ความคิดเห็นที่ 1 เพราะเราเอาเงินไปทุ่มไม่ถูกทางครับ เป็นธุรกิจก็เอาเงินลงทุนไปใช้ผิดที่ โครงการดูดีแต่เกาไม่ถูกที่คัน ขออนุญาตเปรียบว่าการศึกษาไทยเหมือนรถยนต์เก่า ๆ คันหนึ่ง เราเห็นภายนอกว่ามันแย่มาก แต่ไม่ได้สนใจภายใน เราเปลี่ยนโครงภายนอกหมด ล้อ กระจก โครงสร้างรอบนอก ทาสีใหม่ ตกแต่งภายนอกอย่างดี ภายในที่นั่งคนขับ เบาะ สิ่งอำนวยความสะดวก ทำใหม่หมด เนี้ยบสุด ๆ แต่เราไม่ได้ลงไปจัดการเครื่องยนต์ หม้อน้ำ คอมเพรสเซอร์แอร์ เพราะของพวกนี้ถ้าเปลี่ยนมันก็ยุ่งยาก เสียเยอะ เพราะกลไกของมันซับซ้อนกว่าการเปลี่ยนของภายนอก เราเห็นว่ายังสตาร์ทติดได้ก็โอเค แค่ทำภายนอกให้มันดูดี ก็ใช้ได้แล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ รถคันนี้ก็ยังห่วย เพราะมันวิ่งได้ไม่ดี ติด ๆ ดับ ๆ สุดท้ายเราก็ต้องรื้อเครื่องในมันออกมาทำใหม่หมด แต่แบบนั้น ซื้อรถใหม่ไม่ดีกว่ารึ แต่การศึกษามันไม่ใช่รถยนต์ที่เราจะซื้อคันใหม่ได้ เราก็เลยทนใช้ของเก่าแล้วตกแต่งภายนอกเอา เงินมีเท่าไหร่ก็เอาไปโป๊ะ โน่นนี่ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป แต่เนื้อในไม่มีใครแก้ หรือควรจะบอกว่าไม่มีใครกล้ามากกว่ามั้งครับ อย่างยกเครื่องใหม่หมด สุดท้ายก็ไม่ได้แก้อะไร แค่เอาไปใช้กับของเก่าเลยยิ่งพันกันวุ่นวาย จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 55 22:04:38

ความคิดเห็นที่ 2 ผอ.ได้เงินมา  เห็นลงทุนแต่สร้างตึก ๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีวิธีอื่นที่จะพัฒนาการศึกษาแล้วหรือ? จากคุณ : กุลิลิ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 03:22:39

ความคิดเห็นที่ 3 มันก็ทั้งระบบละ เริ่มจากเด็ก ตอนอยู่ในท้อง ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน  คลอดออกมา ก็พัฒนาการช้า ไอคิวต่ำ    พ่อแม่เลี้ยงดูแบบตามมีตามเกิด        ครู ได้พวกที่หาที่เรียนอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ก็มาเป็นครูแล้วจะเอาอะไรไปสอนเด็ก    ผู้บริหารโรงเรียน ก็ได้พวกข้างต้นมาบริหาร เล่นการเมือง เล่นพรรคเล่นพวก แล้วจะบริหารโรงเรียนให้ดีได้อย่างไร      ...  ที่ดีดีก็มีนะ แต่มันเป็นส่วนน้อยมาก ๆ ในประเทศไทย   เห็นแล้วก็นึกเศร้านะ ว่าประเทศไทยต่อไปจะเป็นยังไง จากคุณ : ริมน้ำคาน เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 11:14:04

ความคิดเห็นที่ 4 ลูกคนรวย ขับเบ้น บีเอ็ม มินิอยู่สยาม เก่งไม่เก่งไม่สนมีตังไปเรียน นอก กลับมา เท่ กว่าจบหมอเป็นพอ ลูกคน จนไม่มีตังเรียน. .. จากคุณ : คิวปิดน้อย (คิวปิดน้อย) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 13:16:44

ความคิดเห็นที่ 5 ... ครับ ... ครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 15:58:52

ความคิดเห็นที่ 6 น่าจะมีการศึกษาว่างบประมาณทางการศึกษาที่ว่าเยอะๆ ถูกใช้ไปในการไหนบ้าง  เท่าที่ติดตามรู้สึกว่าจะเป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนในระดับชำนาญการพิเศษของครูมากกว่าอย่างอื่น เพราะได้กันง่ายมาก(ง่ายหมายถึง มีการประเมินจากpaperโดยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จ้างทำ ประมาณนี้)  ส่วนชะตากรรมเด็กและครูชั้นผู้น้อยก็ยังน่าสงสารเหมือนที่เป็นมา คือ งบประมาณไปถึงน้อยมาก จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 19:42:02

ความคิดเห็นที่ 7 ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่างบสามแสนล้านบาทที่ว่าเขาเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นมาจากการเป็นอาจารย์พิเศษสอนภาษาอังกฤษนะครับ 1) เทอมๆนึงนักเรียนต้องเรียนหลายวิชามากเกินไปครับ ลองไปนับดูได้เลยฮะ เป็นสิบวิชาเลยทีเดียวต่อหนึ่งเทอม อย่างสายวิทย์เรียนเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ คณิตหลัก คณิตเสริม คณิตเสริมอีกตัว อังกฤษหลัก อังกฤษอ่านเขียน ไทยหลัก ไทยเขียน สังคมหลัง ประวัติศาสตร์ พระพุทธฯ สุขศึกษา พละ งานเกษตร คอมพิวเตอร์ ศิลปะ เสริมภาษาจีน กิจกรรมชุมนุม โครงงาน บำเพ็ญประโยชน์ ..... เรียนหลายวิชาแบบนี้ ทำให้ต้องแบ่งคาบยิบย่อย บางวิชาเรียนแค่อาทิตย์ละคาบ คาบละ 50 นาที มันจะไปได้เนื้อหาอะไรครับเนี่ย แค่เดินเปลี่ยนห้องก็หมดไป 15 นาทีแล้ว กว่าจะเช็คชื่ออะไรอีก ไหนจะการบ้านที่เพิ่มตามจำนวนวิชา คือกำลังจะบอกว่าเด็กๆเรียนหลายวิชามากไปจนไม่เก่งอะไรซักอย่าง ผลจากคะแนนโอเน็ตไงครับ เรียนเยอะแต่คะแนนสอบไม่ดี 2) อาจารย์ไม่มีคุณภาพครับ อันนี้ขอบอกตรงๆ ได้ยินมาว่าอาจารย์เก่งๆลาออกกันหมด เพราะทนกับระบบบริหารไม่ได้ หรือไม่ก็ถูกบีบให้รีบ early retire เสร็จแล้วก็จ้างครูอัตราจ้าง ซึ่งครูอัตราจ้างก็รู้ๆกันอยู่ครับ ว่าคุณภาพสู้ครูข้าราชการไม่ได้จริงๆ อีกสาเหตุก็น่าจะเป็นเพราะคนเก่งๆไม่มาเป็นครู ไปทำอาชีพอื่นที่ได้เงินดี งานสบาย ครั้งนึงผมเคยไปสอนที่ รร.ประจำอำเภอๆหนึ่งที่ต่างจังหวัด ช่วงระหว่างพักกลางวันได้ร่วมวงสนทนากับอาจารย์ ม.6 อาจารย์บอกกับผมเองเลยนะครับว่า สำนวนภาษาอังกฤษที่ผมติวให้เด็ก อาจารย์ไม่เคยสอนเด็กเลย ความหมายบางอันอาจารย์ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ ผมฟังแล้วยังอึ้งอยู่จนถึงทุกวันนี้ครับ ผมเห็นด้วยกับ คห.1 นะครับ ที่ว่าระบบภายในการศึกษาของเรามันเน่าเฟะมาก งบที่ได้มาเป็นแสนๆล้านกลับเอาไปพัฒนาเปลือกภายน้อง สร้างตึก สร้างสวน ซื้อคอม ซื้อแอร์ ผมว่าเราควรมาพัฒนาระบบภายในได้แล้วแหละครับ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุจะดีกว่า แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ข้าราชการไทย ==" จากคุณ : น้าเปี๊ยก เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 23:42:52

