ความคิดเห็นที่ 1 เพราะตัวข้อสอบมีปัญหา ไม่ใช่ตัวเด็ก จากคุณ : surrogate เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 11:30:59

ความคิดเห็นที่ 2 ทำไงได้ล่ะครับ ในห้องเรียนกับข้อสอบที่ออกจริง คุณรู้ไหมเวลาแอดมิชชั่นมันต่างกันครับ อย่างบางเรื่องครูในโรงเรียนก็สอนไม่ครบ หรือบางทีไม่มีแนวข้อสอบให้เด็ก การที่จะให้เด็กไปนั่งค้นคว้าด้วยตัวเองจากหนังสือสอบก็ค่อนข้างเสียเวลา แล้วก็ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป และอีกอย่างคือถ้าครูในห้องเรียนไม่มีวิธีการคิดลัดให้เด็ก เด็กใช้วิธีตรงตามหลักเป๊ะที่ครูสอนตอนเข้าห้องสอบก็มักทำข้อสอบไม่ทันเพื่อน ผมว่าเด็กเขาอยากจะเรียนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเขามีเงินจะเรียน เพราะดูจะเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ ดีกว่าการเอาเงินไปใช้ในด้านอื่นที่ไม่เกิดประโยชน์ แต่เรียนให้มันพอดีๆก็พอ ถ้าเรียนสองสามหมื่นเหมือนที่ จขกท. พูดก็เกินไปครับ ส่วนประเด็นที่ว่าคนต่างถิ่นเขาเข้ามาเรียนในกรุงเทพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่จังหวัดเขาไม่มีสอน หากค้นคว้าจากทาง Youtube คุณคิดหรือว่าใน Youtube มันจะมีคนใจดีอัพมาให้ครบทั้งหลักสูตร ส่วนการจ้างเด็กมหาลัย บางครั้ง Asymmetric Information ก็ทำให้มันเกิดปัญหาได้เหมือนกันนะครับ   แล้วประเด็นที่จขกท.พูดว่า พวกโรงเรียนกวดวิชาเหล่านั้นรู้ข้อสอบ เลยไปติว อาจจะเก็งแม่น ผมว่านั่นแหละคือหนึ่งในประเด็นหลัก เพราะผมก็เคยเรียน เขาเก็งแม่นจริงๆ หมายเหตุ นี่ห้องสมุดนะครับ ไม่ใช่หว้ากอ จากคุณ : ภูผาธาราดำ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 11:31:42

