ความคิดเห็นที่ 1 อ่านน้อยเพราะไม่สนใจอ่านมากกว่าครับ ผมซื้อหนังสือสบายๆ ผมยังอ่านแต่นิยายไม่กี่เรื่องเองที่ผมสนใจ ไม่ได้อ่านตลอดเวลา ในความรู้สึกผมตั้งแต่เด็กนะครับ พูดถึงเรื่องอ่านหนังสือ มันจะโยงไปหาหนังสือเรียน ซึ่งเราถูกบังคับท่องจำอย่างน่าเบื่อสุดขีดมาตั้งแต่เด็กๆ จนจำฝังใจไปแล้วว่าการอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องสนุก นอกนั้นก็อ่านการ์ตูน แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 10:07:11 จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:05:50

ความคิดเห็นที่ 2 Yes จากคุณ : somsu (somsu) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:20:18

ความคิดเห็นที่ 3 จากทัศนะของคนที่ชอบอ่านหนังสือนะครับ ห้องสมุดที่เป็นจริงเป็นจังมันมีน้อยมากครับ ไอ้ประเภทห้องสมุดชุมชนที่ทำกันมา พอออกข่าวเสร็จก็ชั่งกิโลขายกันแล้ว ขนาดห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัดสมุทรปราการ ยังเล็กราวกับรังหนู หนังสือหนังหาอะไรก็น้อยมาก เข้าไปนะ เหอ เหอ เหอ ไม่รู้งบซื้อใหม่มันหายไปไหน มีแต่หนังสือเก่า ๆ ขาด ๆ บริจาค ตามโรงเรียนมัธยมก็เอาห้องสมุดไปซุกไว้ กลัวคนเข้า คนนอกเข้าไปก็จับตาดูซะ ขนาดเอาหนังสือไปบริจาคยังขี้เกียจรับ บรรณารักษ์ขี้เกียจทำงาน แล้วเดี๋ยวนี้หนังสือแต่ละเล่มก็แพงแสนแพง ส่วนใหญ่ก็ครึ่งหนึ่งก็เท่ากับรายได้ต่อวันทั้งนั้น (ให้คิดที่ราคา 200 บาทก็พอนะครับ อย่าเพิ่งไปหน้าใหญ่ใจโตคิดที่ราคา 300 บาทต่อวันเลย) ดูกร หนังสือหลอกเด็กของคุณเข็มทิศนั่นปะไร วนไปวนมา ไม่มีอะไร BANG !!! 200 บาทแล้ว  ไหนจะศิษยานุศิษย์คุณเข็มทิศที่ขยันออกมากันแบบน้ำท่วมทุ่ง ใคร้ใครจะไปซื้อหาอ่านไหวครับ คส.คส. ที่ว่า 20 บาทเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ HOAX จาก internet ไม่ไหวครับ Thailand Only จากคุณ : นักแปลผู้แพ้อาหารทะเล เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:24:13

ความคิดเห็นที่ 4 ผมมีความคิดเห็นว่า ที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยคงไม่ใช่เรื่องของรายได้น้อยอย่างเดียว เพราะว่าหนังสือดี ๆ หาอ่านฟรี ๆ ก็มีเยอะแยะ และการอ่านก็ไม่จำเป็นต้องอ่านจากหนังสืออย่างเดียวเช่นกัน เช่น การอ่านจากป้ายโฆษณา ต่าง ๆ เมนูอาหาร ใบปลิว อ่านกระทู้ตามอินเตอร์เน็ต ฯลฯ และเรื่องรายได้น้อยแล้วทำให้ซื้อหนังสือน้อยก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะเท่าที่ผมสังเกตุ เราน่าจะเห็นกันชัด ๆ ว่าคนไทยถึงรายได้จะน้อยแต่ก็ออกรถใหม่กันมากขึ้นทุกปี มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ใช้กันทั่ว สมาร์ทโฟน แท๊บเล็ต ผมยังเห็นเด็กประถมมีไอโฟนใช้หนะ บางทีมันอยู่ที่ค่านิยมด้วยละครับ แต่ถึงอย่างไร ผมก็เข้าใจเจตนาของเจ้าของกระทู้ที่อยากจะเห็นคนไทยรักการอ่านกันมากกว่านี้ ผมขอเป็นแรงใจอีกทางหนึงด้วยละกันครับ ^^ จากคุณ : noomsis เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:31:47

