ความคิดเห็นที่ 1 จบวิทย์คอมพ์ จากสถาบันราษภัฏแห่งหนึ่ง ทั้งห้องจบมายี่สิบกว่าคน เขียนโปรแกรมได้ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ทำงานทางด้านคอมพ์มาเกือบสิบปี แล้วจึงมาเรียนต่อ ป.ตรี เสาร์-อาทิตย์ จากประสบการณ์ในการทำงาน ขอบอกเลยว่า ไอ้ที่เรียนไปตลอด4ปี ใช้งานจริงในการทำงานได้ไม่ถึง 10% ครับ หลักสูตรไม่เน้นเรื่องอะไรสักอย่าง แตะนั่นนิด แตะโน่นหน่อย สรุปสุดท้ายทำอะไรไม่เป็นเลย... จากคุณ : allzero เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:55:17

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่รู้ว่าจะเริ่มตอบอย่างไรดีเลย ผมก็มองว่าการเขียนโปรแกรมเป็นพื้นฐานของด้านวิทย์คอมพ์วิศวะคอมพ์นะครับ นิสิตปี 1 เข้ามาก็ให้เรียนแนวคิดการเขียนโปรแกรม (logic/flowchart) กันในเทอมแรกและให้เขียนโปรแกรมกันเลยในเทอมสอง ปีต่อๆไปก็สอนการเขียนโปรแกรมขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งการออกแบบโปรแกรม OOP ฐานข้อมูล เขียน Web ก็สอนหมดนั่นแหละครับ แต่...วิชาที่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเนี่ยเป็นวิชาที่นิสิตมองว่ายากมากๆ ตัวนิสิตบางส่วนเองก็ไม่สนใจที่จะเขียนโปรแกรมให้เป็น แค่หาวิธีว่าจะ"ผ่าน"(คือไม่ F)วิชานี้ได้อย่างไร แม้อาจารย์จะมีแล็ปให้เขียนโปรแกรมจริง มีระบบที่ให้นิสิตฝึกเขียนโปรแกรม (อาจารย์เขียนโค๊ดให้ส่วนหนึ่ง นิสิตเติมโค๊ดที่ขาด ระบบตรวจให้อัตโนมัติ) นิสิตก็ยังไม่ขวนขวายรอลอกจากเพื่อนที่ทำได้ ไม่ได้คิดว่าการเขียนโปรแกรมเป็นพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็นที่ตนเองต้องรู้ มองแค่ว่าเป็นวิชาๆหนึ่งเท่านั้นที่เรียนจบแล้วก็จบกันไป ตอนนี้ทางคณาจารย์ก็พยายามทุกปีที่จะปรับแนวคิดพฤติกรรมนิสิตปี 1 แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จครับ การเขียนโปรแกรมมันเป็นทักษะที่ต้องฝึกถึงจะทำได้ มันไม่ใช่เรื่องความรู้ที่อ่านเอาแล้วทำได้ แต่นิสิตไม่ยอมฝึกฝนแม้ในห้องปฏิบัติการณ์ (ไปฝึกเองนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย) ประเด็นมันอยู่ที่ตรงนี้ครับ ไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าเรียนเขียนอะไร แล็ปปฏิบัตินั้นผมเคยเสนออาจารย์ท่านอื่นไปว่าลองไม่เก็บคะแนนดู เพราะการเก็บคะแนนทำให้นิสิตคาดหวังจะได้คะแนน และอาจจะไม่ยอมลองผิดลองถูกเอง (ซึ่งสำคัญสำหรับการเขียนโปรแกรม) แต่พอไม่มีคะแนนนิสิตก็ไม่สนใจแม้แต่จะมาทำ ถ้ามีคะแนนนิสิตก็ลอกเพื่อนเอาเพราะอยากได้คะแนน คิดเองอาจจะทำไม่ได้และอดได้คะแนน ถ้าคุณจขกท.มีไอเดียว่าจะทำให้นิสิตฝึกเขียนโปรแกรมได้เองอย่างไรผมก็ยินดีรับฟังครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:39:18

ความคิดเห็นที่ 3 ลองลงไปดูกระทู้ข้างล่างซิครับ อยากเรียนป.โทวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ยังมีคนมาแนะนำว่าเขียนโปรแกรมไม่ได้ก็ไม่ต้องคิดมาก เรียนได้เลย อย่าไปลงวิชาที่ต้องเขียนละกัน ความคิดคนเรียนมันเป็นแบบนี้น่ะครับ ลืมตอบคำถามคุณจขกท.ไป: จบวิทย์คอมพ์วิศวคอมพ์(ขอเติม)แล้วเขียนโปรแกรมไม่ได้ ถือว่าล้มเหลวครับ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 11:48:07 จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:46:05

ความคิดเห็นที่ 4 นานแล้ว เคยเจอคนจบวิศวะคอมฯ เรียก short circuit ว่า วงจรสั้น หึหึ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:06:23

ความคิดเห็นที่ 5 ขนาดผมไม่จบวิทย์คอมพ์ ตอนเรียนปริญญาโท ผมเรียนวิชาเสริมเนื่องจากวิชาหลักจบแล้ว  ยังเรียนเขียนโปรแกรม Cobol, BASIC, Pascal และ Database Programming เมื่อปี 1984 มันมีการบ้าน จำได้ว่า เขียนบน dumb terminal แล้วรัน รอคิวดู print-out กว่าจะรู้ว่าถูกหรือผิด และตอนสอบก็ต้องเขียนจริงๆ จังๆ เพราะไม่มีคะแนนเก็บครับ ได้ A ทุก 4 วิชา programming languages ผมเป็นพวกนิยมฝึกหัด ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ก็เหมือนกับตอนเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองตอนอยู่ มศ. 4-5 อ่านหนังสือกว่า 200 เล่มพวก graded readers ใน 2 ปี แล้วเด็กที่เรียนวิทย์คอมพ์ เขียนโปรแกรมไม่เป็นน่าเศร้าจริงๆ ปล ผมเรียนตัดเกรดกับเด็ก major computer science ครับ เพราะเขาเปิดให้ นศ ทั่วไปมาเรียนวิชาพื้นฐาน programming languages พวกนี้ได้ถ้าสนใจ ไม่ว่ากัน ปล 2 แต่ผมไม่ได้ใช้วิชา programming หากินครับ เพราะ major ผมไม่ใช่ทางนี้ แค่เรียนวิชานี้เนื่องจากใฝ่รู้ แปลกเหมือนกัน เมื่อปี 1992 ยี่สิบปีที่แล้ว ผมเสนอทำระบบ archiving system using DOS + on-the-shelf application ด้วยเงินลงทุนแค่ 1 แสนบาทให้องค์การที่ผมทำงานอยู่ ในขณะที่ vendor เสนอตัวทำด้วยเงิน 10 ล้าน หัวหน้าลองเสี่ยงให้ผมทำด้วยเงิน 1 แสน ซอฟท์แวร์ซื้อจากสหรัฐให้คนที่ไปหิ้วมา ผมทำสำเร็จในสองเดือน และสามารถรันได้ทั้งภาษาไทย+อังกฤษ ทั้งที่ระบบไม่ได้สนับสนุนภาษาไทย เลยถูกย้ายมาทำงานด้าน IT support ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ที่ผมทำได้ เพราะมีหัว logic และอ่านนิตยสาร Byte มาตั้งแต่เรียนโทที่สหรัฐแล้ว แค่อ่านคู่มือ ใช้หัวคิดออกแบบหน่อย ทดลองทำ ก็ได้ได้ ปล 3 แต่ก่อนหน้านั้นผมก็เคยติดตั้ง BBS ด้วยความเร็วที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น 14.4K ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีที่ไหนทำกัน ส่วนใหญ่ก็แค่ 2.4 9.6K เท่านั้น ตอนนั้น BBC ในไทยมีประมาณแค่ 10 กว่าแห่งเอง สิ่งที่ผมทำได้ เกิดจากความเป็นเลิศทางด้านภาษาอังกฤษ เก่งที่สุดในองค์กรสมัยนั้น (องค์กรแรกที่ทำงาน) สามารถอ่าน technical journal/magazine/manual ได้อย่างแตกฉาน และมีหัวทางด้าน logic นั่นเอง ไม่ได้เรียนมาทางด้าน วิทย์คอมพ์อะไรเลย ยกเว้นเป็นนักเรียนแผนกวิทย์ที่สอบไล่ได้ที่ 500+ ทั่วประเทศ ปี 1971 เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 12:42:32 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:25:28