ความคิดเห็นที่ 3 เหตุผลที่ต้องเรียนพิเศษก็คือ 1 โรงเรียนกวดวิชาเก็งข้อสอบแม่นจริงๆ ก็มีส่วน 2 ติวเตอร์เก่งกว่าครูในระบบมากๆ เพราะอะไร? ตอบ  เพราะครูในระบบจะมุ่งเรียนเอาปริญญาโทและปริญญาเอกศึกษาศาสตร์มาเพื่อเพิ่มเงินเดือนตัวเอง (หน่วยงานไทยจ่ายเงินเดือนตามวุฒิไม่ได้จ่ายตามความสามารถจริง ประเทศไทยถึงล้าหลัง)  แต่จะไม่มุ่งศึกษาค้นคว้าเรียนรู้วิชาที่ตัวเองสอนเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นมา ซึ่งมันมาจากความเชื่อผิดๆที่ว่า เรียน ป.โท ป.เอก หลักสูตรและการศึกษา จะทำให้สอนเก่งขึ้น ซึ่งจริงๆแล้ว "ไม่ใช่" ยกตัวอย่างเช่นศาสตร์การสอนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น teaching English as a foreign language หรือ teaching English to speakers of other languages มันเป็นวิชาที่เป็นเอกเทศของมันเอง มันไม่ได้อยู่ในเนื้อหาของปริญญาโทปริญญาเอกหลักสูตรและการศึกษา ข้อพิสูจน์ก็คือตัวอย่างเช่นบิดาผู้บุกเบิกศาสตร์ด้านการสอนภาษาอังกฤษชั้นนำของโลก คือ Sidney Hornby ก็จบเอกอังกฤษมา ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์มา  เขาค้นพบจากประสบการณ์และโดยการใช้ precise logic and creative imaginations ว่า "คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกือบทุกคำมีพฤติกรรมเฉพาะตัวซึ่งถ้าคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยเห็นฝรั่งเจ้าของภาษาพูดหรือเขียน คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ก็ไม่มีทางใช้คำศัพท์สร้างประโยคได้ถูกต้องเป็นธรรมชาติได้เลย" ความงมงายในระบบการศึกษาไทย ทำให้คนไทยหลงคิดว่าใครจะเป็นครูเก่งๆได้ต้องเรียนจบศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์หรือสอบผ่าน 9 มาตรฐานวิชาชีพเพื่อรับใบอนุญาตครู ความงมงายอันนี้ทำให้ครูในระบบแทบไม่ได้พยายามเรียนรู้ในวิชาที่ตัวเองสอนให้เก่งขึ้นเลย ติวเตอร์ที่พยายามเรียนรู้ในวิชาที่ตัวเองสอนให้เก่งขึ้น ถึงต้องเข้ามามีบทบาท ไปอ่านกระทู้เรื่องการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองเพื่อให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นเพื่อจะได้สอนผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งผู้ค้นคว้าเก่งขึ้นแต่ไม่ได้วุฒิการศึกษา) versus การไปเรียน ป.โท หลักสูตรและการศึกษา เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น แต่มหาบัณฑิตไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาเลย ตาม link นี้ไปอ่านแนวคิดเรา แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมติวเตอร์จึงสอนเก่งกว่าครูในระบบ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11989729/K11989729.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:25:42

ความคิดเห็นที่ 4 จากประสบการณ์ตัวเอง ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยไปเรียนพิเศษ เวลาทำข้อสอบในโรงเรียน ทำได้ดี(มาก) อ่านโจทย์แล้วรู้ว่าต้องตอบอะไร รู้ว่าคำๆ นี้อ่านออกเสียงยังไงให้ถูก แต่อธิบายไม่เคยได้ว่าทำไม จนกระทั่งไปเรียนพิเศษตอนม. 6 ... เรียกว่าทำให้เข้าใจกว่าเราเรียนเองได้อีกมากครับ เพราะว่าจะมีเทคนิค + ทำให้เราเข้าในหลักด้วย :) อีกวิชาคือฟิสิกส์ ไม่ชอบเลยแต่ต้องเรียน เรียนตอนม. 4 เกรด 1 เกือบตกมากๆ ตัดสินใจไปเรียนพิเศษตอนม. 5 โหหหหหหหหหหหหหหหห ทำแบบฝึกหัดนิดหน่อย เรียนจากวิดีโอ (วันนึงเรียน 2 ชั่วโมง ทำแบบฝึกหัดแค่ไม่กี่ข้อ) ทำให้ผมเข้าใจและทำเกรดม. 5 ในวิชาฟิสิกส์ได้ 3 เลยนะ (ม. 6 ไม่ได้เรียน เพราะว่าไปทุ่มกับการเรียนสังคม ไทย อังกฤษเพื่อเอนท์ เลยเกรดตกเหลือ 1 เหมือนเดิม) อีกวิชาคือเคมี เกรดก็ห่วยอีก แต่เพื่อนไปเรียนที่ดังๆ มาที่นึง ผมก็ขอให้เขาช่วยสอน โห มันเข้าใจ กระจ่าง ชัดมากๆ สรุป การเรียนพิเศษสำคัญและจำเป็นครับ--ถ้าอยากได้เกรดดีๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไม่เรียนแล้วไม่เก่ง คนไม่เรียนแล้วเก่งก็มี แต่น้อยและต้องขยันมากๆ และรักการเรียนรู้จริงๆ แต่ก็จริง ทุกวันนี้เรียนกันเยอะเกินไป ตอนผมเรียนแค่ 3 วิชาวันเสาร์-อาทิตย์ รวมๆ อาทิตย์ละ 6 ชั่วโมง ยังว่าเยอะเลย มีเพื่อนบางคนเรียนทั้งฟิสิกส์ เคมี เลข อังกฤษ เรียนเสาร์+อาทิตย์+หลังเลิกเรียน เหนื่อยแทนเลย แต่ผลก็มาก็ยอมรับว่าดี เพราะว่าได้คะแนนสูงใน 3 วิชา (ฟิสิกส์ เคมี เลข) เป็นท้อปของห้องตลอด ถ้าจะแก้ปัญหาเรียนพิเศษ ต้องแก้ที่หลักสูตรในโรงเรียนให้เหมือนหลักสูตรข้อสอบ admissions แต่นั่นก็เป็นปัญหาอีกเพราะว่า admissions นี่เน้นแต่ทำข้อสอบๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ได้เน้นความรู้ที่แท้จริง :) ถ้าขืนในโรงเรียนสอนแต่เทคนิคทำข้อสอบ ต่อไปนักเรียนจะกลายเป็นหุ่นยนต์ :) จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:26:35