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนตัวผมเห็นด้วยว่า ราคาหนังสือที่ค่อนข้างสูง เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง (ไม่ใช่ทั้งหมด) ที่ทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อยที่ไม่ได้อยู่ตัวเมือง สมัยก่อนผมเองซื้อหนังสือบ่อยนะ (โดยเฉพาะวารสารคอมฯ ซึ่งราคาค่อนข้างสูงพอควร) แต่หลายปีหลังนี่เลือกซื้อเฉพาะที่ต้องการเก็บจริงๆ เท่านั้น แล้วไปใช้บริการร้านเช่า หรือห้องสมุดแทน หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ก และพวกนิยายต่างๆ ถ้าทำเป็นเวอร์ชันกระดาษธรรมดาราคาถูก ออกมาคู่กับเวอร์ชันแบบสวยๆ สำหรับเก็บสะสมด้วย น่าจะทำให้คนซื้ออ่านมากขึ้น เหมือนหนังสืออเมริกา มีแบบ hardcover (ปกแข็ง) และแบบ paperback (ปกอ่อน) เคยเห็นมีข้อมูลว่า รัฐบาลจีน ส่งเสริมเรื่องการอ่าน ทำให้ราคาหนังสือส่วนใหญ่ไม่แพงนัก (ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงเท็จแค่ไหน) *** เพิ่มเติม *** เห็นด้วยกับค.ห.๓ คุณนักแปลผู้แพ้อาหารทะเล รู้สึกแบบเดียวกันเลยครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 11:01:46 จากคุณ : HudchewMan เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:59:25

ความคิดเห็นที่ 6 มีส่วนครับ จากคุณ : สยามวรรณกรรม เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:05:09

ความคิดเห็นที่ 7 เพราะประเทศนี้เหล้าราคาถูกกว่าหนังสือครับ คนไทยบริโภคสุรามากกว่าอ่านหนังสือครับ กินกันตั้งแต่วัยเริ่มรุ่นจนจะเข้าโลงโน่นละครับ คนอ่านหนังสือจริงจังนั่นนะ คนส่วนน้อยของสยามประเทศครับผม จากคุณ : นายธุรการ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:17:34

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นพวก gossip ดาราต่างๆ ขายดี ยังกะแจกฟรี สีทั้งเล่ม 20 บาท เอง ถ้าสอดแทรกความรู้ที่ถูกต้อง และมีประโยชน์ ไปซะเล่มละหน้า คงจะดีไม่น้อย จากคุณ : vkp_nirvana เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:47:02

