ความคิดเห็นที่ 1 เราจะตัดปัญหากับตัวเด็กออกเลย อย่าง IQ หรือ หรือเด็กขี้เกียจ ไม่ใส่ใจ เพราะเราคิดว่าไม่สำคัญ ไม่ไช่ประเด็นใหญ่ พาทีของกระทรวงมีปัญหาจริงๆ มีปัญหาอย่างไร เรามาไล่เรียงกัน เข้ามาดูนี่ http://www.youtube.com/watch?v=f09vkzmiljM แล้วมาเปรียบเทียบกันกับมานีมานะสมัยก่อนๆ http://www.horhook.com/ebook/thai2521/thai252101.htm เห็นได้ว่ามานีมานะเขาเริ่มอ่านจาก มาตราแม่ ก กา ก่อน แล้วจะเห็นอีกว่า พาทีหน้าแรกจะมี คำว่า ใบโบก งวง หาง ที่เป็นมาตราตัวสะกดแล้ว แถมคำว่า “งวง”เป็นสระลดรูป และมีคำวรรณ์ยุกต์ เอก คือคำว่า”ไม่” ด้วย แล้วบทนี้ก็ไม่มีคำอธิบายเลย เกี่ยวกับคำว่า หาง งวง ใบโบก ไม่ เนี่ย ไม่มีเลยไม่มีจริง ซึ่งคำว่า “หาง”นี่มันมาตราตัวสะกดอะไร แล้วถามว่าในหนังสือ มีไหม ที่สอนมาตราตัวสะกด ตอบว่ามี แต่แจกแจงไม่ละเอียด   และไม่ครบด้วยซ้ำไป ซึ่งอยู่โน่นเลย ไปหลายบทแล้ว แถมหน้า 3 สี่เนี่ย มีคำว่าโยกอีก งง เต๊ก ล่ะ เกาหัวแกร็กๆ ล่ะ ทั้งครูทั้งนักเรียนล่ะ โดยเฉพาะครูที่ไม่ได้จบเอกไทย แต่เราว่าไม่ไช่เรื่องใหญ่ของครูที่จะเรียนรู้ได้ ภาษาไทย แล้วทีนี้หลักสูตรอนุบาล บอกไม่เน้นเขียน หรืออ่านซะอีก อันนี้ถามจากครูประถมวัย แล้วจะมีพื้นฐานที่ไหนกันล่ะ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 09:45:31 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:30:18

ความคิดเห็นที่ 2 แล้วทีนี้มาดูบทที่ 2 http://www.youtube.com/watch?v=6xLBWMs01ys แค่เปิดมาก็เหมือนเดิม มีมาตราตัวสะกด สรุปแล้วเราสอน เราไม่สนใจมันแล้วหนังสือนี่ มันช่วยอะไรแทบไม่ได้เลยหนังสือเรียนพาทีเจ้าปัญหา ที่จะทำให้เด็กอ่านเขียนได้ ขอย้อนก่อนว่าทำไมเราได้สอน ป. 1 ทั้งที่ไม่ได้จบเอกภาษาไทย(เรามีประสบการณ์สอนไทย ป. 4 ป. 5 และสอนซ่อมเด็กอ่านไม่ออก 2-3 ปี ก่อนมาสอนไทย ป. 4  ป. 5)คือ ตอนที่เราย้ายกลับทำงานบ้านเกิด คือที่โรงเรียนนี้ พอมาถึงโรงเรียนผู้บริหารมอบงานสอน ป. 1 ให้ สาเหตุเพราะครูคนเก่าที่สอน ป. 1 ย้าย เราย้ายมาแทน และไม่มีครูรับสอนสักคน คือบอกว่าเด็กเกินไป แล้วก็ยอมรับว่าสอนไม่ได้ สอนไม่เป็น เด็กเกิน แล้ววกกลับมาเรื่องการสอนเด็กนักเรียน ว่าแล้วเราก็ไปหาความรู้พื้นฐานให้เด็กก่อน เช่นการออกเสียง พยัญชนะ ท่องจำสระให้ได้ก่อน  ทั้งสองอย่างนี่เป็น พื้นฐานเลยในการอ่านออกได้ทีเดียว  หาที่มาของเสียงพยัญชนะก็หัดออกเสียงว่าเสียงในคอมีอะไรบ้าง เสียงทีเกิดจากเพดาน เสียงที่เกิดจากปุ่มเหงือก เสียงจากริมฝีปากและอื่นๆ เสร็จแล้วทำความเข้าใจกับเด็กว่า ก ไก่ คือ เสียง ก, ข ไข่ คือ เสียง ข, เสียง ค ควาย คือเสียง ค ฯลฯ พอได้แล้วเราก็มาแยกกลุ่มเสียงพยัญชนะว่ามีกี่กลุ่มๆ เสร็จเราก็มา ค่อยมาสอนมาตราแม่ ก กา การผันเสียงวรรณยุกต์ มาตราตัวสะกด การลดรูป เปลี่ยนรูป การแจกลูก อักษรควบแท้ไม่แท้ กว่าเด็กจะเข้าใจพออ่าน พาทีได้โน่นเลย เกือบ 2 เดือน  อ่านคล่อง เขียนคล่องหนังสือพาที ลำนำได้ก็ โน่น ธันวาคม  เหนื่อยกับการทำใบงาน แต่ก็คุ้มกับการอ่าน เขียนได้ของเด็ก ที่เขียนเรื่องนี้ หวังว่าผู้มีอำนาจมาเห็นจะพิจารณาเรื่องหนังสือเรียน ของกระทรวงที่มีปัญหาจริงๆ ถ้าเกิดครูไม่ได้จบเอกไทยมาสอนตายอย่างเดียว คือต้องเข้าใจอีกอย่าง บุคลากรบางโรงเรียนยังขาด และจำเป็นต้องเอา สาขาอื่นมาสอนแทน เราหวังเล็กๆ ว่าหนังสือเรียนและหลักสูตรใหม่จะถูกสังคายนาใหม่เสียที รวมถึงแบบฝึกหัดด้วย อยากให้ทุกคนลองกลับไปเปิดแบบฝึกหัดและหนังสือเรียนของ ป. 1 ของลูกหลานดู สุดท้ายและขอให้กำลังใจกับครูที่ตั้งใจทำงานอย่าเพิ่งเสียกำลังใจ ก่อนนะคะ ครูไทยสู้ๆ ค่ะ ปล.เราไม่เข้าใจอย่างมาก ทำไมคนจัดทำหนังสือ พาที ป. 1 มีคำควบกล้ำ มีทั้งควบแท้ ควบไม่แท้ แล้วไม่มีอธิบายในหนังสือเล่มนั้นเลย ครูต้องทำใบงาน และบัตรคำ สอนเด็กเอง แล้วแบบฝึกก็ไม่มี มันช่างต่างกับมานีมานะสมัยก่อนจริงๆ หรือจะเป็นบทพิสูจน์ ความสามารถครูไทย แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 09:44:16 แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 09:33:16 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:30:48

ความคิดเห็นที่ 3 ความเห็นส่วนตัว ไม่รู้ไอ้ควายที่ไหนมันไม่อยากเห็นเด็กไทยเป็นนกแก้วนกขุนทอง วันๆ ท่องแต่กลอน ร่ายอาขยาน หัดเขียนคำคัดคำ (ทำโฆษณาออกมาดีมาก ให้เด็กสวมหัวนกมานั่งอ่าน ก. กา ข. ขา) ก็เลยสมใจอยาก เด็กไม่เป็นนกแก้วนกขุนทอง กลายเป็นกระบือไปเลย ดูง่ายๆ เอาแค่การพิมพ์ข้อความในบอร์ดของเด็กสมัยนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องมหาภาษาวิบัติ เอาแค่ประโยคสั้นๆ มันยังเขียนเป็นความเรียงยาวๆ ไม่ได้ เด็ก มัน จะ เขียน เป็น คำ สั้น ๆ แบบ นี้ ซึ่ง ไม่ รู้ เหมือน กัน ว่า จะ วรรค หา เตี่ย มัน ทำ ไม ให้ อ่าน ยาก เขียน ก็ ยาก เห็นกันชัดๆ ว่ามันตะกุกตะกักตั้งแต่ในสมองกันเลยทีเดียว จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:54:15

ความคิดเห็นที่ 4 . . . ผมอายุขนาดนี้ ยังว่า พาที อ่าน โคตตตตตตตตตรรรรรรรรรรรรร ยากเลยครับ . . . เว้นช่องบ้าบออะไรไม่รู้ มีเล่นสีด้วย จะบ้าตายปวดหัวมาก จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:56:41

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณนะคะ ที่มีคนเห็นด้วยกับหนังสือพาที อยากให้ทุกคนลองกลับไปเปิดดูหนังสือพาที ป. 1 และแบบฝึกจริงๆ ว่ามีปัญหา จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:59:56

ความคิดเห็นที่ 6 ความเห็นส่วนตัว ผมว่าเป็นแผนบ่อนทำลายประเทศแหละ แบบว่า คนโง่จะได้ปกครองง่าย โกงกินก็ไม่มีใครรู้ทัน.... อ่า... ข้างบนล้อเล่ง (จริงอะ?) เป็นเรื่องของคนอวดฉลาดแหละครับ หลงทฤษฎีฝรั่ง เรื่องการอ่านไม่ได้มาจากการสะกด แต่มาจากการจำเป็นคำ ๆ... (อะไรทำนองนั้น) เฮ้อ... จากคุณ : star_seeker เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 10:05:02

ความคิดเห็นที่ 7 รู้แต่ว่า ซื้อหนังสือสอนภาษาไทยเด็กมาหลายตั้ง ส่วนใหญ่จะสอนให้เด็กจำเป็นคำๆ มันบั่นทอนความสามารถในการสะกด และผันวรรณยุกต์ ต้องเอามาปรับปรุงใหม่ เอาของโบราณ กับสมัยใหม่มาปนกัน จะได้ไม่ต่างจากที่คุณครูสอนมากนัก ถ้าตามหลักสูตร กว่าหลานจะอ่านหนังสือได้ ชีวิตนี้ต้องจำคำเป็นล้านคำ ภาษาไทยไม่ใช่อักษรภาพ ไม่เข้าใจว่าของบางอย่างดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนทำไม ไม่ใช่เด็กทุกคนจะสามารถเทียบเคียงสระ และผันวรรณยุกต์ได้เอง มานีมานะ ถ้าเด็กมีปัญหาด้านการอ่านยังยากเลยค่ะ น้องชายมีปัญหากับมานีมานะด้วยซ้ำไป ต้องใช้แบบเรียนเร็วใหม่ ซึ่งเก่ากว่า มาสอนให้ ถึงจะเข้าใจ ไม่ต้องพูดถึงหนังสือพาทีหรอกว่าจะเรียนได้ จากคุณ : simiach เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 11:21:10