ความคิดเห็นที่ 6 เคยเรียนวิศวะคอม 2 ปีก่อนจะไปเรียนแอนิเมชัน ไม่ถึงกับเขียนโปรแกรมเป็นแต่ก็มีพื้นไปต่อยอดด้านเขียน script ได้เยอะมากเลยครับ จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:30:24

ความคิดเห็นที่ 7 ตอบคุณ hotChoc ขอเป็นหลายๆ ยาวๆ เลย นะครับ มันผิดตั้งแต่ตอนรับ นักศึกษาเข้ามาเลยนะครับ มีการสอบ Gat pat อะไรผมก็ไม่รู้นะครับ รู้จักว่าความถนัดทางวิศว เฉพาะด้านคอม ควร มีการสอบเกี่ยวกับ Logic เยอะๆ แล้ว ไม่ว่าจะ เป็น ม ปิด หรือเปิด อย่างรามคำแหง รามคำแหงนี่ เป็นแบบเอาตะแกรงร่อนไปไว้ตอนท้าย เข้าวิทย์คอมที่หมื่นคน แต่ออก 20!! นี่คือสมัยก่อน นะครับเดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ทีนี้ ลดระดับ บางวิชา สมัยผม Math Stat และพวกวิเคราะห์เชิงตัวเลข บางทีมันมากไปหน่อย แล้ว อย่าแยกอะไรมันเยอะ ตอนนี้พวกเรียน สารสนเทศ กับวิทย์คอม มหาวิทยาลัยบางแห่งเปิดคู่กันเลย เด็กก็งง จบมา พวกจบ สารสนเทศก็คิดว่าตัวเองเป็นมวย ทำอะไรเละทุกที สาขานี้ จะว่าจำเป็นก็จำเป็นไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็น แต่วิทย์คอม ต้องให้เด็กรู้ว่าเรียนเขียนโปรแกรมเพื่ออะไร ต้องย้ำว่าเพื่ออะไร ให้เด็ก รู้ อาจารย์อาจจะสอนนอกตำรา คือให้เด็กเห็น ว่า นี่นะ โปรแกรมนี้ เขียนด้วยอะไร ยกตัวอย่าง เช่นโปรแกรม ฐานข้อมูล นี่ตัวนี้ เขียนด้วย VB เขียนด้วย C หรือ Foxpro ให้เด็กได้รู้ ว่า เจ้าโปรแกรมนี้มันทำได้จริง เหมือน ศิษย์เส้าหลิน เรียนรำมวย ไป รำไปช้า ๆ ก็เหมือนอาม่ารำมวยจีน แต่ถ้าทำคล่องทำเร็วมันก็ การต่อสู้ที่วางแผนไว้เสร็จว่าชกแบบนี้คู่ต่อสู้ต้องปัดแบบไหน แล้วเราจะ ปล่อยหมัดตรงไหนถึงจะตรง มันเป็นสูตรสำเร็จ ต้องให้เด็กเห็น เด็กมักจะตามเทคโนโลยี่ ตามไป ไม่เก่งซักที แต่ถ้า เด็กมีไม้ตายหมัดเด็ด แล้ว จะไปรอด ผมเองก็เช่นกันนะครับ ใครบอกว่า ต้องศึกษา PHP เพื่อนผมนี่แหละ จบโทลาดกระบังแล้ว เรียนที่ FIT ป เอก ก็บอกว่าให้ผมฝึก php ผมก็ซื้อตำรา นอนหนุนหัว ไม่มีเวลาอ่าน เพราะ งานฐานข้อมูลล้นมือตลอด อาจารย์มหาวิทยาลัย ก็อย่าไป แบบผู้ชำนาญการนักว่าภาษานั้นเก่า ภาษานี้ตาย ไม่มี หรอกครับ ภาษา มีแต่เหมาะและไม่เหมาะกับการทำงาน บางครั้งอาจารย์อาจจะต้องยอมโดนแย่งซีนกันบ้าง ด้วยการ เชิญ คนเขียนโปรแกรมมืออาชีพ ในแต่ละที่มาคุย ให้เด็กฟัง พวกนี้เขา ฟรีครับ ยินดีเลย บอกว่าให้พูดที่มหาวิทยาลัยไหน ขอค่าน้ำลายเป็นน้ำแข็งแก้วสองแก้วก็เอาแล้ว ทุกวันนี้เราจะเปิดการค้า เสรี การขายบริการ ไม่ใช่ทางเพศนะครับ ขาย สมอง มันคือต้นทุนที่ ถูกที่สุดของประเทศเรา สถาปนิค คนเขียนโปรแกรมเราทำงานส่งออกไปได้ เงินก็เข้าประเทศอย่างนิ่มๆ ทุกวันนี้ จบ ป โท บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เหมือนเซลล์แมน เขียนโปรแกรมไม่ได้ มาถึงแนะนำบริษัทให้ใช้ SAP อย่างเดียว ได้ไม่ได้ ข้าไม่รู้ข้าได้ค่าคอมเป็นอันจบแล้ว ไม่ได้นะครับ SAP คือ ERP ตัวหนึ่ง เราเขียนได้ คนไทยทำได้ การทำหลักสูตร ของเราเน้นท่องจำ แต่เราไม่เสริมด้านจินตนาการ ผมมองว่าบิลเกต และ สตีปจ๊อบ นี่ เป็นเรื่องธรรมดาของคนเก่งจินตนาการแล้วเขา ทำอะไรทำจริง เขารักการเขียนโปรแกรมจริงๆ เขาทุ่มเทให้กับงานจริงๆ นี่แหละครับความต้องการของผม ขอบคุณอาจารย์ ที่กรุณามาคุยกับคนเขียนโปรแกรมบ้านนอกแบบผมครับ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:40:47

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ K.senoir ผมลืมหนังสือชื่อ Byte ไปเลย คิดถึงหนังสือเล่มนี้เหมือนกันแต่ก่อนผมอ่าน Dr.Dobb  ด้วยครับ เพราะตอนนั้นบ้า ซี เพื่อนอยู่ลาดกระบังมันชวน เขียนซีกัน จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:57:04