ความคิดเห็นที่ 9 ที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยเพราะเงินเดือนน้อยใช่ไหมครับ ^ สำหรับเราแล้ว คำตอบคือ "ใช่" กับ "ไม่ใช่" ก่อนอื่นต้องแยกประเด็นว่า "หนังสือภาษาอะไร" เราแทบไม่ได้ซื้อหนังสือภาษาไทยมาอ่านเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าศาสตร์ต่างๆที่เราสนใจ อย่างเช่น หนังสือ howtos สอนวิธีคิดวิธีเพิ่ม iq ตำราโยคะ ตำราการแพทย์แผนจีนฯลฯ มันไม่มีเป็นภาษาไทยส่วนใหญ่จะเป็นฉบับแปล เราเลยอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษมันซะเลย  เราค้นคว้าเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเยอะมากๆซึ่งมันก็ต้องค้นคว้าจากหนังสือที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเขียนไว้อยู่แล้วเพราะหลักวิชาการมันทำให้เราเก่งเร็วกว่าเรียนจากหนังสือที่คนไทยเขียน เมื่อก่อนเราเคยอุดหนุนหนังสือคอมพิวเตอร์ที่คนไทยเขียนนะ เพราะมันอ่านเข้าใจง่ายดี แต่นานวันเข้าเราชำนาญ google มากๆขึ้นเรื่อยๆ เราต้องการทำอะไรกับคอมพิวเตอร์เช่น flash bios คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เรา เราก็หาข้อมูลจาก google เจอหมด โดยไม่ต้องซื้อหนังสือภาษาไทยอีกเลย ข่วงหลังๆนี้เราเรียนรู้จาก video เยอะมากๆ เพราะมันเร็วดีๆ อย่างเช่นเราอยากรู้ว่า make up artists เขาแต่งหน้าให้ผู้หญิงยังไงถึงเก่งกว่าคนธรรมดาทั่่วๆไปแต่ง เราก็หา video สอนที่ฝรั่งทำไว้มาดู ซ่อมคอมพิวเตอร์หรือแม้กระทั่งวิชาแทงเข็ม (acupuncture) เราก็หา videos การสอนเป็นภาษาอังกฤษมาดูได้หมด ขนาดเรียนออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องเรายังเรียนจาก videos ได้ดีกว่าจากหนังสือเลย สรุปแล้วถึงเราจะไม่คิดว่าหนังสือภาษาไทยมันแพง แต่เราก็ไม่ได้ซื้อหนังสือภาษาไทยมาแล้วตั้ง 10 กว่าปี เพราะมันหาเนื้อหาสาระที่เราอยากอ่านไม่มี และเผอิญเราก็ไม่ชอบอ่านนิยายไทยด้วย  แต่หนังสือภาษาอังกฤษคุณภาพดีกว่าเยอะ อีกทั้งหนังสือภาษาอังกฤษ (รวมทั้ง videos การสอน) ดีๆ ใช้ google หาของฟรีได้เพียบเลยหละ มันประหยัดเงินมากๆเลยหละ แม้กระทั่งการเรียนภาษาต่างชาติเช่นภาษาจีน สื่อการสอนภาษาจีนที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษหรือทำเป็น software ใช้เรียนภาษาจีนที่มี user interface เป็นภาษาอังกฤษ ก็เหนือชั้นกว่าหนังสือภาษาไทยแนวนี้ ตั้งหลายเท่า ยิ่งเรียนๆไปแล้วติดศัพท์ภาษาจีนนะ ค้นจาก dictionaries ที่เป็น software แปลจีนเป็นอังกฤษ มันรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหลายเท่ามากกว่าใช้ dictionary จีนเป็นไทยที่ผลิตเป็นหนังสือกระดาษ คือสรุปแล้วหนังสือภาษาไทยยังให้ความรู้ในเรื่องศาสตร์ต่างๆอันหลากหลายได้ไม่ดีเท่าหนังสือภาษาอังกฤษ และเผอิญเราก็ไม่ติดนิยายไทยเราก็เลยไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องซื้อหนังสือภาษาไทยไปอ่าน เราเชื่อว่าถ้าคนไทยหลายๆคนอ่านภาษาอังกฤษได้แตกฉานกันมากๆขึ้นเรื่อยๆ แล้วชอบค้นคว้าศึกษาหาความรู้ในเรื่องศาสตร์ต่างๆที่หลากหลายมากๆ ในแนวที่ไม่มีคนไทยเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้เขียนหนังสือเอาไว้ รับรองว่า "ยอดขายหนังสือภาษาไทยต้องลดลงเรื่อยๆ อย่างแน่นอน ถ้าผู้ผลิตหนังสือภาษาไทยไม่ปรับปรุงเนื้อหาสาระให้ให้ความรู้ให้หลากหลายได้มากกว่าเท่าที่เป็นอยู่" แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 12:59:24 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 12:09:43 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 12:02:17 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:48:33

