีใครรู้เรื่องเลย” ทั้งนายยงยุทธ และ พล.ต.ต.ดำรง  ใช้เวลาในการตรวจดูสภาพรอบ ๆ บริเวณสุสาน พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์    อย่างละเอียดเป็นเวลานานโดยขณะนั้นมีฝนตกพรำลงมา พร้อมทั้งหารือในการปรับปรุงสุสานให้กลายเป็นอนุสรณ์สถานที่มีคุณค่า ทั้งนี้จะมีการกันแนวเขตขยายรอบบริเวณซึ่งเป็นที่ว่างให้เป็นสัดส่วน แล้วปลูกไม้ดอกไม้ประดับให้งดงาม รวมทั้งการบูรณะบริเวณทางขึ้นซึ่งเป็นเส้นทางลำบากให้สะดวกยิ่งขึ้น นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังนายนายชาลี  กางอิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองตรัง ซึ่งมีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือตลอดจนกำลังคนพร้อมเข้าไปดำเนินการบูรณะสุสานของ พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์ ทันที เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสื่อมวลชนมีส่วนในการติดตามรายละเอียดจนกระทั่งมีการค้นพบ  ซึ่งญาติของผู้วายชนม์ไม่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวที่นำเสนอไป ล้วนเป็นความจริง และเป็นเรื่องที่ดีงามของตระกูล “โกละสุต”เลยทีเดียว สำหรับอาณาบริเวณสุสานคริสจักร จ.ตรัง ซึ่งมีการฝังศพผู้เสียชีวิตมากมายในขณะนี้ ตนเชื่อว่าในอดีตเมื่อครั้ง พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์   เสียชีวิต พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง )เป็นผู้ปกครองมณฑลภูเก็ตรวมถึงจังหวัดตรังด้วย อาจจะกันพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ใกล้สุสานคนจีน เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์    ประดิษฐานคู่กับ ศิลาพระราชทานจาก ร.6  ปรากฏว่าต่อมามีผู้อื่นซึ่งไม่ทราบคิดว่าเป็นที่สาธารณะ นำศพญาติไปฝังไว้จนเต็มแน่นขนาดนี้ ทางด้าน พล.ต.ต.ดำรง  กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากทราบข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็พยายามตรวจสอบ และเดินทางไปให้เห็นด้วยตาตนเอง ซึ่งก็ต้องตะลึงเช่นกัน เพราไม่นึกว่าบุคคลสำคัญของวงการตำรวจไทยในอดีต สุสานจะถูกปล่อยให้รก เรื่องนี้ตนจะทำหนังสือแจ้งไปยังกรมตำรวจเพื่อให้รับทราบ จะได้สั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป ในส่วนของกองบังคับการฯจะได้บูรณะและสดุดีให้สมเกียรติยศของท่าน ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พบกับนายสาธร แซ่ลิ้ม อายุ 55 ปี ผู้ดูแลสุสานคริสจักรตรัง เพื่อนทราบถึงประวัติสุสาน พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์   ที่มีการเคลื่อนย้ายมาแล้ว ได้รับการเปิดเผยว่าก่อนนี้หลุมศพดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากกำแพงประมาณ  5 เมตร เมื่อมีการบูรณะสุสานทั้งหมดจึงมีการขุดเคลื่อนย้ายไปด้านบน การขุดพบเมือ่ปี 2532 ตนจำได้ว่าโลงศพผุพังจนหมดแล้ว พบแต่เพียงโครงกระดูก และตะปูตอกโลงศพขนาดใหญ่  ซึ่งนายสมพงษ์ วงศิลา หรือโกเยื้อง ที่เสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ เป็นผู้ดำเนินการ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. นายยุงยุทธ  วิชัยดิษฐ์ ผวจ.ตรัง ได้มีคำสั่งถึง พล.ต.ต.ดำรง  กิระวานิช  ผบก.ภ.จ.ตรัง ว่า ตามที่สุสานของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์    อดีตบุคคลสำคัญของวงการตำรวจ เสียชีวิตเมื่อสมัย ร.6 ถูกค้นพบและเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เมือ่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ขอให้ พล.ต.ต.ดำรง  แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำการบูรณะปฏิสังขรณ์สุสานดังกล่าวเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้สมเกียรติโดยเร็วที่สุด ต่อมาในเวลา 13.30 น.วันเดียวกันนี้ ดร.สัญญา  ศรีวิเชียร ผู้บริหารรร.มัธยมวัดควนวิเศษมูลนิธิ จ.ตรัง พร้อมด้วยคณะนักเรียน ได้เดินทางไปยังบริเวณสุสานของ พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์   และวางช่อดอกไม้เป็นการรำลึกถึง โดย ดร.สัญญา กล่าวว่า ติดตามและทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ เห็นว่าถึงแม้จะเป็นชาวเดนมาร์กก็เป็นผู้สร้างคุณงามความดีตอ่ประเทศชาติจนได้รับพระราชทานแผ่นหินจารึก ร.6 จึงต้องการให้นักเรียนได้ศึกษาข้อมูล และเห็นสภาพสุสานดังกล่าว เนื่องจากชาวตรังไม่รู้เรื่องนี้เลย ทางราชการน่าจะให้ความสำคัญก่อนหน้านี้แล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ว่า เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ดำรง  กิระวานิช  ผบก.ภ.จ.ตรัง นำกำลังเจ้าหน้าที่ 10 นาย พร้อมอุปกรณ์ครบมือมายังสุสานและทำการถางหญ้าที่ขึ้นรกชัฏ รวมทั้งขุดต้นไม้ที่มีรากหยั่งลึกออก จนสภาพดูโล่งเตียนและสง่ามองเห็นได้ชัด ผิดกับก่อนนี้ซึ่งดูเหมือนสุสานที่ถูกลืมตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ผบก.ภ.จ.ตรัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการที่ตนตั้งขึ้นจะได้ประสานงานกับทายาท พ.ท.ออกัสฟิคเกอร์ เพื่อหารือจะทำการทวงคืนพื้นที่สุสานเดิมบางส่วนจากสมาคมคริสจักร จ.ตรัง เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พื้นที่ทั้งหมด ร.6 ได้มีพระบรมราชโองการถึงเทศภิบาลผู้ปกครองมณฑลภูเก็ต คือ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง ) จัดสร้างอนุเสาวรีย์พร้อม ประดิษฐานคู่กับ แผ่นศิลาจารึกข้อความพระราชทานแต่ต่อมามีการเคลื่อนย้าย พล.ต.ต.ดำรง  กล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบพิธีศพอันยิ่งใหญ่เมื่อ 86 ปีก่อน ภายในโลงศพจะมาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมกระบี่ประจำตัวของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าเหล่านั้นมีการฝังไว้ครบถ้วนหรือไม่ หากสูญหายไปจะต้องมีผู้ที่รับผิดชอบ และทายาทผู้ตายอนุญาตแค่ไหนอย่างไร เรื่องนี้ตนจะต้องทำให้กระจ่างออกมา และพร้อมให้ความร่วมมือทายาทบุคคลสำคัญของวงการตำรวจไทยเต็มที่. จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:42:30

ความคิดเห็นที่ 8 ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อหาจาก  หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 288 วันที่ 28 ก.ค. – 3 ส.ค. พ.ศ. 2540 อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า เนื้อหาจากข่าวมีถึง ๕ ฉบับด้วยกัน เรามาอ่านข่าวจากฉบับที่สองกัน หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 289  วันที่ 4  – 10 ส.ค. พ.ศ. 2540 ราคา 5 บาท พาดหัวรอง.... แห่ดูสุสานปู่ตำรวจ พ.ท.ออกัสฯ เผยประวัติถูกวางพิษใส่ในบรั่นดี ชาวตรังทราบข่าวแห่ดูสุสาน พท.ออกัสฯปู่ตำรวจไทยเผยประวัติถูกวางยาพิษขณะออกปราบพวง “กังฉิน” จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:45:14