ความคิดเห็นที่ 8 'คุณภาพการศึกษาตกต่ำ เกี่ยวเนื่องกับหลายปัจจัย 1. โครงสร้างหลักสูตร หลักสูตรแกนกลาง (ตัวชี้วัด) ไม่ชัดเจน ทำให้ครูตีความได้หลากหลาย หลักสูตรแกนกลาง ไม่เชื่อมโยงกัน แบ่งเป็นตอนๆ ตามระดับชั้น ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาองค์ความรู้ของนักเรียนตามช่วงวัย ขาดความเกี่ยวโยงประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง วิธีแก้ปัญหา หลักสูตรและตัวชี้วัด ควรระบุให้ชัดเจนว่าจะให้นักเรียนเรียนรู้อะไร ในวัยใด และแต่ละตัวชี้วัดแสดงถึงพัฒนาการของความรู้นักเรียนในแต่ละช่วงชั้นอย่างไร จากน้อยไปลุ่มลึก เฉกเช่นกับการปั้นรูป ที่เริ่มจากแกนเล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น และเชื่อมโยงไปสู่สาขาวิชาอื่นได้อย่างไร การทำงานด้านหลักสูตรต้องอาศัยความร่วมมือจากนักการศึกษาและจากครู รวมถึงผู้ปกครอง ภาคเอกชน ต้องออกแบบหลักสูตรและตัวชี้วัดร่วมกัน อย่าปล่อยให้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งรับผิดชอบ 2. โรงเรียนฝึกหัดครู อาจารย์สอนครูขาดแคลนอย่างหนัก  อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีไม่เพียงพอกับนักศึกษา เลวร้ายที่สุดคือ นักศึกษาไปฝึกสอนในโรงเรียน แต่ไม่มีอาจารย์ไปนิเทศน์การสอนนักศึกษาเลย แต่ปล่อยให้นักศึกษาจบการศึกษาออกมาได้ นั้น เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก  ส่งผลให้นักศึกษาไม่ทราบเลยว่าการสอนที่ดีควรจะเป็นอย่างไร โอกาสที่จะปรับปรุงและพัฒนาเทคนิควิธีการสอนจากต้นแบบที่ดีแทบเป็นศูนย์ การฝึกสอนเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะพัฒนาความพร้อมของครูในบริบทจริง โรงเรียนรับนักศึกษาฝึกสอน ครูพี่เลี้ยงบางโรงเรียน มีหน้าทีี่รับผิดชอบหลายงาน นักศึกษาฝึกสอน มีหน้าที่แบ่งภาระการสอนของครูพี่เลี้ยง และจัดการงานธุรการให้กับโรงเรียน เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการฝึกสอน วิธีแก้ปัญหา 1. มหาวิทยาลัย ควรเปิดรับนักศึกษาครูจำกัดจำนวนและมีอาจารย์เพียงพอกับปริมาณงานของอาจารย์ที่ต้องรับผิดชอบนิเทศน์การสอน  อาจารย์หนึ่งคนนิเทศน์การสอน หลายสิบคนถือว่าหนักมาก 2. มีเจ้าภาพเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทกำกับดแลและ ยกเลิกหลักสูตรไร้ประสิทธิภาพแบบนี้ออกไปจากระบบฝึกหัดครู ไม่เช่นนั้น ประเทศนี้ไม่มีทางรอด ตราบใดที่หลักสุตรการผลิตครูหล่ะหลวมเช่นนี้ 3. เปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกสอนได้แสดงความสามารถเต็มที่ในการฝึกสอนและช่วยเหลือนักศึกษาให้พัฒนาการสอนให้เต็มที่ 3. ครู ครูสอนไม่ตรงสาขาวิชา สาเหตุ หนึ่ง ย้ายที่ทำงานใกล้บ้านแต่สาขาที่จบมากับโรงเรียนที่อ้าแขนรับ มีวิชาไม่ตรง จึงจำเป็นต้องสอนในวิชาที่ไม่ถนัด เช่น จบภาษาไทย สอนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ ครูระดับประถมศึกษา ซึ่งคนส่วนใหญ่ มีความเชื่อว่า ใครๆก็สอนนักเรียนประถมศึกษาได้ ทัศนะนี้ถือว่า เลวร้ายมาก ทำลายเด็กนักเรียนไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก ทำลายโอกาสที่ประเทศจะเกิดการพัฒนาไปได้อีกไกล แท้จริงแล้ว เด็กในระดับประถมศึกษานั้นหรือแม้แต่ปฐมวัย ต้องได้รับการศึกษาที่แน่น ถูกต้องและชัดเจนที่สุด ต้องวางรากฐานความรู้และวิธีการค้นหาความรู้ให้กับเด็กวัยนี้ให้ได้ เพราะเด็กในวัยนี้เป็นวัยของความอยากรู้อยากเห็นการจัดการเรียนการสอนที่ดี จะกระตุ้นให้เขาไฝ่รู้ไฝ่เรียนด้วยตนเองเมื่ออยู่ในระดับสูงขึ้น ถ้ารากฐานแข็งแรง เขาสามารถประยุกต์ใช้งานได้แน่นอน เช่นเดียวกับการสร้างบ้านต้องมีรากฐานที่แข็งแรง ดังนั้น การจัดสรรครูที่จะต้องมาสอนในระดับประถมศึกษาจังต้องคัดกรองอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ใครๆก็สอนได้อย่างที่มีความเชื่อกันมานมนาน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง Content knowledge ของครูค่อนข้างจำกัดเพียงในวิชาที่ตนเองสอน ครูไทยควรจะต้องเรียน วิชาดังต่อไปนี้ Philosophy, Literature, Science, Math, PCK และอื่นๆ 4. สังคมภายนอกระบบโรงเรียน ผู้คนในสังคมภายนอก อาจเข้าใจว่าการศึกษาของบุตรหลานเป็นหน้าที่ครู ซึ่งเป็นความถูกต้องเพียงส่วนหนึ่ง การปล่อยให้ลูกหลานเรียนรู้จากห้องเรียนอย่างเดียวไม่ใช่หนทางที่นำไปสู่การได้บุตรหลานที่รู้จักคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็น ผู้ปกครอง ควรรู้จักการตั้งคำถามง่ายๆ คำถามให้ลูกหลานคิดก่อนตอบ ตัวอย่างเช่น เด็กบางช่วงวัย มีความสนใจว่า ทำไมท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ผู้ปกครอง ควรจะตอบอย่างไร คำถามง่ายๆ แต่ตอบได้ยาก เช่น ทำไมนกออกลูกเป็นไข่ ทำไมพืชไม่มีอสุจิเหมือนคน ผู้ปกครองควรจะตอบลูกตัวเองอย่างไร ทำไมน้ำแข็งจับแล้วเย็น คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่อยู่ในชีวิตประจำวันที่เขาเจอ คำถามของลูกหลานท่านจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเขาสนใจโลกอย่างไร อย่าละเลยที่จะใส่ใจคำถามเหล่านี้ เพราะนี่คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเขา ดังนั้น การที่พ่อแม่จะรู้จักคำตอบเหล่านี้ เราต้องรู้จักวิธีการตอบและช่วยเหลือบุตรหลานให้รู้จักการหาคำตอบ พ่อแม่อย่าปล่อยให้คำถามเหล่านี้ผ่านเลยไปแล้วให้ครูเป็นคนบอก ครูไม่ทราบได้ดีเท่าผู้ปกครอง ผู้ปกครองมีหน้าที่เขียนเล่าบอกครูในประเด็นที่ลูกสนใจ เพื่อที่ครูจะนำไปจัดการเรียนรู้ให้ลูกหลานท่านได้ การฝึกให้ลูกหลานรู้จักตั้งคำถามและรู้จักคิดหาคำตอบเป็นหนทางเดียวที่จะฝึกนักคิดที่เป็นคนไทย และจะนำไปสู่สังคมที่มีความหลากหลายทางความคิดในอนาคต ซึ่งสังคมสามารถหยิบฉวยเอาความคิดที่ดูแปลกประหลาดเหล่านั้นมาใช้ในที่สุด วิธีแก้ปัญหา คนไทยทุกคน ควรตระหนักว่า เด็กและเยาวชนคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้น ต้องให้เวลาดูแลเยาวชนเหล่านี้ เราจะทำได้อย่างไร หนึ่ง คนไทยต้องมีวัฒนธรรมการทำงานใหม่ ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติ โดยทำงานตรงเวลาและเลิกงานตรงเวลา วัตถุประสงค์เพื่อนำเวลาเหล่านั้นไปดูแลบุตรหลานของตนในเวลาหลังเลิกงานและในวันหยุด การให้เวลากับบุตรหลานนั้นแปลว่า เยาวชนไทย จะได้อยู่กับครอบครัวในยามวิกาล อยู่กับครอบครัวในวันหยุด มีเวลาพูดคุยและแลกเปลี่ยนทัศนคติกันสม่ำเสมอ สังคมที่มี seven eleven เปิดตลอดทุกหัวมุม โดยยังมีเยาวชนออกมาเพ่นพ่านนั้นถือเป็นสังคมป่วย เป็นสังคมที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเยาวชนอย่างยิ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ควรภูมิใจ ที่ประเทศไทยมีกิจกรรมตลอด 24 ชั่วโมง ผู้คนยังมีความสุขในการทำงานตลอดค่ำคืน การจัดการงบประมาณสามแสนล้านบาทนั้น การศึกษาไทยยังตกต่ำ นั้น เป็นเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงที่เจ็บปวด ผมคงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นผลผลิตทางความคิดในสังคมแห่งนี้ ที่ไม่สามารถมีความคิดสร้างสรรค์แก้ไขสิ่งใดได้ ไปมากกว่านำเสนอมุมมอง อันตื้นเขิน ไม่ชี้ชวนให้คนในสังคมตระหนักว่า  สังคมไทยขาดนักคิด อย่างมาก เราขาดนักคิดที่ดีๆ มาเป็นร้อยปี คนที่จะมากระทุ้งให้เยาวชนได้ทราบถึงพลังของตนเอง ทราบพลังในตนดิ้นรนเพื่อสร้างสังคมที่ดีร่วมกัน มันขาดหายไปนานมาก ผมยังรออยู่ แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 55 00:10:12 จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 00:05:40