ความคิดเห็นที่ 5 การศึกษาของไทยในโรงเรียนทั่วๆไป ที่สอนไม่ออกสอบ  ที่ออกสอบไม่ได้สอน เด็กเลยต้องหันไปกวดวิชา จากคุณ : TommyStyle เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:30:22

ความคิดเห็นที่ 6 อีกอย่างหนึ้่งคือปัจจัยเรื่อง "ค่าตอบแทน" ยกตัวอย่างเช่นคนจบคอมพิวเตอร์มาเก่งๆระดับเซียนแถมเก่งภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ไปทำงานบริษัทหรือองค์กรข้ามชาติเงินเดือนเผลอๆได้เป็นแสนๆบาท ไม่มีใครยอมไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตไปเป็นครู แล้วรับเงินเดือนต่ำๆหรอก ถ้าจะสอนนะไปเปิดติวรวยกว่า หรือคนจบปริญญาตรีปริญญาโทด้านภาษาอังกฤษจากมหาลัยดีๆมา เขียนอังกฤษได้สวยงามไม่มีที่ติ ไปทำงานบริษัทหรือองค์กรข้ามชาติเงินเดือนหาได้ 50,000 บาท หรือมากกว่านั้น ไม่มีใครยอมไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อรับใบอนุญาตไปเป็นครู แล้วรับเงินเดือนต่ำๆหรอก ถ้าจะสอนนะไปเปิดติวรวยกว่า นั่นก็หมายความว่าครูในระบบส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่แข่งขันในตลาดงานเงินเดือนสูงๆไม่ได้ (เพราะไม่เก่งพอ) ถึงเลือกที่จะเป็นครู เพราะการแข่งขันไม่สูง และถ้ามีใบอนุญาตครูแล้วก็เป็นหลักประกันว่า "ผูกขาดอาชีพครูไม่ให้คนเก่งๆกว่าเข้ามาแย่งงานได้ง่าย" การศึกษาไทยถึงตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ถ้ามีใครกล้าคิดและกล้าพูดเรื่องจริงแบบนี้ก็จะมีครูที่ไม่เก่งเข้ามาด่าว่าเอาต่างๆนาๆ เพราะพวกเขาต้องการปกป้องสถานภาพของพวกเขา แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 12:37:51 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:36:47

