ความคิดเห็นที่ 1 ระหว่างเตรียมตัว เตรียมการสอน โยนลูกไปให้นักเรียนกลุ้มแทน จัดให้เขาแบ่งกลุ่มโต้วาที สิคะ ให้เขาช่วยกันเสนอ ว่าอยากจะโต้เรื่องอะไร แบ่งเป็นสองฝ่าย แล้วให้เขาเตรียมกันเอง มีปัญหาค่อยมาถามครู จากคุณ : ta/'o-o/' เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:22:47

ความคิดเห็นที่ 2 อูย โต้วาทีภาษาอังกฤษเลยเหรอครับ ^_^ จากคุณ : bug_leon เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:43:24

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วกระทรวงศึกษาเขาไม่ออก มาตรฐานการเรียนรู้มาเหรอคะว่า นักเรียนจะต้องรู้อะไรบ้างในชั้นนั้นๆ แล้ววางแผนตามนั้น วิชา ฟัง- พูด ก็ให้ฟังและให้พูด (หรืออ่านออกเสียง) คุณอยากสอนเด็กให้รู้หลายๆสำเนียง ทั้งอังกฤษ และ อเมริกัน ก็สอนทั้งสองสำเนียง หาสื่อการสอนเอาจากอินเตอร์เน็ทนี่แหละ เช่นเวบ VOA (ของอเมริกัน) มันจะมี articles ให้อ่านแล้วมีเสียงให้ฟัง เราจะได้รู้เลยว่าคำนี้ออกเสียงยังไง ถ้าของอังกฤษก็หาเอาตาม BBC ถ้าคุณติดตามห้องภาษาอังกฤษทุกวันจะได้ไอเดียเยอะเลย ยกตัวอย่างกระทู้ของคุณ Coffeeclub กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12115112/K12115112.html หรือของคุณ lovelypriest กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12114453/K12114453.html คุณยกไปสอนนักเรียนได้เลยน่ะ แนะนำให้มาอ่านบ่อยๆนะ จะเกิดไอเดีย แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 21:05:53 จากคุณ : yinnerella เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:03:50

ความคิดเห็นที่ 4 Nobody can give you quick tips and tricks for teaching conversation and listening conversation in one post in a turnkey manner. These skills take years to master through dedicated studies and researches! I wrote briefly about teaching listening comprehension in this other post: http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/09/K11077322/K11077322.html To be able to teach conversation, you must be a fluent speaker to start off with. And to be able to teach listening comprehension, you must have a sound knowledge of phonetics and phonology. The teaching license granted to you on the merit of your degree in Education or your passing the tests for  the 9 standards of teaching profession as stipulated by the Thai Ministry of Education doesn't help you accomplish these very daunting tasks. I've made some constructive criticism on the criteria set by the Thai ministry of Education for the recruitment of English teachers in Thailand, and this very same obnoxious menace to society keeps attacking me recklessly and relentessly. Read this other post and you will see why shortsightedness and narrowmindedness send the Thai education system tumbling down the hill: http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12076040/K12076040.html แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 21:21:27 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:07:04

ความคิดเห็นที่ 5 หาแหล่งข้อมูลจากสารพัดแหล่ง(อินเตอร์เน็ต) + หนังสือเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษมาอ่านด่วนเลยครับ (ทั้งไทยและอังกฤษ) มีให้เลือกศึกษาแบบว่าศึกษาทั้งชาติไม่หมด อย่างน้อยๆ คุณจะได้มีแนวทางที่ชัดเจนว่าต้องสอนยังไง มาถามเอาในนี้อย่างเดียวไม่มีใครมานั่งตอบให้คุณได้หรอก รายละเอียดมันเยอะ ถ้าคุณรักการสอนอยู่แล้ว และมีต้นทุนทางภาษาในระดับดีเดี๋ยวทุกอย่างก็เข้าที่เอง หรือถ้าสอนไปสักพักก็ควรหาทางไปเรียนต่อด้านนี้ซะ (ถ้ากะสอนยาว) การสอนนี้เป็นเรื่องของสัญชาตญาณกับต้นทุนของคนสอนล้วนๆ เรียนรู้กันไม่ยากหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 21:39:36 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:38:55

ความคิดเห็นที่ 6 ครูที่สอนร่วมกันก็ใจแสนดำเนอะ แบ่งปันความรู้ก็หวงซะงั้น คงพาความรู้ตายไปด้วย _ _! จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:42:53