ความคิดเห็นที่ 9 หลักสูตรมาก่อนเลย บุคลากร ตามมาติดๆ บรรยากาศ การเรียน หายใจรดต้นคอ ปล.ปัจจุบันมองว่าหลักสูตรทั้งหลายทั้งปวงมีไว้เพื่อให้โง่แล้วปกครองง่าย การศึกษาปัจจุบันเหมือนมะม่วงจำบ่ม กินได้ไม่อร่อย จากคุณ : IG (IG_KGB) เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 00:41:30

ความคิดเห็นที่ 10 เราเป็นเด้กบานนอกค่ะ เคยชินแต่กับครูบ้านนอกครูดอย ที่มาสอนเช้าวันอังคาร และกลับบ้านในตอนเย็นวันพฤหัส วันจันทร์กับศุกร์เลยเป็นวันสบายๆ พอครบสองปีก็หาทางวิ่งเต้นลงไปสอนพื้นราบ จากคุณ : เด็กบ้านนอก เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 01:00:02 A:83.117.169.104 X: TicketID:350566

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ไม่ใช่เงิน แต่อยู่ที่สังคมใกล้ตัวเด็ก เริ่มแค่ 2 อย่างนี้ก่อน - บ้าน พ่อ แม่ ทำให้ลูกเป็นคนดี ไม่ต้องอะไรมาก แค่ใช้ชีวิตในส่วนรวมได้อย่างปกติก็ดีสุดแล้ว(ลองคิดดู ถ้าเด็กๆทุกบ้านเป็นเด็กดีหมด ปัญหาสังคมต่างๆหมดไป จะดีแค่ไหน) - สื่อ ไม่ต้องสร้างกระแสทุนนิยมสุดโต่ง อย่าสร้างภาพว่า ถ้าหล่อ สวย รวย ดัง ใช้ของแพงๆแล้วจะทำให้คนมีคุณค่า เพราะมันจะทำให้เด็กโฟกัสชีวิตไปผิดทาง และที่สำคัญที่สุดต้องประนามการทุจริต คอรัปชั่นทุกรูปแบบ อย่าให้ความโกงมันหลอมเด็กๆจนมาทำลายประเทศเราอย่างทุกวันนี้ได้อีก หยุดมันตั้งแต่เด็ก แล้วเค้าจะเป้นผู้ใหญ่ในวันหน้าที่พาชาติเจริญได้ ถ้า 2 อย่างนี้เป็นฐานที่ดีแล้ว  จากบ้านดี  ก็สู่โรงเรียน,สถาบันดี  ตามด้วยสังคมดี  สุดท้ายประเทศเราก็จะดี เจริญก้าวหน้าได้แน่นอน จากคุณ : Silencemind เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 01:30:01

ความคิดเห็นที่ 12 ได้ยินคำพูดสวยๆ ใหม่ๆ เรื่อยๆ นะคะ สังคมอุดมความรู้ เรียนรู้แบบบูรณาการ อะไรใหม่ๆ พูดกันติดปากมาเรื่อยๆ แต่ไม่เห็นอะไรดีขึ้นอย่างชัดเจนสักอย่าง จนเราไม่เชื่อว่า ตัวหลักๆ ในระดับนำของงานด้านการศึกษา มีความจริงใจ ที่จะพัฒนารุ่นใหม่อย่างจริงจัง เป็นห่วงลูกหลานจริงๆ ไม่อยากให้ถูกบอนไซความรู้ ความคิด เหมือนรุ่นเรา หรือรุ่นที่ผ่านๆ มา อย่าลืม ครูทางอ้อม คือ สื่อสาธารณะต่างๆ เอาอะไรยัดใส่สมองให้สังคมเหรอ เห็นชัดเลยว่านโยบายพัฒนาสร้างความก้าวหน้าด้านนี้ไม่มีชัดเจนเลย เรียนเน้นแง่อนุรักษ์นิยมอย่างเดียว แล้วจะไปตามพวกพัฒนาแล้วทันได้ยังไงเนี่ยะ เราก็เป็นอีกหนึ่งผลผลิตเหมือนกัน ที่ไม่มีหัวสร้างสรรค์สักเท่าไหร่ อดคิดเหมือน คห 9 บอกไม่ได้จริงๆ เป็นห่วงๆ -_- จากคุณ : คนต่างดาว เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 06:41:01 A:173.255.165.108 X: TicketID:102465

ความคิดเห็นที่ 13 ใครรักลูกส่งลูกไปเรียนนอกดีกว่านะครับ จากคุณ : กระป๋องแบน เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 07:06:15

ความคิดเห็นที่ 14 ตอน 10 ขวบ  ก็ได้ยินเรื่องหลักสูตร   เรื่องเด็กเรียนแล้วไม่ได้เรื่อง  ใช้งานจริงไม่ได้ ตอนนี้ก็ 30 แล้ว  ก็ยังได้ยินเหมือนเดิม ปรับกันไปมา คงเป็นเพราะ DNA คนไทยแล้วละครับ   เพราะว่าเราชอบตั้งรับมากกว่ารุก   รอให้มีคนมาป้อน   รอ ๆ ๆ ๆ ให้เค้าปรับหลักสูตร   ปรับแบบ top-down ไม่ยอมปรับตัวเอง จากคุณ : apollo14 เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 11:38:36