ความคิดเห็นที่ 8 ผมโหลดมานีมานะมาให้ลูกหัดอ่าน จากคุณ : อินทรีย์ผยอง เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 11:25:10

ความคิดเห็นที่ 9 สมัยผมเรียนป.1 (ไม่ไกลมาก 14 ปีที่แล้วได้) ผมเรียนอยู่โรงเรียนวัดบ้านนอกสุดๆ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเรียนเล่มไหน แต่จำได้ว่าครูตอน ป.1 ชอบให้เอาหนังสือภาษาไทยมาอ่านแข่งกันทุกเย็น ประมาณว่าให้ต่อแถวมาอ่านให้ครูฟังทีละหน้าๆ ถ้าอ่านไม่ผิดเลยก็จะได้ปั้มตราหน้านั้น ผมกับเพื่อนบางคนก็แข่งกันใหญ่ว่าใครจะไปได้ไกลกว่ากัน มองย้อนแล้วก็สงสัยว่านี่เราสนุกกะอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย 555 ปล. ไม่เกี่ยวกับเนื้อหากระทู้แต่อย่างใด = =" จากคุณ : เจเล่ไลท์ เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 13:04:55

ความคิดเห็นที่ 10 http://banpom.exteen.com/20120215/entry จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 14:04:02

ความคิดเห็นที่ 11 ส่วนตัวเห็นด้วยกับ มานะมานี ในนักเรียนที่เป็นแอลดี มานะมานี ช่วยได้มากกว่าค่ะ จากคุณ : somkamol เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 14:08:40

ความคิดเห็นที่ 12 #9 โหย ครูผมก็เล่นมุกเดียวกันเลยครับ... ที่ให้อ่านแข่งกันว่าใครอ่านโดยไม่ผิดได้ไกลที่สุด ผมทันใช้ทั้งแบบเรียนเร็วใหม่ กับ มานะมานีแหละ... จากคุณ : star_seeker เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 15:26:52

ความคิดเห็นที่ 13 นี่เป็นเหตุผลหรือเปล่า ที่เด็ก พิมพ์คะ คะ ค่ะ ผิด เพราะผัน วรรณยุกต์ไม่เป็นเลย ดูแล้วนึกว่าคุยกับกระเทย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 16:36:36

ความคิดเห็นที่ 14 เราจำตอนเด็กๆ สมัยก่อนที่เรียน ป. 1 ไม่มีคอมพิวเตอร์สักเครื่อง ไม่มีเครื่องปริ๊นเอกสาร ไม่เห็นครูจะทำใบงานให้เลย อาศัยอ่านมานี มานะ ยังอ่านออกเขียนได้เลย เทียบกับสมัยนี้ตามหลักสูตรใหม่ ถ้าครูอาศัยหนังสือ แบบฝึกหัดอย่างเดียว เด็กอ่านไม่ออกแน่นอน ต้องอาศัยค้นคว้า ทำใบงาน เทคนิคออกเสียงในมาตราตัวสะกด การแจกลูก ฯลฯ กระดาษนี่หมดเป็นลังเลยทีเดียว เด็กถึงจะอ่านออก จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 16:42:33

ความคิดเห็นที่ 15 เราว่ามันถึงเวลาแล้วที่กระทรวงจะพิจารณาเรื่องนี้เสียทีก่อนที่คนจะด่าไปที่ครูมากกว่านี้ ในหนังสือมีคำลดรูป เปลี่ยนรูป เยอะมากๆ เช่น งวง เด็ก เล็ก ยก นก ฉัน กัน เกิด เปิดฯลฯ แต่มันไม่เชื่อมโยง ให้เด็กอ่านอย่างไร ไม่มีอธิบายในหนังสือเลย แล้วก็คำควบอีกเยอะมากๆ ไม่มีอะไรอธิบายเลย ในแบบฝึกก็ไม่มีอีก มันแทบไม่ได้ช่วยครูเลย เราใช้แค่ 30 % สำหรับหนังสือ กับแบบฝึก แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 16:47:43 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 16:46:48

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบแบบเรียนมานี มานะ ตรงที่นอกจากจะสอนหลักภาษาไทยได้ดีแล้ว ยังสอดแทรกเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมไทยไว้ด้วย บางบทมีสอนวรรณคดีไทยด้วย ชอบมาก รู้สึกดีใจที่ได้เรียนทัน อยากให้เด็กสมัยนี้ได้เรียนบ้าง รู้สึกว่าตัวละครในเรื่องมีชีวิตจริง ๆ เพราะมานี มานะ นี่แหละ ทำให้เราชอบเรียนวิชาภาไทย จากคุณ : a girl next door เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 20:05:00

ความคิดเห็นที่ 17 ยืนยัน #9 ตอนผมเด็กๆ ครูก็ให้ทำแบบนั้น ตั้งแต่ป.1  ..... ส่วนใหญ่ ป.2 ก็อ่านหนังสือกันได้สบายแล้วนะ ปล. ใบโบก ใบบัว ตามหนังสือรุ่นใหม่นี่ เด็กจะรู้เรื่องไหม..... พี่แกเล่นเอาคำหลายๆแบบมารวมกันแบบนั้น กว่าสมองเด็กเชื่อมโยงได้ก็กินเวลาไปเยอะแล้ว สู้ มานีมีตา กามีตา อามานา เลดี้กาก้า แบบเก่าไม่ได้เลย .... -*- สรุปว่า โหลดหนังสือมานะมานี มาเก็บไว้ให้ลูกดีกว่า จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 04:49:38

ความคิดเห็นที่ 18 เราเข้าใจปัญหาที่ จขกท พูด  แต่วิธีแก้โดยปัจุบันทันด่วนที่สุดไม่ใช่แก้โดยการพยายามกดดันให้กระทรวงศึกษาเปลี่ยนบทเรียน   คือเราก็เคยสอนพิเศษภาษาอังกฤษระดับ ป.1 - ม.6 แล้วเด็กแบกหนังสือเรียนที่โรงเรียนเอามาให้ติว   เวลาเราเปิดหนังสือเรียนดูแล้วรู้ว่า 1. มันต้องการให้บรรลุเป้าหมายอะไร 2. แต่มันเป็นไปได้ยากเพราะวิธีการนำเสนอ มันใช้การไม่ได้ (หนังสือเรียนได้รับการอนุมัติเพราะผู้ผลิตหนังสือจ่ายเงินใต้โต๊ะ) ดังนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ "พยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยการไม่ใช้หนังสือเรียน นั่นก็คือครูสร้างสื่อการสอนใหม่ขึ้นมาเอง" ^ ฟังๆดูมันเหมือนยาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ยากนักหรอก  เพราะการที่ครูจบถึงปริญญาตรีมา แล้วมาสร้างสื่อการสอนให้เด็ก ป.1 อ่านภาษาไทยออกนี่ เราว่ามันไม่น่าจะยากเกินความสามารถครูนะ ถ้าครูเป็นนักคิดที่หมั่น exercise สมองอยู่เรื่อยๆ เมื่อสมัยเราสอนภาษาอังกฤษอยู่ตามโรงเรียนสอนภาษา พวกครูฝรั่งก็ใช้วิธีเดียวกันกับที่เราว่านี้ นั่นก็คือ "สร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ให้พลิกแพลง และหลากหลายมากกว่าหนังสือเรียนที่มีอยู่ในโรงเรียน" ความสามารถในการสร้างสื่อใหม่ๆขึ้นมานั้น ได้มาจากการเคยเห็นสื่อการสอนดีๆหลายๆชุด ในการเตรียมการสอน (ไม่ว่าจะเป็นการสอนวิชาอะไร) ที่ดีที่สุดนั้น ก็คือ "การ survey ตลาดสื่อการสอนวิชานั้น" เมื่อก่อนเรา surveyed ตลาดสื่อการสอน  แล้วได้สื่อการสอนภาษาอังกฤษมาหลายชุด   แล้วค่อยๆเอาทั้งสื่อพวกนั้น และแนวคิดจากสื่อพวกนั้นมา "เล่นแร่แปรธาตุ" เพื่อสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษง่ายๆ สอนเด็ก ป.1- ม.6 ได้  และจากการ exercise สมองคิดค้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราสามารถสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษให้นักศึกษาระดับมหาลัยได้สบายๆ   ^ ความสำเร็จในการสอน เกิดจากการคิดค้นพัฒนาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ  ไมใช่เกิดจากการเรียนวิชาศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์ แล้วก็ไม่ได้เกิดจากการสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตครู ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อ 3-4 มาแล้ว  มีคนเอา video จาก youtube มาให้ดู ทหารอเมริกันเรียนภาษาไทยแค่ 6 เดือน พูดได้ชัดมากๆ แล้วไม่ผิดหลักไวยากรณ์ด้วย แถมยังเขียนได้เก่งอีกด้วย   ทำได้ไง? ^ ตอบ เขาเรียนภาษาไทยจากบทเรียนที่นักภาษาศาสตร์ชั้นนำของโลกสร้างไว้   และเราค้นบทเรียนภาษาไทยอันนั้นเจอ แล้วสอยเอามาเก็บไว้ในครอบครองแล้วด้วย  ซึ่งครูที่ไม่ได้เรียนเอกภาษาไทยแต่จำเป็นต้องสอนภาษาไทยควรหมั่นค้นข้อมูลให้กว้างๆ มากกว่านี้ แทนที่จะพยายามบ่นเรื่องหนังสือเรียนไม่ดี เพราะว่า "เราเป็นครู เรามีหน้าที่ช่วยให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายได้ การสอนเด็ก ป.1 ให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยที่ครูสร้างหรือหาสื่อการสอนมาเองนั้น มันไม่ยากนักหรอก" เราต้องคอยคิดค้นวิธีสอนภาษาอังกฤษพลิกแพลงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งยิ่งคิดไปค้นคว้าไปมันก็คิดค้นวิธีการใหม่ๆได้อยู่เรื่อยๆ  โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเรียนจบด้านภาษาอังกฤษมา  พวกคุณเป็นครูถึงไม่ได้เรียนจบเอกภาษาไทย แต่การจะสอนเด็ก ป.1 ให้บรรลุเป้าหมายได้นั้น  มันไม่ยากนักหรอก ลองไปดูเรื่องการสอนภาษาอังกฤษ (ซึ่งก็น่าจะคล้ายกับการสอนภาษาไทย) ที่เราต้องคิดค้นอะไรใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยๆที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11981560/K11981560.html แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 11:06:40 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:04:33