ความคิดเห็นที่ 9 สิ่งที่คุณ K.Senior พูดมาเรื่องการฝึกฝนลองทำคือสิ่งที่หายไปเยอะในเด็กรุ่นใหม่ครับ ผมเองตอนเรียนป.ตรีรุ่นต้นๆทศวรรษ 1990s ก็เรียนวิศวะไฟฟ้าสื่อสารตามสมัยนิยมนะครับ แต่ก็ชอบคอมพ์ ทำโปรเจ็คจบก็เขียนโปรแกรมด้วยภาษา Tcl/Tk ซึ่งเรียกว่ายังค่อนข้างใหม่ตอนนั้น อาจารย์โยนหนังสือมาให้เล่มนึงแล้วก็บอกว่าให้เขียนโปรแกรมแสดงผลไฟล์ PDF ที่สแกนจากหนังสือ ให้เลือกหน้าเลือกบทได้ (เดี๋ยวนี้โปรแกรมแสดงผล PDF ทำแบบที่ว่านี่ได้หมดแล้ว) ผมก็ไปศึกษาและเขียนเอง อาจารย์ไม่ได้ช่วยเรื่องการเขียนเลย ผมเองยังต้องอีเมล์ไปหาคนเขียนหนังสือเพื่อสอบถามสิ่งที่ผิดคาดจากโปรแกรมของผมเลยครับ ตอนนั้นก็พึ่งมี Internet ใช้ใหม่ๆ เขียนไม่เป็นก็ลองทำตามหนังสือนั่นแหละ นั่งอ่านนั่งเขียนอยู่เทอมนึง(เทอมแรกอู้ไม่ได้ทำงานด้วยซ้ำ) ยังมีผลงานออกมาพอใช้ได้เลย เด็กสมัยนี้บางคนอาจารย์คิดโปรแกรมให้เสร็จตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ไปเขียนมา เขียนผิดบอกให้แก้ ครั้งต่อไปมาก็เหมือนเดิม เหมือนอาจารย์ไม่เคยแนะนำอะไร แล้วก็มาต่อรองว่าเขียนได้แค่นี้ก็พอแล้ว เอา B เอา C ก็ได้ ขอจบเทอมนี้อย่าติด I ละกัน สัดส่วนของเด็กที่คิดแบบนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ (อันนี้ตามความรู้สึกของผมนะครับ ไม่ได้มีการวัดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์อะไร) ผมก็สอนอยู่ม.มีชื่อเสียงของรัฐนะครับ แต่คุณภาพนิสิตนี่น่ากังวลมาก จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:39:49

ความคิดเห็นที่ 10 อาจารย์เคย เจอไหมครับ "ถ้าให้แฟนผมตก มีเรื่อง" นี่เรื่องจริงๆ นะครับ แล้วยังไม่นับ เอาหอยแลกเกรด นี่มีจริงๆ อย่าให้ผมบอกว่าที่ไหน Calculus 3 เป็นพวก dif สามมิติ สอบไม่ได้ อาจารย์บอกเด็กว่าสอบตก เด็กก็ขอเกรด A เลย อาจารย์บอกว่าได้ แล้วก้นัดเจอ แล้ว อาจารย์คน นี้มันเลว "ถ้าให้เกรด A เลยมันน่าเกลียด สอบเทอมนี้ให้ C ก่อน แล้วอีกเทอมค่อยเอา A" เป็นอันอาจารย์ได้ฟันเด็ก ปีหนึ่ง ดูมันๆ ถ้ารับกันเขามานะครับ แล้ว ให้ ผ่านๆ ไปไม่สนใจ วันหนึ่ง เราจะต้องเสียหายระดับชาติ จ้างเขาทำทุกอย่าง คนไทยไม่สามารถส่งออก สมองคนได้ อ hotchoc ลองดูกระทู้เดียวกันที่โพสไว้ที่ Exchange ซิครับ นี่เขาเป็นห้องคนเขียนโปรแกรมยังมีคนคิด ว่าไม่จำเป็นอีก http://www.pantip.com/tech/developer/topic/DD3063088/DD3063088.html แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 14:04:10 จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:52:55

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องการรับนิสิตนั้นมีปัญหาจริงๆ แต่ขอยกไว้ไม่กล่าวถึงไม่งั้นนอกเรื่องยาวแน่ครับ ส่วนการเรียนการสอนแบบที่คุณทาสเทวีบอกมานั้นก็เป็นแนวทางนึง และเป็นแนวทางที่ภาคการผลิตอยากได้ด้วย คืออยากให้บัณฑิตจบออกไปก็ใช้งานภาษาหรือโปรแกรมที่ทางผู้ผลิตใช้อยู่ได้เลย ใช้ Tools หรือ Framework ต่างๆเพื่อสร้างงานอย่างรวดเร็วเป็นสูตรสำเร็จได้เลย เรื่องนี้อาจารย์ในภาคผมก็ถกเถียงกันมาหลายปีได้แล้วเหมือนกันครับ อาจารย์ที่อยากให้สอนแบบที่คุณทาสเทวีว่าก็มี แต่อาจารย์อีกกลุ่มนึงก็ไม่เห็นด้วยเพราะว่าเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มันก้าวหน้าไปเร็วมาก การสอนเป็นสูตรสำเร็จนี้ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนสูตรขึ้นมาก็อาจทำให้บัณฑิตไม่สามารถปรับตัวตามไปได้ จึงต้องสอนพื้นฐานเด็กให้แน่นไว้ก่อน สอนในลักษณะ"วิทยาการ"คอมพิวเตอร์ให้ลงถึงทฤษฎีเบื้องหลังของการทำงานของภาษาโปรแกรมด้วย ถ้าพื้นฐานแน่นบัณฑิตก็จะสามารถปรับทฤษฎีเพื่อนำมาใช้กับการเปลี่ยนแปลงของคอมพิวเตอร์ได้ นี่คือความจำเป็นว่าทำไมจึงต้องสอนทฤษฎีเบื้องลึกด้วยและไม่สอนแค่การเขียนโปรแกรมเพื่อนำไปใช้ได้อย่างเดียว สมมติว่าปีนี้คุณทาสเทวีมาแนะนำหลักสูตรให้ภาคผมสอนภาษา X โดยใช้ Framework Y เพราะกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดงาน ทางภาคเห็นด้วยและออกหลักสูตรตาม แต่พอนิิสิตเข้ามาเรียนปีหน้ากว่าจะจบอีกสี่ปี เวลาผ่านไป 5 ปีแล้วหลังจากคุณทาสเทวีมาแนะนำให้ โอกาสที่ภาคอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนภาษาเปลี่ยน Framework ไปแล้วนั้นสูงมากๆ ครับ ตอนนี้มาสอนภาษาหรือ Framework ใดก็ไม่ทันกินครับ ต้องสอนให้นิสิตรู้หลักการ รู้การนำไปใช้งานในลักษณะของ language-agnostic เพื่อให้นิสิตปรับไปใช้เอง ควรสอนภาษาและ Framework ยืนพื้นสักตัว แต่นิสิตควรปรับไปใช้ภาษาอื่นได้อย่างไม่ลำบาก ถ้าถามความเห็นผมนะครับ การสอนภาษากับ Framework เพื่อนำไปใช้ได้นั้นควรสอนในหลักสูตรที่สั้นกว่า 4 ปี คือระดับปวส.ระดับช่าง เรียนเร็วจบเร็วนำไปใช้ได้เร็ว มาเรียนระดับป.ตรีต้องได้อะไรที่ลึกกว่านั้นครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:06:42