ความคิดเห็นที่ 15 ไปเอาหลักสูตรของอังกฤษมาทั้งดุ้นเลยดีกว่า แล้วปรับเนื้อหาวิชาให้เหมาะกับเรา แค่นี้พอแล้ว สอบวัดค่าเป็น % ง่าย ๆ ไม่ต้องตัดเกรดบ้าบอ ให้เห็นชัด ๆ เลยใครทำได้เท่าไหร่ การสอบก็ใช้เขียน ๆๆๆๆๆ หมดสิทธิ์เดา หมดสิทธิ์มั่ว สะกดผิด สะกดมั่ว ตัดคะแนน สอบเสร็จเอากระดาษคำตอบแจกคืนเด็กด้วย จะได้รู้ว่าผิดตรงไหน ยังไง จะได้ระวัง คณิตศาสตร์ก็แสดงวิธีทำ ให้คะแนนเป็นขั้นเป็นตอน วิชาอื่น ๆ ก็เขียนอธิบายมา เขียนให้รู้เรื่อง เรียบเรียงให้เป็น เด็กเดี๋ยวนี้เขียนไม่รู้เรื่อง มั่วเลอะ ตกเป็นตก ไม่มีซ่อม เรียนซ้ำชั้นกับน้อง ๆ ถดถอยไปเรื่อย ๆ โน่น ให้มันอาย ไม่งั้นเอาแต่หนีเที่ยว ครูในโรงเรียนก็ให้มันเป็น "ครู" จริง ๆ ไม่ใช่มาทำตัวกร่าง ตะคอก ทำมาวางก้ามกับเด็ก เป็นครูที่เหมือนเพื่อนที่เด็กปรึกษาได้ กล้าเข้าหา มีความสนิทสนม เด็กมันจะเคารพเอง เด็กไม่รู้เรื่องก็หยุดคิดว่าเด็กโง่ เพราะคนโง่จริงคือครู โง่ที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เด็กรู้เรื่อง หนังสือหนังหาก็ทำให้มันน่าอ่านน่าเรียนหน่อย เอาคนเก่ง ๆ มาช่วยจัดหน้าให้อ่านง่าย ไม่ใช่เรียงตัวหนังสือเป็นพรืดเต็มหน้า แค่เห็นก็รกลูกตาไม่อยากอ่านแล้ว หลักสูตรก็ไม่ต้องพิลึกกึกกือ ข้อสอบก็ออกให้มันเท่าที่เรียนแหละ ไม่ต้องกลัวเด็กเก่งกว่าครู ไม่ต้องไปบูรณาการบ้าบอ คิดภาษาประหลาด ๆ กันขึ้นมาหรอก มันก็แค่คนคิดอยากได้ตำแหน่ง ฯลฯ แต่มันทำไม่ได้หรอก ... เพราะเดี๋ยวเด็กไทยจะเก่ง ฉลาด ก้าวหน้า รู้จักคิดวิเคราะห์ แล้วจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ ...... เฮ้อ ... ประเทศไทยของเรา ... - -" จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 15:43:23 A:125.24.42.222 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 16 จากใจเด็กม.6ที่เพิ่งหลุดออกมาจากระบบ"ยัดเยียด"ดึกษา - -" ขอระบายหน่อยเถอะ... อ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ในหนังสือเรียนแล้ว ดูดีมากกกกกก แต่เนื้อหาจริงๆน่ะ...... เฮ่อ... 1.จะเรียนอะไรมากมาย แถมเรียนแล้วได้อะไร? วิชาศิลปะ การงานฯ สุขศึกษา... ให้เรียนปีนึงทั้งสามวิชาเลยหรือ? แล้วมันจะได้อะไรสักอย่างไม๊ เรียนจับฉ่ายมากอะ จบมาแล้วก็ลืมทุกอย่าง.. จริงๆ (แถมข้อสอบก็นะ... วัดได้มาก ได้ประโยชน์มาก นี่หรอ ความรุ้พื้นฐานที่ต้องการให้เด็กไทยรู้) 2.เด็กไทยขี้เกียจ... ยอมรับเถอะว่าคนในประเทศเขตร้อนขี้เกียจกันเยอะ จะไม่โทษภูมิอากาศหรอก แต่ว่า... ก็มีวิธีแก้ไข ไม่ใช่ติดแอร์หรอกนะคะ... (ถึงติดแอร์ก็ช่วยได้จริงๆนั่นแหละ) ทำให้การเรียนการสอนน่าสนใจขึ้น โดยครู... คือ ถ้าคนๆนึงสนใจอะไรแล้ว ยังไงเขาก็อยากศึกษาต่อไปเรื่อยๆเองนั่นแหละ พอดีมีได้เรียนภาษาไทยสังคมกับอาจารย์สอนพิเศษท่านหนึ่งแล้ว... ทำให้ภาพการเรียนไทยสังคมในหัวเปลี่ยนไปเลย ...จากเข้าไปนั่งหลับ กลายเป็น เข้าไปนั่งจด นั่งจำ นั่งขำ นั่งสนใจ... ถึงแม้ครูที่โรงเรียนจะสอนน่าสนใจไม่เท่า แต่ก็ทำให้เรานั่งศึกษาอ่านเองได้โดยไม่รู้สึกว่าโดนบังคับเลย                                      มีเรื่องที่น่าตกใจอย่างนึงคือ.... เนื้อหาผิด ไม่ยอมแก้ไข... บอก ต้องรออีก 10 ปี เพราะ จะเปลี่ยนหลักสูตรทุก 10 ปี หลักสูตรล่าสุดเลย ปี 2554 ในหนังสือวิทย์(ดาราศาสตร์) มีข้อมูลผิดหลายที่ อ่านแล้วสับสน(ครูที่สอนมานานก็ยังสับสน) แม้หนังสือจะมีสีสันสวยงาม น่าอ่านมากกกกกกก ก็ตาม แต่เนื้อหาเละเฟะ - -" หนังสือเลขที่ควรจะมีแบบฝึกหัดให้ ก็... หนังสือสังคมก็รู้สึกเหมือนความรู้กระจัดกระจาย โดยเฉพาะวิชาพระพุทธศาสนา (เรียนแล้วเเหมือนเรียนภาษาบาลี.. ไม่ได้เรียนแก่นที่แท้จริง จำๆไปแต่ศัพท์ทางพระพุทธศาสนาที่ออกสอบ) หนังสือ"หลัก"ภาษาไทยเองก็เช่นกัน ซึ่ง จริงๆแล้วหลักภาษาไทยไม่ได้ยาก แม้จะมีบางอย่างที่ดิ้นได้ แต่ว่า อาจเพราะเนื้อหามันกระจัดกระจาย เลยรู้สึกว่ามันยากมาก (ประสบการณ์ตรงจากทั้งตัวเองและเพื่อนต่างรร... ได้เรียนหลักภาษาไทยกับ"ครูดีๆ"ตั้งแต่ประถม... พอขึ้นมัธยมก็ไม่ได้รุ้สึกว่าเนื้อหามันเยอะขึ้นยากขึ้นเลย เพียงแต่สับสนกับการลำดับเนื้อหา... มากๆ) ยิ่งเป็นพวก หลักการ+มารยาทในการพูดการฟัง(ในที่ประชุม)... คือถ้าจำไม่ผิด พี่ๆที่มหาลัยก็บอกว่ามีเรียนตัวนี้ด้วย ซึ่ง... จริงๆแล้วควรจะฝึกกันตั้งแต่ประถม เพื่อให้ติดเป็นนิสัยไม่ใช่หรอคะ ไม่ใช่เรียนๆ จำๆ สอบๆ เขียนๆ จบ แต่พอในชีวิตจริงแล้วก็มีมารยาทกันมากกกกกกกก (ประชด) เห็นตัวอย่างได้ชัดเจนจาก... ผู้ใหญ่ที่ใส่สูทนั่งประชุมหน้าจอทีวี หนังสือที่สนุกอย่างเดียวก็คือ... หนังสือภาษาไทย(วรรณคดี) :) ปล.อาจจะใส่อารมณ์มากไปหน่อย แต่เดี๋ยวอีกสักพัก อาจจะกลับมาเพิ่มเติมค่ะ :) แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 55 16:09:19 จากคุณ : chom-l.t เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 15:59:40

ความคิดเห็นที่ 17 ควรเริ่มแก้ ที่ "วินัย" คนเรา ไม่ต้องเด็ก ขาด วินัย.. ทำอะไร มันก็ไม่สำเร็จ.. กระทรวงศึกษาพิการ เดินทางผิดมาตลอดครับ จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 16:30:10

ความคิดเห็นที่ 18 แบ่งปันประสบการณ์ค่ะ +++ ตอนม.ต้น เราได้มีโอกาสเรียน รร.เอกชนที่สอนสองภาษามา 2 ปี จุดสังเกต ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอย่างนึงเลยคือ ความกล้า ค่ะ กล้าคิด กล้าถาม กล้าแย้ง ในสิ่งที่เราคิดว่าเราถูก และ กล้ายอมรับ ในสิ่งที่เราผิดจริงๆค่ะ ตอนก่อนที่จะได้เรียนกับครูตปท. รู้สึกเลยว่าไม่เคยกล้าถามครูถ้าไม่รู้เรื่อง หรือครูพูดผิดอะไร แล้วเราก็จำไปผิดๆถูกๆ บ่อยเข้าก็เลยไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ :P ...แต่พอมีความกล้าที่จะเข้าไปถามครู ก็รู้สึกว่า การเรียนน่าสนใจมากขึ้น :)  +++ ตอนม.ปลาย มีโอกาสได้เรียนรร.รัฐแถวหน้าๆ... จำได้เลยว่าทุกๆกลางภาค อาจารย์หลายๆวิชาจะเอาข้อสอบมาให้ดูให้ตรวจสอบว่า มีจุดไหนที่อ.พลาดเองบ้างหรือเปล่า  ซึ่งถ้าผิดจริง อ.ก็แก้คะแนนให้  จุดนี้เอง... ที่ทำให้เรายิ่งรู้สึกว่า การเรียนน่าสนใจมากขึ้น กล้าถาม กล้ายอม :) และเรากำลังคิดว่า... รร.ไทยรร.อื่นล่ะ จะสนุกกับการเรียนบ้างไม๊ - - - - - - - - - - เรื่องวินัย.... ไม่เข้าใจจนถึงบัดนี้ ทำไมรร.ไทยถึงเคร่งกับระเบียบการแต่งตัวมากมายนัก!!!! คือ... ระเบียบบางอย่างที่ครูเองก็อธิบายไม่ได้ (ผมยาวเกิน ผิดระเบียบ เอิ่ม...) เอาแต่อ้างว่ามันเป็น กฎ -0-" ผลสุดท้าย  ก็กลายเป็นว่ามีวินัยบางเรื่อง และ  ไร้วินัยหลายเรื่อง มั่นใจว่า... หลายๆรร. หมดเวลาไปกับการ ตรวจระเบียบวินิย หลายคนเลยทำถูกระเบียบเฉพาะตอนที่ตรวจ พอตรวจเสร็จปุ๊บ เปลี่ยนกระโปรง/กางเกงปั๊บ! เรื่องทำผักชีโรยหน้า ใช่ว่ารร.เองจะไม่เคยทำสักหน่อย จำได้ไหม... เวลาที่ "กระทรวงจะมาตรวจ" เตี๊ยมกับเด็กเองไม่ใช่หรอ  ให้ทำตัวเรียบร้อยหน่อยนะ  ตั้งใจเรียนหน่อยนะ เดี๋ยว รร.ไม่ผ่าน ก็เพราะมีตัวอย่างน่ารักๆแบบนี้... ก็เลยทำตามโดยไม่เคอะเขินไงล่ะคะ อาจจะดูเหมือนว่าเป็นข้ออ้าง แต่การสอนที่ดีที่สุด คือการทำเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่หรอคะ? สรุปแล้ว เรื่องวินัย ควรจะแก้ที่อะไรกันคะ? ปล. ออกตัวเอี๊ยดอีกรอบว่า... คหสต.ของเรานี้ อาจจะใส่อารมณ์ไปค่อนข้างมากหน่อย ขออภัยด้วย แต่มันอยากระบายนี่หน่า! จากคุณ : chom-l.t เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 17:45:43

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่เห็นมีใคร บอกว่าเด็กไม่ได้เรื่องบ้างล่ะครับ จากคุณ : หลายหนที่สนใจ เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 22:10:36