ความคิดเห็นที่ 19 จะหาครูที่ทุ่มเท ก็ยากนักที่จะค้นหา จากคุณ : อินทรีย์ผยอง เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:21:09

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณความเห็นที่ 18 เราก็คิดและทำเช่นนั้น ใช้สื่อหลากหลาย มีเทคนิคการสอนหลายอย่างนำมาใช้ ทั้งที่คิดเอง และนำมาจากผู้ประสบผลสำเร็จ ทำใบงาน แบบฝึกหลายๆ ชุด ในเมื่อหนังสือมันใช้แทบไม่ได้ เด็กของเราอ่านออกหมด สะกดคำอ่านเองได้ คำไหนไม่สอนเขาก็สะกดเองได้ อ่านได้ เราว่าอ่านเป็นคำได้แต่สะกดไม่ได้ไม่มีความหมายหรอก ภาษามีเป็นล้านคำ เราคิดว่าการสอนควรสอนจากง่ายไปยาก ไม่ใช่อยู่ๆ เปิดไปหน้าแรก มีลดรูปเลย แถมมีคำสะกดด้วยด้วย  อืม เด็กยังไม่สามารถอ่านออกเสียงคือ พยัญชนะกับสระนำมารวมกันแล้วออกเสียงไม่ได้เลย คือแม่ก กา จะไปลดรูปเร็วจัง และมีมาตราตัวสะกดตั้งแต่หน้าแรกเลยหรือ !!!! อ่ะโรงเรียนรัฐบาล จะบอกว่าเด็กขึ้นมาเขียนชื่อได้แค่ 3-4 คน จากเด็ก 27 คน สระไม่รู้จักไม่เคยท่องเป็นไปได้ไง เรียนอนุบาลมาหลายปีดีดัก แหม พูดแล้วโมโหเป็นไปได้ไงมันจะเกินไป แล้วแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ว่ามันก็เกินไป ที่พูดมานี่คือจะบอกว่ามันเป็นความบกพร่องในการจัดทำหนังสือเรียน ป. 1 คือตั้งแต่หน้าแรกเลย เราเข้าใจว่าผู้ปกครองอุตส่าห์ฝากฝังไว้ใจกับโรงเรียนเด็กอ่านไม่ได้นี่คงเสียใจไม่น้อย ปล. ปีนี้เด็กขึ้นป. 1 ในชุมชนเีรียนเรียนที่นี่หมดไม่ย้ายไปเอกชนเพราะไปแล้วอ่านไม่ออก แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 13:43:20 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 13:39:51

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ จริงๆแล้วความคิดที่ว่าการสะกดคำได้กับการอ่านออกเขียนได้มีความสัมพันธ์กันนั้น พอเจาะลงลึกจริงๆมันก็ยังเจอกรณีต่างๆอีกตั้งมากมายที่ กลายเป็น "ไม่ใช่" ยกตัวอย่างคำศัพท์ภาษาไทยที่ออกเสียงไม่ตรงกับตัวสะกด ก็มีมากมาย สมัยเราเรียนจบแค่ ป.4 แล้วกลายเป็นอ่านหนังสือไทยได้รวดเร็วมากๆ ระดับอ่านนิยายจีนแปลเป็นไทยจบเป็นหลายๆภาคภายในวันเดียวกัน เราก็อาศัย "สะกดได้แค่เคร่าๆ แล้วตรงไหนสะกดไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง เราก็ ทำบันทึกพิเศษไว้ในสมองโดยการจำเป็นคำๆ เพราะขี้เกียจไปฟังครูอธิบายว่า ข้อยกเว้นเพราะเป็นยังงั้นยังงี้" ที่ทำใด้สำเร็จเพราะภาษาไทยไม่ได้มีศัพท์เป็นล้านคำอย่างที่คุณพูดใน คคห 20 ว่า "เราว่าอ่านเป็นคำได้แต่สะกดไม่ได้ไม่มีความหมายหรอก ภาษามีเป็นล้านคำ" ^ คือจริงๆแล้วภาษาอังกฤษรวยคำศัพท์มากที่สุดในโลก ตอนนี้ภาษาอังกฤษมีศัพท์เกิน 1 ล้านคำ ตามด้วยภาษาจีนติดๆ ตอนนี้ภาษาจีนมีศ้พท์ประมาณ 800,000 คำ แต่คำศัพท์ภาษาไทยมีไม่ถึง 1 ล้านคำแน่ๆ และคำศัพท์ภาษาไทยที่ใช้ๆกันอยู่ทุกวันนี่ (ภาษาทั่วๆไปไม่ได้ลงลึกระดับวรรณกรรมหรือวิชาการ) เราว่ามีอยู่แค่ไม่กี่พันคำเอง เพราะยิ่งเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษมันก็ยิ่งไปอิงกับการสะกดผสมพยัญชนะกับสระและเสียงวรรณยุกต์แบบ กอ อะ กะ กอ อา กา ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับเสียงสูงๆต่ำๆในภาษาอังกฤษมีตั้ง 6 ระดับเสียง แต่ไม่เขียนเครื่องหมายวรรณยุกต์บอก แล้วฝรั่งสอนลูกยังไงให้อ่านหนังสือออก?   ยกตัวอย่างเช่น rest อ่าน เรสท์ for อ่าน ฟอร์ แต่ forest อ่าน  ฟอริสท์ หรือ ฟอเริ่สท์ (เสียง "เอะ" เปลี่ยนเป็น "อิ" หรือ "เออะ") เสียงพยัญชนะที่แสบมากๆในภาษาอังกฤษก็คือ ch ออกเสียงเป็น tʃ ในคำว่า  chain ch ออกเสียงเป็น dʒ ในคำว่า spinach ch ออกเสียงเป็น k ในคำว่า architect ch ออกเสียงเป็น ʃ ในคำว่า chef ch อ่านไม่ออกเสียง ในคำว่า yacht ถ้าต้องสะกดกับอ่านให้พ้องกันในเชิงตรรกะอยู่เสมอไป แล้วฝรั่งจะสอนลูกอ่านภาษาอังกฤษให้ถูกต้องได้ยังไงกัน ยิ่งภาษาจีนยิ่งยุ่งใหญ่เลย สะกดแบบ pinyin ผสมเสียงพยัญชนะสระและเสียงวรรณยุกต์ลงตัวเป๊ะๆ เพราะใช้นักภาษาศาสตร์ชั้นนำตั้งหลายร้อยคนระดมกำลังสมองกันคิด (แต่เสียงพยัญชนะสระและเสียงวรรณยุกต์ไทยมันไม่ลงตัวเป๊ะๆแบบนั้นหรอก) แต่เวลาถ่ายทอดจาก pinyin ไปเป็นอักขระจีนล่ะ จะว่าไง มันก็ไม่มีตรรกะในการถ่ายทอดเสียงพยัญชนะสระและเสียงวรรณยุกต์ให้ลงตัวอีกนั่นแหละ เพราะมันเป็นภาษารูปภาพ ไม่ใช่สะกดเป็นคำๆ ถ้างั้นฝรั่งกับคนจีนจะสอนเด็กอ่านหนังสือยังไงล่ะ ถ้าต้องไปอิงกับการผสมเสียงพยัญชนะสระและเสียงวรรณยุกต์ให้ลงตัวเป๊ะๆ คือจริงๆแล้วการสอนให้เด็กสะกดคำได้กับอ่านหนังสือออกเสียงถูกน่ะ มันไม่ค่อยจะมีความสัมพันธ์กันโดยตรงมากนักหรอก แต่ใครจะสอนเด็กยังไงให้บรรลุเป้าหมายได้ นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะใช้ความคิดพลิกแพลงสอนเด็กกัน แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 14:25:30 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 14:21:46

ความคิดเห็นที่ 22 "แต่ใครจะสอนเด็กยังไงให้บรรลุเป้าหมายได้ นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะใช้ความคิดพลิกแพลงสอนเด็กกัน" เป็นจริงเชื่อไม่เถียงนั่นคือหลักการทำงานอยู่แล้ว แต่ ยกตัวอย่างคำศัพท์ภาษาไทยที่ออกเสียงไม่ตรงกับตัวสะกด ก็มีมากมาย สมัยเราเรียนจบแค่ ป.4 แล้วกลายเป็นอ่านหนังสือไทยได้รวดเร็วมากๆ ระดับอ่านนิยายจีนแปลเป็นไทยจบเป็นหลายๆภาคภายในวันเดียวกัน เราก็อาศัย "สะกดได้แค่เคร่าๆ แล้วตรงไหนสะกดไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง เราก็ ทำบันทึกพิเศษไว้ในสมองโดยการจำเป็นคำๆ เพราะขี้เกียจไปฟังครูอธิบายว่า ข้อยกเว้นเพราะเป็นยังงั้นยังงี้" ไม่เป็นความจริง ภาษาไทยมีการเทียบเคียงไตรยางค์อีก มันมีหลักของมันนะ ยาวถ้าอธิบาย ไม่มีเวลาเดี่ยวจะเสียเวลาของคุณทั้งฉันและคุณมานั่งอ่านกันอีก ตอบโต้ไปมา เห็นว่างานเข้าเยอะ จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 16:35:58