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่า มาจากการที่เราไม่ได้รับการปลูกฝังให้อ่านซะมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ที่ชอบ และรักการอ่านจริงๆนะ ที่ชอบอ่านโดยนิสสัย ไม่ได้ถูกบังคับ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่มีเงินซื้อ ก็ไปห้องสมุด หรือไปยืนอ่านตามแผงหนังสือก็เอา ก็คงจะคล้ายๆกับที่ว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจในงานศิลป์ หรือรู้จักคุณค่าของวัตถุโบราณ งานฝีมือเก่าๆ ที่มีค่าเท่าไรกันเท่าไรนัก มักจะรื้อบ้านเรือนเก่าๆที่มีคุณค่าทางประวัติศาสน์...เพื่อที่จะเอาพื้นที่ ไปสร้างตึกใหม่ๆทันสมัยขึ้นมา...ได้เงินมากกว่า ผมได้เคยเข้าบ้านผู้ใหญ่ บ้านญาติ บ้านเพื่อน และบ้านคนรู้จัก มากมาย ทั้งผู้ที่รับราชการมีหน้าที่การงานสูงๆ และผู้ประกอบธุระกิจส่วนตัว ไม่เคยเห็นบ้านใครมีห้องสมุดเลย มีแต่ของประดับโชว์ถึงฐานะ น้อยมากๆที่จะเห็นชั้นวางหนังสือ บางคนที่มีก็บอกว่า...ไว้โชว์ เมื่อก่อนโน้น ผมเองก็ไม่ได้เคยชอบอ่านเท่าไรนัก เพราะระบบการศึกษาของบ้านเรา พอไปเรียน ตปท. ครูบอกให้อ่าน แล้วนำสิ่งที่อ่านมาพูดคุยกันในห้องเรียน ก็อ่านแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ หรือเข้าใจในสิ่งที่อ่าน พูดคุยอะไรกับเขาก็ไม่รู้เรื่อง ผลคือ ไม่สามารถที่จะผ่านวิชานั้นไปได้ มาเข้าใจต่อเมื่อครูเรียกไปคุย บอกว่าหากไม่อ่าน ไม่ทำความเข้าใจกับสิ่งที่อ่าน ก็จะไม่มีทางที่จะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราได้ดี เท่ากับคนอื่นๆ เรื่องที่จะพูดคุยอะไรกับใครก็น้อยนิด ความคิด ความอ่านมันก็จะแคบ รู้เท่าที่รู้ เท่านั้น ผมดีขึ้นครับ...แต่อย่างไรก็ยังไม่ถึงกับเรียกได้ว่านักอ่าน เพียงแต่ว่าอ่านมากขึ้น จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 12:09:09

ความคิดเห็นที่ 11 ขี้เกียจ จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 13:13:02

ความคิดเห็นที่ 12 ห้องสมุดประชาชนของหาดใหญ่นี่ โคตรจะเล็ก ร้อนนนน หนังสือน้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แถมบางเรื่องก็ขาดหายบางเล่ม พอขอให้ช่วยค้นหนังสือในคอมให้หน่อย ดันทำไม่ได้ ห่วย จากคุณ : นานาอาละวาด เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 13:35:30

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนเด็กๆ ที่บ้านไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ มีแต่หนังสือพวกฟ้าเมืองไทย ฟ้าอาชีพ อสท. ของพ่อเลยชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก แต่ทำไมไม่ชอบอ่านหนังสือเรียนก็ไม่รู้... การอ่านหนังสือผมว่าอยู่ที่การปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่เด็กนะครับ ให้อยู่กับหนังสือบ่อยๆ ไม่ใช่อยู่แต่หน้าจอทีวี หน้าจอคอมพ์เล่นเกมส์... สำหรับเรื่องราคาหนังสือ แพงจริง ครับ ไปยืนอ่านหนังสือในร้าน อยากซื้อกลับมาน่ะ แต่เห็นราคาแล้วก็ต้องวางไว้ก่อน เอาตังส์ไปกินข้าวได้เป็นอาทิตย์... จากคุณ : allzero เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 14:20:59

ความคิดเห็นที่ 14 ราคาหนังสือแพงจริง แต่คนไม่ซื้ออ่านเพราะเงินเดือนน้อย..หรือเปล่าไม่แน่ใจ อาจจะเพราะบางคนให้ความสำคัญกับหนังสือไม่เท่ากัน เล่ม 300 ไม่ซื้อ แต่ค่าโทรศัพท์ต่อเดือนเฉียดพัน ดูหนัง 2 ที่นั่งรวมป็อบคอร์นก็สามสี่ร้อย หากสนใจจะอ่านอยากอ่านจริงๆ เราว่าก็ซื้อเถอะค่ะ นานๆ ซื้อทีก็ได้ อย่าเพิ่งคิดถึงภาพรวมภาพใหญ่ที่เราเองไม่สามารถจะไปควบคุมอะไรได้ เราว่านะ.. จากคุณ : renton_renton เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 15:37:33

ความคิดเห็นที่ 15 คิดว่าไม่จริงเสมอไปครับ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:28:45

ความคิดเห็นที่ 16 เราก็เงินเดือนน้อย แต่คิดว่าอ่านหนังสือเยอะพอสมควรนะ อิอิ คนอยากอ่าน มันก็หาทางขวนขวายหามาอ่านจนได้ละค่ะ ยืมเพื่อนบ้าง เช่าบ้าง ซื้อมือสองบ้าง แต่ถ้าคนไม่อยากอ่าน หรืออ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้ ก็จะเอาราคาหนังสือมาเป็นข้ออ้างน่ะ จากคุณ : Beauty&Stupid เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:32:38