ความคิดเห็นที่ 7 ข้อสอบ คือ ตัวปัญหาหลัก  ตัวอย่าง PAT 1 ที่ผ่านมาออกเกินหลักสูตร คนออกข้อสอบเก่งจริงแต่ออกข้อสอบไม่เป็น หรือห่วยมาก ไม่มีมาตรฐานในการวัดผล ไม่มีอำนาจแยกแยะเด็กอ่อน เด็กปานกลาง เด็กเก่ง เด็กเก่งมากได้ หากเด็กศึกษาจากโรงเรียน และอ่านทบทวนเอง โดยไม่ไปกวดวิชารู้สูตรลัดถึงจะเก่งอย่างไงก็ทำข้อสอบไม่ทัน นี่แหละ...ยิ่งเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอบก็ยิ่งทำให้เด็กเครียด ยิ่งเละเทะกว่าเก่า แต่ก่อนก็คิดแบบจขกท.นะ พอมาถึงรุ่นลูกตัวเอง ติวเองใช้วิธีทำข้อสอบตามตำราหรือที่ครูสอนทำตามสเต็ป ข้อสอบยากก็ทำได้ แต่เวลาสอบทำไม่ทันจริงๆ สุดท้ายก็ต้องพึ่งกวดวิชาเอาวิธีลัดอยู่ดี   555+ จากคุณ : Junkceylon เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:42:58

ความคิดเห็นที่ 8 วิธีคิดลัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์สำคัญมากๆในการทำข้อสอบ ขนาดอาจารย์ฝรั่งกับอาจารย์ฝรั่งเองจบมาจากมหาลัยระดับไม่เท่ากันยังคิดโจทย์คณิตศาสตร์แหวกแนวและไวไม่เท่ากันเลย เราเคยมีเพื่อนชาว Canadian ติวคณิตศาสตร์ให้เรา โหวิธีคิดแหวกแนวของเขานะ เรามองแล้ว "ถึงกับตากลอกเลยหละ" แต่ไปดูประวัติเขาสิว่า "เป็นใคร" ถึงทำได้ "เซียนระดับนั้น" คนเก่งๆแบบนี้ไม่เข้ามาเป็นครูในระบบแบบไทยๆหรอก เพราะให้เงินพวกเขาไม่มากพอ คนไทยคนไหนที่เก่งคณิตศาสตร์ระดับเซียนแบบนี้เป็นครูสอนในระบบไม่รุ่งหรอก แต่ไปเปิดกวดวิชารับรองว่ารวยเละหาเงินเป็นร้อยๆล้านได้จากการติวอย่างแน่นอน! ไปอ่านกระทู้นี้เรื่องประวัติฝรั่งนักคณิตศาสตร์ชั้นเซียนคนที่เราเคยรู้จัก http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11972125/K11972125.html แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 12:46:48 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:43:59

ความคิดเห็นที่ 9 ผมคิดว่าเพราะอาจารย์ที่สอนตามสถาบันกวดวิชามีความรู้มากกว่าครูไทยในโรงเรียนน่ะครับ (อย่างเห็นได้ชัดด้วย) ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียนกวดวิชาแทนการเรียนในโรงเรียนไปเลย สถาบันที่เรียนก็เป็นสถาบันที่มีชื่อในสาขาวิชานั้นๆล่ะครับ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่บอกว่าสถาบันพวกนี้เก็งข้อสอบแม่นนะ เพราะผมเรียนมาก็ได้ความรู้อย่างที่ควรจะได้ ต่อให้ออกข้อสอบแหวกแนวก็ยังทำได้ไม่มีปัญหาอยู่ดี ส่วนเรื่องจะเรียนจากวิดีโอหรือจะเรียนแบบสอนสด ผมพูดได้เต็มปากว่าผมไม่แคร์ ตราบเท่าที่การเรียนนั้นๆสามารถให้ความรู้ผมได้อย่างที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม จะได้ความรู้รึว่าไม่ได้นั้น มันไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาเท่านั้นหรอกครับ มันอยู่ที่ผู้เรียนครึ่งหนึ่งด้วย ปล ผมเรียนกับ 2 สถาบันดังๆสาขา ฟิสิกส์ กับ เคมี และอีก 1 สถาบันรองที่คนสอนแก่ๆ สาขาคณิตศาสตร์   3 ที่นี้ไม่ได้เก็งข้อสอบให้ผมครับ ผมอ่านทบทวนและทำแบบฝึกหัดก่อนสอบเอนท์ ส่วนสถาบันอื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้ จากคุณ : WanderFoolLife (meanamide) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 13:14:41