ความคิดเห็นที่ 12 อ.Hotchoc เรื่องนี้ เอางี้ดีไหมครับ เป็นการเสริมกัน ไม่เปลี่ยนและไม่อยู่คงที่ โดย อาจารย์นึกถึง ที่ฤษีสอนสุดสาคร รู้ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล คำนี้คือสัจธรรม นะครับ มหาวิทยาลัยควร ให้เด็กมั่นและเก่งในภาษาหนึ่งเป็นไม้ตายเลย ก็ได้ VB,VC Delphi หรือ PHP ก็ได้ เอางี้อาจารย์ คงรู้และทราบดี Foxpro ตลาดบอกว่า มันเก่า มันหยุดพัฒนาแล้ว ใช่ไหมครับ แต่ผมถามกลับคนพูดรู้จัก ดีขนาดไหน ทุกวันนี้ Web service ใช้ Foxpro ทำได้ ฐานข้อมุล ผมสวนกระแส น้ำที่เชี่ยวกรากมา 20 ปี ด้วย จิ้งจอกสีส้ม งานผมในมือตอนนี้ 5 งาน ทำงานด้วย:-)ในเวปด้วย แล้ว Foxpro มันหยุด แต่ โปรแกรมเมอร์ไม่มีวันตาย มันทำของมันต่อไป ตอนนี้งานบนเวป Foxpro เขียน Back แต่ ข้างหน้าใช้ Tool อื่น อาจารย์คิดดูอาจารย์ขาย โปรแกรม ตัวหนึ่ง 200000 บาท ขายยากนะครับ แต่ผมขาย ตัวละสองหมื่นบาท เดือนหนึ่งได้สี่เจ้า แปดหมื่น สองเดือนกว่า ผมได้ แล้ว Support ง่ายกว่าด้วย ลูกค้า ก็ โอเค  สองหมื่นผมรีโมทด้วยVPN บางบริษัท ถ้างานใหญ่ ระดับหลักแสน ผมเชื่อมด้วย VPN หมดเร็วใช้ได้ Fox ทำหมด อันนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ การที่ มหาวิทยาลัย ควรมี ชั่วโมงหนึ่ง แบ่งเวลา ให้สัมผัสกับโปรแกรมเมอร์แบบต่างๆ เหมือน เด็ก ม ปลายแนะแนวรุ่นน้อง นี่ก็รุ่นพี่ทำงานแนะแนวรุ่นน้อง พี่จะจบอะไรมาไม่รู้ แต่น้องฟังเท่านั้นเป็นพอ การทำงานผมสะดุดช่วงที่ Dos->windows นั่นแหละ แต่ก็ไม่กี่เดือน ผมหยุดงานหยุดรายได้ หมด ศึกษามัน ให้เต็มที่ ผมไม่เข้าใจแม้แต่ OOP ตอนนั้น สุดท้ายเรียบร้อยก็ไปต่อได้ครับ สำคัญสำหรับเด็กคือ แรงบันดาลใจครับ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:20:00

ความคิดเห็นที่ 13 แต่...การสอนระดับลึกและฝึกให้นิสิตปรับนำไปใช้ได้ด้วยนั้น มันยากครับ ยากกว่าเรียนเป็นสูตรตามที่เขาคุ้นเคยมาในระดับมัธยมมาก กลไกการคัดเลือกก็ไม่ดี พื้นฐานแนวคิดความต้องการนิสิตก็ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ เจอของยากเข้าไปอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่ บางครั้งผมก็สงสารนิสิตด้านคอมพิวเตอร์นะครับเพราะต้องเรียนรู้มากเหลือเกิน ของใหม่ๆก็เข้ามาเรื่อยๆทุกๆปี d(tech)/dt มันสูงมากน่ะครับ ถ้าจะให้สอนสูตรสอนเทคนิคไปเลยโดยไม่ลงด้านวิทยาการมากแบบที่คุณทาสเทวีแนะนำนะครับ ก็จะมีอาจารย์ที่มาพูดว่าสอนแบบนี้มันสอนแบบ IT ไม่ใช่ CS ไม่สมคุณวุฒิที่ได้รับอีก ตัวผมเองไม่ได้แคร์เรื่องคุณวุฒิอะไรนั่น แต่ผมก็ไม่ชอบสอนลักษณะสูตรสำเร็จแบบต้องใช้ภาษานี้ตัวนี้เหมือนกัน อย่าลืมว่ามหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตเยอะนะครับ จะปั๊มออกมาให้เหมือนๆกันหมดเก่งภาษาเดียวกันหมดแต่เขียนภาษาอื่นไม่เป็นก็ไม่ได้หรอกครับ ผมมองว่ามหาวิทยาลัยควรสอนองค์ความรู้รวมในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สอนใช้หลายภาษาเลยยิ่งดี เด็กจะโอนเอียงเข้าหาภาษาที่เขาชอบที่เขาชำนาญเอง พอจบไปไปทำงานจริงแล้วก็จะ specialized ภาษาไหนก็ว่ากันอีกที ตรงนี้อาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับภาคการศึกษาก็ได้ครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:40:41

ความคิดเห็นที่ 14 ก็จะมีอาจารย์ที่มาพูดว่าสอนแบบนี้มันสอนแบบ IT ไม่ใช่ CS ไม่สมคุณวุฒิที่ได้รับอีก ตัวผมเองไม่ได้แคร์เรื่องคุณวุฒิอะไรนั่น แต่ผมก็ไม่ชอบสอนลักษณะสูตรสำเร็จแบบต้องใช้ภาษานี้ตัวนี้เหมือนกัน อย่าลืมว่ามหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตเยอะนะครับ จะปั๊มออกมาให้เหมือนๆกันหมดเก่งภาษาเดียวกันหมดแต่เขียนภาษาอื่นไม่เป็นก็ไม่ได้หรอกครับ ผมมองว่ามหาวิทยาลัยควรสอนองค์ความรู้รวมในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สอนใช้หลายภาษาเลยยิ่งดี เด็กจะโอนเอียงเข้าหาภาษาที่เขาชอบที่เขาชำนาญเอง พอจบไปไปทำงานจริงแล้วก็จะ specialized ภาษาไหนก็ว่ากันอีกที... เห็นด้วยครับ สมัยนั้นผมยังเรีียนครบทุกภาษาที่มหาวิทยาลัยเปิืดสอนเลยครับ แม้แต่ Database programming จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:04:31

ความคิดเห็นที่ 15 จบวิทย์คอม หรือ วิศวคอมพ์ ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเก่ง บางคนเขียนไม่ได้เลยแต่..มันมีส่วนแยกย่อยอื่น ๆที่อาจจะถนัดกว่าเช่นด้าน network ด้าน SA ด้าน OS อย่าไปเหมารวมว่าเรียนคอมพ์แล้วต้องเขียนโปรแกรมได้ทุกคน จากคุณ : หมูหัวมะกรูด เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:25:59

ความคิดเห็นที่ 16 อย่าให้ผมต้องระบุสถาบันออกมาเลย นะครับว่า ที่ไหนบ้างที่ผมเจอ มา จบ ป โท แล้ว เป็น DBA หรือ Server admin  แต่เขียนโปรแกรมไม่เป็น มันทำให้คุณไม่เข้าใจระบบการทำงาน คุณยังไงก็หนี สคริปไปไม่พ้น ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งเฮ้ยกับ ผจก ไอทีบริษัทหนึ่งไป เขียนไม่เป็น แล้วทะลึ่งมาสอนผมอีก ว่าจะไล่บั๊กในโปรแกรมอย่างไร สุดท้ายวงแตก ทั้งคู่ เจ้า ผจก ไอที ออกคำสั่งเลิกจ้างผม ผมไม่แคร์ แต่ ไม่นานมานี้ CEO บริษัทขอกินข้าวกับผม ชวนกลับไปร่วมงานกันใหม่เพราะ ผจก ไอทีที่ทำงานไม่เป็น พอเข้าไป ทำอะไรไม่ได้ ก็ย้ายบริษัทไปทำงานที่อื่น ชีวิตจะย้ายไปเรื่อยๆ หรือ อย่างน้อยพื้นฐานต้องเป็น programming แล้ว ผมรบมาตลอด กับ ที่ว่า SA ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเป็น คุณไปถามจ่านายสิบ พลทหาร ที่รบ ว่าเอา นายร้อยการเงินจบ มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ จปร ไปออกรบ เอาไหม นายสิบยังหนาว ไปถาม นายร้อย ว่า รบตามแผนของเสธ ที่เคยลงสนามรบมาก่อน กับเสธ ที่ ไม่เคยลงสนาม นายร้อยเอาอะไรล่ะ คนที่ไม่เข้าใจ pragramming ไงก็วางแผนการเขียนโปรแกรมไม่ได้ดีเท่าคนเคยเขียนโปรแกรมหรอกครับ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:37:59