ความคิดเห็นที่ 17 เราไม่คิดว่าเป็นปัญหาเรื่องเงินเดือนน้อยกับราคาหนังสือแพงเกินความสามารถของคนทั่วไปนะ เทียบราคาตั๋วหนังกับราคาหนังสือ ก็น่าจะมีที่ราคาประมาณเดียวกัน เห็นด้วยกับคุณ fortuneteller ว่าปัญหาคือหนังสือภาษาไทยมีไม่หลากหลายค่ะ สู้เรียนภาษาอังกฤษแล้วค้นหาเอาจากอินเตอร์เน็ทดีกว่า อินเตอร์เน็ทเทียบเท่าได้กับห้องสมุดของโลกถ้าหากเรารู้จักใช้ เร็วกว่า ข้อมูลเยอะกว่า และส่วนใหญ่จะฟรี ทุกวันนี้เราก็เลิกซื้อหนังสือไทยแล้วเหมือนกันนอกจากพจนานุกรมภาษาไทย เพราะหนังสือภาษาไทยเท่าที่มีไม่สามารถตอบโจทย์เราได้เมื่อเราต้องการอ่านเนื้อหาทางวิชาการหรือบางแง่มุมที่หาเอาจากอินเตอร์เน็ทไม่ได้ ในขณะที่หนังสือภาษาอังกฤษมีให้เราเลือกเป็นสิบๆเล่ม จากคุณ : The Starry Night เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 22:56:37

ความคิดเห็นที่ 18 การอ่านนั้น เป็นเรื่องของ รสนิยม ความชอบ การปลูกฝัง  และวัฒนธรรม เวลาไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะญี่ปุ่น หรือยุโรป ขณะที่ใช้รถโดยสารประจำทาง จะเป็นใต้ดินหรือบนดิน จะมีคนหลายคนอ่านหนังสือพิมพ์  หรือหนังสืออื่นก็แล้วแต่ ทำไมเป็นเช่นนี้ ต้องเข้าใจรากฐาน ความคิด และพฤติกรรมของชาวตะวันตกด้วย ว่า ปัจเจกนิยม (individualism) เขาใช้เวลาพัฒนาเติบโตมานานนับร้อยๆปี โดยเฉพาะตั้งแต่การเกิดแท่นพิมพ์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 การเกิดยุคความรุ่งเรืองทางปัญญาในศตวรรษที่ 18 เหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดเรื่องศักยภาพของแต่ละบุคคล (ปัญญาชน) นักเขียน ถือว่าเป็นผู้นำสังคม เป็นบุคคลสำคัญ เป็นคนดัง (เทียบได้กับซุปตาร์ ในปัจจุบัน) การผลิตผลงานของตน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความเห็น ความรู้ เป็นเรื่องที่ผู้อื่นสนใจ และในยุคก่อน สื่อที่กระจายได้ง่ายและเร็วที่สุด คือหนังสือ ดังนั้นคนที่ต้องการรู้ ต้องการเรียน จึงต้องพึ่งหนังสือก่อนสื่ออื่นใด อีกทั้งยังเป็นสื่อที่เก็บ ตกทอด เป็นทรัพย์สมบัติได้ จริงอยู่หนังสือเป็นสินค้าที่แพง และอาจจะเข้าถึงได้ไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน (เช่นก่อนที่อับราฮัม ลิงคอห์น จะได้เป็นประธานาธิบดี เขาอ่านหนังสือจากกระดาษห่อของขาย หรือจะบอกว่าเป็นคนรักเรียน เรียนด้วยตัวเองก็ได้) แต่ห้องสมุดส่วนใหญ่จะมีให้บริการตามหัวเมืองต่างๆ และเนื่องด้วยความเป็นปัจเจก่ชนที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตก การเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ละคนหากต้องการความก้าวหน้าให้ชีวิต จึงจำเป็นต้องอ่าน ในขณะที่สังคมไทย เน้นเรื่องการเรียนรู้แบบมุขปาฏะ หรือถ่ายทอดทางปาก งานเขียนจึงเกิดขึ้นน้อย การพิมพ์ของเราเพื่งจะมีได้ไม่ถึง 150 ปีเสียด้วยซ้ำ อีกประการหนึ่งคน คนไทยได้รับการสั่งสอนให้เชื่อ ให้จำเป็นหลัก มักจะไม่อ่านหลายเล่ม ไม่ตั้งคำถาม ไม่สงสัย ไม่คิดต่อ (ปวดหัว) จึงทำให้การเรียนรู้ไม่พัฒนา ไม่เกิดสิ่งใหม่ ที่จะมาเขียนหรือถ่ายทอด การอ่านในประเทศเรา จึงไม่งอกงามเท่ากับในประเทศตะวันตก จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 01:41:50