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยกับเรื่องข้อสอบห่วย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นอาจารย์สอนในคณะวิศวกรรมศาสตร์   บังเอิญเห็นเพื่อนสอนลูกคิดเลขด้วยวิธีแปลกๆ   เลยอดถามไม่ได้ว่าวิธีปรกติตรงๆ อย่างที่เราเคยคิดกันมันตกยุคไปแล้วหรือ เพื่อนผมบอกว่า   คิดอย่างนั้นทำข้อสอบไม่ทัน กับอีกกรณีเคยนั่งดูเทปของติวเตอร์ชื่อดัง   พบว่าหลายครั้งแทนที่จะสอนเด็กว่าวิธีการหาคำตอบเป็นอะไร   ดันไปใช้วิธีหาว่าข้อไหนไม่ใช่คำตอบที่ถูกแล้วตัดออก   เหลือข้อไม่ถูกตัดเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ถ้าต้องแข่งขันกันทำข้อสอบด้วยวิธีนี้   คนออกข้อสอบควรจะปรับแนวคิดใหม่ได้แล้ว   เพราะนี่ไม่ใช่การวัดผลสัมฤทธิ์ของการเรียน จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 13:22:04

ความคิดเห็นที่ 11 เพราะครูในระบบสอนเด็กเพื่อให้ครบตาม มาตรฐานแปลกๆที่ไม่ได้ตอบโจทย์จริงๆ ขณะที่ ติวเตอร์ สอนให้เด็กสามารถนำไปสอบได้ แล้วเป้าหมายของเด็กคือเข้ามหาลัยซึ่งต้องสอบได้ (คงไม่ต้องถามว่าแบบไหนตรงใจเขา) ปัจจุบันเลยกลายว่าเด็กเรียนพิเศษ มากกว่าเรียนในห้อง เสียเงินให้กับสถาบันติว มากกว่าโรงเรียน แล้วที่สำคัญ สมัยนี้บางคนเรียนจากสถาบันติวก่อนจนไม่เรียนในห้องแล้วก็มี หนำซ้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็บอกไม่ส่งเสริมให้เด็กเรียนพิเศษ แต่การกระทำมันช่าง สทศ. จัดสอบ gat-pat ครั้งแรก ม.6 เทอม 1 แต่เนื้อหาต้องครอบคลุมถึงเทอม 2 (แล้วเด็กจะเอาความรู้จากไหนมา ถ้าไม่เรียนพิเศษ) หรือจะให้เด็กต้องอ่านล่วงหน้าเอง?!? ถ้ายังงั้นก็ยุบโรงเรียนทิ้งเถอะครับ สรุปแล้วการเรียนพิเศษมันดี แต่มันไม่ได้จำเป็นที่สุด แต่เพราะระบบการศึกษาของรัฐมันตอบโจทย์ไม่ได้ ถ้าหากไม่ปรับตอนนี้ ต่อไปการเรียนพิเศษจะยิ่งเป็นสิ่งสำคัญในระบบการศึกษา ปล. ผมไม่เคยเรียนพิเศษ เพราะอ่านหนังสือเองแล้วเร็วกว่า ผลสอบเพื่อจะ admission55 ก็ออกมาดีมาก จากคุณ : ใบไม้สีน้ำตาลในหน้าร้อน เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 13:41:49