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ^ ที่คุณพูดว่า "ไม่เป็นความจริง ภาษาไทยมีการเทียบเคียงไตรยางค์อีก มันมีหลักของมันนะ" ^ จะบอกให้ว่าเราเคยอ่านเจอในหนังสือต่างประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญพูดว่า "ภาษาสันสกฤตมีกฎระเบียบลงตัวเป๊ะๆ และมีสูตร mnemonic code ด้วย (จะกล่าวถึงในอีก คคห หนึ่ง) เพราะคนสร้างภาษาสันสกฤตเป็นนักคิดของอารยชนระดับสูงมากๆมาตั้งแต่โบราณกาล" ^ แล้วก็มีผู้เชี่ยวชาญชาวไทยที่เป็นนักวิทยาศาสตร์แต่เขามีความรู้ภาษาไทยระดับนักภาษาศาสตร์พูดว่า "คนไทยเอาสันสกฤตมาใช้งานแต่เอามาแบบขาดๆเกินๆ มันเลยออกมาไม่ลงตัวเป๊ะๆ" ผู้เชี่ยวท่านนั้นก็คือคุณ Paphmania เราจะหลังไมค์ไปอัญเชิญคุณ Paphmania ให้มาตอบประเด็นนี้ แบบนักภาษาศาสตร์...เพื่อให้คุณหายสงสัย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:29:23

ความคิดเห็นที่ 24 ส่งข้อความไปหาคุณ Paphmania แล้ว แต่ได้คำตอบว่า "ไม่สะดวกรับข้อความคุณ" ก็เลยไม่รู้ว่า คุณ  Paphmania จะมาตอบหรือเปล่า แต่โดยเคร่าวๆแล้ว สิ่งที่ คุณ Paphmania เคยพูด ซึ่งน่าทึ่งมากๆ นั่นก็คือการจัดระบบตัวสะกดในภาษาไทยมันมีวิธีจัดให้ดีกว่านี้ แต่ที่ไม่จัดก็เพราะว่า... ต้องไปฟังเขาพูดเอง ส่วนเรื่อง mnemonic codes (รหัสความจำ) ในภาษาสันสกฤตนั้นเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ นั่นก็คือนักจิตวิทยาฝรั่งคนหนึ่งเรียนสันสฤตจนแตกฉานมากๆ แล้วไปที่อินเดียว แล้วเจอปราชญ์อินเดียท่านหนึ่ง เล่นกายกรรมสมองด้วย mnemonic codes จากภาษาสันสฤต นั่นก็คือ ปราชญอินเดียนั่งตรงกลาง แล้วมีคนล้อมวงเขาสิบกว่าคน คนล้อมวงเดินวนไปหาปราชญ์ทีละคน เพื่อถามปัญหาให้เขา exercise สมอง ดังเช่น เอาหมากรุกกลไปให้เขาคิด พูดภาษาต่างชาติที่เขาไม่เคยเรียนให้เขาจำแบบนกแก้วนกขุนทองโดยต้องพูดซ้ำให้เหมือนของจริง เอาตัวเลขเป็นล้านๆหลักให้เขาคูณหรือถอดรูทยากๆ เช่นถอดรูทสิบสามในใจ ให้เขียนกลอนในใจ และอื่นอีกมากมาย โดยทุกอย่างต้องคิดในใจหมด พอคนถามปัญหาวนกลับมาหาปราชญ์ ปราชญ์ตอบคำถามทุกอย่างถูกหมด! นักจิตวิทยาฝรั่งที่เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ปราชญ์อินเดียหลายๆคนฝึก photographic memory สำเร็จก็เพราะ "กลไกพิศดารของภาษาสันสกฤต ซึ่งฝรั่งคนนี้พยายามแปลง mnemonic codes จากสันสกฤตเป็นภาษาอังกฤษ และเรามีวิธีการของเขาอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 00:07:22 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:46:08

ความคิดเห็นที่ 25 สิ่งที่เราพยายามจะพูด จริงๆแล้วไม่ใช่พูดว่า มานีมานะดีหรือไม่ดี และพาทีดีหรือไม่ดี เราแค่พูดว่าครูจะสอนเด็ก ป.1 ให้อ่านหนังสือ ถ้าไม่พอใจมานีมานะหรือไม่พอใจพาที ครูก็เขียนบทเรียนเองได้ ไม่ต้องบ่นเรื่องบทเรียนให้ยุ่งยาก แต่เรื่องที่ว่าภาษาไทยผสมพยัญชนะสระและผันเสียงวรรณยุกต์ลงตัวเป๊ะๆ นั่นรับรองเลย "เป็นไปไม่ได้" ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้จำหลักอะไรหรอก เพราะพยายามใช้เหตุผลมันก็ใช้ไม่ได้ ถึงภาษาไทยจะไม่แย่ขนาดภาษาอังกฤษที่ยกตัวอย่างให้ดูใน คคห 21 แต่ความหวังที่ว่าจะสอนเด็กไทยให้คิดอย่างมีเหตุผลได้ทุกกระบวนท่าเพลงในการผสมพยัญชนะสระและผันเสียงวรรณยุกต์ให้ลงตัวเป๊ะๆ  รับรองว่า "เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด" ยิ่งเด็กอายุน้อยๆขนาด ป.1 พอฟังข้อยกเว้นเช่น "มันเป็นอักษรนำ" หรือ "มันแผลงมาจากภาษาไอ้โน่นไอ้นี่" มันก็เกินพอสมองเด็กแล้ว คือจริงๆแล้วเรื่องพอผสมคำได้ มันก็เป็นแค่ แนวทางเคร่าวๆเท่านั้นเอง แต่ลงเอย "ก็ต้องจำไอ้ตัวที่แหกกฎตั้งมากมายอยู่ดี (ซึ่งครูก็พยายามอธิบายว่า "ไม่ได้แหกกฎแต่เป็นกฎพิเศษ") นั่นแหละ (เพราะเด็กขี้เกียจฟังเหตุผลครู)" และ language acquisition (การรับรู้ภาษา) ของเด็ก มันไม่ใช่มาอิงกับการผสมคำเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ฝรั่งที่เป็นแม่พอเอารูปแมวให้ลูกน้อยดู แล้วพูดว่า cat แม่ก็อ่านว่า kæt แล้วพอแม่เอารูปฉาบหรือฉิ่งให้ลูกน้อยดู แล้วพูดว่า cymbals แม่ก็อ่านว่า ˈsɪmbl ไม่มีแม่คนไหนหรอกที่จะมานั่งอธิบายว่า ทำไม c ใน cat ออกเสียเป็น k และทำไม c ใน cymbals ออกเสียงเป็น s แต่เด็กรับรู้ภาษาได้จากการฟังแม่พูดแล้วอ่านตาม ซึ่งถ้าถามว่าการสอนให้จำแบบภาษารูปภาพมันจะได้เรื่องหรือ? คำตอบก็คือ Why not? นั่นก็เพราะว่าผู้เชียวชาญด้านภาษาบอกว่าภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันโดยไม่มีเรื่องวิชาการยากๆ แค่ศัพท์ 2,000 คำ ก็พูดได้ทุกอย่างที่อยากจะพูดแล้ว (ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษมีศัพท์เป็นตั้งเกิน 1 ล้านคำ) และการอยู่ดีๆมานั่งสอนวิชา phonetics ให้เด็ก มันไม่จำเป็นหรอก และการพยายามหาเหตุผลในการผสมพยัญชนะและสระ ในภาษาอังกฤษมันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะมันแทบจะสะกดไม่ตรงกับที่มันอ่านออกเสียง   ดังนั้นการจำภาษาไทยแบบภาษารูปภาพมันไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะจริงๆแล้วคำศัพท์ภาษาไทยที่ใช้พูดเรื่องชีวิตประจำวันมันก็ไม่น่าที่จะเกิน 2000 คำเหมือนภาษาอังกฤษ เพียงแต่เราพยายามสอนเด็กผสมเสียงพยัญชนะและสระและผันวรรณยุกต์ "แค่พอเป็นแนวทางเท่านั้น" เพราะตัวเราเองก็ยังจำอักษรสูงต่ำกลางยังไม่ได้เลย แต่ทำไมเราอ่านออกเสียงวรรณยุกต์ถูกหมด และรู้ด้วยว่าเมื่อไหร่ผู้หญิงใช้ "คะ" กับ "ค่ะ" ผิดหรือถูก แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 23:13:20 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:10:20

ความคิดเห็นที่ 26 http://www.thaicadet.org/thai/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C.html จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:34:15

ความคิดเห็นที่ 27 เราแค่พูดว่าครูจะสอนเด็ก ป.1 ให้อ่านหนังสือ ถ้าไม่พอใจมานีมานะหรือไม่พอใจพาที ครูก็เขียนบทเรียนเองได้ ไม่ต้องบ่นเรื่องบทเรียนให้ยุ่งยาก บ่นเพราะมันผิดวิสัยการเรียนรู้ที่เรียนจากง่ายไปยาก แต่จะชี้ว่าหนังสือมีข้อบกพร่องจริงๆ และจะบอกว่าการจัดทำสื่อเพิ่มเติมอันนั้นเป็นปกติวิสัยครูอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 02:18:51 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:39:35

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาอ่านครับ ได้ความรู้เยอะมากจากกระทู้นี้ ^^ จากคุณ : ริมน้ำคาน เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 12:11:44