ความคิดเห็นที่ 19 พูดถึงหนังสือก็นึกถึงห้องสมุดในโรงเรียน   โรงเรียนดังๆ กับโรงเรียนวัดโนเนม  ช่างมีบรรยากาศต่างกันมาก โดยเฉพาะ ชนิด/จำนวน/ประเภท ของหนังสือ เข้าใจว่าคงลงทุนไม่เท่ากัน ---แค่บ่นเฉยๆ จากคุณ : siru เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 19:48:51

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านไม่ค่อยออกครับ จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 20:13:10

ความคิดเห็นที่ 21 ส่วนตัวผมว่า Samples ที่นำมาวิเคราะห์ของคุณหมอดู "ไม่ตรงกับโจทย์" เพราะโจทย์ระบุว่า "คนไทย" ไม่ใช่ "คนกรุงเทพ" แต่สื่อที่คุณหมอดูพูดมา มันเป็นสิ่งที่ "คนกรุงเทพ" ใช้ ไม่ใช่ "คนไทยทั้งประเทศ" ใช้ครับ เอาอย่าง ชุมชนเคหะบางพลี มีจำนวนคนอาศัยอยู่ในนั้นประมาณ 1 แสนคน (ตอนนี้ผมไปสอนคอมพิวเตอร์ เป็นวิทยาทานให้นักเรียนตามโรงเรียนแถวนั้น) จึงสังเกตเห็นว่า ตามตลาด ตามจุดนัดพบ ร้านหนังสือที่คนเดินเข้าออกบ่อยที่สุด คือ 7-11 และเป็นคนหมู่มาก ประมาณ 90% ของชุมชนตรงนั้น คือประมาณ 90,000 คน เป็นชนชั้นกรรมาชีพ ที่มีรายได้เพียงกรอกหม้อไปวัน ๆ ส่วนร้านหนังสืออย่าง Se-ed หรือร้านนายอินทร์ นั้น กลับเป็นคนชั้นกลาง และกลางตอนปลาย กับนักเรียน นักศึกษา (ระดับมัธยม) ที่เข้าไปซื้อกัน คุณหมอดูน่าจะลองเข้าไปดูอะครับ ใน 7-11 มันมีหนังสืออะไรบ้าง คนไทยก็ไปยืน ๆ อ่านบ้าง ที่ซื้อก็ไม่พ้น หนังสือพิมพ์ หนังสือบอลล์ พระเครื่อง หาคู่ แค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ... อย่างเข็มทิศชีวิตบ้าบออะไรนั่น ก็ส่งกลับทั้งนั้นแหละ เข้าใจไหมครับ ว่า "คนไทยทั่วประเทศ" เขาไม่ได้มีโอกาสมากเหมือนคน กทม. ไม่ได้มีเงินมากพอเหมือนคน กทม. กอปรกับ คิดว่า หาเช้ากินค่ำ จะอ่านอะไรมากมาย เด็ก ๆ มาเล่นเกม ไม่อ่านหนังสือ แต่พ่อแม่ยังทำโอที ประมาณนั้น ขาดแรงส่งเสริมครับ ปล. ห้องสมุดปริมณฑล และต่างจังหวัด อนาถกว่าห้องสมุดโรงเรียนประถมใน กทม อีกนะครับ จากคุณ : นักแปลผู้แพ้อาหารทะเล เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 22:21:19