ความคิดเห็นที่ 12 ออกตัวก่อนว่าผมเคยทำงานสอนระดับมัธยมประถม จันทร์-ศุกร์ สอนโรงเรียน เสาร์-อาทิตย์อยู่กวดวิชา การสอนโรงเรียนกับการสอนกวดวิชาของผมต่างกันมาก การสอนในโรงเรียนเน้นสอนความรู้ความเข้าใจ เช่นสอนระบบจำนวนผมจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ตัวเลข ว่าจำนวนชนิดต่าง ๆเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผลตอบรับคือเด็กพูดกันปากต่อปากว่า ครูเล่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นสอนเลยห้องอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว(ครูส่วนใหญ่มาถึงก็บอกนิยามทำโจทย์) สอนเรื่องพื้นที่เล่าตัั่งแต่การวัดหน่วยวัดพื้นฐานของพื้นที่ การพิสูจน์สูตร  พื้นที่ ปริมาตรของรูปเรขาคณิตต่าง ๆ ไม่ต่างอะไรกับเด็กม. 2 ที่บอกว่าครูเขาสอนอะไรก็ไม่รู้ แต่การสอนกวดวิชาผมเน้นเทคนิค การทำโจทย์ สิ่งที่ผมไม่เคยสอนเด็กเลยคือเทคนิคการตัดตัวเลือกแม้ว่าสมัยก่อนผมเองก็เป็นคนเคยใช้แต่พอเรียนระดับสูงขึ้นผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากใช้ดวงลองแล้วได้ก็โชคดีไป ลองแล้วไม่ได้ก็เสียเวลา จากประสบการณ์ทำงานทั้งสองสายงานพบว่า ระดับมัธยมอย่าไปสอนอะไรที่เด็กต้องทำความเข้าใจเลย ความคาดหวังของการศึกษามัธยมไทยคือ เรียนแล้วต้องทำข้อสอบได้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ตัวชี้วัดก็ออกทำนองนี้ ปล.จรรยาบรรณส่วนตัวของผมคือไม่รับเด็กในโรงเรียนที่ผมสอนมาสอนพิเศษ เด็กพวกนี้ก็ชอบมาเรียนพิเศษนะแต่ผมก็บอกปฏิเสธไปว่า เธอช่วยตั้งใจเรียนในห้องก่อนนะ แล้วค่อยไปเรียนพิเศษ แต่ไปเรียนพิเศษก็ดีเธอจะได้หาความรู้เพิ่มเติม ครูว่าเธอคงไม่หาหนังสือมาอ่านเองหรอก ่ตั้งแต่อยู่วงการลงมาสัมผัสผมเลิกโลกสวยไปนานแล้ว คำืที่ได้รับจากเด็กมากที่สุดคือ '' แรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง'' แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 14:59:25 จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 14:56:05

ความคิดเห็นที่ 13 แอบงง ๆ กับอาจารย์โรงเรียนมัธยมหลายแห่ง เปิดติวเด็กช่วงเย็น เป็นติวเตอร์นั่นแหละ เออ....เวลามีเป็นปี สอนไม่พอเหรอ แล้วที่น่าหดหู่คือ อาจารย์พวกนี้ มีเด็กแห่ไปเรียนกันเป็นโขยง ซึ่งเป็นเด็กโรงเรียนเค้าทั้งนั้นแหละ ไม่มีคนนอกไปเรียนเลย เลยไม่แน่ใจว่า มันเก่งแบบไหนหว่า ถ้าเก่งจริง เทคนิคการทำข้อสอบ การฝึกทำแบบฝึกหัด การแก้ไขปัญหาในแต่ละวิชา ทำไมมีเวลาสอนในห้องไม่พอล่ะ ผมสอนทั้งมหาลัยแล้วก็เป็นติวเตอร์ ถึงไม่เคยสอนมัธยมก็มั่นใจอ่ะ ว่าสอนให้ครบ ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก เจอปัญหาเด็ก ๆ มาบ่นเรื่องอาจารย์ที่โรงเรียนเหมือนกัน แต่ไม่ถือวิสาสะว่าตัวเองดีกว่าอาจารย์ในโรงเรียนทั่ว ๆ ไป รู้สึกสะท้อนใจมากกว่า เพราะในสมัยก่อน ไม่ต้องไปกวดวิชาก็สอบได้ เรียนกันในห้องเนี่ยแหละ กลับบ้านอ่านหนังสือ ซื้อแบบฝึกหัดมาทำ แค่นี้ก็ได้แล้ว แต่สมัยนี้ มันคงเป็นธุรกิจไปหมดแล้ว เด็กยังคงต้องเหนื่อยกว่ายุคก่อนกันไปอีกนาน จากคุณ : ต้องทนกันไปอีกนาน เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 15:18:03 A:14.207.242.41 X: TicketID:202545