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องภาษาผมเห็นด้วยกับอาจารย์นะครับ ปัจจุบันผมมองว่า ภาษาอะไรก็ได้ เขียนอะไร ก็เขียนมาเหอะ ขอให้มันทำงานได้ แต่ฐานข้อมูลว่าไง เอาอะไร สมมุติว่า SQL server อะไรมันก็อ่าน ได้ Delphi,VB,PHP,Fox มันอ่านได้หมด เด็กที่เรียนให้รู้ SQL แม่นๆ ก็เยี่ยมครับ มันเข้าเรื่อง program อีกแล้ว หนีไม่พ้นเลย ตอนเรียนนั้นผม อยากเรียนทุกภาษาก็จริงแต่ มันทำไม่ได้ เดิมนะผมใช้ Basic เป็นมาแต่ ม.5 พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ ศึกษา Fortran,Assembly สองตัวนี้ภาคบังคับ แล้วศึกษา ซีอีก แต่ สุดท้ายภาคอุตสาหกรรมสอนว่า ภาษาทำงานช้า รอได้ แต่ขอให้ถูก สอบ Database ผมเคยเกือบตกเพราะให้เขียน หลักการของฐานข้อมูลว่าไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน ฯลฯ เกือบตายจำไม่ได้ แทนที่จะมา กำหนด งานแล้วให้เขียนในข้อสอบว่าจะออกแบบไฟล์อย่างไร แบบนี้ชัวร์กว่าว่าทำงานได้จริงมาถาม เหมือนเด็กประถม ผมก็เกือบพัง ตอนนั้นก็ อ่านตำรา ของตา Herbert shield กับ อะไรอีกเจ้า หนึ่งเป็นของ McGraw Hill หมด เอาว่า ตอนนี้ไม่ทราบเด็ก มหาวิทยาลัยยังสนใจอ่านตำราฝรั่งไหมครับ เพราะ เวลาผมไปตามห้างไม่ค่อยเจอเด็กค้นกันเหมือนแต่ก่อน เรียนวิทย์ วิศว สมัยก่อน ยิ่งสายคอมต้องรู้จัก เจ้ม้อยยยย ร้าน Book Chest ใครไม่รู้จักนี่ถือว่าไม่ใช่พวกคอมฯ เจ้ม้อยตอนนั้น แกเป็นแคชเชียร์อยู่ดวงกมลมาก่อน พวกผมชอบไปนั่งอ่านหนังสือฟรีแล้วไม่ค่อยซื้อเพราะเงินหมด นึกแล้วคิดถึงแกเหมือนกัน จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:49:08

ความคิดเห็นที่ 18 คือ เรียนด้านนี้ก็ต้องเป็นบ้างครับ อย่างน้อย If .. else , for while ก็ต้องได้มั่งหละครับ ผมก็เจอเยอะครับ ที่เรียนมาแต่ทำไม่เป็นเลย คิดแล้วก็แปลกใจว่าเรียนมาได้ยังไง วิทย์คอมหลักสูตรแบบไหนที่ไม่มีวิชาด้านโปรแกรมมิ่งสอน จากคุณ : แข้งบวม เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:06:44

ความคิดเห็นที่ 19 บางคนเลือกเรียนไอทีก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าอยากเขียนโปรแกรมเป็นนี่ครับ ไอทีมันก็มีหลายอย่างให้ทำ จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:12:11

ความคิดเห็นที่ 20 สคริปต์ผมก็ถือเป็นโปรแกรมนะครับ พวก Network/Admin เนี่ยต้องใช้สคริปต์ช่วยเยอะ ไม่งั้นตรวจ log กันยังไงล่ะครับ ทาง IT หรือฝั่ง system น่ะน่าจะใช้ shell/perl/python สคริปต์(ตามถนัด)มากกว่าทาง CS อีก ผมเคยได้ยินเหมือนกันว่าสมัยก่อนสอนคอมพ์แบบบนกระดาษ คือสอน syntax การเขียนโปรแกรม สอนโครงสร้าง database (คีย์, relationship, การทำ normalization) แต่ไม่ได้ทำแล็ป ไม่ได้เขียนโปรแกรมแล้วคอมไพล์จริง ไม่ได้เขียน SQL Statement ส่งไปที่ DBMS จริง ซึ่งถ้าเรียนมาในลักษณะนี้ก็มีโอกาสสูงที่จบมาแล้วจะเขียนอะไรไม่ได้เลย แต่ภาคผมสอนแล็ปควบคู่ไปด้วยเกือบหมดครับ และจะพยายามผลักดันนโยบายให้ทุกวิชามีการเขียนโปรแกรมประกอบทั้งหมด แม้แต่วิชาทฤษฎีเช่น OS หรือ Architecture เนี่ยก็ต้องมีการเขียนโปรแกรมเพื่อจำลองทฤษฎีต่างๆ (เช่น cache/page replacement algorithm) ก็หวังว่าจะลดปัญหานิสิตจบไปแล้วเขียนโปรแกรมไม่เป็นลงได้ เพราะถ้าเขียนโปรแกรมไม่เป็นก็คงจบได้ลำบากล่ะคราวนี้ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:58:58

ความคิดเห็นที่ 21 มันเป็นอย่างนี้ครับอาจารย์ กระทู้นี้เลยยาวเลย การเขียนโปรแกรมแห้งกับ แฉะๆ นี่ต่างกัน สมัยก่อน ผมเรียน รามคำแหง รามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยคนจน แล้วยี่สิบกว่าปีก่อนใครเรียนไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยไหน ต้องเคยชินกับการนอนค้างมหาวิทยาลัยเพื่อใช้เครื่องคอมรันงานเพราะราคาคอมสมัยนั้น 8088-2 ราคาตัวละ 32000 บาท รวม hd seagate st-238 30 MB นะครับ แพงมาก นศ ไม่มีเงินซื้อ ผมเองซื้อมาแต่ไม่มี hd ทีนี้ มหาวิทยาลัยก็จะกรองคนด้วยการเขียนโปรแกรมแห้งในกระดาษ เอาว่า Fortran 77 ผมก็ จะต้องสอบ เขียนทุกบรรทัดให้ ถูกให้หมดผิดไม่ได้ผิดคือสอบตก รอบที่ผมผ่าน คนสอบเจ็ดร้อยกว่า ผ่าน 12 คน พอกับภาษาเบสิค ก็สอบแบบนี้ คนสอบ 300 ผ่านห้าคน นั่นแหละครับ เรียกว่าคนผ่านนี้ต้องบ้าเขียนโปรแกรมจริงๆ ผมใช้ดินสอเขียนสอบเพราะรู้ว่าต้องลบเยอะ เขียน คอมเม้นมันเยอะๆ อาจารย์จะได้รู้ แนวคิดผม เอาจนผ่านแล้วค่อยเข้า แลปเรียนเปียกๆ นั่นแหละใช้ Gwbasic กับ Fortran บน VAX 750 สมัยนี้ราคาคอมถูกมาก  วิธีอย่างอาจารย์ว่า นั่นคือดีที่สุดครับ แต่ เด็กจะไม่เห็นภาพรวม ว่า จบมาแล้วงานเป็นแบบใด อาจจะต้องมีการ ทำงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย กับ ระบบจริง เช่นไปดูงานภาคเอกชน บางทีเด็กมองว่าเป็นของลึกลับอย่าง เครื่องเทอร์มินอล ตาม Food court คนก็มักคิดว่าเขียนด้วย Assembly แต่เปล่าเลย ของโลตัส เพื่อนผมมันเขียนด้วย Turbo Pascal นั่นแหละ สรุปความคิดผมคือ ต้องให้เด็ก ได้เห็นภาพ จบไปแล้วทำอไร เพื่ออะไร แล้วให้นิสิต เลิกคิดพรมแดนด้านรัฐศาสตร์หมด โลกไม่มีพรมแดนนี้แล้ว เขาสบายกว่าผมเยอะ ฝึกให้เก่งแต่ แล้วก็ ส่งเมลล์คุยกัย ฝรั่ง ญี่ปุ่นจีน รับงานสบายๆ วันหน้าจะได้ มี Silicon valley ไทยแลนด์ได้บ้าง ไม่ใช่วันๆ จิ้มไอโฟนใช้เทคโนโลยี่ เสพมันอย่างเดียวแต่ทำไม่เป็น ว่าถึงไอ้พวกนี้ อย่าง แอนดรอย มีกี่คนซื้อมาแล้วเปิดฝา ต่อนั่นนี่คิดจะเอาไปทำระบบวัดคุม ใช้ทำอย่างอื่น เราเอาแต่โหลดๆๆ แล้วก็เล่นๆๆ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:30:12