ความคิดเห็นที่ 9 เนื้อหา พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 2 ส.ค.  จากการค้นพบสุสาน  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์ อดีตผู้ร่วมวางโครงสร้างตำรวจไทย บริเวณสุสานคริสจักร จ.ตรัง ปรากฏว่าแต่ละวันผู้คนทั่วไปโดยเฉพาะตำรวจทั้งในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียง พากันเดินทางชมสุสานปู่ตำรวจไม่ขาดสาย โดยเฉพาะมีการบันทึกภาพเป็นที่ระลึกกับแผ่นหินจารึกข้อความพระราชทานจาก ร.6  นายยุงยุทธ  วิชัยดิษฐ์ ผวจ.ตรัง เปิดเผย ในอนาคตหากทางราชการประสานกับทายาท มีการบูรณะให้ดี มีการรวบรวมประวัติอย่างละเอียดแสดงเอาไว้ พร้อมกับรูปปั้น พ.ท.ออกัส ฟิกเกอร์ ก็จะเป็นสถานที่ซึ่งน่าสนใจ และคนคว้าทางประวัติศาสตร์ตำรวจไทยต่อไป พล.ต.ต.ดำรง  กิระวานิช  ผบก.ภ.จ.ตรัง กล่าวว่า ตนได้ลงนามในหนังสือคำสั่ง 69/2540 ตั้งคณะทำงาน ดำเนินการปรับปรุง บูรณะสุสานดังกล่าว ซึ่งตนเองเป็นประธานคณะทำงาน พ.ต.อ.ไพบูลย์ ตุลยะนิษกะ รองผบก.ภ. เป็นรองประธาน พ.ต.อ.ประหยัด  พยัคญาติ  ผกก.สภ.อ.เมืองตรัง  พ.ต.ท.คำรนธ์  ชิตโชติ ผกก.อก.ภ.จ.  พ.ต.ท.ธรรมนูญ  ไตรทิพย์พงษ์  สว.ป.สภ.อ.เมืองตรัง เป็นคณะทำงาน ร.ตอ.พนัส  รักษศรี ช่วยราชการ ภ.จว. เป็นเลขานุการคณะทำงาน   ร.ต.ท.ภูมิ  บาลทิพย์  รอง สว.ส.สภ.อ.เมืองตรัง เป็นผู้ช่วยเลขานุการ  โดยให้คณะทำงานดังกล่าวร่วมกับญาติของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  และเจ้าหน้าที่คริสจักรตรัง  ดำเนินการปรับปรุงบูรณะสุสานให้เสร็จสิ้นโดยด่วน ตลอดจนให้รักษาความสะอาดสวยงามตลอดเวลา ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับประวัติในอดีตของ  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์ ซึ่งมีการรวบรวมและเขียนโดย พ.ต.ต.สำเริง  สิงหะวาระ  หัวหน้าแผนกวิชาสังคมศาสตร์ กองกำกับการ 2 กองอำนวยการศึกษา กองบัญชาการศึกษา ถูกส่งให้  “ข่าวเสรี” ระบุว่า  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เป็นชาวเดนมาร์ก สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอัศวินเก่าแก่ตระกูลหนึ่ง เมื่อยังเป็นหนุ่มเป็นผู้มีความอุตสาหะ  และความเฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารเดนมาร์ก เมื่ออายุเพียง 21 ปี เป็นนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ ชั้นเยี่ยมคนหนึ่ง จึงถูกคัดเลือกเข้ามาช่วยเหลือด้านวิชาทหาร และเป็นครูฝึกวิชาทหารแก่ประเทศตะวันออกที่ต้องการ แรกเข้ามารับราชการในเมืองไทยเมื่อไรนั้นค้นหาหลักฐานยังไม่พบ แต่คงได้เข้ามาในราว พ.ศ. 2435 หรือก่อนนั้นเล็กน้อย ได้เป็นว่าที่ร.ท. ครูฝึกทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่สราญรมย์  เมื่อ พ.ศ.2427  เป็นกัปตันปืนใหญ่รักษาพระองค์ ครั้นต่อมาทางราชการดำริตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรขึ้นที่ นครราชสีมา เพื่อเร่งผลิตนายตำรวจสัญญาบัตร  ให้ทันกับความต้องการอย่างเร่งด่วนของกิจการตำรวจภูธรที่ขยายตัวออกไปในยุคนั้น และโดยเห็นว่า  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์   ได้แสดงความสามารถของตนเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจมาแล้วในการวางรากฐานก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่วังสราญรมย์ จึงมีการแต่งตั้งให้ไปรับราชการในกรมตำรวจภูธรต่อไป  เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจนี้เป็นคนแรก ทั้งนี้การฝึกสอนอบรมทุกอย่างอยู่ในความรับผิดชอบของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  ผู้เดียวโดยเด็ดขาด หลักสูตรการเรียน พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์   เป็นผู้วางให้เอง การเรียนยังไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน บางคนอาจเพียง  3  เดือน บางคนก็ 5 เดือน ถึง  8 เดือน หรือมากกว่านั้น  แล้วก็ออกจากโรงเรียนไปรับราชการโดยไม่มีการสอบไล่ในวิชาต่าง ๆ อย่างที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน เหตุที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่า ในระยะนั้นเป็นระยะเริ่มแรกและฉุกหุก ทั้งคนที่รู้หนังสือและสนใจเป็นตำรวจก็มีไม่มากนัก ออกัส ฟิคเกอร์  ได้เลื่อนยศเป็น พ.ท. เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2452 (ราชกิจจานุเบกษา  ร.ศ.128 ) สำนักงานของ  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  อยู่ที่ จ.สงขลา และเป็นที่ประสบอัธยาศัยไว้วางใจในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าหัว รัชกาลที่ 6  เป็นอย่างยิ่ง  ตามที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการกองตำรวจภูธรมณฑลชายทะเลนั้น   นอกเหนือจากหน้าที่ ตามปกติของจเรตำรวจในสมัยนั้นแล้ว ยังได้รับมอบหมายหน้าที่พิเศษลับบางประการเกี่ยวกับการป้องกันราชอาณาจักรอีกด้วย รวมทั้งในช่วงที่ประจำอยู่ภาคใต้ในฐานะผู้ตวรจการมณฑลชายทะเลอยู่นั้น พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์   ได้รับคำสั่งให้ไปปราบปรามการโกงกินที่ จ .ภูเก็ต ซึ่งเหลือสติปัญญาเจ้าหน้าที่ท้องที่จะจัดการอย่างเด็ดขาดได้ ส่งใครไปปราบปรามก็ปรากฏว่าถูกอำนาจการเงินของพวกโกงกินเหล่านั้นปราบจนอยู่มือ  และเงียบกริบไปตาม ๆ กัน พวกทุจริตพยายามใช้เงินซื้อความสุจริตของ พ.ท.ออกัส  ฟิคเกอร์ ก็จะถูกปฏิเสธ ด้วยความรังเกียจและดูการดูหมิ่น  “เงินสกปรก...คนสกปรก...เชิญออกไป...ฉันได้รับเงินพระราชทานเงินเดือนพอกินพอใช้อยู่แล้ว....”   พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์   ล้มป่วยที่จังหวัดภูเก็ต แต่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมิชชั่น จ. ตรัง หลายครั้ง พอค่อยยังชั่วบ้างก็กลับไป จ.ภูเก็ตอีก แม้พระยาเดชานุชิต (หนา  บุนนาค) ซึ่งต่อมาอีกหลายปีได้เป็นเทศาภถิบาลมณฑลปัตตานี  จะคอยห้ามปรามอย่าเดินทาง สมัยนั้นต้องใช้ช้างบุกป่าฝ่าดงพงทึบและที่ทุรกันดาร  แม้กระนั้นก็หาย่อท้อและนึกถึงสุขภาพของตนไม่ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  นึกถึงแต่หน้าที่ของตน สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น ที่สุดข้าราชการผู้ซื่อสัตย์ “ตงฉิน”ผู้นี้ก็ถึงแก่กรรมลงเมื่อวันที่ 4  กรกฎาคม  2454  ที่จังหวัดตรัง  เมื่อายุเพียง 44 ปี ตามราชกิจจานุเบกษาประจำศกนั้น (ร.ศ.130 ) ลงว่าถึงแก่กรรมด้วยโรคบิด  แต่ตามเหตุการณ์ที่ญาติพี่น้องมิตรสหายเล่าต่อ ๆ กันมานั้น ถึงแก่กรรมโดยถูกวางยาพิษโดยคนใช้ที่เป็นคนใหม่ ซึ่งการวางยาพิษ พ.ท.ออกัส  ฟิคเกอร์ คงจะทำกันหลายครั้งหลายคราวโดยผู้มีอิทธิพลจ้างวานคนใช้ใส่ยางตุ่มในบรั่นดีให้ดื่ม จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:50:05

ความคิดเห็นที่ 10 ทั้งหมดเป็นเนื้อข่าวในหนังสือพิมพ์ข่าวเสรี จากทั้งสองฉบับ แต่ยังไม่หมดเป็นเท่านี้ ในฉบับนี้ ยังมีบทความที่ทำขึ้นพิเศษด้วย  เดาจากเนื้อข่าวด้านบนจาก ประโยคนี้  “สำหรับประวัติในอดีตของ  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์ ซึ่งมีการรวบรวมและเขียนโดย พ.ต.ต.สำเริง  สิงหะวาระ  หัวหน้าแผนกวิชาสังคมศาสตร์ กองกำกับการ 2 กองอำนวยการศึกษา กองบัญชาการศึกษา ถูกส่งให้  “ข่าวเสรี” ระบุว่า  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เป็นชาวเดนมาร์ก สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอัศวินเก่าแก่ตระกูลหนึ่ง”  จึงเดาว่าแหล่งข้อมูลน่าจะได้มาจาก นายตำรวจท่านนี้   บทความชุดนี้มี่  ๕ ฉบับ ใช้ชื่อ หัวข้อว่า  “บันทึกไม่ลับ...พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลล์” เช่นเดิม ขอยกเนื้อเรื่องมาทั้งหมดนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 07:52:44

