ความคิดเห็นที่ 1 ปัจจุบันส่วนน้อยมากนะครับที่จะรับคนที่จบปริญญาตรี เกียรตินิยม แล้วรับมาเป็นอาจารย์  ที่มหาวิทยาลัยผมเห็นมีแค่ สาขาวิชาภาษาจีน และก็รับมาเป็นผู้ช่วยสอนเพราะส่วนใหญ่แล้วมหาวิทยาลัยส่วนมากจะรับคนที่จบปริญญาโทขึ้นไปซึ่งคุณจะต้องไปเรียนจบมาแล้วค่อยไปสมัคร  แต่ในขณะนี้มหาวิทยาลัยๆใหญ่ๆในส่วนกลาง อย่างเช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มหิดล เกษตร มศว จะไม่ค่อยอยากจะรับปริญญาโทแล้ว จะรับเฉพาะคนที่จบปริญญาเอก หรือถ้าจบโทมาก็จะให้ทำงานในตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ซึ่งเป็นสายสนับสนุน แต่ให้สอนหนังสือ หากจบปริญญาเอกแล้วถึงจะบรรจุเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้รวยหรือเงินเดือนเยอะอย่างที่คิด รถยนต์หรูๆที่ขับกันนะเงินพ่อแม่ทั้งนั้นแหละครับ รวมทั้งผมด้วย จากคุณ : Victorboom เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:23:45

ความคิดเห็นที่ 2 เรื่องเปิด หรือไม่เปิด  มันคงแล้วแต่ความต้องการ หรือเปล่าครับ  บางช่วงต้องการคนมาก ก็เปิดมาก  บางช่วงกลับกันคนเยอะพอแล้ว ก็ปิด ปิดๆ เปิดๆ จึงไม่น่าจะแปลก ส่วนตรรกะที่ว่า "เเต่คนที่เก่งกลางๆ อยากเป้นอาจารย์ชอบสอนชอบทำวิจัยก็มี"  คงใช้ตรงนี้ไม่ได้ครับ สถาบันไหน ก็อยากได้แม่พิมพ์ที่เพ๊ะๆ กันทั้งนั้น จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:25:24

ความคิดเห็นที่ 3 สงสัยอย่างที่คุณว่า จึงเข้าไปศึกษา หนังสือประกาศรับสมัคร บุคคลเข้าเป็นอาจารย์ ประกาศโดยคณะที่เกี่ยวข้อง ของมหาวิทยาลัยของรัฐ สองสามแห่ง เห็นมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ในการรับสมัคร ไว้อย่างชัดเจน ในทุกประกาศ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร วุฒิการศึกษา ทักษะที่คาดหวังจากผู้สมัคร วิธีการคัดเลือกผู้สมัคร วันเวลา การเปิดและปิดการสมัคร ฯลฯ ประกาศผ่านทางอินเตอร์เน็ต และบอร์ดที่คณะ เห็นมาอย่างนั้น จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:44:28

ความคิดเห็นที่ 4 ความคิดเห็นที่ 2 เก่งโคดๆของเราคือมี1-3คนในคณะค่ะเเบบสมมติคุณเรียนหมอ จุฬา เก่งโคดๆคือคนได้เหรียญทอง เเต่คนอื่นที่เเบบได้เกียรตินิยมอันดับ1-2เหมือนกันก็เก่งไงเเต่ไม่ขนาดน้านน คือถ้าเรียนที่อื่นก็ว่าไปอย่าง เเต่เรียนจุฬา มธ.ลำบากนะ มีเเต่คนเก่ง อย่างเราเห้นพี่คนนึงที่รู้จักจบวิศวะ ม.ทั่วไป ก็คือเก่งในม.นั้นเเต่ไม่ใช่เหรียญทองหรอก เเต่อาจารย์ก็เลยให้ทุนไปเรียนต่อป.โท-เอกเลยที่ญี่ปุ่น เเต่ถ้าอยู่จุฬา มธ.มันยากไง จะสอนมหา'ลัยตัวเองเค้าก้ไม่ให้ทุนหรอก เพราะไม่ได้เก่งขนาดเหรียญทอง ไปสอนม.อื่นก็ไม่ได้เพราะไม่รู้จักอาจารย์ม.นั้น ใครจะชวนไปสอน? จากคุณ : จขกท. เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:45:24 A:124.121.82.104 X: TicketID:349385

ความคิดเห็นที่ 5 ประเด็นที่สงสัยคือ มหา'ลัยส่วนมากรับคนที่จบป.เอกเเล้ว เเต่กรณีที่ไม่มีทุนให้ชัดเจน คนๆนั้นก็ต้องเรียนป.โท-ป.เอกเอง เเล้วจะเอาเงินจากไหนไปเรียน ถ้าบ้านไม่ได้รวย? จากคุณ : จขกท. เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:46:42 A:124.121.82.104 X: TicketID:349385