ความคิดเห็นที่ 22 บางคนเลือกเรียนไอทีก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าอยากเขียนโปรแกรมเป็นนี่ครับ ไอทีมันก็มีหลายอย่างให้ทำ ************************************** ถ้าคิดจะเรียนหมอ ไม่รู้จักการตรวจผู้ป่วย เรียนทหาร ไม่ฝึกยิงปืน เรียนคอมพิวเตอร์ ไม่เขียนโปรแกรมไม่ได้เลยอย่าเรียนเลยครับมันเป็แค่คนเสพเทคโนโลยี่ เอาแค่ พื้นพวกจบ IT มา เขียนโปรแกรมไม่เป็น คุณจะเป็นแค่ คนที่ใช้วางแผน จะใช้อะไร แต่ สุดท้ายสะดุด ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นโรงงานผลิต ปลากระป่อง ให้วางระบบ ไอที คุณไม่รู้ว่า เครื่องชั่งน้ำหนักแบบไหนมันอ่าน ข้อมูลได้ยากง่ายไปซื้อ รุ่นไม่ดีมา คนเขียนโปรแกรมจุกนะครับ  แล้วที่สำคัญความมั่นใจตัวเองจะไม่มีด้วย เหมือนคุณสั่งให้ทหารราบรบ ไกลเกินกว่าปืนใหญ่ยิงถึง ทหารราบที่รบเป็นมันคิดดูก่อนนะครับ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:35:59

ความคิดเห็นที่ 23 เรียน IT. ไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ programmer. ไปด้าน network engineer หรือหากเรียนรู้ business logic ได้ดีเค้าก็เป็น saที่ดีได้ อย่ามองโลกของคอมแค่ text editor ซิครับ จากคุณ : lovelytee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 22:20:26

ความคิดเห็นที่ 24 IT ไปได้หลายทางคะ ไม่ใช่แค่โปรแกรมเมอร์ SA/DA/DBA/Network/PM อะไรพวกๆนี้ค่ะ ได้หมด อย่างตัวดิฉันเองเรียน IT ตั้งแต่ตรี และ โท ไม่ชอบเขียนโปรแกรม ทำได้แค่พอให้ผ่าน ถูไถไปเรื่อย เพราะคิดไว้ว่าตัวเองจะไม่เป็นโปรแรมเมอร์แน่นอน จบมาก็ไม่เคยสมัครงานด้านโปรแกรมเมอร์เลย แต่ทำสายงานอื่นด้าน IT เช่น SA ,Consultant เยอะแยะมากมาย เงินเดือนเผลอๆสูงกว่าโปรแกรมเมอร์อีกนะค๊า ก็แล้วแต่ว่าใครจะชอบด้านไหนมั๊งคะ จากคุณ : snow (I'mSnowCreeper) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 23:07:36

ความคิดเห็นที่ 25 ไว้รออาจารย์ มาตอบ ว่าเป็นไง จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 23:22:24

ความคิดเห็นที่ 26 ผมว่าอาจจะต้องนิยามคำว่า เขียนโปรแกรมไม่เป็นก่อนว่า เป็นแค่ไหน ดูเหมือนว่า หลายๆ ท่านจะเข้าใจว่า ที่ จขกท. กล่าวถึงจะกลายเป็นเรื่องของการเขียนโปรแกรมระดับโปรแกรมเมอร์ไป แต่ที่ผมเข้าใจคือ จขกท. หมายถึงเขียนโปรแกรมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย (ไม่รู้ใช่หรือเปล่า) ส่วนตัว ผมเห็นว่าการที่จบสายนี้มาแล้วเขียนโปรแกรมอะไรไม่ได้เลย ถือว่าล้มเหลวครับ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเขียนโปรแกรมง่ายๆ ได้บ้าง หรืออย่างน้อย ถ้าเขียนเองไม่ค่อยเก่ง ก็ต้องมีความรู้พอจะอ่านโค้ดที่คนอื่นเขียนมาออกครับ ตัวผมเอง จบไฟฟ้าสื่อสารมา โดยตัวหลักสูตรแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมมิ่งมากนัก ยังต้องเรียนโปรแกรมมิ่งไปหลายคอร์สเลยครับ และโดยส่วนตัวผมคิดว่า ไม่ใช่แค่สายคอมหรือ IT เท่านั้น แต่สายวิศกรรมไฟฟ้า (หรืออิเล็กทรอนิกส์) ทั้งหมด ยังไงก็หนีเรื่องโปรแกรมมิ่งไม่พ้นครับ เพราะมันมักจะวนเวียนมาข้องเกี่ยวด้วยเสมอๆ ทำให้ผมคิดว่า คนที่เรียนมาทางสายนี้ หากบอกว่าไม่รู้เรื่องโปรแกรมเลย เขียนไม่ได้ อ่านโค้ดไม่ออกสักแอะ ทำเกี่ยวกับโปรแกรมไม่ได้สักอย่างเนี่ย ถือว่าล้มเหลวครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 01:04:34