ความคิดเห็นที่ 11 หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 289  วันที่ 4  – 10 ส.ค. พ.ศ. 2540 หน้า  19 “บันทึกไม่ลับ...พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์” 100 ปีตำนานคนบนรอยประวัติศาสตร์ แผ่นดินอันดามันที่ถูดบิดเบือน ( 1 ) ข่าวที่ดูจะเกรียวกราวเป็นแรงดึงดูดใจให้นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องเหลียวกลับมามองถึงเรื่องราวในบางหน้าของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแถบนี้ขาดหายไป..นั่นคือ การค้นพบ สุสาน 85 ปีของ “พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริค คอลล์” อดีตนายตำรวจชาวเดนมาร์กผู้วางรากฐานในบางด้านให้กับกรมตำรวจยุคบุกเบิกสมัยรัชกาลที่ 5  ... แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือความตายของ “พ.ท.ออกัส ฟิกเกอร์เฟรดเดอริค คอลส์” ที่ยังเป็นที่เคลือบแคลงจนทุกวันนี้  ...  ออกัส ฟิคเกอร์ ตายด้วยการถูกวางยา หรือ ออกัส ฟิคเกอร์ตายด้วยการเป็นโรคบิด “ออกัส ฟิคเกอร์” เดินทางเข้ามารับราชการในเมืองไทยเมื่อปี 2435 หรือ เมื่อ 105 ปีที่ผ่านมา  ในรัชสมัยของพระเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ขณะที่มีอายุได้ 21 ปี เป็นผู้เข้ามาวางรากฐานของกรมตำรวจเกิดขึ้นในหลายด้าน  รวมทั้งได้รับการยกย่องให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ของกรมตำรวจในหลายหน้าที่ ในระยะเวลาดังกล่าว “ออกัส ฟิคเกอร์”  เป็นนายตำรวจที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระมหากษัตริย์ไทยเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากกรณีรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการกองตำรวจภูธรมณฑลชายทะเลและยังได้รับมอบหน้าที่พิเศษลับบางประการเกี่ยวกับการป้องกันราชอาณาจักรอีกประการหนึ่งด้วย เล่ากันว่าการลงมาหัวเมืองภาคใต้ของ   “ออกัส ฟิคเกอร์”   นายตำรวจคนสำคัญในเวลานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน  แต่ต้องมีเหตุที่สำคัญต่อการปกครองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการมาครั้งนั้นถือเป็นการมาทำงานแทนพระเนตรพระกรรณ  ด้วยว่ามีเสียงเล่าลือเกิดขึ้นถึงเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง  การลงมาเพื่อทำงานในหัวเมืองภาคใต้ของ “ออกัส ฟิคเกอร์”   ในปี 2451 จึงเป็นเงื่อนปมสำคัญที่จะนำไปสู่ความตายแห่งปมปริศนาในระยะเวลาต่อมา บนป้ายหินอ่อนสลักด้วยข้อความพระราชทานของรัชกาลที่ 6   ที่มอบให้เพื่อเป็นอนุสรณ์นั้น  คือ เครื่องยืนยันถึงคุณูปการของ ออกัส ฟิกเกอร์  เฟรดเดอริค คอลส์ ต่อประเทศสยามและการตายของ  “ออกัส ฟิกเกอร์”    ในปี พ.ศ.2454  ครั้งนั้นก็คือความสูญเสียที่สำคัญยิ่งของวงการตำรวจไทยและประชาชนทั้งประเทศ  ถึงขนาดที่   พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าหัว รัชกาลที่ 6   ทรงโทมนัสในความตายของ  พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์  เป็นอย่างมาก รำพึงว่า  “แขนขวาฉันขาดเสียแล้ว” จากบันทึกประวัติของ พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์   ที่ รร.นายตำรวจสามพราน  จังหวัดนครปฐม พอจับใจความได้ว่า  พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์  เป็นายตำรวจผู้รักความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง  การลงมาหัวเมือภาคใต้ครั้งนี้  คือก่ารลงมาเพื่อปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของข้าราชการในท้องถิ่นแถบนี้  โดยเฉพาะที่มณฑลภูเก็ต  ที่มีเสียงเล่าลือไปทั่วและหลายครั้งหลายคราที่เหล่าข้าราชการชั่วเหล่านั้นพยายามนำเงินและสิ่งของมาให้  พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์   แต่ด้วยจิตใจที่ชิงชังต่อการคอรัปชั่น  จึงมักถูก พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์  บริภาษกลับไปทุกครั้งด้วยถ้อยคำรุนแรงอย่างเช่น  เอาเงินสกปรกออกไปฉันไม่ต้องการ...คนสกปรก....ฉันมีเงินเดือนพระราชทานให้เพียงพอแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนี้เหล่าข้าราชการชั่วผู้กลัวอาญาผิดแผ่นดินจึงคิดประทุษกรรมด้วยการวางแผนเอาชีวิต  พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์  จึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง หลายครั้งหลายคราที่ พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์  ถูกวางยาพิษจนต้องนำส่งโรงพยาบาลมิชชั่น(ต่อมาคือโรงพยาบาลตรังชาตะสงเคราะห์) แต่ พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์ ก็รอดมาได้ทุกครั้ง แม้รู้ว่าจะโดนปองร้ายถึงขนาดนั้น แต่ด้วยหัวใจรักความเป็นธรรมและต้องการกระชากหน้ากากของกระบวนการโกงบ้านโกงเมืองกลุ่มนี้ให้จงได้   พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์   จึงยืดหยัดต่อสู้รวบรวมข้อมูลหลักฐานพยานเตรียมจับกุม...แต่ในที่สุดน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเป็นสิ่งธรรมดาเสมอ...นกน้อยหัวใจเหล็กแห่งยุโรปผู้มีจิตใจสวามิภักดิ์ต่อแผ่นดินสยาม  ก็ต้องพลาดท่าเสียทีอีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 4  กรกฎาคม ปีพ.ศ. 2454 ด้วยข้อความที่ถูกแจ้งไปยังส่วนกลางว่า  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์เฟรดเดอริค คอลล์ ได้ถึงแก่อัสัญกรรมด้วยโรคบิดลงท้อง ! นับตั้งแต่บัดนั้นกระทั่งวันนี้ 85 ปี แห่งความทรงจำที่เลือนหายไปของเรื่องราว  ออกัส ฟิกเกอร์   ไม่มีคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่รู้จัก พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์ ไม่มีใครเอ่ยถามว่า พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์ มาทำอะไรที่เมืองตรังและทำไมต้องต้องมาตายที่นี่ และเช่นเดียวกันขณะที่เมืองตรังได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองพระยารัษฎาฯมาร่วม  85   ปี เสียงชื่นชมและสรรเสริญต่อ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดในฐานะผู้สร้างบ้านแปงเมืองตรัง  หลุมศพของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์ ที่ได้รับพระราชทานทั้งป้ายหินอ่อนและโลงศพชั้นดีที่สุดในมาลายูเวลานั้นเพิ่งมีการค้นพบและกล่าวขวัญถึงในเวลานี้อย่างอัศจรรย์ ! เป็นการค้นพบที่สำคัญยิ่งต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์เมืองตรัง ไดอารี่ บันทึกและเรื่องราวความโสมมของข้าราชการเมืองตรังด้วย พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์   คงจะไม่เคยได้รับการเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเป็นแน่แท้ ในห้วง  85  ปีหลังอสัญกรรม สำหรับที่นี่เราพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้ชำระประวัติศาสตร์ในบางหน้าของตรังอย่างชนิดไม่เคยมีคนตรังคนใดค่าดคิดมาก่อน  ด้วยการเปิดเผยข้อมูลของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์เฟรดเดอริค คอลล์ ถึงการปราบปรามคอรัปชั่นในสมัยเมื่อ  85  ปีที่ผ่านมาและนักคอรัปชั่นคนสำคัญคนนั้นเป็นใคร ?  หากคนเมืองตรังรู้อาจคาดไม่ถึง !.... ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น !. กองบรรณาธิการข่าวเสรี จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:08:17

ความคิดเห็นที่ 12 เอาละสิ ทิ้งท้ายทำเอาเราหนาวเลย  เริ่มถามตัวเอง พิมพ์ต่อดีไหม ?  แล้วถ้าพิมพ์จะกระทบถึง ตรังไหม ?   ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า .... ‘มาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นไงเป็นกัน’.....  มาต่อตอนสองกันดีกว่าค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:08:59

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนที่ ๒  ที่มา หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 290  วันที่ 11  – 17 ส.ค. พ.ศ. 2540 หน้า  19 “บันทึกไม่ลับ...พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์” พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์    ยอดคนยุโรปผู้ภักดีต่อสยามประเทศ ( 2 ) ...แม้ปูมหลังชีวิตของ ออกัส ฟิคเกอร์  จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับฝรั่งที่เข้ามายังประเทศสยามในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อร่วมวางรากฐานสร้างแผ่นดินสยามให้ก้าวหน้าเท่าเทียมกับนานาอารยะประเทศในยุคนั้น แต่เบื้องหลังของออกัส ฟิคเกอร์ ก็คือที่มาของผู้มากด้วยความสามารถและความซื่อสัตย์  ที่น่าสนใจอีกผู้หนึ่งในยุคนั้น ออกัส ฟิคเกอร์ เป็นชาวเดนมาร์ก  สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอัศวิน ( Knigth) เก่าแก่ตระกูลหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก   เขาสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยเดนมาร์ก เมื่ออายุเพียง  20  ปีเท่านั้นและนับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันถึงความก้าวหน้าในชีวิตเฉกเยี่ยงอย่างของอัศวินต้นตระกูล ออกัส   ฟิคเกอร์ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อราวปี  2435  ซึ่งก่อนหน้านั้น  เขาเคยพำนักอยู่ ณ ประเทศญี่ปุ่นมาก่อน  การเข้ามายังประเทศไทยของ ออกัส   ฟิคเกอร์ ในช่วงสมัยนั้นถือเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่สำหรับวงการตำรวจไทยในช่วงยุคบุกเบิกเพราะเขาเป็นหนึ่งในหลายนายตำรวจต่างประเทศที่เป็นผู้วางรากฐานให้กับกรมตำรวจในระยะเวลาต่อมา เมื่อมาอยู่เมืองไทย  ออกัส   ฟิคเกอร์ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยจากพระมหากษัตริย์ไทยเป็นอย่างมากเพราะเป็นผู้ที่จงรักภักดีและเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์เป็นเลิศ  นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ที่มีฝีมือทางด้านการสู้รบอีกประการหนึ่งด้วย เล่ากันว่าในช่วง ร.ศ.111 (พ.ศ. 2435)  ออกัส   ฟิคเกอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูผู้ฝึกสอนวิชาทาหารบกของโรงเรียนนายร้อยทหารบกสราญรมย์  โดยได้รับการแต่งตั้งในว่าที่ยศนายร้อยตรี  ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง  ประจำอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกนั้น  ออกัส   ฟิคเกอร์ เป็นผู้มีส่วนอย่างมากต่อการวางรากฐานหลักสูตรก่อตั้งปรับปรุงโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่นี่ขึ้น  รวมทั้งเป็นผู้ที่เฝ้าสอนอย่างใกล้ชิดกับนายทหารยุคนั้น  จนเป็นที่ร่ำลือกันไปโดยทั่ว ว่าเป็นผู้ที่เข้มงวดกวดขันเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก  มีเกร็ดประวัติเล็กๆที่เล่าถึงการฝึกฝนทหารของ “ออกัส   ฟิคเกอร์” ไว้ในช่วงเวลานั้นว่า  ครั้งหนึ่งเมื่อ ออกัส   ฟิคเกอร์ สั่งให้นักเรียนนายทหารผู้อยู่ในชุดขาวนอนลงอยู่ในท่าเตรียมยิง ซึ่งเป็นหลักสูตรหนึ่งในการสู้รบ  ขณะนั้นปรากฏว่ามีเจ้านายพระองค์หนึ่งเดินผ่านมาพบจึงต่อว่า  ออกัส   ฟิคเกอร์  หาว่านักเรียนเหล่านี้ล้สนเป็นลูกท่าหลานเธอ  การที่มานอนใส่เสื้อขาวอยู่ในสนามนั้นทำให้สกปรกและไม่สมควรอย่างยิ่ง  เมื่อออกัส  ฟิคเกอร์ ได้ยินจึงสวนไปว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้มาเป็นครูฝึกคนให้เป็นนายทหาร  ไม่ใช่สอนคนให้เป็นนายคน   ปรากฏกว่า  เหตุการณ์ครั้งนั้น  ทำเอาเจ้านายพระองค์นั้นถึงกับหน้าหงายไม่กล้ามาตอแยกับ ออกัส   ฟิคเกอร์  อีกเลย ต่อมาเมื่อปี  2436  ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยต้องขมขื่นใจเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์ชาติไทย  เมื่อต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับประเทศฝรั่งเศสไปมากกว่าสองแสนตารางกิโลเมตร  เมื่อเรือรบฝรั่งเศสบุกเข้ามาเพื่อบังคับไทยให้ยอมจำนนอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยานั้น  ออกัส   ฟิคเกอร์ คุมกำลังทหารรักษาสถานการณ์อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี  นอกจากจะเสียใจที่ต้องสูญเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสเช่นเดียวกับคนไทยแล้ว  ยังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเพราะไม่มีโอกาสได้แสดงฝีไม้ลายมือให้เป็นที่ประจักษ์   ยิ่งเมืองจันทบุรีเวลานั้นถูกยึดเป็นประกันไว้เป็นเวลา  10 ปีด้วยแล้วยิ่งทำให้เลือดนักสู้ของ ออกัส   ฟิคเกอร์ ยิ่งรุ่มร้อนขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวถึงกับประกาศไม่ยอมถอนทหารนอกจากได้รับปพระบรมราชโองการเท่านั้น หากฝรั่งเศสเหยียบย่างเข้ามาเป็นต้องรบกันอย่างแน่นอน เลือดนักสู้ของชายชาติทหารผู้จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและแผ่นดินสยามอย่าง  ออกัส   ฟิคเกอร์  เป็นที่ประจักษ์ชัดไปโดยทั่วเวลานั้น   ต่อมาเมื่อทางราชการได้ดำเนินการก่อตั้ง  โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรที่นครราชสีมา เมื่อปี  2444  นั้น ทางราชการเห็นว่า  “ออกัส   ฟิคเกอร์” เป็นผู้ที่เคยดำเนินการสร้างนายร้อยทหารมาได้สำเร็จแล้ว จึงให้มาเป็นผู้สอนโรงเรียนนายตำรวจภูธรแห่งนี้ เพื่อสร้างและวางรากฐานอีกครั้งหนึ่งซึ่ง  “ออกัส   ฟิคเกอร์”ก็ได้เข้ามาร่วมสร้างและวางรากฐานโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรแห่งนี้ตามความประสงค์ของทางราชการ ผลการวางรากฐานและระเบียบโรงเรียนายร้อยตำรวจภูธรในครั้งนั้นของ “พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์เฟรดเดอริค คอลล์”  ปรากฏว่าเป็นที่เลื่องลือถึงคุณภาพของนักเรียนนายร้อยตำรวจภูธรในสมัยนั้นว่าเป็นผู้มีระเบียบวินัยและมีความสามารถเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์เฟรดเดอริค คอลส์  เริ่มขจรขจายมากขึ้นพร้อม ๆ กับเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับหน้า...คงต้องมาว่ากันเรื่องประวัติของ นายพัน ทหารผู้สร้างตำนานกรมตำรวจ “ออกัส   ฟิคเกอร์” ต่อ.... แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 55 08:21:09 จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:20:03