ความคิดเห็นที่ 6 See this. http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11938352/K11938352.html There are some open scholarships practically every year. You need to follow news. You need to beat other applicants. In my case, I needed to beat about  1,747 applicants 30 years ago. I was not a genius, finishing my Bachelor degree with an ordinary grade, far from even a second or third class honour, yet I could beat 1,747 applicants to win one of three scholarships with no string attached. Are you up to the challenge? BTW, I came from a very poor family, walking to school 3-5 km practically everyday for 12 years. Poverty is no excuse! จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 14:22:26

ความคิดเห็นที่ 7 มหาวิทยาลัยต่างจัหวัดบางแห่ง ยังรับป.ตรีอยู่บ้างค่ะ แต่ในสาขาที่ขาดแคลน เช่น ภาษาเกาหลี อาจารย์เหล่านั้นเข้ามาทำงานปีถึงสองปี มหาวิทยาลัยก็ผลักดันให้ไปเรียนต่อค่ะ โดยได้ทุนม.ในเกาหลีที่ม.ไปทำความร่วมมือไว้บ้าง หรือทุนมหาวิทยาลัยต้นสังกัดเองบ้าง เท่าที่ทราบ ถ้าเข้ามาอยู่ในระบบได้แล้ว เรื่องทุนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะม.มีทุนให้ไปเรียนต่อ เมื่อก่อนมีแต่กองทุนเงินยืม เดี๋ยวนี้ก็แก้ระเบียบเป็นเปลี่ยนจากการใช้เงินเป็นการทำงานใช้แทนค่ะ เรื่องที่จขกท. พูดถึงความชัดเจนในการรับคนเข้าเป็นอาจารย์  คิดว่าในทางปฏิบัติทำได้ยากค่ะ กฏระเบียบมีก็จริง แต่ในทางปฏิบัติ เวลาจะรับคนนี่ บางครั้งหน่วยงานเขามีคนที่เขาจะรับอยู่แล้ว เปิดรับสมัครเพื่อให้ตรงกับระเบียบราชการเท่านั้นเอง หรือการที่เขารับลูกศิษย์มาเป็นอาจารย์นี่ คิดว่าทางภาควิชาคงมองหลายๆประเด็น ไม่ว่าผลการศึกษา ความประพฤติ ความมีน้ำใจ การมีส่วนร่วมในองค์กร  ฯลฯ อาจไม่ใช่คนที่เรียนเก่งที่สุด แต่เป็นคนที่เขาคิดว่าจะทำงานด้วยได้ และมีผลงานออกมาดีน่ะค่ะ  นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการเมืองในภาควิชา จากคุณ : brasserie 1802 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 14:25:07

ความคิดเห็นที่ 8 - การรับสมัครอาจารย์นั้นต้องมีประกาศอย่างเป็นทางการแน่นอนครับ ไม่สามารถแอบๆรับได้ แต่การรับอาจารย์นั้นต้องมีการประชุมจัดสรรกำลังมีการเสนอขอตำแหน่งผ่านคณะผ่านมหาวิทยาลัยก่อน ดังนั้นอาจารย์ที่สอนอยู่ก็มักจะรู้เรื่องก่อนและสามารถบอกต่อให้เพื่อนหรือลูกศิษย์มาสมัครได้ แต่ทุกคนต้องสมัครหลังจากมีการประกาศอย่างเป็นทางการเหมือนกันครับ - การรับอาจารย์ใหม่กับทุนนั้นเป็นสองเรื่องแยกจากกันครับ ถ้าม.เตรียมการดี ตอนที่รับอ.วุฒิต่ำกว่าป.เอกเข้ามาก็มักจะมีการจัดสรรทุนไว้ให้ไปเรียนต่อด้วย แต่ถ้าไม่มีงบก็อาจจะไม่มีทุนให้ทันทีเหมือนกันครับ - "ทุน"ของกพ.หรือมหาวิทยาลัยนั้นมันไม่ใช่ทุนให้เปล่าครับ มันเป็นการลงทุนด้านบุคลากรซึ่งต้องมีการประเมินว่าความต้องการกำลังอาจารย์ของแต่ละสายในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร ภาควิชาผมวางแผนกำลังอาจารย์ไว้ถึงปี 2560 เรียบร้อยแล้วนะครับ ไม่รับอาจารย์เพิ่มอีกแล้วเพราะอ.ที่ไปเรียนต่อกลับกันมาหมดแล้ว ดังนั้นการให้ทุนจึงไม่สามารถกำหนดตายตัวไว้ได้ว่าจะให้ปีเว้นปี มันต้องคิดถึงความต้องการของภาควิชาด้วย ถ้าจะมีการรับอาจารย์เพิ่มเติมก็คือมีการเปิดสาขาใหม่หรือรับนิสิตเพิ่มแบบนั้น - ความต้องการของม.ต่างๆก็ไม่เหมือนกันครับ ม.เล็กหน่อยอาจจะไม่ได้ต้องการอาจารย์ที่เก่งงานวิจัยมากๆ แต่สอนได้หลากหลายวิชาและทุ่มเทให้งานบริหารได้มากกว่า หรือม.ทั่วไปได้อาจารย์ที่เป็นเด็กเก่งของม.นั้นมันก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้อ.เด็กเทพจากจุฬาก็ได้ อ.เก่งเทพจากจุฬาไปอยู่ม.เล็กก็อาจจะอึดอัดใจเพราะต้องสอนเยอะไม่มีเวลาทำวิจัย เด็กความสามารถน้อยอ.ไม่อาจสอนเต็มที่ได้ ไม่มีเด็กป.โทป.เอกที่มีความสามารถมาช่วยวิจัย และอื่นๆ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 14:54:50