ความคิดเห็นที่ 27 "ที่จริงหนูก็จบ วิศวะคอมพิวเตอร์มาเหมือนกันนะ แต่หนูเขียนโปรแกรมไม่ได้เลย" ผมว่า ล้มเหลวนะ ถ้าจบวิศวะคอม แล้วเขียนโปรแกรมไม่ได้เลยอย่างที่เขาว่ามา เพราะมันคือพื่นฐานของ วิศวะคอม ตั้งแต่เริ่มต้น จริงไม่น่าจบมาได้นะเนี้ย เพราะว่าคำว่าเขียนไม่เป็น ก็คงหลายถึงว่า ไม่รู้จัก ภาษาอะไรเลย คิด ไม่เป็น pseudocode เลย ไม่เป็น flowchart รึน้องเขาจะตอบ แบบขี้เกียด คือไม่อยากเขียนโปรแกรม เพราะการเขียนโปรแกรมที่ถูก มันมีกฎอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่ Architecture ยันไปถือ พวก syntax ของภาษาที่ใช้ ดันไปถึง os ที่จะrun กับโปรแกรมนั้น  หรือ น้องเขาไม่ฉลาดในการตอบ จะตอบแบบง่ายๆว่า หนูไม่ค่อยถนัด อันนี้มันก็อีกเรื่อง... คห. 23 >>network engineer ที่ถูกต้องก็ต้องเรียน การเขียน protocol เริ่มต้น เขียน sever-client เป็น อย่างใน ภาษา c หรือ ภาษา java ในปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องเขียนภาษา c หรือ java เป็นก่อน คงไม่มี system admin บริษัทไหนที่ทำไม่ได้ ยกเว้น พวก Desktop Administrator ที่โทรไปถามเวลาคอมแฮ้ง โปรแกรมเดี้ยง ว่าแก้อย่างไง หรือ ทำไม เซิฟข้อมูลไม่ได้ โดนจำกันสิทธ์อะไรไว้รึเปล่า เพราะไม่มีพวกนั้นไม่ต้องเขียนโปรแกรมเป็น เพราะใช้เป็นอย่างเดียว แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแค่นั้น พวกนี้จะต้องโทรถามบริษัทที่ขายโปรแกรมให้อีกที ว่าต้องแก้อย่างไง ถ้าพวกเขาแก้ไม่ได้ หรือเจอ bug ต่างๆ >> คำว่า business logic ของคุณที่นี้ หมายถืออะไรคับ หมายถึงแบบนี้รึเปล่า http://en.wikipedia.org/wiki/Business_logic ถ้าแบบนี้ ก็ต้องเรียนโปแกรมเป็นก่อนละคับ เพราะคงไม่มีใคร ให้คุณว่าง Architecture ของ software แต่เขียนไม่เป็นเลย เพราะต้อง รู้ว่า pressentation tier logic tier and data tier ทำงานกันอย่างไง เป็นอย่างน้อย ก็ต้องเคยเขียนมาก่อนทั้งนั้นเพราะมันคือพื่นฐานของ วิศวะคอม ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ในที่นี้ด้วย ปล น้องผมเรียน วิทยศาตร์ คอม ยังต้องหันเขียนโปรแกรมเลย จากคุณ : Dearz เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 07:58:18

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ คคห.26 เข้าใจถูกแล้วครับผมหมายถึงทำไม่ได้เลย คำว่าทำไม่ได้คือ ไม่ได้ซักภาษาหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเก่งสุดยอด ผมเองใช้ Fox แต่ถามว่าใช้ C ได้ไหม Basic ได้ไหม ก็คือได้ แต่ตอนนี้ไม่ชำนาญแล้ว เพราะทิ้ง C ไปยี่สิบปีแล้วอ่านโคีดภาษาอื่นได้ไหม ก็ตอบว่าได้ อย่างน้อยเอาวะเขียนไม่เป็นอ่านโค๊ดก็ควรเป็น เอาว่าสมัยก่อนโลกอยุ่บนดอส คุณต้องเขียน Batch file เป็นเลยครับ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 10:30:26

ความคิดเห็นที่ 29 คิดถึงวันเก่าๆ ยุค BBS เฟื่องฟู สนุกครับ ต้องคอยทำ Ratio เหมือนกับปัจจุบันที่มี bittorrent ที่จะต้องสร้าง ratio เหมือนกัน มุมผมเขียนโปรแกรมไม่ยาก แต่ยากตรงที่ต้องตั้งใจและหมั่นฝึกฝน ไม่มีทางทำได้โดยการอ่านแล้วไม่ลงมือทำ จากคุณ : tsetwk เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 15:11:09

ความคิดเห็นที่ 30 จริงๆแล้วพวกที่ทำงานด้าน Network Engineer กับ OS นี่ต้องเก่งการเขียนโปรแกรมมากนะครับ เพราะเป็นการเขียนโปรแกรมระดับ System Level ไม่ใช่ระดับ User Level ที่พวกเกมส์หรือเว็บแอพส่วนมากเขียนๆกันอยู่ มันมีความสลับซับซ้อนมาก และขั้นตอนการทำงานก็ไม่ได้ทำตามลำดับ (sequential) อาจโดนขัดจังหวะโปรแกรมได้ตลอดเวลา พวกนี้เป็นโปรแกรมเมอร์อีกระดับเลยครับ แต่ถ้างานของคุณคือการเซ็ตเราเตอร์ เซ็ตเซิร์ฟเวอร์ให้ทำงานได้ บล็อคพอร์ตได้ อะไรพวกนี้เรียกว่าเป็น Network Admin ครับ อาจจะไม่ต้องเขียนโปรแกรมเก่งมาก แต่ก็ควรเขียนสคริปต์ง่ายๆได้ เพราะคนกลุ่มนี้ทำงานกับข้อมูลปริมาณมาก ต้องใช้สคริปต์หรือโปรแกรมง่ายๆในการช่วยค้นหาสิ่งที่เขาต้องการ คุณจะใช้สคริปต์ที่มีคนอื่นเขียนให้ก็ได้ แต่มันก็เป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจน่ะครับ SA ที่เขียนโปรแกรมไม่ได้ ก็แปลว่าออกแบบกันตามตำราเข้าว่าเลยไงครับ มันก็พอถูไถไปได้นะถ้าเป็นระบบแบบพื้นๆ ถ้าระบบมีความซับซ้อนหน่อย SA พวกนี้ก็ต้องพึ่งทีมโปรแกรมเมอร์ให้มาช่วยคิดช่วยออกความเห็น แทนที่จะเป็นคนออกแบบระบบแล้วให้โปรแกรมเมอร์เขียนตาม ถ้าทีมดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอโปรแกรมเมอร์ลองของก็จะสะอึกเอาได้ แล้วคุณจะไปจับอะไรเขาได้ถ้าเขาส่งโค๊ดมาแล้วคุณอ่านไม่เข้าใจน่ะครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:18:47

ความคิดเห็นที่ 31 อาจารย์ HotChoc ตอบตรงใจจริงๆ ครับ ผมไม่ชอบเลยนะ ที่บอกว่า SA ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเป็น ผมจะบอกไว้เลยนะครับ โปรแกรมเมอร์ ใช้สมองเป็นอาวุธ ใคร งี่เง่า มึนๆ ไม่เก่งจริงไม่แข็งจริง รับรองซวย เรื่องนี้ไม่ใช่ แต่วงการคอมนะครับ อย่างที่ผมยกตัวอย่างทหาร จบนายร้อยไม่เจ๋งจริง เจออยู่หน่วยรบพิเศษ นายสิบ ท้าแข่งตัดร่ม แน่ ใครใจถึงจะเปิดร่มได้ต่ำกว่า ล่ะ พลาด ก็เห็นโลกใหญ่ ขึ้นๆ ก็นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วนะ ตำรา Software Engineer  มันเรียนกันทุกคน แต่ ลองของจริง เอาว่า บริหารการผลิต จัดคิวเครื่องจักร SA ไม่เคยเขียนโปรแกรม ตายสนิททุกราย จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 19:48:48

ความคิดเห็นที่ 32 ฟังดูเหมือนจะเป็นการถกกันของคนสองรุ่นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ผมก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกับคุณทาสเทวี   มีเด็กจากสถาบันหนึ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาเป็นพนักงานในองค์กรของผมหลายรุ่นหลายปีมาแล้ว รุ่นแรกๆ นั้นผมมีโอกาสคัดคนที่เขียนโปรแกรมเป็นเข้ามาทำงานเพื่อ customize ซอฟท์แวร์สำเร็จรูปให้ตรงกับงานประจำวันได้ แต่ปัจจุบันปัจจุบันไม่มีโอกาสเลย   เพราะทุกคนเป็นแต่จิ้มแอพพลิเคชั่นกันอย่างเดียว   programming กลายเป็นวิชาเลือกที่ไม่ค่อยมีคนเลือก   ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ   เมื่อไม่ได้เรียน programming เลยพาลไม่เข้าใจเรื่องฐานข้อมูลไปอีก   เวรกรรมเสียไม่มี แล้วลงท้ายที่สุดผมก็ได้วิศวกรเข้ามาทำงานที่ผมต้องการแทน   ส่วนนักจิ้มแอพพลิเคชั่นทั้งหลายผมไล่ลงไปทำงานแข่งกับพวกจบ ปวส. เคยพยายามบอกเรื่องนี้กับเพื่อนที่เป็นอาจารย์ในคณะดังกล่าว   เพราะได้ทราบว่ามีหลายองค์กรที่ทำอย่างเดียวกับผม   สงสารเด็กที่จบปริญญาตรีจะกลายเป็นแรงงานฝีมือไปเพราะอาจารย์ปรับเปลี่ยนไม่ทัน แต่ยังไม่ได้ผลนะ   ต้องทำใจเป็ยอุเบกขาไปก่อน จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 09:40:34