ความคิดเห็นที่ 14 มาถึงตอนนี้เปลี่ยนใจ ขอต่อให้จบเลยนะคะ มาต่อกันเลยนะคะ กับ เรื่องราวในตอนที่ ๓ จาก หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 291  วันที่ 28  – 24 ส.ค. พ.ศ. 2540 หน้า  19 “บันทึกไม่ลับ...พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลล์” ออกัส ฟิคเกอร์ ยอดคนยุโรปผู้ภักดีต่อสยามประเทศ  ( 3 ) เล่ากันว่าในช่วงที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ๆ  ในช่วงปี พ.ศ. 2444 นั้น  เป็นช่วงที่อยู่ในระยะบุกเบิกเพื่อสร้างนายตำรวจออกมารับใช้ชาติขึ้นมาในยุคแรก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่บุคคลที่มาวางรากฐานมักจะเป็นนายทหารชาวต่างชาติ และเป็นชาวเดนมาร์กเสียเป็นส่วนมาก ช่วงที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรก่อตั้งขึ้นที่ประตูผี หรือประตูชัยณรงค์จังหวัดนครราชสีมา  (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองบังคับการตำรวจภูธรเขต 3  ) นี้เป็นช่วงที่เจ้ากรมตำรวจเป็นชาวเดนมาร์กเช่นเดียวกับ  ออกัส   ฟิคเกอร์ คือ หลวงคัทธานนิเทศ   หรือที่คนไทยรู้จักกันโดยทั่วไปว่า ยี่เซา  ต่อมาท่านผู้นี้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น  “พระยาวาสุเทพ” การก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรในยุคบุกเบิกครั้งนั้นแม้ว่า  “ออกัส   ฟิคเกอร์” จะไม่ใช่ผู้บังคับการโรงเรียนโดยตรง  แต่ว่ากลับเป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการดูแลนักเรียนรวมทั้งเป็นผู้วางหลักสูตรขึ้นมาสอนเองส่วนใหญ่   ทั้งนี้เพราะ ออกัส   ฟิคเกอร์ ท่านผู้นี้เพียงผู้เดียว และการเสนอชื่อแต่งตั้งนายตำรวจจะต้องส่งไปให้กับ “ยี่เซา” หรือ พระยาวาสุเทพ  พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง  แต่ “ยี่เซา” ก็เป็นเพียงผู้อนุมัติแต่งตั้งเท่านั้น   ทั้งนี้เพราะพระยาวาสุเทพเชื่อถือในการสอนและการสร้างคนของ  ออกัส   ฟิคเกอร์ เป็นอย่างมาก เมื่อ ออกัส เสนอนายตำรวจลูกศิษย์คนใดขึ้นไปก็จะได้รับการพิจารณาทุกคน การวางหลักสูตร ของ ออกัส   ฟิคเกอร์ ต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรระยะเวลา  ปี 2444  - 2445 เป็นการวางหลักสูตรอย่างเร่งด่วน เพื่อป้อนนายตำรวจเข้าไปแต่งตั้งตามมณฑลต่าง ๆ ซึ่งเป็นนโยบายการวางรากฐานตำรวจให้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค   นโยบายนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.  2440  แต่งยังไม่มีนายตำรวจ  การสร้างนายตำรวจยังไม่เกิดขึ้นเพราะไร้ผู้ฝึกสอนที่มีประสบการณ์  การก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรอย่างเร่งด่วนเช่นนี้จึงเป็นภาระที่สำคัญยิ่งของวงการตำรวจไทยในขณะนั้น  และนายทหารฝีมใอดีที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ก็หลักไม่พ้น  ออกัส   ฟิคเกอร์ ที่เคยสร้างนายร้อยทหารสราญรมย์มาแล้ว ว่ากันว่าหลักสูตรในเบื้องต้นนั้นส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตรที่เป็นการปฏิบัติและการสู้รบรวมทั้งระเบียบวินัยที่เคร่งครัดอย่างมาก  การจบหลักสูตรในระยะนั้นไม่มีการสอบไล่อยู่ที่ความพอใจของ ออกัส   ฟิคเกอร์ ที่จะมองเห็นนักเรียนของตยว่าเหมาะสมที่จะไปรับใช้ประเทศชาติแล้วหรือยัง   หากเห็นว่าคนใดเหมาะสมก็จะเสนอชื่อเพื่อให้เตรียมบรรจุแต่งตั้ง โดยส่วนใหญ่หลักสูตรการเรียนในระยะนั้นจะอยู่ในช่วง 5 – 8 เดือน  แล้วแต่ ออกัส   ฟิคเกอร์ จะพิจารณาถึงความเหมาะสมเป็นรายไป มีเกร็ดการเรียนการสอนของ ออกัส   ฟิคเกอร์ ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรแห่งนี้ จากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ลูกหายุคนั้น  ว่าหลักสูตรที่ ออกัส   ฟิคเกอร์ วางไว้นั้นค่อนข้างจะเข้มงวด และเต็มไปด้วยระเบียบวินัย  นักเรียนคนใดที่ผิดระเบียบจะโดน ออกัส   ฟิคเกอร์ ลงโทษอย่างหนัก  ระเบียบวินัยที่ ออกัส   ฟิคเกอร์ วางไว้เป็นที่ร่ำลือกันไปโดยทั่วไปในหมู่ลูกศิษย์  แม้เมื่อเข้ารับราชการระเบียบวินัยก็ยังติดตัวอยู่เป็นบุคลลิกที่ไม่มีวันลบเลือน  ตั้งแต่การะมัดระวังเรื่องคำพูด ต้องพูดน้อยแต่ทำงานให้มากหากใครพูดมากก็จะถูกต่อว่า  เป็นพวกปากพลเรือน  หรือแม้แต่กระทั่งการเดิน  การถ่ายปัสสาวะ  ทุกอย่างในรั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรระยะนั้น คือการฝึกหัดคนที่พร้อมที่จะออกมารับใช้ประเทศชาติ  แม้ว่าจะเป็นหลักสูตรเร่งรัด  แต่ก็เป็นหลักสูตรที่สอนคนอย่างได้ผล  จนกระทั่งได้รับการยอมรับไปทั่วประเทศว่านายร้อยตำรวจภูธรประตูชัยณรงค์ คือนายร้อยที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก  และในช่วงระยะหลัง ๆ ลูกศิษย์ของ  ออกัส   ฟิคเกอร์  ที่มีชื่อเสียงก็มีขึ้นเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น  พ.ต.อ.พระยาเสนานนท์  พ.ต.อ.พระยาอนันต์ยุทธกาจ  พ.ต.อ.พระยา   สท้านไตรภพ    ฯลฯ ต่อมาเมื่อปี  2446   (ร.ศ. 122 )  ออกัส   ฟิคเกอร์  ซึ่งเป็นร้อยเอก  ก็ได้เลื่อนยศเป็นพันตรี ของกรมตำรวจภูธรและโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรก็ได้ย้ายจากนครราชสีมาไปตั้งอยู่ที่ห้วยจรเข้  จังหวัดนครปฐม  เมื่อย้ายโรงเรียนจากนครราชสีมามาตั้งที่จังหวัดนครปฐมแล้ว  ในปี  2447 ออกัส   ฟิคเกอร์ ก็ได้ย้ายไปเป็นครูตรวจการประจำมณฑลกรุงเก่าที่อยุธยา ที่อยุธยานี่เองที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ  ออกัส   ฟิคเกอร์  อย่างมากโดยเฉพาะกรณีรแหกคุกของนักโทษเดนตาย...ที่มีเพียง ออกัส   ฟิคเกอร์ เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่แก้ปัญหาที่คอขาดบาดตายก่อนที่จะลุกลามใหญ่โตได้สำเร็จ... จะเป็นอย่างไรฉบับหน้ามาว่ากันต่อ.... จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:28:01