ความคิดเห็นที่ 29 ประเด็นมุ่งที่ครูกับกระทรวงเลยสินะ ครูเหมือนจะเป็นแพะอันดับหนึ่ง เมื่อมีใครสักคนพูดถึงประเด็นการอ่านหนังสือไม่ออก แต่อาจจะลืมไปว่าครูก็สอนตามที่ทางฝ่ายวิชาการของโรงเรียนจัดให้ หนังสือเรียนก็ตามแต่คณะกรรมการทางฝ่ายวิชาการของโรงเรียนจัดคัดเลือกให้ เพราะโรงเรียนจะไม่ใช้หนังสือที่ทางกระทรวงกำหนดก็ทำได้ หรือทางโรงเรียนจะจัดหาหนังสือเสริมเพิ่มเติม ก็ทำได้ แล้วแต่งบประมาณจะมี ปัญหาจริงๆ ถ้ามองเรื่องการเรียนการสอนในโรงเรียน ไม่ใช่แค่ปัญหาจากตัวครูเท่านั้น แต่ลากยาวไปถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และฝ่ายวิชาการของโรงเรียนนั้นๆ ด้วย แล้วก็ลืม "ครอบครัว" ไปหรือปล่าว ผู้ปกครองที่อยู่กับเด็กมากกว่าครูที่อยู่กับเด็กแค่ 40 ชม./สัปดาห์? ต่อให้ครูสอนดี โรงเรียนจัดหาหนังสือเสริมการอ่านให้ แต่ถ้าน้องกลับไปบ้าน แล้วครอบครัวไม่ช่วยทบทวนการเรียน ไม่ฝึกน้องเพิ่ม ไม่หาหนังสือเสริมให้อ่าน น้องก็จะยังอ่านไม่ออกต่อไป บ้านไหนเตรียมตัวดี เด็กจะอ่านหนังสือเป็นก่อนเข้าโรงเรียน แถมบ้างบ้านพูดได้มากกว่า 2 ภาษาอีก ครอบครัวทั้งนั้น พ่อแม่สอนเอง "ครอบครัว" ต่างหาก ที่นำมาสู่ปัญหาการอ่านไม่ออก ไม่ต้องไปใช้วิธีพิศดารอะไรเลย แค่หาหนังสือหลักสูตรเก่า ที่ก็ยังมีจำหน่าย และยังเป็นอมตะฆ่าไม่ตาย เรียนกันมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ เช่น - แบบเรียนภาษาไทย แบบเรียนเร็วใหม่ เล่ม 1 ตอนต้น (ปกน้ำตาลสากๆ ตอนนี้พิมพ์ใหม่แล้ว)  http://www.slideshare.net/guestd902d8/ss-3935186  เล่มนี้เหมาะกับเด็กหัดอ่าน หัดสะกดมาก คนไหนอ่านไม่ออก จับอ่าน จับท่อง เดี๋ยวก็ได้ - หนังสือดรุณศึกษาตั้งแต่ ป.1 - ป.6 เอาไว้อ่านเสริม - มานะมานี เดี๋ยวนี้ก็มีแบบออนไลน์ ไม่มีจำหน่าย แต่ก็มีให้ดาวน์โหลด กับหา "เวลา" อยู่กับเด็กในปกครอง อย่างต่ำ 1 - 2 ชม. ในวันธรรมดา และ 3-4 ชม. ในวันหยุด เวลาในการสอนอ่าน สอนเขียน จากหนังสือเสริม ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาในแต่ละวัน เวลาในการทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อเสริมการเรียนรู้ พาเล่นเกม กีฬา นั่งสมาธิ ฯลฯ ระหว่าง ผู้ปกครอง 1:1 กับเด็ก (อาจจะมากกว่า 1 แต่ไม่ถึง 10 แน่นอน)  กับ ครู 1:40 หรือมากกว่านั้น ใครจะสอนทั่วถึงได้มากกว่ากัน ใครจะใส่ใจในรายละเอียดของเด็กได้มากกว่ากัน ใครจะมีเวลาให้เด็กได้มากกว่ากัน ใครจะแก้ปัญหาการอ่านของเด็กได้ดีกว่ากัน??? จากคุณ : Seraphina เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 14:06:17

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณนะคะสำหรับความเห็นที่ 29 คุณเยี่ยมมากสำหรับความคิดเห็นและลิ้ง มันเป็นความจริงอีกส่วนประกอบที่สำคัญรองจากตัวหนังสือและตัวครู แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 15:45:19 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 15:12:45 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 15:11:20

ความคิดเห็นที่ 31 เราขอพูดอย่างนี้แล้วกันนะ รุ่นพ่อแม่เรา ซึ่งตอนนี้คือกลุ่มคนที่เกษียณอายุแล้ว เรียนหนังสือไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ "อ่านออกเขียนได้" ในขั้นดี คนรุ่นเราก็ยังอ่านหนังสือออก เราจำได้ว่าสมัยที่เรายังเด็กคือตั้งแต่ ป.1 - 2 เด็กรุ่นเราที่เรียนด้วยกันก็อ่านหนังสือออกหมด (อย่างน้อยก็หาการ์ตูนมาแลกกันอ่านได้เป็นล่ำเป็นสันล่ะ) ปัญหาเด็กอ่านหนังสือไม่ออกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้นก่อนจะถามถึงหลักภาษาไทย ก่อนจะถามถึงการสังคายนาตัวสะกด  มันยอมรับกันหรือยังว่า "เด็กยุคนี้มีปัญหาในการอ่านเขียนหนังสือ" ถามว่าด้วยปัญหาอันนี้ จำเป็นหรือไม่ที่กระทรวงศึกษาสมควรต้องแก้ไขเครื่องมือทางการศึกษาของตน นั่นคือ "ตำราเรียน" และ "หลักสูตรการเรียนการสอน" จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาไทย เอาเข้าจริงเราไม่ค่อยห่วงด้วย แต่เราห่วงอีกหลายเรื่อง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กยุคนี้เรียนจนจบ ป.6 แล้วยังท่องสูตรคูณไม่ได้ ทำสมการง่ายๆ ไม่เป็น ความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตกต่ำน่าเป็นห่วง ดูโดยรวมแล้ว การเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาฯ ทำหน้าที่แก้ไขวิธีสอนหนังสือของตัวเอง มันก็ไม่ได้เกินกว่าเหตุ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 15:12:43

ความคิดเห็นที่ 32 ความคิดที่ 31 เราว่ามันมาจากตัวเด็กที่คิดว่ายังไงก็ได้ขึ้นชั้น เลยไม่ค่อยตั้งใจเรียน เวลาครูสอนก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง เอาว่าแก้ให้เด็กที่ซ้ำชั้นก่อน การเรียนการสอนจะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเยอะ จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 15:21:36

ความคิดเห็นที่ 33 เรียน จขกท ผมนึกว่ามีผมคนเดียวซะอีก ที่คิดว่าแบบเรียนภาษาไทยตอนนี้มันห่วย ห่วยแบบไม่รู้ว่าเอาไอ้โง่ที่ไหนมาทำแบบเรียน ผมคิดแบบนี้จริงๆ เพราะตอนนี้อยู่ ตปท แต่มีภารกิจต้องสอนเด็กไทยคนหนึ่งให้อ่านเขียนภาษาไทยได้ด้วย ก็ตามวัยของเด็กนั่นแหละ เริ่มหัดอ่านตอนหกขวบด้วยซ้ำ ลงทุนซื้อหนังสือภาษาพาทีมา คิดว่าก็สอนตามหลักสูตรของกระทรวงไป น่าจะดีที่สุดแล้ว แต่พอเปิดหน้าแรกก็ต้องอึ้ง  มาถึงให้อ่านคำยากๆ มีตัวสะกด มีสละลดรูปตามที่ จขกท บอกเลย เด็กไม่ทันมีพื้นฐาน แทนที่จะเริ่มจากการผสมคำก่อน แล้วค่อยๆ ไต่ระดับความยากไปเรื่อยๆ นี่มาถึงจะให้จำเป็นคำๆ    ไม่รู้ว่าผมโง่เองที่ไม่เข้าใจอัจริยะในกระทรวงที่ออกหลักสูตรมา หรือพวกนั้นมันโง่จริงๆ   หรือมันต้องการให้คนโง่ก็ไม่รู้ เห็นแบบเรียนนี้แล้ว ไอ้เรื่องทฤษฏีสมคบคิดมาทันที สุดท้ายต้องไปหา download หนังสือมานีมานะ เอามาให้เด็กหัดอ่านไปเรื่อยๆ ไอ้ภาษาพาที ใบบัวใบโบก จะเอาไปทิ้งแล้ว ไม่ได้เรื่อง คนสอนก็ไม่รู้จะสอนอย่างไร ทุกวันนี้มีแต่ความอนาจใจกับระบบการศึกษาไทย วัดผลงานครูกันด้วยงานเอกสารไร้สาระ แทนที่จะเป็นคุณภาพของเด็ก เด็กก็ห้ามตกกันอีก  ด้วยปรัชญาการศึกษา การวัดผลแบบไทยๆ คนที่ไม่ควรโง่ ก็เลยกลายเป็นคนโง่ คนมีไฟ ก็กลายเป็นคนเช้าชามเย็นชาม  เอาเวลาสอน ไปลอกงานชาวบ้านขอ อ.3 แทนดีกว่า จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 16:36:43

ความคิดเห็นที่ 34 สำหรับเด็กปฐมวัย บรรดาศึกษานิเทศก์ทั้งหลายก็จะชอบบอกว่า อย่าไปสอนมากเกิน ไม่ต้องสอน มันจะหนักเกินไปสำหรับเด็ก ครูปฐมวัยที่โรงเรียนสอนเด็กเขียนชื่อตัวเองยังโดนว่าเลยครับ ว่าอัดข้อมูลให้เด็กมากไป แล้วพอเด็กขึ้นชั้นประถมมา จะเริ่มสอนเนื้อหาก็ไม่ได้ ต้องมาเริ่มตั้งแต่พยัญชนะ กว่าจะอ่าน กว่าจะประสมได้ อนาถใจกับวิธีคิดของนักวิชาเกินบางพวกจริงๆ จากคุณ : จิรัฎฐิติกานต์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 16:51:18

ความคิดเห็นที่ 35 รุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้เรียนหนังสือภาษาไทย มานะ มานี ส่วนการผสมสระ และการผันวรรณยุกต์ ครูจะใช้แผ่น ที่มันหมุนได้ มีช่องให้แสดง พยัญชนะ แล้วก็แปะสระ และวรรณยุกต์ แล้วครูก็จะหมุนพยัญชนะ ก ข ค ไปเรื่อยๆ ให้เราสะกดตาม ยังจำได้ดีเลยครับ ตอนนั้นรู้สึกสนุกมากๆ จากคุณ : น้ำตาพระรอง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 17:59:09

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเป็นรุ่นแรกที่ได้เรียนมานี มานะ นะ น่าภูมิใจมั้ยเนี่ย ... เห็นด้วยกับ จขกท. นะครับ ผมคิดว่า การที่จะคิดพึ่งครูให้ทำสื่อการเรียนการสอนเอง ออกจะยึดติดว่าครูจะต้อง "เทพ" ไปสักหน่อยนะครับ อย่างน้อยทำแบบเรียนมา guide ครูบ้างก็ยังดี เห็นเด็กสมัยนี้เขียนข้อความ post กันบน social network แล้ว หมดหวังอย่างไรไม่รู้... จากคุณ : thep497 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 18:54:09

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นมั๊ย ครูเก่งๆ ดีๆ ก็มีเยอะเหมือนกัน จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 20:59:32