ความคิดเห็นที่ 22 ผมโชคดีเป็นเด็กธนบุรี แม้ว่าจน เิดินไปโรงเรียน 12 ปี แต่ฝั่งธนมีห้องสมุดประชาชนดีๆ เช่นวัดอนงคาราม วัดเวฬุราชิน ทั้งสองแห่งผมอ่านแทบจะหมดทุกเล่มในห้องสมุดแล้ว อย่างวัดอนงค์ มี graded readers ให้อ่านด้วย พอเรียน มศ.1 ข้ามแม่น้ำ ก็มีห้องสมุดที่ดีอันดับ 1 2 ของประเทศที่ฟรี คือ British Council อยู่ติดโรงเรียนอีก ก็ได้อ่านพวก graded readers ได้มากถึงมากที่สุด รวมทั้งมีเทปให้ยืมฟังอีก เรื่องไม่มีเงิน ไม่รักการอ่าน คงจะไม่ใช่ครับ มันอยู่ที่ตัวเด็กเอง จะว่าอยู่กับพ่อแม่ก็อาจจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับผมไม่ใช่ เพราะพ่อแม่ผมอ่านไทย เขียนไทยไม่ได้ พูดได้จริงเพราะอยู่เมืองไทยมานานก็แค่นั้น ถ้าเด็กฉลาด เรียนแล้วรู้จักคิด ก็จะรักการอ่าน รักการเรียนเอง ไม่ต้องให้พ่อแม่หนุนครับ แต่ลูกชาย ลูกสาวผม ชอบอ่านหนังสือ เพราะมันเห็นผมอ่านมาตั้งแต่เกิด อ่านทุกวัน ทุกเช้าต้องอ่านหนังสือพิมพ์อังกฤษที่มาส่งที่บ้าน เห็นมาตลอดว่า พ่อรักการอ่านมากที่สุด ก็เลยชอบอ่านเหมือนพ่อ แต่ก็ยังไม่มากเท่าพ่อ เพราะมันมีสิ่งอื่นๆ มาแทรกคือทีวีครับ ปล วัดอนงค์ วัดเวฬุ อยู่ห่างจากบ้านผมต้องเดิน 3-4 กม แต่ผมก็ยังเดินไปอ่านช่วงหยุดเทอมทุกวัน บางทีวันเสาร์ อาทิตย์ก็เดินไปอ่านครับ จางวางหร่ำว่า คนมันจะเอาถ่าน อยู่ไหนก็เอาถ่าน ผมว่า คนรักการอ่าน จะจน จะลำบาก ก็ยังหาโอกาสอ่านได้เสมอ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 04:16:54 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 04:13:00

ความคิดเห็นที่ 23 การที่เราชอบอ่านหนังสือหรือไม่ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากครอบครัวที่หัดให้อ่านกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆนะคะ เพราะถ้าพ่อแม่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ก็พลอยสอนให้ลูกอ่านไปด้วย ไม่มีเงินก็ยังหาอ่านได้ถ้าใจรัก ไม่น่าเกี่ยวกับมีเงินเดือนน้อยหรอกค่ะ จากคุณ : my little jijie เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 09:40:59

ความคิดเห็นที่ 24 คิดหลายมุม 1ลองกลับคำกันดูจะได้ว่า เราเงินเดือนน้อย เพราะอ่านหนังสือน้อย 2อันที่จริงจำนวนหนัีงสือที่อ่านกับเงินเดือนมันเกี่ยวกันยังไงน๊อ มันน่าจะเกี่ยวกับคุณภาพของหนังสือที่อ่านมากกว่า 3เราใช้เงินตั้งเยอะกับเรื่องอื่นๆ มือถือราคาแพงซื้อหนังสือได้หลายร้อยเล่ม ตั้งโจทย์ให้ถูกแล้ววิธีการจะมากับคำตอบค่ะ กาตั้งคำถามสำคัญกว่าการตอบคำถามนะคะ จากคุณ : yadadeeda12 เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 22:38:54

ความคิดเห็นที่ 25 ^^^^^^^ What a pity to have no more gives to click for you! But what you ve said is absolutely awesome! จากคุณ : allegro ma non troppo (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 00:35:47