ความคิดเห็นที่ 15 มาต่อเนื่องกับตอนที่  ๔ จาก หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 294  วันที่ 25  – 31 ส.ค. พ.ศ. 2540 หน้า  13 “บันทึกไม่ลับ...พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลล์” ออกัส ฟิคเกอร์  ช่วงสุดท้ายของชีวิตทิ้งไว้เป็นปริศนาในยุคสมัยต่อมา   ( 4 ) เรื่องราวของ  “ออกัส ฟิคเกอร์เฟรดเดอริค คอลล์”  นายทหารชาวเดนมาร์ก  ผู้มีคุณาปการต่อแผ่นดินสยามเมื่อร่วม  100 ปีที่ผ่านมานั้น  เมื่อมองกันอย่างถึงที่สุดแล้ว   จะเห็นได้ถึงอุปนิสัยที่สำคัญเป็นแบบอย่างให้อนุชนและคนไทยในยุคนั้นและยุคต่อ ๆ มายึดเป็นแบบอย่างได้คือความเป็นคนตรง และเป็นผู้มีวินัยอย่างเคร่งครัดสมกับนายทหารผู้มาจากดินแดนที่มีอารยะธรรม... เรื่องราวของ  ออกัส   ฟิคเกอร์  เดินทางมาถึงช่วงเมื่อได้รับตำแหน่งเป็นครูประจำกรมมณฑลถูกส่งไปประจำการที่อยุธยาและที่นี่เองที่ทำให้ชื่อเสียงของ ออกัส   ฟิคเกอร์   โดดเด่นขึ้นมาในอีกด้านหนึ่งของชีวิตเมื่อสามารถ กล่อมนักโทษ  อุกฉรรจ์ในเวลานั้นที่รวมตัวกันประท้วงพร้อม ๆ กับทำการแหกคุก ด้วยว่าไม่สามารถทนอยุ่ในสภาพที่กดดันได้ในเวลานั้น  เรื่องของนักโทษแหกคุกที่อยุธยาดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ตั้งเค้าถึงการนองเลือดที่จะเกิดขึ้น ระหว่างฝ่ายบ้านเมืองและนักโทษได้  เพราะการเจรจาเพื่อให้นักโทษกลับเข้าสู่ที่เดิมล้มเหลวและมีทีท่าว่าการเจรจากลายเป็นเรื่องที่ส่งผลให้เกิดความรุนแรงลุกลามขึ้นในที่สุด เหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มที่จะมีปัญหาชุลมุนและมีทีท่ารุนแรงขึ้น แต่ทว่า “ออกัส   ฟิคเกอร์” ก็สามารถใช้จิตวิทยากล่อมนักโทษเหล่านั้นลงได้อย่างราบคาบ    อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนักเป็นที่โจษจรรย์กันเป็นอย่างมากของข้าราชการฝ่ายปกครองที่อยู่ในเหตุการณ์ เมื่อมีคนไปถาม  ออกัส   ฟิคเกอร์   ว่าทำอย่างไรถึงได้กล่องนักโทษได้สำเร็จเหมือนมีพระนะจังงังเช่นนั้น  ออกัส   ฟิคเกอร์  ก็ตอบให้ฟังด้วยอารมณ์ดีว่า  เหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะตนมีพระนะจังงังแต่เป็นเพราะพูดกับเขาด้วยน้ำใจ  เพราะพูดด้วยปืนจะพูดไม่สำเร็จและมีแนวโน้มที่จะก่อเหตุรุนแรงขยายผลต่อไปอีก “เมื่อข้าพเจ้ากำลังเดินเข้าไปหานักโทษอยู่นั้น  พระยาโบราณบุรารักษ์ (พร)  ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า  ห้ามไม่ให้เข้าไปมือเปล่าโดยบอกว่า  “มันคนตายเราคนเป็นอย่าประมาท” ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณกับเขาพร้อมกับบอกว่า  “ปืนใช้ไม่ได้แล้ว  เวลานี้ต้องพูดกันด้วยใจ”  เมื่อข้าพเจ้าเดินทางเข้าไปที่นักโทษนั้นสิ่งแรกที่กระทำคือ ได้ยื่นบุหรี่ให้นักโทษเหล่านั้นได้สูบกัน  โดยบอกว่าพวกท่าสูบบุหรี่ให้สบายใจก่อนเถิด ภายหลังจากท่านสบายใจแล้ว  จึงค่อยมาพูดคุยกัน  เมื่อนักโทษเหล่านั้นสูบบุหรี่กันอยู่พักใหญ่แล้ว  ข้าพเจ้าจึงพูดคุยกับพวกเขาว่า  ท่านมีอะไรไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่สบายใจอย่างไรก็ขอให้บอกกับข้าพเจ้าเถิด  ท่านอย่าได้คิดต่อสู้แหกคุกออกไปเลย เพราะภายนอกนั้นเต็มไปด้วยตำรวจอย่างแน่นหนา... หลังจาก “ออกัส   ฟิคเกอร์”  เจรจากับนักโทษอยู่พักใหญ่  นักโทษเหล่านั้นจึงยอมจำนนและเลิกล่าถอยกลับเข้าที่เดิมวางอาวุธต่าง ๆ ลง  แต่ก็มีนักโทษสองคนที่ไม่ยอมจำนนวิ่งฝ่าออกไปข้างนอกทำให้ตำรวจที่เฝ้าระวังอยู่โดยรอบยิงตาย ข่าวเรื่อง ออกัส   ฟิคเกอร์   กล่อมนักโทษเดนตายให้ยอมจำนนต่อทางการเป็นเรื่องเล่าลือกันไปทั่วทั้งอยุธยา บ้างก็ว่า ออกัส   ฟิคเกอร์ มีพระนะจังงัง  บ้างก็ว่ามีสาริกาลิ้นทอง  เมื่อ  ออกัส   ฟิคเกอร์  ทราบข่าวเรื่องที่ชาวบ้านโจษจรรย์ถึงตนในแง่ต่าง ๆ ก็ได้แต่หัวเราะโดยไม่ยอมพูดอะไรเลย ออกัส   ฟิคเกอร์” ใช้ชีวิตรับราชการอยู่ที่นี้ระยะเวลาหนึ่งแล้วหลังจากนั้นจึงกลับประเทศเดนมาร์กเพื่อรักษาโรคประจำตัวด้วยวิทยาการประเทศไทยนั้นยังล้าหลัง b]เรื่องราวของ   ออกัส   ฟิคเกอร์  จึงเงียบหายในเวลาหนึ่ง.. เมื่อปี  2452  ออกัส   ฟิคเกอร์[/b] เดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง พร้อม ๆ กับได้รับพระราชทานยศเป็นนายพันโทมีตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้นเป็นผู้ตรวจราชการมณฑลชายทะเลมีสำนักงานตั้งอยู่จังหวัดสงขลา b]ชีวิตของ  ออกัส   ฟิคเกอร์  เดินทางมาสู่ห้วงหัวเลี้ยงหัวต่อแห่งชีวิตแล้ว เมื่อมาอยู่ ณ ที่นี่..ฉบับหน้า...พบกับความเข้มข้นชีวิตช่วงสุดท้ายของ ออกัส   ฟิคเกอร์  นายทหารผู้ภักดีต่อประเทศสยาม....[/b] จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:36:03

ความคิดเห็นที่ 16 จบตอนที่ ๔ แล้วนะคะ อย่างที่บอกไปว่า เรื่องราวของ “พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริค” มี ๕ ตอน ตอนนี้เข้าสู่ตอนจบของเรื่องราวของนายทหารผู้นี้กันแล้วนะคะ รูปประกอบ เป็นรูปนักเรียนและอาจารย์โรงเรียนวัดควนวิเศษมูลนิธิไปเคารพศพค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:38:43