ความคิดเห็นที่ 38 อยากบอกว่าเป็นอีกคนที่ด่าแบบเรียนภาษาไทย ด่ามานานแล้ว ตั้งแต่เห็นเด็กในบ้านทำการบ้านโดยใช้วิธีคัดเป็นคำๆ รู้เลยว่าต้องการให้เด็กจำเป็นคำๆ  เห็นแบบเรียนแล้ว งงมาก คิดเหมือนกันว่าเด็กไม่น่าอ่านออก เอาเข้าจริงๆ จบป.6 ยังอ่านหนังสือไม่แตก เวลาเจอลูกเพื่อนเห็นอ่านหนังสือแจ๋วๆ คล่องปร๋อ ต้องถามว่าเรียนจากโรงเรียนหรือ คำตอบคือแม่สอนเอง ลูกอ่านออกเขียนได้ ในขณะที่เพื่อนๆลูก ยังอ่านไม่ออกก็มี อนาถใจจริงๆค่ะ แบบเรียนมีปัญหาจริงๆ ที่เราเคยเห็นไม่ใช่ พาทีใบโบกอะไรที่คุยกันนะ ก่อนหน้าเล่มนี้ แต่ก็ยุคหลังมานี มานะ ชื่นชมกับคุณครูสมัยนี้ที่สามารถสอนเด็กอ่านออกเขียนได้จริงๆ แต่ครูบางคน ก็แค่รับจ้างสอน เด็กจะอ่านออกเขียนได้หรือไม่ ไม่สนก็มีไม่น้อย ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่เป็นปัญหาใหญ่ เด็กไม่ต้องเขียนได้ แค่พออ่านแบบเดาๆออก ก็สามารถกาข้อสอบปรนัยได้ ภาษาถึงไม่แข็งแรงกันนัก สมัยนี้ถ้าอยากให้ลูกหลานอ่านออกเขียนได้ พ่อแม่ต้องให้เวลาสอนเองแล้วล่ะ สอนให้เด็กหัดผสมคำเองได้ก่อน ไม่ใช่จำเป็นคำๆ  (ไม่รู้หลักสูตรนี้ใครเป็นคนคิด ต้องอัจฉริยะมากแน่ๆ เข้าขั้นเทพนะนี่) จากคุณ : เรียวรุ้ง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 22:33:38

ความคิดเห็นที่ 39 #38 กล้ากับแก้วรึเปล่าครับ คุ้นๆว่าเคยเห็นของน้อง http://board.postjung.com/539374.html -_-" แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 23:33:09 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 23:30:31

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่เห็นด้วยกับการจำคำศัพท์นะครับ ลูกชายผมตอนป.1 ช่วงแรกอ่านภาษาพาทีนี่แหละแทบไม่ได้เลยจนลูกชายเครียดมาก ผมเลยไปปรึกษาครูประจำชั้น คุณครูแนะนำหนังสือ เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แก้งายนิดเดียว ผมมาศึกษาดูและสอนลูก 2 เดือนเท่านั้นผิดไปเป็นคนละคนอ่านหนังสือเก่งขึ้นเยอะ  คำไหนที่อ่านไม่ได้ลูกชายก็พยายามสะกดไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ตอบว่าไม่รู้อย่างเดียว ผมจึงสนับสนุนการสอนอ่านภาษาไทยแบบสะกดคำมากกว่า จากคุณ : ซันซัน เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 00:29:41

ความคิดเห็นที่ 41 คิดถึงมานีมานะ จากคุณ : ข้าวเหนียวเขาวง เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 14:11:34

ความคิดเห็นที่ 42 ตอนลูกผมอยู่ ป. 1 เทอม 2  อ่านคำว่า มา ได้ แต่อ่านคำว่า ลา ปา ภา  ษา ไม่ออก มันเป็นเพราะอะไร  ถ้าเทียบกันกับตัวเอง ตอนนั้นผมไปนั่งอ่าน นสพ. และการ์ตูน ที่ร้านกาแฟได้แล้ว ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องก็เถอะ จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 14:14:19

ความคิดเห็นที่ 43 ความเห็น 33 "แบบเรียนภาษาไทยตอนนี้มันห่วย ห่วยแบบไม่รู้ว่าเอาไอ้โง่ที่ไหนมาทำแบบเรียน" ตอบ อยากรู้รายชื่อคณะผู้จัดทำหนังสือเรียน ก็อยู่ในหนังสือนั่นแหละค่ะ อยากบอกว่าคิดเหมือนกันกับคุณเลย ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะเปิดดูรายชื่อผู้จัดทำ #35 ขอขอบคุณสำหรับไอเดีย # 36  ไช่แล้วค่ะครูต้องพยายามอย่างมาก #37 ขอบคุณนะคะ # 42 เหมือนกันเลย เราอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ ป. 1 ตอนเด็กเหมือนตอนนั้นเป็นบ้าเลย เห็นหนังสืออะไรชอบลองหยิบมาหัดอ่านหัดสะกด แม้แต่เศษถุงขนมข้างทางยังหยิบมาอ่านบ่อยๆ เวลาเดินจะก้มๆ หน่อย หาอะไรมาอ่านนั่นเอง 555  ขอให้เจอจะอ่านให้หมด  แบบลองดูว่าเราอ่านได้ไหมจากที่ครูสอนมา คิดอีกทีก็ร้อนวิชาประมาณนั้น ส่วนสาเหตุที่เด็กอ่านไม่ออกมาจากตัวครูที่ไม่เข้าใจหลักภาษา ประกอบกับหนังสือเรียนที่ผิดหลักการเรียนรู้จากง่ายไปยาก แล้วไม่เชื่อสัมพันธ์กันกับหลักสูตรอนุบาลที่บอกว่าห้ามเขียน และกลายเป็นว่าพอมาหลักสูตร ป. 1 ต้องสอนเข้มแล้ว แล้วครูก็ไม่ได้สอนแจกลูกสะกดคำ อีกทั้งแล้วพอเขาจัดทำหนังสือมั่วกันหมด ทั้งลดรูป เปลี่ยนรูป ควบแท้ควบไม่แท้ แถมไม่มีคำอธิบายการสะกดให้กับตัวเด็กได้เรียนรู้ พอครูไปสอน ที่ไม่มีความรู้มากนัก แถมไม่ค้นคว้าความรู้มาเพิ่มจากที่ตนไม่รู้ บวกขี้เกียจทำสื่อ  ทำให้ยากที่จะสอนเด็กได้อ่านออกได้ เอาเป็นคำไว้ก่อน เอาใจผู้ปกครอง แต่มันผิดหลักการ เช่น ครูสอนอ่านเป็นคำไม่สอนสะกดคำว่า "หาง" ทีนี้นักเรียนจำรูปได้อ่านได้ อ่านเป็นคำว่า "หาง" ได้ แต่ พอไปเจอคำว่า กาง จาง ลาง อ่านไม่ออก เพราะครูไม่ได้เน้นสอนสะกดคำนั่นเอง แถมไม่สอนมาตราตัวสะกด ไปใหญ่ไปอีก ส่วนมากที่สอนๆ ก็จะให้นักเรียนลองออกเสียงสะกดคำตั้งแต่คำว่า เช่น กาง อ่านว่า กอ - อา - งอ - กาง หรือ กอ - อา - กา - กา- งอ - กาง แล้วแต่ครูจะเลือกสอนว่าอ่านแบบไหนดี  ส่วนเราเลือกสอนอ่านว่า กอ - อา - งอ - กาง  คือไล่อ่านตั้งแต่ กาง ไปถึง ฮาง หลังๆ พอเริ่มสะกดได้แล้ว ก็อ่านเป็นคำ ไม่ต้องสะกดแล้ว นี่เป็นเทคนิคหนึ่ง จากหลายเทคนิค พอเด็กปัญหาที่มาอ่านไม่ออก ทีนี้ถ้าเลื่อนชั้นที่สูงขึ้นไป ทำให้เป็นปัญหาการเรียนรู้การเรียนวิชาอื่นๆ ไปอีกด้วย แล้วครูที่สอนชั้นสูงขึ้นไปก็ต้องสอนเนื้อหาวิชาที่ยากขึ้นไปอีกอาจไม่มีเวลามาซ่อม ถ้าไม่เจอครูใจดีจริงๆ มาสอนซ่อม แบบเคี่ยวเข็นกันจริงๆให้หลังเลิกเรียน หรือหาเวลาอื่นๆ เช่นพักเที่ยง ตอนเช้าก่อนเข้าแถว   หรือทำชุดฝึกอ่านฝากให้เด็กกลับไปอ่านทบทวนเด็กก็จะหมดปัญหาการอ่านไม่ออกได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีครูสอนซ่อมนี่ก็ ซวยไป เป็นปัญหาการอ่านไม่ออกระดับชาติกันทีเดียว ฉะนั้นเราว่าถ้ากระทรวงทำหนังสือดีๆ ไล่ระดับความง่ายไปยาก จากมาตราแม่ ก กา ไปก่อน รวมถึงคำอธิบายให้เด็กได้อ่านเช่นคำควบแท้ ไม่แท้ การอ่านอักษรนำ สอนอ่านคำอ่านสะกด มาตราตัวสะกด ทำเป็นแนวทางให้ครูที่ที่ไม่มีความรู้ในภาษาไทยมากนักก็จะดี  ทั้งนี้หนังสือยังช่วยให้ผู้ปกครองช่วยสอนได้อีกด้วย แบบไม่ต้องใช้ความรู้มากนัก จะบอกว่าหนังสือดีๆ ใครหยิบไปสอนก็จะง่ายในการช่วยให้เด็กอ่านออกได้อย่างมากทีเดียว แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 15:02:11 แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 55 19:21:55 แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 55 19:19:59 แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 55 19:17:01 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 19:10:35

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่ได้เรียนมานะมานี ตอนนั้นอิจฉาเล็กๆ ที่รุ่นต่อๆ มาได้เรียนหนังสือที่เป็นภาพสี เป็นการ์ตูน แต่พอถึงวันนี้ กลับรู้สึกว่าโชคดีที่ได้เรียนคัดไทย เรียงความ อ่านเอาเรื่อง ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศิลธรรม ท่องอาขยาน ฯลฯ จากคุณ : หนูมาลี เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 13:59:56