ความคิดเห็นที่ 33 รุ่นใหม่ที่เก่งโปรแกรมก็มีนะครับ อย่างเด็กที่ได้รับรางวัลและครูหน้าด้านฉกไปเป็นผลงานเสนอ Microsoft ประเทศไทย จนถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปต่างประเทศไง อย่างไรประเทศไทยก็ยังมีเด็กที่เก่งโปรแกรมแยะ พวกแ่ข่ง robotics ก็ต้องเล่น assembly programming กันทั้งนั้น พวกทำ project control ก็ต้องโปรแกรมกันทั้งนั้น อาจไม่ใช่วิทย์คอม์ ก็เป็นพวกวิศวะคอมพ์ที่ต้องเขียนโปรแกรมเป็นครับ ไม่งั้นคุมเครื่องจักรกลไม่ได้ ทำ project ไม่ได้ครับ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 20:04:31

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ K.Senior พูดถูกครับ ว่าเด็กเ่ก่งมีแต่ผมมองที่มวลรวม เช่น วิทย์คอมผลิตคนมาร้อยคนอยากได้ คนเขียนโปรกรมมืออาชีพ ซัก 30 คนได้ไหมแต่ตอนนี้มันแค่ 5 คนเองที่เหลือ เป็นอะไรก็ไม่รุ้ ส่วนเรื่อง แข่งRobot ผมมองว่าเป็นปาฮี่ มากกว่า เหมือนหมากระโดดลอดบ่วงไฟ นั่นแหละ ผมเคยเจอหมา ที่ ลอดบ่วงไฟหมาทหารนี่แหละ ไปฝึกภาคสนาม สุดท้าย ต้องอุ้มหมา ไปด้วยเพราะมันเหนื่อยก่อน พวกเด็กแข่งแบบนี้ก็จริงๆ มันมีบริษัท รับจ้างทำโปรเจคให้แล้วสอนเด็กด้วยนะครับให้เขียนให้แต่งโปรแกรมเป็น เลยว่า มันปาฮี่หมด จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 10:28:07

ความคิดเห็นที่ 36 ในฐานะคนแค่เคยทำงาน กึ่ง ba/sa พบว่าถ้าคุณไม่เคยprogramming เลยสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือคุณจะออกแบบ โปรแกรมได้ยาก เพราะคอมจะมีข้อจำกัดบางอย่าง ที่บางทีทางเลี่ยงก็ง่าย บ้างก็ยาก เด็กใหม่ที่เขียนโปรแกมไม่ได้มักจะคิดเองไม่เป็นออกแบบตามคำสั่ง user โดยไม่ดูความเป็นไปได้ของระบบ พอไปต่อรองกับ developer ก็ถูกตีกลับ บางทีถูกหลอกว่าทำไม่ได้กลับมา ก็ต้องมาวุ่นวายขอปรับ requirement กับuser อีก เสียเวลา งานก็ออกมาไม่ดี แก้มากใช้ยาก user ก็ไม่ใช้ บริษัทเสียเงินเปล่า เฮ้อ จะทำอะไรก็แล้วแต่ เขียนโปรแกรมหรือสคริปต์ด้วยภาษาอะไรก็ได้ แต่อย่างน้อยควรมีประสบการณ์บ้างจะได้เข้าใจวิธีคิด การออกแบบโปรแกรมของจริง จะได้ทำงานได้ดี ทันเกม developer. ที่มักเจอคือบอกเด็กว่าไม่ได้ พอเราไปไล่ก็ว่าได้แต่ยากเสียเวลาเขา แต่เขาก็ไม่ได้ดูมุม user ว่าที่เพิ่มขั้นตอนusrr แค่step ให้เขาพัฒนาง่าย พอนับเป็น man แล้วมันไม่คุ้ม เพิ่มเวลาพัฒนาซะเดือนยังคุ้มกว่า ส่วนมหาลัย ที่อเมริกา ภาควิชาเขาจะไม่สอนทุกภาษา แต่จะเน้นภาษาที่เป็นเทรน technology ไปเลย ถ้าได้ concept logic & algorithm & database แล้ว syntax ภาษาที่สนใจ นักเรียนไปต่อยอดเองได้ จริงๆคอมพิวเตอร์มี software เป็นสมอง OS ก็เกิดจากการ programming. Network ก็ต้องมี script ซึ่งก็คือชุดคำสั่งหรือ programming เล็กๆนั่นแล จะเขียนด้วยภาษาอะไรก็ตามไม่สำคัญเท่า logic/algorithm ที่สั่งให้มันทำงาน ไม่ต้อง programing ก็ได้ ถ้าคุณเข้าใจวิธีเขียนlogicที่ถูกต้อง ปัญหาคือ ถ้าไม่เคยลงมือทำ จะรู้จริงได้ไง พอมาทำงาน เป็นหัวหน้าคน เหนื่อยที่สุดกับคนรู้ไม่จริงและไม่คิดพัฒนาตัว แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 21:53:25 จากคุณ : myone เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 21:31:04

ความคิดเห็นที่ 37 ผมเป็นนิสิตกำลังเรียนอยู่ปี4 สาขาวิทยาการคอมพ์ครับ ผมว่าการที่เขียนโปรแกรมไม่ได้เลย ผมว่ามันไม่ล้มเหลวเสมอไปนะครับมันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน ผมก็เป็นคนนึงที่เขียนโปรแกรมไม่ได้เรื่องเลย ถึงจะเข้าใจในหลักการและรูปแบบของการ coding ก็ตาม เพราะว่าเป็นคนไม่มีจินตนาการในการเขียนครับ ไม่ค่อยชอบคิดออกแบบซักเท่าไหร่ แต่ที่ทำโปรเจคส่งอาจารย์ได้เพราะว่าอาศัยความรู้ในการเขียนโค้ดที่เรียนมา แล้วหาโค้ดจากที่อื่นเอามา รวม เอามาปรับให้เป็นโค้ดของตัวเอง จนกลายมาเป็นโปรเจคของตัวเองส่งอาจารย์ แล้วก็ผ่าน(ตอนนี้รอฝึกงานอยู่ครับ) อันนี้ถือว่าล้มเหลวมั๊ยครับ ***อออีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองชอบในการปกครอง ชอบในการบริหารบ้านเมือง ตอนเรียนปี 4 เนี่ยแหละครับ จะกลับไปเรียนปี 1 ใหม่ก็สงสารพ่อแม่ที่หาเงินส่ง ก็เลยเรียนๆไปให้จบก่อน แล้วค่อยหาเรียนที่เราชอบอีกทีนึง ผมว่าหลายคนที่เขียนโปรแกรมไม่ได้คงมีปัญกาอย่างเดียวกับผมก็เป็นไปได้นะครับ จากคุณ : เด็กฝึกหัด เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 02:16:27 A:119.42.99.86 X: TicketID:360489