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนที่  ๕  จาก หนังสือพิมพ์ ข่าวเสรี ปีที่ 6 ฉบับที่ 295  วันที่ 1  – 7  ก.ย พ.ศ. 2540 หน้า  13 “บันทึกไม่ลับ...พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์” พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลล์   ( 5 ) อวสานชีวิต...นกน้อยหัวใจเหล็กผู้โบยบินไม่เคยคืนรัง “ที่สุสานคริสจักรบ้านบางรัก  ตำบลทับเที่ยง  อำเภอเมือง  จังหวัดตรัง  วันนั้น...หลุมศพโบราณที่เพิ่งถูกค้นพบโดยทีมงานผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก...ดูหม่นเศร้า...หงอยเหงา...ประหนึ่งรอคอยผู้มาสักการะและระลึกถึง... ...ร่วม  85  ปีแล้วที่ประวัติและเกียรติภูมิเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน... ไม่มีใครรู้จัก  “พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์”  ไม่มีใครรู้ว่าเขาคืออดีตนายทหารผู้มาวางรากฐานทั้งทหารและตำรวจเมืองไทยยุคสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” การกลับมาของ “ออกัสฟิกเกอร์” ในช่วงปี 2452 หลังจากที่เดินทางไปที่ประเทศเดนมาร์กบ้านเกิดเมือ่ปี  24447  เพื่อพักรักษาโรคประจำตัวจนร่างกายสมบูรณ์ดีแล้ว  ยังความปลาบปลื้มใจและเป็นขวัญกำลังใจที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งให้เกิดขึ่น กับราชการแผ่นดินสยามในเวลานั้น  พร้อม ๆ กับการได้รับพระราชทานตำแหน่งใหม่เป็นผู้ตรวจการมณฑลชายฝั่งทะเล  มีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดสงขลา รับผิดชอบตรวจตราในงานราชการหัวเมืองภาคใต้ฝั่งทะเล เล่ากันว่าในการให้  ออกัส   ฟิคเกอร์   ลงมาประจำการอยู่ ณ หัวเมืองภาคใต้แห่งนี้ ก็ด้วยมีเหตุการณ์ที่น่าเชือ่ถือได้เป็นสองกรณี คือ กรณีแรก ไทยเพิ่งเสียดินแดนทางภาคใต้บางส่วนให้กับประเทศทางยุโรปไปไม่นานเพื่อแลกกับสภาพการที่ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น  ในระยะนั้นขวัญกำลังใจของประชาชนแถบนี้ยังไม่สู้จะดีนักอาจก่อให้เกิดความแตกแยกของผู้คนในทางภาคใต้และที่สำคัญคือ ความจำเป็นต้องวางกำลังเพื่อการพิทักษ์หัวเมืองภาคใต้เพราะไม่แน่ใจว่าข้าศึกอาจะจู่โจมเข้ามาเมื่อใดก็ได้  ดังนั้นจึงต้องหาผู้ที่มีความสามารถและรอบรู้ด้านการบมาประจำการไว้ กรณีที่สอง  ด้วยว่าหัวเมืองทางภาคใต้  เป็นหัวเมืองที่ไกลจากเมืองหลวงหรืออีกนัยหนึ่ง ไกลจากศูนย์กลางการปกครองอีกทั้งการคมนาคมก็ดูเหมือนจะมีเพียงทางทะเลกับทางรถไฟ เพียงเท่านั้นทำให้ยากต่อการบริหารและส่งผ่านด้านข่าวสารจากส่วนกลาง  การเดินทางจากเมืองสงขลาไปยังกรุงเทพสมัยนั้นต้องใช้เวลาร่วมสามวัน  การปกครองดูแลจากส่วนกลางจึงเป็นไปได้ค่อนข้างจะลำบาก  การส่งนายทหารผู้มีความซื่อสัตย์ลงมาประจำการที่นี่ด้วยการมอบอำนาจสิทธิขาดในการตัดสินใจแทนราชการส่วนกลางจึงเป็นเรื่องจำเป็นอีกประการหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติที่มีพร้อมอยู่ในตัวของ  “พ.ท. ออกัส   ฟิคเกอร์”   จึงได้รับความไว้วางใจจากราชการในส่วนกลาง ให้มาดำรงตำแหน่ง เพื่อเป็นหูตาแทนในภาคใต้แถบถิ่นนี้ ประวัติของ “พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์” ในช่วงสุดท้ายของชีวิตในระยะนี้แทบไม่มีปรากฏบันทึกให้เห็น  มีเพียงส่วนน้อยที่พอเก็บได้จากบันทึกบางเล่มของเมืองสงขลาที่กล่าวถึง   พ.ท.ออกัส   ฟิคเกอร์ ว่า  “พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์ให้ข้อคิดว่าควรจะระเบิดเกาะหนู เกาะแมวเพื่อนที่จะได้เห็นทัศนวิสัยที่ไกลออกไปเมื่อเวลาข้าศึกเข้ามาจะได้เห็นได้ง่ายส่วนหินนั้นให้นำมาถม”   (บันทึกส่วนนี้จึงน่าจะสอดคล้องกับข้อสังเกตุในกรณีแรก )  นอกจากนี้จากคำบอกเล่าของลูกหลาน  “พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์” ที่เล่าสืบกันมาเมื่อครั้งที่ ภริยาคนที่สองของ  ออกัสฟิคเกอร์ ยังมีชีวิตอยู่และได้เล่าสืบต่อกันมาตลอดว่า     การถึงแก่อนิจกรรมของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  นั้นน่าจะไม่ได้เป็นโรคบิดเหมือนเช่นที่ข่าวจากส่วนราชการทางใต้แจ้งไปยังส่วนกลางระยะนั้น  แต่น่าที่จะถูกวางยาพิษจากผู้ที่ใกล้ชิดซึ่งตรงกับการบันทึกของ ร.ร.นายร้อยตำรวจสามพรานที่ได้บันทึกชีวิตของ “ออกัส ฟิคเกอร์” ไว้ถึงกรณีความตายที่น่าจะมีเงื่อนปมซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง  จากการปราบปรามคอรัปชั่นอย่างเอาจริงในจังหวัดแถบถื่นอันดามัน เมื่อพิเคราะห์จากคำบอกเล่าของลูกหลานและบันทึกของ รร.นายร้อยตำรวจสามพรานแล้วทำให้มองเห็นประวัติศาสตร์ทางภาคใต้โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ในจังหวัดแถบถิ่นอันดามันได้แจ่มชัดมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต  ระนอง  พังงาและตรัง ที่เป็นที่สุดท้ายของชีวิต  ออกัสฟิคเกอร์ ช่วงระยะเวลาที่  ออกัส ฟิคเกอร์ มาเสียชีวิตที่ตรังนั้น เป็นช่วงที่พระยาสถลพิทักษ์  ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของพระยารัษฎาฯดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองตรัง  และในขณะเดียวกันที่พระยารัษฎาฯ ไปดำรงตำแหน่งที่จังหวัดภูเก็ต การเดินทางข้ามฝั่งทะเลมาของ “ออกัสฟิคเกอร์”  จากเมืองสงขลาเพื่อมายังหัวเมืองในแถบถิ่นอันดามัน  โดยเฉพาะที่ตรังนี้  จึงถือได้ว่าเป็นภาระกิจสำคัญที่ได้รับอีกอย่างของ ออกัสฟิคเกอร์ โดยเฉพาะการเข้ามาปราบปรามขบวนการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เป็นเหมือนเหลือบฝังตัวมายาวนานหลายสิบปีทั้งในเมืองตรัง และจังหวัดในแถบถิ่นอันดามัน  แม้จะไม่มีบันทึกและไม่มีใครทราบว่า  ออกัสฟิคเกอร์ เดินทางมาตรังเพื่อสืบสาวเรื่องใด ?  และบุคคลใด ? แต่ก็เป็นที่รู้ทั่วไปว่าการเดินทางเข้ามาของ  ออกัสฟิคเกอร์ ที่นี่เริ่มทำให้ขบวนการข้าราชการในท้องถิ่น โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เริ่มร้อนตัวและร้อนใจยิ่งนัก  บ่อยครั้งที่คนผู้ซึ่งเคยใกล้ชิดกับ ออกัสฟิคเกอร์ ได้ยิน ออกัสฟิคเกอร์ บริภาษผู้มาเยี่ยมเยือนบางรายเมื่อพำนักที่ตรังด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า  “คนสกปรก เอาเงินสกปรกออกไป เราไม่ต้องการ” การเข้ามาเหยีบถ้ำเสือของ “ ออกัสฟิคเกอร์”  เหมือนเป็นลางบอกเหตุให้กลุ่มข้าราชการชั่วที่เกาะกินผลประโยชน์ในแผ่นดินแถบนี้อย่างยาวนานเริ่มระแวงภัย  ด้วยว่ามีผิดอย่างใหญ่หลวงนัก  ทั้งภาษีอากรที่น่าจะจัดส่งไปส่วนกลางได้มากกว่าที่อื่น ๆ เพราะเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นแร่ดีบุก  เครื่องเทศ  และพืชผล  นานาชนิด   แต่การจัดส่งกลับไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยและมีจำนวนน้อย  รวมทั้งการข่มเหลงชาวบ้านเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อพวกพ้องตนเองก็เป็นได้อย่างราบรื่นไร้คนขัดขวาง  โดยเฉพาะกลุ่มคนจีนในเมืองตรังเวลานั้นมักถูกเบียดบังเอาผลประโยชน์มากกว่าคนกลุ่มอื่น ถึงแม้ว่าจะได้เคยถวายฎีกาตอ่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มาแล้ว ครั้งหนึ่งก็ตาม “ออกัสฟิคเกอร์”  เป็นคนตรง เป็นคนซื่อสัตย์และที่สำคัญคือ คนไม่กลัวต่ออิทธิพลท้องถิ่น  เมื่อไม่รับเงินทองหรือผลประโยชน์ตอบแทนจากกลุ่มผู้มีความผิด  การปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิตจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ออกัส ฟิคเกอร์ ถูกวาสงยาพิษหลายต่อหลายครั้งแต่ก็รอดชีวิตมาได้เมื่อมารักษาตัวที่ สถานพยาบาลมิชชั่น  (ในปัจจุบันคือ โรงพยาบาลตรังชาตะสงเคราะห์ )  ได้ทันท่วงที ธาตุแท้ของชายชาติทหารอย่าง ออกัส ฟิคเกอร์  ได้แสดงออกมาให้เห็นถึงธาตุทรหดไม่หวาดหวั่นต่อภัยร้ายที่เกิดขึ้นแม้จะถูกวางยาพิษ หลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งร่างกายซูบผอมโรยราในระยะต่อมา แม้ว่า  ออกัส ฟิคเกอร์ จะยืนหยัดเพื่อต่อสู้กับนักคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้มีอิทธิพลในยุคนั้นอย่างทรหาดอดทน  แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ  วันหนึ่งเมื่อการเปลี่ยนตัวพ่อครัวคนใหม่  ยาพิษจำนวนมากจึงถูกวางลงในแก้วบรั่นดีที่   ออกัสฟิคเกอร์  ดื่มเป็นประจำ  .... และในวันนั้น... 4 กรกฎาคม  2454  ออกัส ฟิคเกอร์  จึงต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของกลุ่มคอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้กลัวอาญาความผิด ข่าวการตายของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์ ถูกส่งไปยังส่วนกลางโดยระบุว่าเป็นความตายที่เกิดจากโรคบิดลงท้องอย่างรุนแรงไม่สามารถเยียวยาช่วยเหลือได้ทัน ! เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทราบข่าวถึงกับ โทมนัสเป็นอย่างยิ่งนึกรำพึงว่า “แขนขวาฉันขาดแล้ว”  พร้อมกับพระราชทานโลงศพที่ดีที่สุดในเวลานั้นและป้ายหินอ่อนจารึกคุณงามความดีของ พันโทออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลล์  มาเพื่อให้สมเกียรติยศนายทหารอัศวินชาวเดนมาร์กผู้มีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงต่อแผ่นดินสยาม  และเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความระลึกถึงต่อนายทหารผู้นี้จึงได้พระราชทานนามสกุลแก่ผู้สืบสกุลว่า  “โกลสุต”   สืบมาจนกระทั่งปัจจุบัน ร่วม  85  ปีที่เรื่องราวชีวิต  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์   จางหายไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับกาลเวลาที่คร่าทุกสรรพสิ่งไปจากโลก  มีเพียงหลุมศพและแผ่นป้ายพระราชทาน ที่ยังหลงเหลือเป็นอนุสรณ์ แต่แม้วันเวลาจะไม่รู้เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง....  ตำนานชีวิตของ “ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์”  นกน้อยหัวใจเหล็กแห่งยุโรบผู้ไม่ยอมคืนรัง....ก็ยังคงอยู่ในหัวใจเราเสมอ.... กองบรรณาธิการข่าวเสรี จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:55:03

ความคิดเห็นที่ 18 ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราว ที่เราตั้งใจทำ เผื่อเผยแพร่ให้ทุก ๆ คนได้ทราบถึง ประวัติและเรื่องราวของ พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์  เฟรดเดอริคคอลส์  หวังว่าคงเป็นประโยชน์ให้กับผู้ค้นคว้า และผู้ที่เข้ามาอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:56:13

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าชื่นชอบกระทู้นี้ ขอช่วยกดโหวตเพื่อและเก็บเข้าคลังกระทู้ด้วยนะคะ   ปล.วันนี้เราจะไปถ่ายรูปหลุมศพในยุคปัจจุบัน มาโพสให้ต่อค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 08:57:39

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณ คุณสาว แห่งเมืองตรังเป็นอย่างสูงที่ทำธุระให้ แทรกภาพบรรยากาศการฝึกยิมนาสติกของโรงเรียนนายร้อยสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้ชมครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 09:37:28

ความคิดเห็นที่ 21 โกลสุต หรือ โกลละสุต อะครับ จากคุณ : ราชาล่องหน เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 10:21:13

ความคิดเห็นที่ 22 อ่านเเล้วเลือดรักชาติมันพลุ่งพล่านครับ ขอบคุณ คุณ sawkitty และคุณหนุ่มรัตนะ นะครับที่ให้ความรู้ กดโหวตเรียบร้อยแล้วครับ จากคุณ : TommyStyle เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 10:39:52

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ ไม่เคยรู้จักบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศเราอย่างมากท่านนี้เลย อ่านแล้วอิ่มเอมใจดีจริงๆ จากคุณ : นิกร เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 10:57:25

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ คุณ sawkitty ที่นำข้อมูลดีๆมาให้ ทำให้ผมรู้จักข้าราชการตงฉินเพิ่มอีกคน อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : Sleepsumnia เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 11:24:53