ความคิดเห็นที่ 14 สอนให้ครบในระดับมัธยมยังไงก็ยาก สอนมหาลัยสอนแค่ตัวเนื้อหา หลังจาก โจทย์ตัวอย่างไม่กี่ข้อ สอนกวดวิชาสอนแค่ทำโจทย์ เนื้อหาไม่ต้องอธิบายละเอียดมาก สอนโรงเรียนต้องสอนทั้งเนื้อหา ทั้งพาทำโจทย์ ในหนึ่งคาบไหนอบรม ทำโทษ ให้เด็กลองออกมาทำ นำเสนอ ยิ่งเวลาเจอเด็กที่มีปัญหามาก ๆเพลีย บางวันคุมอารมณ์ไม่อยู่ ห้องเงียบเป็นป่าช้า เข้ามาใส่ ใส่ พาทำโจทย์ 10 กว่าข้อ พูดคนเดียว ทำคนเดียว พอคาบถัดมาก็ต้องกลับมาทวนให้บางส่วนอยู่ดี ผมว่าสอนแบบต้องรอให้เด็กรับ ถ้าเด็กไม่รับก็ต้องจับยัดเข้าปาก อันนี้ลำบากสุด มันเลยไม่ค่อยจะครบเท่าไหร่ื ไม่หนักกาย แต่มันหนักใจ ถ้าไม่อยากหนักใจก็ปล่อยไปเลยตามเลย ที่เด็กแห่ไปเรียนพิเศษกับครูตอนเย็นส่วนใหญ่มีน่าจะเป็นเรื่องของข้อสอบ กับค่านิยมของเด็กในโรงเรียนนั้น จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 19:07:57

ความคิดเห็นที่ 15 ปล.เรื่องหลักสูตรคณิตศาสตร์มัธยมต้น มัธยมปลายผมว่ามันหนักเกินไป มันจะสำเร็จได้ครูกับนักเรียนต้องมีพฤติกรรมการเรียนการสอนแบบระดับอุดมศึกษา บอกเลยว่าเป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่เห็นมีคนมีอำนาจเรียกร้องขึ้นมาบ้างเลย จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 19:09:50

ความคิดเห็นที่ 16 เรียนในโรงเรียนก็เยอะแล้ว เรียนพิเศษอีก เด็กไทยเรียนเยอะไปไหม เด็กไทย กับครอบครัวไทย ส่งเสริมเรียนพิเศษ มากกว่าทำงานพิเศษ จากคุณ : YoleCk_TammY เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:27:56

ความคิดเห็นที่ 17 อยากให้แก้หลักสูตรการศึกษาค่ะ  ขอให้เนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน  ครอบคลุม/เหมือน ๆ ข้อสอบเข้ามหาลัย ถ้าทำได้ เด็กก็ไม่ต้องเรียนพิเศษ จากคุณ : banne เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 07:34:21