ความคิดเห็นที่ 20 ^ เพราะครูคือ "แม่พิมพ์ ไงครับ แม่พิมพ์ที่ถูกผลิตมาภายใต้กรรมวิธีการผลิตและการออกแบบ อย่างที่นายจ้างต้องการ จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 08:01:24 A:125.24.21.137 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 21 คือเราก็เป็นครูในระบบราชการ เห็นด้วยกับความเห็นที่ 8 แต่มีเพิ่มเติมหลายๆ อย่างที่ทำให้การศึกษาตกต่ำนะ 1. มาจากผู้บริหารการศึกษา ร.ร. เก่าเรานะ ผ.อ. ไม่ให้งบประมาณ แทบไม่ใช้เลย เหลือปีหนึงเป็นล้านๆ กระดาษ a 4 ให้ปีละ 2 รีม บอกให้ไว้ทำแผน กระดาษโรเนียว ให้ 5 รีม( ทั้งเทอมนะ) คือ 5 รืม นี่ทั้ง ไฟนอล และ มิดเทอมนะ รวมถึงใบงาน แต่จะบอกว่าเราสอนนักเรียน เกือบ 300 ร้อยคนนะ เป็นไปได้ไง หนำซ้ำ เครื่องโรเนียวเจ้ง แจ้งผู้บริหารก็ทำเฉย ๆ ไม่สนใจทำนองไม่ซ่อมจะทำไม เครื่องปริ้นกระดาษไขมีเครื่องเดียว(ต้องปริ้นใส่เครื่องไขถึงจะไปโรเนียวได้) ทั้งโรงเรียน มีนักเรียนห้าร้อยกว่า้ตอนนั้นนะ คือ แค่ ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา (ตอนนี้ลดลงมากๆ ไม่ถึง 400 สมควร) สภาพโรงเรียนไม่มีกลอนหน้าต่าง ไม่มีการล๊อกห้องเรียน โทรมสุดๆ ไม่มีทาสีใหม่ ตอนนี้ทาสีใหม่ ก็เหมือนเดิม นักเีรียนลด ท่าน ผ.อ. ใครอยากทำใบงานหรือใบความรู้ก็เรื่องของเธอ ถ้ามีปัญญาทำ สอนนักเรียน เกือบ 300 เบิกค่าเดินทางไม่ได้ เบิกค่าฝึกอบรมไม่ได้ ไปอบรมฟรีเท่านั้นถึงให้ไป ขั้นให้เฉพาะคนสวยๆๆ ส่วนเครื่องปริ๊น มีหลายเครื่องแต่ไม่ให้ใช้เนื่องจาก เก็บไว้ที่ห้องครูพัสดุ แล้วไม่ให้ครูคนอื่นไปปริ๊น แล้วครูอยากปริ๊นงาน ครูหอบเอามาจากบ้านเอง ปีปัญญาหอบก็หอบ ไม่มีปัญญาหอบไม่ต้องปริ๊น ไปกินก๋วยเตี๋ยวที ชาวบ้านถามเมื่อไร ผ.อ.คนนี้จะหนี ชาวบ้านนินทาตลอด อยากไปไล่ แต่ยังรวมตัวกันไม่ได้ สุขภาพอนามัยนักเรียน ไม่ต้องพูดถึง ก๊อกน้ำให้เด็กกินน้ำก็ไม่มี มีแต่แท้งก์ปูนยาวๆ อ่ะ กล้าทานไม่ล่ะ เด็กบางคนก็กินน้ำจากท่อนี้อ่ะแหละ แต่ผ.อ. ไม่สน ขึ้หนู ขี้นกพิราบ เต็ม แต่ไม่สน ก็เห็นมีท่อปูน หนึ่งท่อ(ท่อกลมๆ ใหญ่ที่ชาวบ้านไว้ใส่ในบ่อน้ำสมัยก่อนๆ ) ก็ให้เด็กแปรงฟันตรงนั้นหรือ เราเห็นเราก็ยังไม่กล้าให้เด็กแปรงเลย ทั้งหมา รองเท้าลอยล่ะนะ ให้เด็กทำความสะอาดหน้าห้อง ถนนในโรงเรียนขอโทษไม้กวาดทางมะพร้าวให้ไม่เกินเทอมละ 2-3 แค่นั้น นักเรียน 30 กว่าคนต่อห้องนี่นะ แล้วบังคับให้เด็กเอามือโกยเศษขยะ เศษใบไม้ ดูแล้วหดหู่สุดๆ ร้องเรียนแจ้งผู้บริหารก็เฉยๆ ไม่สนใจ ถนนในโรงเรียนไม่มีราดยาง อะไรทั้งสิ้น รั้ว ไม่มีแม้แต่เสารั้วโรงเรียน ประชุมไม่ให้ครูออกความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นครูเก่าๆ 2-3 คน นอกนั้นไม่สนใจไม่ถาม นักเรียนไม่เคยพาไปทัศนศึกษา อาหารกลางวันให้เด็กซื้ออาหารทานเอง แต่ให้กับข้าว เฉพาะกับนะ นิดหนึง เฉพาะเด็กยากจน ประมาณ 10 % นอกนั้นให้ซื้อกินเอง ขายให้นิดเดียว แม่ครัวตักไปด้วยด่าเด็กแว๊ดๆ ไปด้วย ขอโทษขายแพงด้วย ขอโทษอีกครั้ง ข้าวอ่ะข้าวตาแห้ง อย่างแข็งให้นิดเดียว ต่อมาสักสอง สามปี ถึง เทศบาลให้งบ ก็ขายข้าวให้เด็กเหมือนเดิม แบบข้าวเสาให้ ตาแห้ง แบบตักทัพพีเดียว 10 บาท กับให้กินฟรี เฮ้อ สุดจะบรรยายกะ ผ.อ.คนนี้ ชุดกีฬา ให้นักเรียนซื้อเองนะ   อุปกรณ์การเรียนให้ปีละหนึ่งครั้งเ้ท่านั้น ทำไมโรงเรียนใหม่เราให้เทอมละ สองครั้ง ตอนนี้ดีใจสุดๆ ได้ย้ายหนีมาโรงเรียนใหม่กับโรงเรียนเก่า โรงเรียนใหม่ตรงข้ามกับโรงเรียนเก่าแบบพลิกฝ่ามือ ดีใจที่ได้ย้ายมาอยู่โรงเรียนใหม่ ผ.อ. ทุ่มงบให้เด็กจริงๆ แบบตรงกันข้ามเลย เด็กที่นี่กินข้าวฟรี ข้าวหอมมะลิกับก็ฟรี ชุดกีฬาฟรี ชุดม่อฮ่อมไว้ใส่วันศุกร์ฟรี กระดาษ อุปกรณ์เครื่องปริ้น มีเยอะ อยากได้อะไรไม่เคยขัด ประชุมก็สามารถให้แสดงความคิดเห็นได้ ถามว่าใครมีอะไรที่เห็นว่าโรงเรียนเราควรพัฒนา ดีใจสุดๆ ได้มาอยู่โรงเรียนนี้ ฯลฯ เราว่านะทำไมไม่ออกกฏระะบียบว่าที่ไหนใช้งบไม่หมดหรือเหลือใช้ไม่ถึงครึ่งให้ย้ายหรือไม่ก็ลดขั้นเงินเดือนผู้บริหารไปเลย เห็นแล้วสงสารเด็ก อยากจะบอกว่า ผ.อ. ประเภทนี้ มีและมีอยู่จริง บางโรงเรียน ผ.อ.ก็ยัดเด็กประถมมากไป ให้สอน ตั้งแต่ แปดโมงกว่า ถึงสี่โมงเย็น ใครให้เด็กออกมา มีเคือง เราว่าผู้บริหารควรคัดคนเก่ง และมี EQ ด้วย อย่าลืมคัดกรองเอาคนมีคุณธรรมด้วยนะ เราเห็นเพื่อนๆ น้องๆ ไปเรียนโท อ่ะ เป้าหมายนะเป็นผู้บริหาร แต่ขอโทษนิสัย คุณธรรม ต่ำมากๆ วิสัยทัศน์แคบสุดๆ แบบเรื่องงบนี่เหมือน ผ.อ. คนที่กล่าวถึงเลยขี้เหนียว 2. ตัวครูเราว่านะ ส่วนมากครูอัตราจ้างเดี่ยวนี้ให้โรงเรียนรับเอง ซึ่งได้แต่เด็กเส้น แถมเดี่ยวนี้เห็นว่าใช้เงินเป็นแสนยัดถึงจะได้เป็นพนักงาน(ญาติข้างบ้านมาบ่นอ่ะเขาจะเอาสองแสนถึงจะได้เป็นพนักงาน และอีกหลายๆ คน และตัวเราก็เจอเอง จนได้ร่อนเร่ไปทำงานไกลบ้านเกิด) นี่แหละ ทำไมถึงไม่ให้เขตเปิด หนำซ้ำเป็น 3 ปี ประเมินคัดเลือกให้เป็นข้าราชการอ่ะ ขอโทษใช้เงินยัดอีก (สามแสนขึ้น) ขอโทษนะบางเขตจากที่ได้ยินมา เราเคยทำงานกับครูประเภทนี้นะ ส่วนมากนะ อันนี้ไม่ได้ว่าทั้งหมดนะ คุณภาพต่ำ จิตสำนึกเป็นครูน้อยมากๆ อันนี้ที่พบประสบการณ์นะ ส่วนมากนะ (พนักงานเก่งก็มีค่ะแต่เราส่วนมากจะเจอแบบนี้)ยกตัวอย่างพี่ที่ทำงาน เป็นอัตราจ้างไม่ซ่อมเด็ก ไม่สนใจเด็กอยู่ ป. 6 ยังไม่รู้สระ ตัวหนังสือยังกะไก่เขี่ย ถาม ครูที่เป็นอัตราจ้าง นะ เธอบอกว่า ไม่สน เราแค่อัตราจ้าง โอ้ พูดออกมาได้ เราก็เคยเป็นนะแต่เราไม่เคยคิดแบบนี้เลย โรงเรียนยังไม่เลิกเธอไปนอนที่บ้านพักเฉย โอ้แบบนี้ก็มี ทำไมไม่คิดว่าสอนเด็กให้อ่านได้เราได้บุญ คนอ่านหนังสือไม่ได้ก็เหมือนคนตาบอด (ที่เขยนเราก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นครูดีเด่นหรอกนะ ข้างล่างอย่าด่าว่าเรายกตัวดีนะ อ่ะ เราคิดแบบนี้จริงๆ) อีกคนก็เฮ้อหน่าย เป็นพนักงานสอนปฐมวัย ขอบอกเรารับเด็กต่อ คือเราสอน ป. 1 โอ้แม่เจ้า เด็กเกือบ 30 คน เขียนชื่อได้ 4 คน ไม่เคยท่องสระ เวรกรรม ขีดเส้นหน้าไม่เป็น โอ้ ไม่น่าเชื่อ ภาษาอังกฤษไม่มีพื้นเลย คือเธอคนนั้น ส่วนมากให้เด็กดูแต่หนังการ์ตูน ไม่ไช่การ์ตูนการศึกษานะ แล้วก็นอน กินนม คณิตศาสตร์ท่อง 1-100 ได้แต่ไม่รู้ว่า มีเลขอะไรบ้างเช่น เห็นเลข 14 แต่ไม่รู้ว่าเลข 14 สุดจะบรรยาย  พอรับขึ้นมากลายเป็นเด็กคิดเองไม่ได้ ไม่กล้าถาม เวลาสอนให้อ่านตามนี่แทบจะเอาอะไรไปง้างปากถึงจะพูดได้ หลอกล่อสุดๆ แล้วจะมีอนุบาล เตรียมความพร้อมไปทำไม สระยังไม่สอน ชื่อก็ไม่สอน นอนกะดูการ์ตูน ดื่มนมนี่นะ 3. ตัวผู้ปกครองส่วนมาก ฝากฝังเด็กให้กับโรงเรียนว่าครูคือผู้สอนเป็นหน้าที่ของครูมากเกินไป ทั้งที่ครูคนแรกคือตัวพ่อแม่เอง มีอะไรก็ครูๆ ผู้ปกครองไม่ช่วยกระตุ้น ไม่ช่วยสอน เลย อะไรก็มาลงที่ครู แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 19:04:54 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 10:36:40