ความคิดเห็นที่ 26 พอดีว่าคืนที่ผ่านมามีครอบครัวหนึ่งเข้ามากินอาหารที่ร้าน ความจริงก็เป็นลูกค้าประจำละครับ เลยคิดว่าน่าจะเป็น ตัวอย่างที่ดีได้ว่า เมื่อคนเรารักที่จะอ่านแล้ว ก็จะอ่านเอง อาจจะได้รับการแนะนำ และปลูกฝังจากผู้ปกครองมาบ้าง แต่ฐานะ ไม่น่าจะใช่เรื่องสำคัญ สำหรับคนที่ใฝ่อ่าน เห็นค่อนข้างชัดเจนจากครอบครัวนี้ ซึ่งเป็นลูกชายทั้งสองคน ตอนนี้อายุ 11 ขวบ กับ 10 ขวบ อายุต่างกันเพียงปีเดียว แต่เห็นมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน พ่อ-แม่ สอนเหมือนกันทุกอย่าง ไปโรงเรียนเดียวกัน คนพี่จะชอบเล่นเกมส์บน smart phone ในขณะที่คนน้อง จะมีหนังสือติดตัวมาเสมอ คราใดที่ลืมหนังสือ ก็จะขอยืมหนังสือที่ทางร้านมีไว้ให้ลูกค้าอ่าน ซึ่งเป็นหนังสือที่ภาษา จะยากสำหรับเด็กวัยนั้น แต่ผู้ปกครองบอกว่าเขาอ่านทุกอย่าง หนังสือพิมพ์ไทยที่แม่อ่าน ไปจนถึงหนังสือพิมพ์ ภาษาอังกฤษทุกฉบับที่พ่ออ่าน เมื่อไม่มีอะไรจะให้อ่าน ก็จะเสาะหามาจนได้ แต่คนพี่กลับไม่ได้มีความสนใจเลย แอบคิดเองว่า อาจจะมากไปซักนิด จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 02:05:10

ความคิดเห็นที่ 27 ผมว่าห้อง สมุดมีน้อยนะครับ ในกทม. นะ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 13:29:22

ความคิดเห็นที่ 28 เพราะหนังสือแพงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพค่ะ ส่วนห้องสมุดเราว่ามีน้อย ไม่สะดวกใช้ (มันต้องใช้ความพยายามมากหน่อยในการจะไปยืมอ่าน) จากคุณ : เขียนบน iPhone (charot) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 55 03:44:03

ความคิดเห็นที่ 29 ที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยเพราะเงินเดือนน้อยใช่ไหมครับ <<< โดยส่วนตัวเราว่าไม่จริง เป็นที่นิสัยมากกว่า ที่ออฟฟิศหาซื้อหนังสือดีๆ มาให้ไว้เป็นตู้ๆ คนที่ไม่อ่าน ยังไงเค้าก็ไม่อ่าน เราไป TK Park ทุก 2 สัปดาห์ ค่าสมาชิกปีละ 200 ถูกจะตาย เดินทางก็สะดวก กลางเมือง ยืมหนังสือเสร็จเดินเที่ยวซื้อของกินข้าวต่อก็ได้ แนะนำเด็กๆ ไปหลายครั้งหลายหน ให้ยืมบัตรเราไปเข้าฟรีด้วยซ้ำ ยังไม่ยอมไปกันเลย จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 55 15:56:56

ความคิดเห็นที่ 30 บางคนอ่านเยอะนะ แต่ปัญหาคือว่าเขาอ่านอะไร ประเทืองปัญญาสักนิดหรือไม่ ราคาก็ไม่ถูกแต่คุณค่านั้นล่ะ... ส่วนราคาก็ค่อนข้างแพงหากเทียบกับค่าครองชีพ แต่ร้านมือสองก็มีทั้งในเวปและทั่วไป แต่บางคนอาจเข้าถึงยากหน่อย น่าเห็นใจนะครับ คงต้องโทษผู้บริหารบ้านเมืองว่าคุณไม่มีมาตรการควบคุมราคากระดาษ ฯลฯ บ้างหรือนอกจากไอ้ที่คอยประกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ (ชาตินู้นตอนสายๆ) จากคุณ : natbma เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 55 13:55:48

ความคิดเห็นที่ 31 เราว่าเรื่องเงินเดือนนั้นเป็นเหตุผลเล็กมากๆค่ะ สิ่งสำคัญคือความสนใจที่จะอ่านมากกว่า การปลูกฝัง เลี้ยงดูให้รักการอ่าน สิ่งนั้นที่จะทำให้คนรักการอ่าน ถึงเงินเดือนจะน้อยยังไง ถ้ารักการอ่านมันก็ต้องดิ้นรนหามาอ่านให้ได้ ส่วนตัวแล้ว มาจากพ่อแม่อะค่ะ เด็กที่เห็นพ่อแม่อ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ หรือพ่อแม่พาอ่านหนังสือ ให้รักหนังสือตั้งแต่เด็ก ก็มีแนวโน้มจะชอบอ่านมากกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาให้อยู่แต่กับทีวี อะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ จากคุณ : piNN 201 เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 02:51:26

ความคิดเห็นที่ 32 คนรวยก็ใช่จะอ่าน จากคุณ : himalayas เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 22:06:25