ความคิดเห็นที่ 45 ชอบกระทู้นี้มาก ๆ เลย เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่า การเรียนการสอนภาษาไทยในปัจจุบัน มันไม่เหมาะกับการอ่านเขียนภาษาไทย ภาษาแต่ละภาษา จะมีลักษณะเฉพาะตัว ย่อมมีวิธีการสอนที่จะเหมาะกันของแต่ละภาษาเช่นกัน การที่เราจะเอาวิธีการเรียนการสอนของภาษาชาติอื่นเอามาประยุกต์ใช้ ก็ควรเลือกที่เหมาะกันไม่ใช่เหมาวิธีการมาเสียทั้งหมด อย่างตอนนี้ ที่เอาวิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ มาใช้สอนภาษาไทย อย่างตอนนี้ ขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองนะ เคยไปช่วยเพื่อนทดสอบสื่อการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ชั้น ป.4 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแถวคลองเตย มีการทดสอบสื่อหลายแบบ โดยสื่อที่ตัวเองเป็นคนรับผิดชอบ จะเป็นแบบรูปภาพและมีคำศัพท์คำนั้น ๆ ที่รูปภาพ จำนวน 10 คำ แล้วให้อ่านทดสอบโดยที่ไม่มีรูปภาพ ทดสอบกับเด็ก 15 คน ผลทดสอบออก มีเด็กที่อ่านออกทุกคำ เพียง 1 คน อีก 14 คน อ่านได้ไม่เกิน 5 คำ เด็กบอกจำไม่ได้ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเด็กอีก 1 คน ตอบให้ชื่นใจมาก ๆ บอกที่อ่านได้ เพราะพ่อแม่สอนให้สะกด ผสมพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ แบบที่พ่อกับแม่เคยเรียนมา ฟังแล้วดีใจมาก ปล.แก้ไขเพิ่มเติมข้อความ แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 16:18:46 จากคุณ : แห้วป๋อง เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 14:18:08

ความคิดเห็นที่ 47 # 45 ขอบคุณนะคะที่ชอบกระทู้นี้ ส่วนลิ้งก์เผื่อผู้ปกครองจะสอนสะกดคำให้ง่ายๆ ให้ลูกที่มีปัญหาการอ่าน แบบไม่สามารถฝากความหวังกับครูที่สอนได้แล้ว http://www.st.ac.th/bhatips/webthai/sarathai_p3.pdf http://karn.tv/PDF/thai/knowledge/follow_word/follow_word.pdf จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:30:31

ความคิดเห็นที่ 48 ขอฝากอีกเรื่องได้ไหม จำได้ว่า เมื่อก่อนตอนเรียนแล้วต้องทำรายงาน เราจะต้องนั่งเขียนแบบคัดลายมือเพื่อทำรายงานส่ง ซึ่งเป็นการหัดเขียนและฝึกการเขียนภาษาไทยไปในตัว ทำให้จำได้ว่า คำนี้เขียนอย่างไร สะกดอย่างไรถึงจะถูกต้อง และลายมือการเขียนก็สวย อ่านง่าย แต่เดี๋ยวนี้ เห็นเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่าง ๆ แม้แต่เด็กเล็กชั้นประถม 3-4 เวลาทำรายงาน ใช้วิธีพิมพ์รายงานจากคอมพิวเตอร์ส่งคุณครู ส่งอาจารย์ ทำให้เด็ก ๆ เขียนตัวหนังสือไม่สวย บางคนหนักถึงขั้นอ่านไม่ออก อยากให้แต่ละโรงเรียนหันกลับมาใช้วิธีให้เด็กเขียนรายงานส่ง แทนการพิมพ์จากคอมพิวเตอร์จะได้หรือเปล่า จากคุณ : แห้วป๋อง เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:42:28

ความคิดเห็นที่ 49 เป็นความคิดที่ดี เห็นด้วย ความจริงครูน่าจะรู้ทันเด็กสมัยนี้ เพราะการทำรายงานแบบพิมพ์เด็กอาจไปจ้างพิมพ์หรือไม่ก็โหลดจากเน็ตมา ซึ่งทำให้เด็กไม่ได้ความรู้ ตอนเราเรียนระดับปริญญาตรีคณาจารย์แทบทุกคนให้นักศึกษาเขียนมาส่งแบบรู้ทันนักศึกษา บอกว่าอยากให้นักเรียนได้ความรู้ อาจารย์รู้นะพวกเธอจะไปจ้างมา ทำนองนั้น พอเราจบมาก็ใช้วิธีเหมือนอาจารย์ที่สอนเรามาเหมือนกัน เด็กก็จะไม่ชอบเท่าไหร่แบบโวยๆ หน่อย ปล. ตอนเรียนระดับปริญญาตรีนี่เขียนรายงานเป็นร้อยหน้าเลย อาจารย์ไม่มีผ่อนให้พิมพ์เลย ขอบอกอาจารย์เกือบทุกคนที่ให้ทำรายงานแบบเขียนแบบ 99 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 18:19:36 จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 18:14:48

ความคิดเห็นที่ 50 ส่วนอีกเทคนิคที่คิดว่าได้ผลแบบถ้าสอนนักเรียนเยอะ ก็จะให้นักเรียนเก่งอ่อนสอนสะกดกันเอง ให้จับคู่ใครเก่ง เป็นพี่เลี้ยง ใครอ่อนเป็นน้องเลี้ยง ให้เด็กไปนั่งสอนสะกดอ่านที่ไหนก็ได้ ในห้อง นอกห้อง ใต้ต้นไม้ แต่ครูต้องคุมไม่ให้นานเดี่ยวเด็กเล่นกัน ครูก็กำหนดให้ว่าให้สอนอ่านหน้าไหน แล้วบอกใครสอนน้องเลี้ยงอ่านได้ให้คะแนน รวมถึงให้คะแนนน้องเลี้ยงด้วย นักเีรียนก็จะจับคู่กันไปสอน พอคู่ไหนสอนน้องเลี้ยงสะกดอ่านได้ก็จะมาอ่านให้ครูฟัง ครูก็ลงคะแนนทั้งน้องเลี้ยงกับพี่เลี้ยง แต่ถ้าคนไหนอ่อนมากๆ ครูก็จะสอนเอง อันนี้เป็นเทคนิค ที่ช่วยได้เหมือนกัน หรือไม่ก็ให้ฝีกอ่านให้น้องๆ อนุบาลฟัง แบบอ่านนิทานให้น้องอนุบาลฟัง เด็กก็จะฝึกอ่านบ่อย ก็จะอ่านเก่งขึ้นเยอะ จากคุณ : total99total เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 18:29:27

ความคิดเห็นที่ 51 เราไม่ทันมานะมานี (แต่เคยอ่าน) ของเราเป็นแก้ว กล้า...ตอนป หนึ่งเทอมสองก็อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐหน้าละครได้แล้ว (ตอนนั้นติดเรื่องกระสือ) อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็รู้เรื่อง เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ได้ถูกสอนให้เป็นนกแก้วนกขุนทองแต่เป็นกระบือ(อย่างที่ความเห็นแรกๆว่า)จริงๆ คำไหนที่ไม่เคยเห็นอ่านไม่ออกทันที ทั้งที่สระ และวรรณยุกต์ไม่ต่างกับคำที่อ่านได้ เราเห็นด้วยส่าบทเรียนนี้มันห่วยแตก หลักสูตรก็ห่วยแตก....การที่จะให้ครูหาแนวทางและเครื่องมือการสอนเพื่อสอนเด็กให้อ่านออกเขียนได้ มันก็ฟังดูดี เป็นหน้าที่ของครูอยู่นะ...แต่ในสภาวะปัจจุบัน แค่สอนอย่างเดียวก็จะเป็นประสาทอยู่แล้ว แทบจะไม่มีเวลาไปคิดสร้างอภินิหารอะไรอีกหรอก...ทางกระทรวงศึกษาต้องมีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้วที่จะสร้างแบบเรียนและหลักสูตรให้เหมาะสม ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ แล้วให้คนที่ต้องรับนโยบายไปหาทางออกเอาเอง ถ้าเรามีลูกจะสอนภาษาไทยเอง สอนเลขเอง ฮ่าๆ....เอาให้พื้นฐานแน่น เพื่อที่จะได้ต่อยอดได้ ไม่ใช่กลวงๆ ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 07:05:09 จากคุณ : kiria chalee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 07:02:55

ความคิดเห็นที่ 52 เห็นภาพแล้ว  ถึงว่า  ทำไมเด็กที่เรารู้จักหลายคน  ถึงมีปัญหาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งที่ไอคิวก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร สอนสะกดคำก็คือสอนสะกดคำพื้นฐาน  ไม่ใช่สอนไวยากรณ์  ก็พาอ่านไปอ่านมา  เด็กก็สามารถสร้างความเชื่อมโยงได้เอง ซึ่งเรื่องอย่างนี้  หนังสือก็ต้องอำนวยให้ทำได้ด้วย  ถ้าหนังสือไม่มี  ก็สร้างขึ้นมาเองเลยค่ะ เราสนับสนุนการสอนสะกดคำนะ  ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ   คำไหนที่มันไม่เป็นตามการสะกดคำที่เรียนมา  ก็มันพิเศษ  ก็จำเอาเป็นคำ ๆ เอา  ไม่ต้องอธิบายให้ลึกซึ้งมากความ พวกคำพื้นฐานคำง่าย ๆ สะกดง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน  ก็ควรจะพออ่านเองได้บ้าง  อย่าถึงกับต้องท่องต้องจำกันทุกคำอย่างสมัยนี้ เด็กที่เคยสอน  ต้องสอนวิธีเรียนให้เขาด้วยซ้ำ หนังสือเรียนภาษาอังกฤษนี่ดีนะ  แต่ครูไทยนี่ใช้ไม่เป็น   โรงเรียนก็งก  ไม่ซื้อคู่มือครูให้  ครูก็งก  ไม่ซื้อคู่มือครูมาศึกษา  เลยกลายเป็นใช้ไม่ถูก ให้เด็กท่องศัพท์แบบสะกดคำอานเลย  เช่น  ป.1  ท่องคำศัพท์ในห้องนอน บ้ามาก  แต่ละคำ  ไม่มีความเชื่อมโยงกัน  ตอนเรา ป.1  ท่องแค่ man can fan van pan   ท่องไปท่องมาก็เออ  เสียงท้ายมันเหมือนกันนี่หว่า  ต่างกันแค่เสียงตัวแรก ที่จริงคำศัพท์ยาก ๆ แค่ให้เด็กคุ้นเสียง  คุ้นศัพท์  ก็พอ  เห็นรูปก็เรียกให้ถูก  แค่นี้จบ การสะกดคำเขามีอยู่  ที่จริงต้องให้ท่องศัพท์ตรงการสะกดคำ   พูดไปพูดมา  เด็กก็จะรู้สึกเองแหละ  ว่าเสียงมันคล้าย ๆ กัน  เหมือนกันตรงไหน  ต่างกันตรงไหน เดี๋ยวก็โยงความสัมพันธ์ได้เอง จากคุณ : ต้องหยุดนิ่งสุดใจ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:55:53