ความคิดเห็นที่ 22 เป็นอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง... งานหลักคือสอนหรือครับ ลืมไปเลยนะ เผลอคิดไปว่างานสอนคืองานอดิเรก ใช่ครับ...เมื่อก่อนงานสอนคืองานหลัก ต้องเตรียมตัว เพิ่มความรู้ จัดหาสื่อ แต่เดี๋ยวนี้ มีแต่งานเอกสาร งานประกันคุณภาพ กพร sar pmqa และอีกสารพัดเอกสาร นี่ไม่นับประเภทที่ ปีนี้แบบฟอร์มหนึ่ง ปีหน้าแบบฟอร์มใหม่ ประหนึ่งเกรงว่าจะก๊อปเอาของเก่ามาใช้ ไหนจะต้องเชิญชวนแกมบังคับให้ไปฝึกอบรม ไม่งั้นไม่ได้พิจารณาขั้นเงินเดือน ไหนจะต้องทำวิจัย บริการวิชาการ ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานส่วนรวมอีก เงินทั้งนั้น ทำโครงการก็เงิน บริการวิชาการฟรีก็เงิน โน้น.นั่น.นี่ ก็เงิน จำนวนเงินที่ใช้ไปถึงเยอะไงครับ เพราะนอกจากจะเรื่องการเรียนการสอนที่ผมคิดว่าไม่น่าจะเท่าไร แต่จะไปหนักเรื่ององค์ประกอบอื่นมากกว่า ไม่นับที่ซื้อของแพงกว่าชาวบ้านนะ ชาวบ้านซื้อ 20,000 ราชการ-การศึกษา ซื้อ 100,000 นะครับ จากคุณ : SuperSaX เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 09:06:29

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามารออ่านความเห็นของคุณ "สุดเดียวดาย" แต่คิดว่ายังไง ๆ ต้องตบท้ายด้วย เพราะ "ครูโง่" แน่ ๆ จากคุณ : หอชาย6 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 12:25:01 A:171.99.214.118 X: TicketID:322897

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านแล้วรู้สึก ท้อแท้ใจ เราก็เป็นอัตราจ้าง มั่นใจได้เลยว่าตั้งใจสอน ค้นคว้าหาเรื่องใหม่ๆ ตลอด ไม่เคยหยุด โดนขดขี่ ข่มเหง ดูถูก จากครูประจำสารพัด เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ยังทำมาแล้ว เพียงเพราะเขาบอกว่าเราเป็น "ครูอัตราจ้าง" เขาจ้างมาแล้ว ต้องใช้ให้คุ้ม กินข้าว ก็แบ่งว่า นี่ครูจ้าง นี่ครูประจำ เราต้องการระบายแค่นั้น ใครไม่เห็นด้วยก็ตามสบายเถอะ จากคุณ : ไปกินข้าวกันเถอะ เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 16:11:42

ความคิดเห็นที่ 25 สร้าง รูปธรรม ง่ายกว่าสร้าง นามธรรม   ต้องคุมกำเหนิด ระบบอุปถัมภ์  ส่งเสริมคนที่มีความสามารถให้มีโอกาส................... จากคุณ : มาอีกแล้ว เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:42:42

ความคิดเห็นที่ 26 ผมไม่เชื่อว่าครูโง่นะครับ ถึงแม้จะมีคนที่มองว่า "คนโง่" เป็นสิ่งที่เราเห็นเป็นปกติในสังคม ผมเชื่อว่าคนเราพัฒนาได้ครับ และบรรดาครูทั้งหลายก็พัฒนาได้ แต่ทุกวันนี้อาชีพครูเป็นหนึ่งในอาชีพที่ขาดแรงจูงใจครับ นอกเหนือไปจากความสุขในการทำงาน ความกระหายความสำเร็จหรือความท้าทายในการทำงานก็สำคัญ แต่ระบบทุกวันนี้ไม่มีการสร้างงานที่ทำให้ครูรู้สึกว่าน่าสนใจ หรือท้าทายที่จะพัฒนาตนเอง เงินเป็นองค์ประกอบหนึ่งครับ แต่ผมเห็นว่าภาระงานต่างหากที่บั่นทอนครู งานสอนควรเป็นหน้าที่ครู ไม่ใช่งานเอกสาร เราควรเน้นการสนับสนุนให้ครูแสวงหาความรู้และวิธีการสอนแบบใหม่ ๆ มากกว่ามานั่งคิดเรือ่งทำตำแหน่งหรือเลื่อนขั้น แต่ปัญหาก็คือการประเมินนี่แหละ การให้บรรดาครูเก็บแฟ้บงานไปประเมินว่ามีผลงานการสอน คิดสิ่งใหม่ ๆ เอาเข้าจริงมันไม่เวิร์ก อีกวิธีหนึ่งคือการสอบวัดความรู้นักเรียนกลายเป็นว่าครูปล่อยเกรดเพื่อให้เด็กมีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้น จะได้รับการประเมินดีขึ้น ส่วนการเก็บแฟ้บผลงานการสอนที่ผมว่ามันไม่เวิร์กเพราะ เก็บเเฟ้บกันกองเป็นภูเขาเลย แต่มีอะไรพิสูจน์ได้บ้างว่าใช้ได้ผลจริง แล้วคณะกรรมการตรวจสอบจะลงทุนดูมันทุกชิ้นหรือเปล่า บางทีมานั่งเมกกัน ทำกันก่อนส่งก็มี (อันนี้เพื่อเลื่อนตำแหน่งด้วย) วิธีการวัดครูที่ดีที่สุดคือ จัดสอบความรู้ครู เอาตามวิชาโดยคณะกรรมการกลางเป็นคนออกข้อสอบ และใช้กันทั่วประเทศเพื่อสร้างมาตรฐานครูที่มีความรู้ แต่ผมเชื่อว่าครูต้องประท้วงแน่นอนครับ ^ ^" ส่วนการวัดความสามารถเด็กก็ต้องใช้ข้อสอบกลางและใช้เหมือนกันทั่วประเทศเช่นกัน วิธีนี้จะวัดได้ว่าเด็กเรียนมาได้ตรงตามหลักสูตรหรือเปล่า และยังพิสูจน์ว่าครูสอนจริงไหม สอนตรงไหมได้อีกด้วย แต่มันคงยุ่งยากมั้งครับ เลยทำกันไม่ได้เสียที จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 22:11:02