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับหลายๆ คห. และ คห.17 รัฐแก้ปัญหาไม่ถูกจุด อย่างได้คนเก่งที่สุด แต่ไม่ได้อยากได้คนที่เรียนไปตามสมควรแก่หลักสูตร แบบนี้เท่ากับการเรียนในโรงเรียนสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง เพราะความรู้ที่ได้จากโรงเรียนไม่สามารถเอาไปสอบตอบสนองความต้องการได้ เด็กนักเรียนจึงต้องเติมความรู้ไปสอบเองจากโรงเรียนกวดวิชาทั้งหลายไปตลอด ทั้งๆที่ไม่ใช่เด็กทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จจากการเรียนกวดวิชา ส่วนใหญ่เรียนแล้วก็ยังไม่เก่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ไม่ได้อยู่ดี สภาพคือ บทบาทของโรงเรียนกวดวิชาก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่บทบาทของครูในโรงเรียนกลับถูกมองว่าด้อยลงๆ อีกทั้งยังทำให้ระบบการสอนในโรงเรียนล่มสลายไปอีกเพราะปัญหาว่าครูหลายคนไม่ยอมสอนในชั่วโมง แต่กลับสอนเมื่อเวลานักเรียนมาเรียนพิเศษกับตัวเอง ไร้จรรยาบรรณสิ้นดี ที่รู้เพราะติวpatจีนอยู่หลายปี นักเรียนจะบอกเสมอว่าที่โรงเรียนครูไม่สอน ให้ท่องแต่ศัพท์แปลไทยคำจีนคำ หรือไม่ก็จะสอนง่ายๆ ตามหนังสือที่ความยากไม่สอดคล้องกับข้อสอบpat เรียนก็เหมือนไม่ได้เรียนอยู่ดี เลยต้องมาหาติวข้างนอก ได้ตังค์ในฐานะติวเตอร์แต่ก็รันทนใจอย่างบอกไม่ถูกกับการศึกษาไทย ถ้าไม่ต้องมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทุกแห่งมาตรฐานใกล้เคียงกัน มีจำนวนอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิสมดุลย์กับจำนวนนักศึกษา มีมาตรฐานคัดกรองคนที่จบว่าต้องเก่งและพร้อมจริงๆถึงจะได้เป็นบัณฑิต การันตรีให้หน่วยงาน บริษัทวางใจว่าคนที่จบมาล้วนทำงานได้มีความสามารถ ไม่มีแบ่งเส้นแบ่งสีสถาบัน สังคมไทยคงสงบสุข...แต่ก็คงได้แค่ฝันเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 11:12:16 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 11:10:38 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:06:56

ความคิดเห็นที่ 19 เรียนพิเศษ ไม่ใช่สิ่งผิดค่ะ ถ้าเลือกเรียนให้ถูก คนฝรั่งเรียนพิเศษในวิชาที่เขามีความชอบหรือมีความสามารถพิเศษ ส่วนคนไทยส่วนใหญ่เรียนพิเศษในวิชาที่อ่อน ฝรั่งเสริมเนินให้เป็นภูเขา คนไทยถมบ่อให้เป็นหลุม เรียนกันมากแต่ไม่ค่อยเรียนรู้ ตัวเองก็เคยเรียนพิเศษนะคะแต่เมื่อรู้ว่าไม่ใช่วิถีของตัวเองก็หยุดค่ะ สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยกล้าพูดอย่างเต็มปากว่า ด้วยการขวนขวายเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ใช่จากห้องเรียนพิเศษแน่นอน ตอนนี้มีลูกสองคน ก็สอนลูกให้หาความรู้เองและก็พยายามสอนลูกเองค่ะ จันทร์ถึงศุกร์ เรียนที่โรงเรียน เสาร์อาทิตย์ ควรเป็นเวลาครอบครัวค่ะ อยากให้เด็กไทย รู้จักคิด เรียนรู้ด้วยตนเอง ให้มากๆค่ะ อยากให้การศึกษาไทยก้าวไกลไปกว่านี้ค่ะ จากคุณ : noodeepanda (noodeepanda) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 14:16:06

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนนี้สงสารหลานมาก เพราะเรียนพิเศษติวเพื่อเข้าม.1 ตาเหลือกอยู่แพงด้วย หลายพันบาท นี่ยังต้องไปซื้อหนังสือติวอื่นๆ เพิ่มอีก พอถามหลานว่าที่โรงเรียนครูไม่มีหนังสือภาษาไทยให้อ่านหรือ ทำไมต้องมาซื้อเพิ่ม หลานบอกว่า "ไม่มี" เอ๊า สอนยังไงไม่มีหนังสือให้เด็กอ่าน เวรกรรมจริงๆ จากคุณ : Alex on the rock เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 16:36:09