ความคิดเห็นที่ 25 เยี่ยมมากค่ะ ช่วยกันกดเข้าคลังนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณคุณจขกท มากค่ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 12:22:15

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 13:21:45

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ ราชาล่องหน  เรื่องนามสกุล เราไม่แน่ใจค่ะ เพราะได้ข้อมูลมาจากหนังสือพิมพ์  รบกวนผู้รู้ หรือ ผู้เป็นญาติมาช่วยตอบคงจะดีมากๆ  เชื่อว่าคงมีหลายคน ทั้งไทยและต่างประเทศ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 14:29:43

ความคิดเห็นที่ 28 กระทู้ดีมีสาระ ขอบคุณครับ จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 17:39:18

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านแล้วอายแทน คนที่ตั้งหน้าตั้งตาโกง ก็โกงอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่เป็นประเทศตัวเอง ขนาดคนต่างชาติมาทำงานให้ประเทศไทย ยังรักประเทศไทยมากกว่าเลย จากคุณ : Canossa เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 18:13:58

ความคิดเห็นที่ 30 ทำไมยศจึงเป็น พันโท (ทหาร) ละครับ      ไม่เป็น พันตำรวจโท       ตกลงว่าท่านไม่ได้ย้ายมาเป็นตำรวจเต็มตัวเหรอครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 20:45:05

ความคิดเห็นที่ 31 อ่อครับๆ ไงก็ขอบคุณครับ ใครเป็นลูกหลานคงภูมิใจเนอะครับ จากคุณ : ราชาล่องหน เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 21:07:27

ความคิดเห็นที่ 32 จะเล่าให้ลูกหลานฟังต่อไปค่ะ ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ อ่านแล้วตื้นตันใจจริงๆ จากคุณ : ladymay เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 09:57:16

ความคิดเห็นที่ 33 30# สมัยก่อนมีแต่ทหารบก กับทหารเรือมั้งครับ ทหารบก มีทั้งกองบินทหารบก(ก่อนแยกออกมาเป็น ทอ.) และยังทำหน้าที่เป็นตำรวจ ก่อนจะมาแยกออกเป็น ทบ. ทอ. ทร. ตำรวจ นายตำรวจสมัยก่อนมีก็ทหารบกหลายท่านโอนมาเป็นตำรวจ (พล.ต.อ.เผ่าฯ นี่ก็ใช่ด้วยมั้งครับ) จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:12:38

ความคิดเห็นที่ 34 zodiac28... ในส่วนตัวมองว่า ท่านจบนักเรียนนายร้อยทหารมา แต่เป็นคนวางรากฐานของกรมตำรวจ เลยอาจไม่ได้ยศทางตำรวจอย่างเป็นทางการ ดังเห็นได้จาก วรรคนี้ค่ะ เล่ากันว่าในช่วง ร.ศ.111 (พ.ศ. 2435)  ออกัส   ฟิคเกอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูผู้ฝึกสอนวิชาทาหารบกของโรงเรียนนายร้อยทหารบกสราญรมย์  โดยได้รับการแต่งตั้งในว่าที่ยศนายร้อยตรี  ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง  ประจำอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกนั้น  ออกัส   ฟิคเกอร์ เป็นผู้มีส่วนอย่างมากต่อการวางรากฐานหลักสูตรก่อตั้งปรับปรุงโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่นี่ขึ้น  รวมทั้งเป็นผู้ที่เฝ้าสอนอย่างใกล้ชิดกับนายทหารยุคนั้น   และอีกช่วงนึงค่ะ ครั้นต่อมาทางราชการดำริตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรขึ้นที่ นครราชสีมา เพื่อเร่งผลิตนายตำรวจสัญญาบัตร  ให้ทันกับความต้องการอย่างเร่งด่วนของกิจการตำรวจภูธรที่ขยายตัวออกไปในยุคนั้น และโดยเห็นว่า  พ.ท.ออกัส ฟิคเกอร์   ได้แสดงความสามารถของตนเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจมาแล้วในการวางรากฐานก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่วังสราญรมย์ จึงมีการแต่งตั้งให้ไปรับราชการในกรมตำรวจภูธรต่อไป  เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจนี้เป็นคนแรก จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 10:39:27

ความคิดเห็นที่ 35 เราไปถ่ายรูปสุสานมาแล้วนะคะ พอดีเพื่อนบล็อกมา เลยพาเที่ยวสองวัน เพิ่งว่างค่ะ...บ่ายๆคงลงได้ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 10:40:50

ความคิดเห็นที่ 36 ... ครับ ... ครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 11:41:40

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณมากมายเลยค่ะ ที่ช่วยโหวต สองวันที่ผ่านมา หายไปกับเพื่อนใน bloggang ที่มาเที่ยวจังหวัดตรังค่ะ  วันนี้กลับมาแล้ว พร้อมกับรูปสุสานในเวลาปัจจุบัน ถ่ายไว้เมื่อเย็นวันพฤหัสที่ผ่านมา จะบอกว่าไปคนเดียวค่ะ พี่วิบอกว่ากล้าดีแท้ สารภาพเลยว่ากลัวเหมือนกัน ถามว่า ถ้าเราชวนคนไปสุสาน ถ้าไม่ใช่คนที่สนใจคงไม่มีใครกล้าไปกับเราหรอกว่าไหมคะ เราเลยลุยเดี่ยว ก่อนไปแวะซื้อดอกไม้ช่อเล็กๆไป ๑ ช่อ (ประมาณดูในหนัง เพราะเราเป็นคนพุทธ เลยไม่เข้าใจธรรมเนียม)   จากนั้นขี่รถมอเตอร์ไซค์  คันน้อยๆ ไปที่สุสานซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ไหน มีเพียงคนบอกว่า อยู่ข้างสุสานของสมาคนฮกเกี้ยน ให้ตรงไปทางด้านบน ระหว่างทางจาก คลองเต็งเส้นบายพาส ถึง ถนนกันตังอากาศดีมากมาย (เริ่มออกนอกเรื่องเล็กน้อย)  จากนั้นเราเส้นหลักที่เราจะไป คือ ถนนกันตัง เมื่อถึง ถนนกันตังก่อนถึงสมาคมฮกเกี้ยนเล็กน้อย หางตาตวัดไปเห็น สุสานคริสเตียน หลังจากขี่รถเลยไปเล็กน้อยก็ถอยกลับมา เพิ่งเข้าสู่สุสานคริสเตียนแห่งนี้ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 15:40:47

ความคิดเห็นที่ 38 ช่วงที่ไปถึง โชคดีมีคนอยู่เยอะ เพราะเค้ากำลังทำความสะอาดหลุมศพเพื่อ ต้อนรับงานวันอิสเตอร์ที่จะจัดในวันที่ ๘ เมษายนนี้... เราเลยตรงไปถามหาหลุมของพันโทออกัสฟิกเกอร์  เพราะถ้าไม่ถ้ามีแววว่าจะหาไม่เจอ หลุมศพหลายอยู่ T_T  ช่วงที่ถาม ตาก็เหลือบไปเห็นหลุมศพบุคคลในตำนาน คุณหมอ ดันแลบ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลมิชชั่น (ที่บอกไว้ในเนื้อหาช่วง พ.ท ออกัสมาพักรักษาตัวก่อนเสียชีวิต)  โชคสองชั้นดีแท้ เรื่องราวเกี่ยวกับหมอดันแลปอยู่ในวิหาร ๙๕ปี ที่เราเคยกล่าวไว้เมื่อสองปีก่อนค่ะ ตามไปได้ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=skybeach&month=04-11-2010&group=2&gblog=153 จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:00:24

ความคิดเห็นที่ 39 ทีนี้เมื่อได้รู้ตำแหน่ง เราก็ลงไปหาค่ะ ตอนนี้หลุมศพได้ย้ายลงมาอยู่ที่เดิมแล้ว พื้นที่กว้าพอสมควร อยู่ติดกำแพงพอดี สำหรับปีพ.ศ.ในการย้าย เราเดาว่าหลังปี ๒๕๔๐ ที่ออกข่าวครั้งแรก จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:30:24

ความคิดเห็นที่ 40 ที่ต้องเดาเอง เพราะถามคนที่มาทำความสะอาดและดูแล เค้าบอกว่าจำไม่ได้ แม้เคยจดแต่เอกสารแผ่นนั้นก็หายแล้ว จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:33:54

ความคิดเห็นที่ 41 เห็นสุสานของ พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์ ทำเอาน้ำตาซึม เพราะเราสัมผัสได้ได้ความกว้างขวาง แต่อ้างว้าง เพราะเต็มไปด้วยเศษใบไม้ที่แห้งกรัง คนดูแลบอกว่าเมื่อวานเพิ่งกวาด จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:45:42

ความคิดเห็นที่ 42 ด้านล่าง มีแจกันเก่าๆสองคู่ มีแตกอันนึง เราเลยเอาดอกไม้ช่อน้อยๆของเราใส่ในแจกันใบหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 55 16:50:15 จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:48:21

ความคิดเห็นที่ 43 เท่าที่เห็น และเปรียบเทียบกับรูปเก่า พร้อมกับคำบอกเล่าว่า สีที่แผ่นสีม่วงทาใหม่เมื่อปีเศษที่ผ่านมา เลยเดาว่าแผ่นป้ายสีม่วงเพิ่งทำใหม่ หลังการค้นพบในปี ๒๕๔๐ แต่ดูสภาพในหน้าสิคะ...T_T สองมือน้อยๆและ หนาๆ ค่อยๆจับใบหน้าด้วยความสั่นเทา (ขอเลียนแบบการบรรยายจากนวนิยายที่ชอบอ่าน) จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:56:19

ความคิดเห็นที่ 44 เหลือบลงไปมองแผ่นป้าย พระราชทาน จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:57:48

ความคิดเห็นที่ 45 กลัวอ่านไม่ชัด เจาะให้เป็นช่วงเลยนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 17:01:43

ความคิดเห็นที่ 46 ช่วงที่สอง จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 17:05:39

ความคิดเห็นที่ 47 เหมือนไม่ครบเลยเอาท่อนล่างก่อน จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 17:07:12

ความคิดเห็นที่ 48 ลองดูอีกรูปนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 17:09:00

ความคิดเห็นที่ 49 ครบถ้วนแล้ว มาทิ้งท้ายกับรูปคุณลุง ที่เราไม่รู้จักชื่อ มาคอยฟังเราถาม (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปพี่อีกคนที่ให้ข้อมูลเรื่องสถานที่) และมาอยู่เป็นเพื่อน จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 17:12:27