ความคิดเห็นที่ 53 ตอนนี้ใครๆก็พูดถึงปัญหาการอ่านของเด็กไทยนะคะเนี่ย เห็นผู้ปกครองเด็กหลายคนเองก็กังวล หนังสือสมัยก่อนที่เรียน(ประมาณสิบปีก่อน)เรื่องประมาณว่า ตามารถไฟ ดีมากๆเลย เนื้อหาก็โอเคเด็กสนุกไปกับมัน แต่ภาษาพาทีเห็นด้วยค่ะว่ายากต่อความเข้าใจของเด็ก นอกจากหนังสือแล้วอีกอย่างนึงอยากพูดถึงครูผู้สอนด้วยค่ะ ผู้ปกครองปวดหัวเรื่องการเอาเด็กเข้าเรียนอนุบาล คือก่อนขึ้นป.๑ สมัยก่อนเด็กจะมีพื้นฐาน แต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนประถมอนุบาลนอกเมืองใหญ่มีการสอนที่เหมือนกับปล่อยๆสอนผ่านๆเสร็จๆง่ายๆชิลๆ ไม่เหมือนสมัยก่อนค่ะที่สอนแบบทั้งเข้มข้นทั้งสนุก มันผังไปในหัว อยากให้ผู้ใหญ่ที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษามองปัญหานี้อย่างจริงจังค่ะ จากคุณ : DESTINYee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 22:55:08

ความคิดเห็นที่ 54 เข้ามาอ่านได้ความรู้ดีค่ะกระทู้นี้ ส่วนตัวไม่ทันมานีมานะแต่รู้สึกจะเป็น กล้ากับแก้ว ตามารถไฟ จากคุณ : lukva เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 15:39:11

ความคิดเห็นที่ 55 และแล้ว ก็มีคนเห็นด้วย ตอนนี้ หลานผมอ่านหนังสือยังไม่ได้ ผมก็เลยใช้วิธีเดียวกับท่านเจ้าของกระทู้เีนี่ยแหละ ยอมรับว่าเค้าไไม่เก่ง   ผมเลยให้ท่องสระอย่างเดียว   เอาวันละสี่ตัว  จนครบ   จากนั้นก็มาผสมสระเอา   ไม่งั้นไม่ไหวครับ ห่วยแตกเกิน จากคุณ : วิถีคนกล้าควบม้าสีหมอกออกทะเล เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:10:19

ความคิดเห็นที่ 56 ใช้เเทปเลตค่ะ ชาติจะพัฒนา นักการเมืองจะอิ่มหนำ คอมมิชชั่นพารวย จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 16:12:25

ความคิดเห็นที่ 57 #30 จากที่เราเขียนมา ครอบครัว ไม่ใช่ ส่วนประกอบที่สำคัญ รองจากตัวหนังสือและตัวครู นะคะ จากคุณ : Seraphina เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 16:49:39

ความคิดเห็นที่ 58 ผมเรียนแก้วกล้ารุ่นแรกครับ แต่แม่ให้อ่านมานะมานีของพี่ด้วย จากคุณ : เจ้าเด็ก เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 19:05:47

ความคิดเห็นที่ 59 น้องชายตอนนี้อายุครบ 16 ปี ย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อน เราเปิดแบบเรียนภาษาไทย ป.1 พบว่ามันไม่น่าอ่านมาก ๆ ตัวหนังสือเยอะ รูปประกอบน้อยมาก และเว้นวรรคบ้าบออะไรก็ไม่รู้ มันไม่ได้ช่วยให้อ่านง่ายเลยนะ อ่านแล้วตาลายมาก และครูประถมสอนน้องเราสะกดแบบนี้ กอไก่ สระอา นอ หนู อ่านว่า กาน น้องบอก ครูเค้าสอนแบบเรียงพิมพ์ หรือพิมพ์ดีดนั่นเอง ทำให้น้องอ่านได้ช้ามาก เมื่อก่อน (ยุคมานะ มานี) สอนสะกดแบบนี้ ง่ายกว่า ถึงแม้จะท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ทว่ามันง่ายต่อการจดจำและซึมซับเข้าหัวได้ไวกว่าดีกว่า กอ  อา นอ กาน งงกับหนังสือสูตรใหม่ ๆ เคยถามน้องชายว่า ถามจริง ไอ้ที่เขียนภาษาวิบัติหรือที่พิมพ์ใน MSN อ่ะ ตั้งใจ จงใจ ให้ผิด หรือว่า จริง ๆ แล้ว เขียนผิดจริง ๆ น้องตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า  เขียนได้ เราว่า น้องอาจจะเขียนได้แต่ไม่ทุกคำ คงจะอ่านหนังสือเพื่อทำข้อสอบได้ ออกก็โอแล้วมั๊ง ส่วนเรื่องการเขียน คงต้องนึกนานหน่อย ราวกับว่าไปอยู่ต่างประเทศนาน ภาษาไทยไม่ค่อยได้ใช้ พูดได้ อ่านได้ ก็ดีแล้ว จากคุณ : DevilHand เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 22:38:22

ความคิดเห็นที่ 60 ห้องนี้ครูเยอะเหมือนกันนะ จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 23:45:17

ความคิดเห็นที่ 61 เพิ่งได้เห็นหนังสือเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แล้วก็เพลียใจตามเจ้าของกระทู้ไปอีกคนค่ะ เราว่ารุ่นแก้วกล้าที่มาบทแรกก็เจอทั้งตัวสะกด ทั้งตัวควบกล้ำนี่แย่แล้ว ก็ได้มาเห็นขั้นกว่าจนได้ ยิ่งทำให้หนังสือรุ่นมานี มานะ ทรงคุณค่าเข้าไปอีก รู้สึกโชคดีมากๆที่ได้เรียนหนังสือเรียนรุ่นนั้น ตอนเด็กๆที่บ้านเราวัดความรู้การอ่านด้วยหนังสือพิมพ์ค่ะ เด็กคนไหนอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟังได้ ถือว่าผ่านในด้านทักษะการอ่าน ตอนจบ ป.1 นี่เราอ่านหนังสือพิมพ์ให้พ่อฟังได้ เห็นใจคุณครูค่ะ ต้องเพิ่มงานทำสื่อการสอนเพิ่มเข้าไปอีก ไหนจะต้องดูแลเด็กๆ (เราแต่หลานๆในบ้านก็ปวดหัวแล้ว ท่านต้องรับมือเด็กเป็นสิบสิบ) ไหนจะต้องตรวจการบ้าน   ไหนจะต้องทำผลงาน เป็นกำลังใจให้คุณครูภาษาไทยทุกคนค่ะ สู้ สู้ หวังว่าจะมีการปรับปรุงในเร็ววัน ท่านจะได้เบาแรงมากขึ้น จากคุณ : โควมา เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 04:25:14

ความคิดเห็นที่ 62 พอดีค้นหาประเด็นนี้อยู่  ก็เลยมาเจอกระทู้นี้  จะไม่พูดอะไรมาก เพราะทุกท่านได้พูดสิ่งที่เราอยากระบายเช่นกันค่ะ   และเรามีภาพประกอบที่  คิดว่าหลายท่านคงเข้าใจลึกซึ้งดี ตอนนี้ลูกเรา 5 ขวบ  ไปๆมาๆ ระหว่างไทย เยอมัน  อยู่ไทยเข้าอนุบาลไทย ตามเขาไปคือเขียนคำต่างๆ พอได้แล้ว  แต่แน่นอนค่ะ  ไม่รู้ว่ามันคืออะไร  อ่านไม่ออก  รู้อักษรบางตัวที่เราพยายามสอนเท่านั้น แต่อยู่เยอรมัน  ห้องที่เราถ่ายภาพมาคือห้องของเด็ก 5-6 ขวบ เกือบเข้าป.1 แล้วค่ะ  เขายังแค่ให้เด็กขีดๆเขียนๆ  ตามเส้นประ เหมือนรุ่นเราตอนป.1 ตั้้งแต่ลูกเข้าโรงเรียนที่นี่มาสามปี ไม่เคยเห็นครูสอนเขียนอะไรเลยค่ะ  เน้นการใช้ชีวิตจริงมากกว่า  ซึ่งตรงนี้เราชอบมาก นั่นเขาประเทศพัฒนาแล้วนะคะ (ไม่ใช่แค่วัตถุ)  เขาไม่เคยต้องมีแท็บเล็ตเลยด้วยซ้ำ เห็นวันๆครูพาแต่นักเรียนออกไปเล่นกับตัวด้วงหรือไปขึ้นรถเมล์เที่ยวเล่น แต่บ้านเรา (เรามีหลาน 6-8 ขวบ อยู่ 2 คน)  เห็นการบ้านหลานแล้วแค้นทุกที  เหมือนคนคิดหลักสูตรจะรีบไปไหนกันค่ะนั่น  เด็กป.1 ต้องแต่งประโยคเป็นหน้าๆ  คัดเขียนคำ เป็นร้อยๆ คำ   น้องชายยังว่า แบบนี้ป.4 ไม่เป็นนายกกันเลยเหรอ ท่านๆ ผู้คิดตำรา หรือหลักสูตรของเด็กไทยเรา  จะทำแบบนี้ไปทำไมคะ  เหมือนจะเร่งอะไรไม่รู้  แต่หลานอีกคนจบม.3 แล้ว ยังไม่รู้รถไฟ ภาษาอังกฤษว่าอะไร เป็นห่วงเด็กๆของเราค่ะ จากคุณ : ผักบุ้งริมคลอง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 17:36:04