ความคิดเห็นที่ 9 - อ.ที่ทำงานที่ภาควิชาผมที่จบจากต่างประเทศ ถ้าไม่ได้ทุนของมหาวิทยาลัยก็จะได้ทุนก.พ.ครับ มีส่วนหนึ่งที่จบในประเทศแต่ผมไม่แน่ใจว่าได้ทุนอะไรหรือไม่ - อย่างที่คุณ K.Senior บอกนะครับ ถ้าคุณอยากได้ทุนแต่เก่งกลางๆไม่ได้เก่งมาก คุณก็ต้องขวนขวายหาช่องทางครับ เพราะโอกาสจะไม่เข้ามาหาคุณเองแบบคนที่เก่งมากๆ คุณมีอาจารย์ในภาควิชาของคุณเองที่คุณสนิทสนมไหม เช่นอ.ที่ปรึกษาหรืออ.ดูแลโปรเจคต์ บอกความต้องการคุณให้อ.ช่วยได้ครับ ถึงแม้ไม่มีทุนในภาคของอ.เอง อ.อาจจะรู้แหล่งทุนอื่น จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 15:02:54

ความคิดเห็นที่ 10 คนที่เก่งมากๆ ได้รับการทาบทามตั้งแต่จบ ป ตรี คนที่เก่งปานกลาง ส่วนใหญ่ที่เห็นคือ เรียนโทในประเทศแล้วแสดงความสามารถให้อาจารย์เห็น ถ้าไม่ได้รับทาบทามให้เป็นอาจารย์หลังจากจบก็อาจจะมีลู่ทางหาทุนให้ไปต่อเอก ตปท (แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้นะ รุ่นนึงๆ มีคนเรียนกี่คนก็ต้องแข่งขันกันเองอีก) แต่ถ้าบอกว่า ไม่มีเงินเรียน ป โท ในประเทศ ก็ไม่รู้จะแนะนำยังไง - ทำงานเก็บเงินไปก่อนดีมั้ย? จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 17:12:29

ความคิดเห็นที่ 11 สายวิทยาศาสตร์การแพทย์ อาจารย์จะทาบทามลูกศิษย์ที่มีแววตั้งแต่ยังไม่จบตรี พอจบปุ๊บเข้าเป็นอาจารย์แพทย์สอนนักศึกษาอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อได้ทุนหรือรออาจารย์ที่อาวุโสมากกว่าได้ทุนกันหมด ถึงคราวตนเองจึงไปเรียนต่อดอกเตอร์ จากคุณ : พ่อแมวอ้วน เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 10:58:03

ความคิดเห็นที่ 12 คงไม่ได้เรียกว่า ปริญญาเอกครับ เขาเรียกว่าไปเรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับบอร์ด พวกอาจารย์แพทย์อย่างน้องสาวผมจบศิริราชได้เหรียญทอง ไม่ต้องใช้ทุนต่างจังหวัด 3 ปี คือเป็นอาจารย์หมอเลย ระหว่างเป็นก็เรียนทำบอร์ดเมืองไทยสาขาต่างๆ ที่เขาสนใจ น้องสาวผมจบทางด้าน anesthetics บอร์ดไทย เทียบก็ปริญญาเอกครับเพราะจบแพทย์ก็เทียบปริญญาโทแล้ว แล้วไปต่อบอร์ดที่อังกฤษอยู่ 3 ปี ก็สอบได้เช่นกัน ทุนก็จากศิริราชนี่แหละ ไม่ต้องไปแข่งกับใคร พูดง่ายๆ อาจารย์หมอทุกคนแทบจะได้บอร์ดต่างประเทศทั้งนั้น เพราะเขารับเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่แรกแล้ว หัวก็ระดับกะทิของประเทศแล้ว อย่างน้องสาวผม แค่ผมให้เทป Toefl   ไปฟังและอ่านตำราเอง สอบที่เดียวก็ได้ Toefl 550 minimum ที่ทางอังกฤษรับรองให้เข้าทำงานและเรียนทำบอร์ดได้ คนมันเก่งซะอย่าง ทำอะไรก็เก่งครับ หัวการเรียนผมสู้น้องสาวไม่ได้หรอกครับ จบแค่ปริญญาโทเท่านั้น และไม่ได้เกียรตินิยมอะไร 555 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 12:44:53