ความคิดเห็นที่ 50 สุดท้ายนี้ ขอบคุณสำหรับทุก Give และทุกคะแนนโหวตค่ะ ใจจริงอยากให้ลูกหลานของท่านมาอ่าน เพราะใกล้อิสเตอร์แล้ว ที่ตรังจัดงานเจ้าตรู่ของวันที่ 8 เมษายนนี้ ที่สุสาน ส่วนรายละเอียดเราค่อยสอบถามให้ ส่วนตัวเราแล้ว แม้เราจะเป็นคนพุทธ แต่เราจะไปหาท่าน เพื่อที่ท่านจะไม่เหงาอีกแล้ว ในวันอิสเตอร์นี้ค่ะ ปล.เราขออนุญาต แปะ facebook ของตัวเอง เพื่อให้คนนอกที่เข้ามาเจอได้ติดต่อมา เรายินดีให้ข้อมูล และความช่วยเหลือในกรณีนี้เท่าที่ทำได้ค่ะ Facebook... Pitsinee  sawkitty จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 17:19:38

ความคิดเห็นที่ 51 เป็นกระทู้ที่ทรงคุณค่าจริงๆ ต้องขอขอบคุณในความมานะพยายาม ต่อการการนำเสนอเรื่องราวดีๆที่อนุชนรุ่นหลังไม่ควรลืม มาบันทึกไว้ในอินเทอเน็ต เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ใฝ่ใจจะค้นคว้าหาข้อมูลประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ในอนาคต จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 55 09:25:34

ความคิดเห็นที่ 52 ได้ความรู้มากมาย  จากความพยายามของน้องสาวพริตตี้  เอ๊ย..คิดตี้   เล่าเรื่องจากอดีต สู่ปัจจุบัน  เป็นกระทู้ที่ครบถ้วนมีที่มาของตำรวจผู้กล้า  แล้วเห็นที่ไป ณ จุดสุดท้ายแห่งวีรบุรุษ ขอบคุณมากมาย   ปล.  มาตามควันธูปของน้องสาว   แฮ่กกๆๆๆๆ   อืมมม...ขอไปเปิดหน้าต่างและประตูเพื่อระบายควันตลบอบอวลหน่อยนะ  อิอิ จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 55 15:09:34

ความคิดเห็นที่ 53 โห..ดีจังเลยค่ะคุณสาว ประวัติศาสตร์ที่เลือนหายไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ความดีไม่เคยหายไปไหนนะคะ จากคุณ : ชะเอมหวาน เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 55 11:07:26

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณข้อมูลและเรื่องราวดี ๆ ที่นำมาแบ่งปันครับ จากคุณ : zero4hero เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 55 11:22:50

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณคุณสาวที่หาเรื่องราวที่น่ารู้และหาอ่านยากแบบนี้มาฝากนะคะ กดทั้งโหวตและกิฟท์ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ ^_^ จากคุณ : haiku เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 55 21:37:57

ความคิดเห็นที่ 56 สุดยอด ขอบคุณมากคะ จากคุณ : fukaze เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 55 12:39:02

ความคิดเห็นที่ 57 อ่านแล้วขนลุกค่ะ ท่านเป็นคนที่ควรยกย่องและควรนำมาเป็นแบบอย่างมากที่สุด แต่เสียดายนะคะ กับคำที่ว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ น่าเสียดายจริงๆค่ะ  อ่านแล้วก็โกรธ เฮ้อ จากคุณ : pat_ok เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 55 16:42:33

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณมากค่ะที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ เนื้อหายาวมาก เดี๋ยวจะตามมาอ่านละเอียดๆ ทีหลังนะคะ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 55 19:35:54

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้กระทู้นี้ยังอยู่ต่อนะคะ เดี่ยววันอิสเตอร์ที่ ๘ เม.ย นี้ เราจะไปร่วมงานที่สุสานคริสเตียน เค้าเริ่มกิจกรรมตั้งแต่ ๖.๓๐ น. เราจะนำภาพมาเสริมให้กระทู้นี้สมบูรณ์ขึ้น และสำหรับคอประวัติศาสตร์การรถไฟ เราเพิ่งกลับมาจากบ้านที่สุไหงโกลกค่ะ  ความหลังวัยเยาว์จำได้ว่าพ่อ เคยพาไปดูที่กลับหัวรถจักรโบราณ รอบนี้กลับไปเลยได้ถ่ายรูปมาฝากด้วย จะเอามาเปรียบเทียบกับของตรัง ในหัวข้อ"ที่กลับหัวรถไฟโบราณ จากอ่าวไทย สู่อันดามัน" รออ่านกันนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 13:21:36

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาโหวดให้จ้า ขอบคุณที่ให้ข้อมูลดีๆ ได้รู้จักคนดีๆ อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ จากคุณ : Mother J (Mother J) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 17:30:30

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำเรื่องราวที่น้อยคนทราบมาแบ่งปันนะคะ เป็นบุคคลที่น่าสนใจมากคะ แม้ว่า พ.ท.ออกัสเป็นชาวต่างชาติ แต่เป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาวงการทหารและตำรวจไทย ถึงบั่นปลายชีวิตของท่านจะน่าเศร้า แต่ผลงานในการพัฒนาของท่านก็ส่งผลต่อวงการข้าราชการทหารและตำรวจมาจนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : thothophonic เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 20:29:46

ความคิดเห็นที่ 62 นำมาบรรณาการจขกท. จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 14:01:56

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณ คุณNavarat.C มากๆเลยนะคะ อุตส่าห์หามาให้ได้ ที่จริงต้องให้ Give ๓ คะแนน รอครั้งหน้านะคะ วันนี้เอาบรรยากาศงานอิสเตอร์ที่จัดขึ้นในเช้าตรู่ของ เมื่อวานนี้ ( ๘ เมษายน ๒๕๕๕ ) มาฝากด้วยค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 18:59:25

ความคิดเห็นที่ 64 ยามค่ำคืนของเมื่อวานซืนแอบตื่นเต้น กลัวตื่นสาย เพราะพี่ที่เป็นคริสเตียนบอกว่าเค้าจัดงานเวลา ๖.๓๐ น. เลยตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ ท้ายสุดเรากลับนอนไม่หลับ ตื่นตั้งแต่ ตี ๕.๑๐ น. และอาบน้ำ สวดมนต์เสร็จแล้วก็แวะไปตลาดเพื่อซื้อดอกไม้ และไปถึงสุสาน เวลา ๐๖.๒๐ น. เมื่อไปถึงแทบหมดแรง เพราะหน้าสุสานมีดอกไม้ขายเยอะแยะเต็มไปหมด (อุตส่าห์ไปตลาดนะเนี่ย) จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:04:25

ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อเข้าไปคุณลุงคนนี้ยืนแจก บทนมัสการพิเศษ วันคืนพระชนม์  8 เมษายน 2012 สุสานคริสเตียน บางรัก จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:07:38

ความคิดเห็นที่ 66 แอบยับนิดนึงนะคะ เพราะเก็บไว้ใส่กระเป๋า เพิ่งถ่ายรูปตะกี้เอง ^_^ จากนั้นเราก็เดินไปที่สุสานของ พ.ท.ออกัสฟิกเกอร์ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:09:05

ความคิดเห็นที่ 67 วันนี้มีพุ่มดอกไม้สองพุ่ม จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:10:26

ความคิดเห็นที่ 68 ดอกกุหลาบ ๒ ดอก ดอกดาหลา ๒ ดอก ซึ่งไม่รู้มีใครนำมาวาง แต่ก็รู้สึกน่ายินดี จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:11:43

ความคิดเห็นที่ 69 และที่สำคัญใบหน้าที่เคยเว้าแหว่ง วันนี้มีคนมาเติมให้จนเต็ม (อยากรู้จริงๆว่าใคร  เพราะอยากบอกเค้าว่าถ้าเติมสีก็แจ่มมากๆเลยค่ะ) ^_^ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:13:50

ความคิดเห็นที่ 70 เสร็จจากถ่ายรูปที่สุสานของท่านแล้ว เราก็เดินสายต่อ เดินไปที่สุสานของหมอดันแลบ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:15:26

ความคิดเห็นที่ 71 ซึ่งเป็นบุคคลต่างชาติอีกท่านหนึ่งที่เราประทับใจ ตั้งแต่อ่านหนังสือ "สยามคือบ้านของเรา" จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:16:54

ความคิดเห็นที่ 72 วันนี้เอาดอกไม้มาให้ท่านด้วย จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:17:30

ความคิดเห็นที่ 73 ซึ่งนอกจากเราแล้ว ยังมีหลายคนที่หอบดอกไม้มาช่อใหญ่ เพื่อวางไว้ในหลุมต่างๆ แต่เราไม่แน่ใจว่า เค้าเลือกยังไงนะคะว่าวางหลุมไหน แต่ก็ประทับใจ แบบคุณยายท่านนี้ ลูกชายพาไปตามหลุมต่างๆ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:19:12

ความคิดเห็นที่ 74 ไหนๆก็มาแล้ว ขอถ่ายรูปบรรยากาศมาฝากสักนิด จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:19:59

ความคิดเห็นที่ 75 ดอกไม้สวยๆที่ร่วงลงหน้าสุสานของหมอดันแลบ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:20:58

ความคิดเห็นที่ 76 มองไปด้านล่าง เค้าเริ่มอ่านบทนมัสการพระเจ้าแล้วค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:22:39

ความคิดเห็นที่ 77 คนเยอะพอดู จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:23:17

ความคิดเห็นที่ 78 บางคนก็เพิ่งมา แอบคิดว่าอุตส่าห์รีบตื่น T_T จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:24:18

ความคิดเห็นที่ 79 ก่อนกลับถ่ายรูปย้อนมาด้านใน จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:25:03

ความคิดเห็นที่ 80 ทิ้งท้ายด้วยรูปดอกไม้สวยๆที่ร่วงในสุสานของ พันโทออกัสฟิกเกอร์ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:25:53

ความคิดเห็นที่ 81 สัญญาว่าจะมาเยี่ยมเรื่อยๆค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:26:35

ความคิดเห็นที่ 82 ลืมเล่าตอนไปสุสาน แอบตื่นเต้นตอนไปสุสาน เพราะไม่มีคนรู้จักเลย(ก็เราเป็นคนพุทธนี่นา) แต่ก็ไม่เป็นไร พยายามยิ้มกับคนที่มองหน้าเรา แต่รอยยิ้มที่ได้กลับมาเพียงบางเบา แอบเหงาเหมือนกัน อยากบอก พ.ท.ออกัสว่า ถ้ามีญาติท่านแม้เพียงคนเดียว เราคงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนแบบนี้ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ท้อ และจะรอวันนั้น วันที่มีคนมารับช่วงดูแลสุสานท่านต่อจากเรา เพราะเราตั้งใจแล้วว่าอย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้ง เราจะกลับมาที่นี่ ที่ที่ท่านอยู่ ^_^ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:46:05