ความคิดเห็นที่ 27 113 ข้อกับการศึกษาไทย 1.โรงเรียนรัฐบาล เรียนหนัก วันละ 7-8 คาบ 2.เมื่อมีคาบว่าง คุณครูวิชาใดวิชาหนึ่ง มักขอ 3.รร.เอกชน เด็กนักเรียนไม่เคร่งกฏ 4.รร.ที่เก่าแก่ ยึดติดศักดิ์ศรีมากเกินไป บ่มเพาะให้เด็กเป็นศัตรูกับสถาบันอื่น 5.รร.รัฐบาล เข้าแถวหน้าเสาธง ฟัง ผอ.ให้โอวาทก่อนเข้าคาบแรก แต่กิน เวลาไป 10-20 นาที 6.เด็กต้องตากแดด ร้อน หน้ามืดเป็นลม 7.บาง รร. ผิดกฏนิดหน่อย ก็เรียกผู้ปกครอง ทั้งๆที่ควรจะตักเตือนก่อน 8.เด็กไทยขนหนังสือในกระเป๋าเป็นสิบกิโล หลังงอไปโรงเรียน (รวมทั้งนิยายและการ์ตูน หนังสือโป๊) 9.การบ้าน งานต่างๆ ฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบก็จริง แต่สั่งทีเยอะ แล้ววันนึงเรียนกี่วิชา ครูคนนึงสั่งกี่อย่าง? เด็กตายห่-า พอดี 10.มา รร. เช้า ลอกการบ้าน แล้วเด็กได้อะไร จากการสั่งงานเยอะ 11.หลับตี 1-2 พิมพ์รายงานส่ง 12.เนื้อหารายงานมาจากอินเตอร์เน็ต หามา ก็อปใส่เวิด ปริ้น เข้าเล่ม ส่ง 13.พรีเซนต์งานโดยการออกมาอ่าน 14.ครูแก่ เกินรับได้ โบราณ 15.คนเก่งไปเรียนหมอ แล้วใครมาเป็นครู? 16.รร.ในไทย แต่งยูนิฟอร์ม ชุดนักเรีย ชุดพละ ชุดลูกเสือ ทั้งที่อากาศร้อนจัด 17.มีเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือเยอะแยะ 18.มีเด็กที่ได้เรียน แต่ไม่อยากเรียน 19.พ่อแม่เสียเงินค่าเรียนพิเศษ มากว่า ค่าเทอม มากเป็นเท่าตัว 20.ต่างประเทศ ปิดเทอม ไปเที่ยว ทำงานพิเศษ ทำกิจกรรม 21.เด็กไทยเรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง 22.มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย ไม่ติดใน 100 มหาวิทยาลัยโลก 23. บาง รร.จ่ายค่าเรียนคอมพิวเตอร์ทุกปี แต่ว่า ได้เรียนแค่ ม.1และม.4 = = 24.ครูบางคน การสอนคือการอ่านให้เด็กฟัง 25.ครูบางคน สอนไม่รู้เรื่อง ออกข้อสอบหิน เด็กตก ไม่ยอมให้แก้ 26.ครู ขายของแก่นักเรียน ทำธุรกิจ ทดลองสินค้าในห้องเรียน ตั้งแต่ของเล็กๆน้อยๆ ยันถึงกิฟฟารีน แอมเวย์ 27.ครูไม่สอน นั่งบ่นเรื่องที่ไม่ในตำรา แต่นักเรียนชอบฟัง(เพราะไม่ได้เรียน) 28.เวลาว่างที่ รร. นร.นั่งนินทาครู 29.ปัจจุบัน ทั่วไปคิดว่า ครู แค่คือ คนที่รับจ้างสอน ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่แท้จริง 30.สอนไป ทุก10 นาที โทรศัพท์ดัง 31.ครูใช้เด็กซื้อกับข้าว ซื้อโอเลี้ยง ซื้อส้มตำ 32.ครูสนใจ เด็กที่เรียนพิเศษด้วยมากกว่า 33.ช่องว่างระหว่างครูและเด็ก เยอะมาก เนื่องจากจำนวนเด็กในห้อง เฉลี่ย 50 ขึ้น ครูจำนักเรียนได้ไม่หมด ยิ่งครูแก่ๆก็.... 34.รร. นานาชาติ มีความผูกพัน กับครูที่สอน ทั้ง รร.รักกันดี 35.บางคนเกรด 4.00 สอบไม่ติดก็มี เพราะการศึกษาไทย เก็บคะแนนสอบแค่ 15-30% นอกนั้นงาน การบ้านที่สั่ง 36.ครูบางคนตั้งใจสอน แต่ไม่มีเทคนิค ทำให้เด็กเบื่อที่จะเรียน 37.ความรู้ที่ใช้สอบ มาจากที่เรียนพิเศษ 38.กวดวิชาแต่ละจังหวัดมากกว่า 50 แห่ง 39.ครูบางคนชอบโอ้อวดว่าจบที่นั่น เอกอย่างนี้ ได้เกียรตินิยม แต่สอนไม่รู้เรื่อง 40.เด็กในห้องมี 50 คน เก่งสุดๆแค่ 1-2 คน 41.นอกนั้น เรียนๆเล่นๆ เที่ยวๆ 42.เด็ก ม.3 สะกดคำว่า family house ศัพท์อังกฤษง่ายๆไม่ได้ 43.โรงเรียน ประจบผู้ปกครองที่มีเงิน 44.โรงเรียนหญิงล้วน มีทอมดี้เยอะ โรงเรียนชายล้วน มีเกย์ ตุ๊ดเต็ม 45.ต่างประเทศ เรียนวันละ 3-5 ชม. หลังจากนั้นก็สนามบาส สระว่ายน้ำ ห้องดนตรี ไม่ก็กลับบ้าน ทำกิจกรรม ไปอ่านหนังสือเอง 46.ถ้าเด็กเรียนที่ไทย ก็ไปกวดวิชา เรียนเลิก3 -4 ทุ่ม 47.เด็กเที่ยวนั่งรถไฟฟ้าไปสยาม 48.เด็กใส่แว่นเนื่องจากเล่นคอม มากกว่าเรียน 49.ครูคาดหวังกับเด็กห้องคิงเกินไป ทำดีนิดหน่อย ชมเว่อร์ๆ ทำผิดนิดเดียว คือเรื่องคอขาดบาดตาย 50.เอาใจใส่เด็กแต่ละห้องไม่เท่ากัน 51.รร.รัฐ ให้เด็กทำป้าย เดินรณรงค์ยาเสพติด เลือกตั้ง ฯ ตามนโยบาย ทำเอาหน้าตา รร. เด็กต้องเดิน 2-3กิโล แดดก็ร้อน หน้ามือเป็นลม 52.วิชาอาจารย์ฝรั่ง ดูเหมือนจะมีความสุข จะหลับก็ได้ คุยกันไป แต่ก็เรียนไม่รู้เรื่อง 53.เด็กไทยอวดฉลาด 54.เด็กไทยตามกระแส แฟชั่น 55.เด็กไทยบ้าเที่ยว บ้าเรียน บ้าใช้เงิน บ้าดารา 56.วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เป็นธรรมดา 57.ท้อง แท้ง ฆ่าตัวตาย ใจแตก ติดยา คือ ปัญหาวัยรุ่นไทยที่แก้ไม่ได้ 58.เด็กส่วนใหญ่ฝันมี รร.ที่กว้าง ต้นไม้ สบายๆ บรรยากาศดี การเรียน สนุก มีกิจกรรมทำ 59.ความฝันห่างไกลความจริง รร. อากาศร้อนไม่มีพัดลม เสียงรถที่ถนนดัง ห้องเรียนติดห้องน้ำ ครูสอนก็ดุ แก่ โหดคะแนน น่าเบื่อ ครูลามก 60.มีพ่อแม่ บังคับ อนาคตวาแผนให้ลูกเสร็จสรรพ โดยไม่ถามว่าลูกชอบหรือไม่ 61.พ่อแม่ชอบกดดัน ซึ่งความจริงในยุคนี้ การเลี้ยงลูกแบบนี้ หัวโบราณมาก เด็กไทย ฆ่าตัวตายเพราะเครียดเยอะขึ้นทุกปี 62.ไฮโซ ต้องให้ลูกเรียนเอกชน นานาชาติ รร.รัฐสุดโด่งดัง 63.ไปเรียนพิเศษต่างประเทศ ตอนปิดเทอม 64.รู้ไหม คนต่างชาติคิดว่า วัยรุ่นไทยที่รวย พ่อแม่ คุณทำงานใหญ่โต นักการเมือง นักธุรกิจส่งลุกมาใช้เงิน นั้น เค้าคิดว่า พ่อแม่คุณคอรัปชั่น และคุณทำตัวไร้สาระ 65.ประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่เรียกตัวเองว่า กำลังพัฒนา 66.วัยรุ่น ไม่เคารพผู้ใหญ่ ด่าได้ก็ด่า ก็พ่อแม่ฉันยังไม่ว่า คุณเป็นใครมาว่า 67.แต่งตัว ใช้เงิน ซื้อของอวดกัน 68.ตบกันแย่งผู้หญิง ผู้ชาย ทอมดี้ เกย์ 69.มีเพื่อนในชีวิตจริงและสังคมอินเตอร์เน็ต 70.เล่นเกมออนไลน์ เล่นmsn ทุกวัน หลับดึก 71.เที่ยวจัด จนบางวันไม่กลับบ้าน พรุ่งนี้มีสอบ เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน ที่ห้องน้ำ รร.แล้วเข้าสอบ ก็มี 72.พ่อแม่เลี้ยงลูกดีเกินไป แย่เกินไป โอ๋ลูกเกินไป ด่าลูกเกินไป เด็กเก็บกด 73.เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่แย่ บางคนยอมขายตัวเพือเอาเงินมาเรียนก็มี 74.ครูแนะแนว ตือครูที่เด็กชอบมากที่สุด 75.เด็กไทย เกรด 4.00 เอ็นเข้าคณะอินเตอร์ไม่ติด เด็กนานาชาติไม่เก่งเท่าเด็กรัฐบาล แต่นั่งฝนข้อสอบฉลุย เมื่อจะเอ็นเข้าคณะอินเตอร์ 76.ต่างประเทศ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เรียนน้อยกว่าไทย แต่ทำไมฉลาดกว่า มีคุณภาพกว่า? 77. เด็ก คืออนาคตของชาติ แต่มีตัวอย่างบุคคลชั้นนำของประเทศที่เห็นได้ตามหน้า หนังสือพิมพ์ว่า...แค่ไหน เป็นแบบนี้ คุณยังจะหวังอะไรกับเด็กไทยศตวรรษที่ 21 อย่างเราไหม 78.วัยรุ่นไทยไม่อยากรับรู้เรื่องข่าวสารของประเทศไท ยที่มีแต่อะไรที่ชวนทำให้ น่าเบื่อ เกิดการแอนตี้ ไม่อยากรู้ 79.เด็กไทยไปโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จากการสำรวจแล้ว พบว่า ปัจจัยคือ เพื่อน เท่านั้น 80.โลกก้าวหน้าไปทุกวัน แต่การศึกษาไทย ยังอยู่กับที่ 81. การศึกษาในปัจจุบันทำให้เด็กไทย บ้าเรียนพิเศษ ไปติวที่นั่นที่นี่ สอบมหาลัยได้ จบมาไม่ได้เอาความรู้มาใช้ มันมีประโยชน์อะไร 82.เด็กห้องเรียนพิเศษ ถ้าไม่แยกรั้วโรงเรียนแล้ว จะอยู่ร่วมกับห้องเรียนปรกติไม่ได้ 83.ในโรงเรียน รัฐบาลมีการแบ่งแยกชนชั้น ฝ่าย สี(พวกเสื้อแดง-เหลือง) ทำให้สิ่งไร้สาระพวกนี้มาเป็นเกณท์ให้คะแนนนักเรียน 84.GAT-PAT คือการสอบที่ไม่มีใครตอบได้ว่า สอบทำไม สอบเพื่ออะไร และเด้กจะได้อะไร ใครเป็นคนคิด คิดเพื่อใคร และคิดมาทำไมเพื่ออะไร 85.เด็กนักเรียนห้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นสื่อจะเรียนห นักกว่าห้องเรียนอื่นๆ แต่สอบวัดผลโรงเรียน กลับได้คะแนนน้อยกว่าห้องปรกติ 86. 80% ของผู้ปกครองเด็กไทย อยากให้ลูกเรียนจบเร็วๆ 87.ช่วงชีวิตที่เรียนระดับ มัธยม คือช่วงที่มีความสุขที่สุด 88. นักเรียนที่ผู้ปกครองเลี้ยงปล่อย(ไปเที่ยวได้กับเพื่ อนๆ ไปไหนก็ได้ พ่อแม่ไม่จู้จี้จุกจิกและอื่นๆ) จะใช้ชีวิตในสังคมได้ดีกว่า คนที่พ่อแม่เลี้ยงแบบ ให้อยู่แต่ในบ้าน 89.เด็กบ้าเรียนมักจะไม่มีเพื่อนแท้และเพื่อนสนิท 90.คนเราเกิดมามีความสามารถต่างกัน แต่การศึกษาในปัจจุบันไม่สนับสนุกความสามารถพิเศษ ของนักเรียน 91.ผุ้ปกครองหลายคน วาดอนาคตให้ลูก และดูถูกสิ่งที่ลูกใฝ่ฝัน 92.ในปัจจุบันมีผู้ปกครองที่ เลือกที่เรียนให้ลูก เลือกอาชีพให้ลูก แม้แต่เลือกคู่ครองให้ยังมี 93.วัยรุ่นมักจะมีแฟนตั้งแต่อายุ 13ปี ขึ้นไป 94.ในปัจจุบันยังมีผู้ปกครองที่หัวโบราณมากกว่าผู้ปก ครองสมัยใหม่ 95. ปัจจุบัน โลกกำลังวิปริต ประเทศไทยในตอนนี้มี ทอม ดี้ และเลสเบี้ยนเยอะมาก ในขณะที่ผู้ชายหลายคนแห้วกับการีท่ผู้หญิงหันไปคบผู้ หญิง 96.มาตรฐานการศึกษาในประเทศไทยคือ พ.ศ. 2544 แต่นี่คือปี 2552 97.ผู้ปกครองให้ลูกไปเรียนพิเศษ เพียงแค่ไม่ให้เด็กเล่นเกม หารู้ไม่ว่าเสียเงินโดยใช้เหตุ เพราะเด็กบางคน ไปเรียนแต่ไม่รับอะไรกลับมาเลย 98.ทุกโรงเรียนในประเทศไทย จะมี 1ใน 10 ที่จะเป็นนักเลง และผู้มีอิทธิพล 99.ในปัจุจบันมีการตีกันและฆ่ากัน ปัจจุยหลักมาจาก แย่งผู้หญิงกัน 100.ประชุมผู้ปกครอง คือให้ผู้ปกครองมาออกความเห็นว่าจะให้ โรงเรียนเป็นยังไง ผู้ปกครองออกเสียงให้เรียนหนักเพิ่มขึ้น มีการบ้านเพิ่มขึ้น แต่ไม่เคยถามนักเรียนว่า เรียนแต่ลพวันเป็นยังไง 101.ผู้ปกครองที่บ่นว่าอยากให้มีการบ้านเยอะๆมาก จะโดนอ.ประชด โดยการให้การบ้านนักเรียนเยอะๆ และทุกวัน แม้กระทั่งใกล้สอบ 102. ผู้ ปกครองทำเหมือนมาเรียนกับนักเรียนเอง โดยมากำหนดเพิ่มคาบพิเศษ เรียนเสริมเข้าไป โดญที่ทุกวันจะเลิกเรียน 5 โมง 2 ทุ่มกันอยู่แล้ว 103.ห้องเรียนพิเศษบางที่ไม่ค่อยมีความเป็นประชาธิปไ ตย (ผู้ปกครองและครูเป็นใหญ่) 104.สภาพแวดล้อมในปัจุบันทำให้เด็กไทยแข่งกันเรียน 105.เด้กไทยแข่งกันเรียนมาก จนทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว 106.โรงเรียนทุกโรงเรียน สอนให้นักเรียนเป็นคนเก่งไ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียน 107.เส้นสายระบาด จนทำให้คนเก่งมีฝีมือและความสามารถ ไม่มีงานทำ 108. คนที่บ้าเรียนจะมีวิถีชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อมากกว ่า คนปรกติ 109.เด็กไทยเรียนไม่เก่ง สอบไม่ผ่าน พ่อแม่มักจะโทษ ครูและเกม 110. พ่อแม่ไม่เห็นความสามารถของลูกและไม่สนับสนุนสิ่งที่ ลูกชอบ 111.พ่อแม่อยากจะให้ลูกเป็นไปตามคนอื่น ทำให้ไร้ซึ้งความเป็นตัวของตัวเอง 112. การ เรียนไม่ได้มีผลเสีย และการเรียนมีข้อดีมากมาย แต่คนที่ทำให้มันมีข้อเสียคือ ผู้ใหญ่และพวกหัวโบราณ ที่ปลูกฝังความคิดไร้สาระ ใส่ในหัวของเด็ก 113.5 อันดับ สิ่งที่ทำให้โรงเรียนไม่น่าเบื่อที่สุดคือ 1.เพื่อน 2.กิจกรรม 3.บรรยากาศ 4.วิชาเรียนน้อย 5.เรียนไม่หนัก จากคุณ : ฟ้าเขียวใจเดียว เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 02:18:02

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเป็นนักเรียนม.5 คนนึง ผมยอมรับครับว่า ที่ผมเอามาจากข้างบนเป็นจริงเกือบหมดครับ ก๊อปมาจากไหนไม่รู้ครับ จำไม่ได้แล้ว จากคุณ : ฟ้าเขียวใจเดียว เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 02:19:03

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ คนเขียนไม่มีวุฒิภาวะเลยครับ เหมือนให้เด็กๆมาเขียนระบายความในใจแค่นั้น จากคุณ : BonaPart เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 02:44:08