ความคิดเห็นที่ 7 ตั้งหัวข้อ แล้ว discussion กันสิครับ จากคุณ : กินอะไรหรือยัง เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:51:01

ความคิดเห็นที่ 8 เอาแบบง่ายๆ ก็สอนตามหนังสือที่หลักสูตรที่โรงเรียนบังคับให้นักเรียนต้องซื้อ... เอาแบบมืออาชีพ คุณก็ไปดู course outline ว่าต้องสอนอะไรบ้าง แล้วก็ไปจัดเตรียมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ course outline สิครับ จากคุณ : LightBlaze เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 22:48:25

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบแบบโลกความจริงนะครับ (อืม ผมเกี่ยวข้องกับงานทำนองนี้มาประมาณยี่สิบปีแล้วสินะ) ง่ายและดีที่สุดคือ คุณพยายามเข้าหาอาจารย์ท่านนั้นอย่างด่วน ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม (แต่ผมคิดว่าคุณชอบดีกว่าไม่ชอบ) คำว่าดูเหมือนไม่ใช่ว่าไม่ให้ เขาอาจกำลังดูเชิงคุณอยู่ก็ได้ อาจารย์ใหม่อ่อนน้อมหรือไม่ ทำไมจึงแนะเช่นนั้น ก็คุณต้องออกข้อสอบชุดเดียวกับอาจารย์เก่า คุณจะดุ่ยๆไปเองได้อย่างไร ให้เนื้อหาดีแค่ไหน สอนดีแค่ไหน (แต่เชื่อผมมั๊ยล่ะ เรายังทำได้แค่พอใช้เท่าั้นั้นแหละ เพราะยังใหม่) ถ้ามันไม่เข้ากัน คุณแย่ นักเรียนแต่ละห้องคุยกัน อาจารย์ทำไมสอนไม่เหมือนกัน แล้วถ้าเรื่องถึงหูผู้ใหญ่ คุณว่าใครจะโดนคนแรก? ความเคารพ ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องที่ดีครับ สิ่งนี้จะปลูกฝังสู่นักเรียนได้อย่างลึกซึ้ง ถ้าครูจะทำให้เขาทั้งหลายดูเป็นตัวอย่าง ดีกว่าการพูดให้ฟังมากมาย ผมว่าอาจารย์ท่านนั้นเขารอคุณอยู่นะ ไม่ว่าเขาจะแสดงกิริยาอย่างไรภายนอกก็ตาม ตอนนี้คุณไฟแรง อาจอยากทำให้ดีกว่าเดิม อาจอยากนอกกรอบ แต่ความจริงคือคุณยังเพิ่งเริ่มต้นครับ ศึกษากรอบให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยนอกกรอบก็ไม่สาย ไม่พลาดด้วย ขอให้โชคดีครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 22:54:49 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 22:53:16 จากคุณ : อุปนิกขิต เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 22:51:51

ความคิดเห็นที่ 10 When I started to teach English I knew nothing whatsoever about teaching. The most logical approach is to survey the bookshops for the right teaching materials and media for my students.  And who teaches me how to teach English?  The teacher's manual for each study package, of course. Now, with the advent of the Internet I don't waste my time browsing around bookshops; I ask google to do the survey for me instead. My suggestions in this other post may not be entirely appropriate to teaching conversation and listening comprehension, but they can be adapted to your specific teaching requirements: http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2012/02/K11671292/K11671292.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 22:54:43

ความคิดเห็นที่ 11 ขอเทกนิคการสอนภาษาอังกฤษหน่อยครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12117386/K12117386.html พวกสื่อการสอน จริงๆในเว็บมีเยอะแยะนะ เห็นมีพวกเกมอะไรก็เยอะแยะก็เอาไปปรับใช้ก็ได้ ถ้าเรื่องฟังก็ง่ายๆ เอามาจากเพลง เอาเพลงมาเปิดน่ะ - ก็จะได้ศัพท์กันไป แล้วก็สอนพวก "ชุดคำเหมือน(คำต่างๆที่เป็นคำเหมือนของคำแต่ละคำ)" หรือ"สำนวน" จากศัพทนั้น - การทำเวิร์บเป็นอดีต/ปัจจุบัน/อนาคต   - ก็จะได้รู้จักเทนส์ จากเพลงนั้นด้วย สอนเทนส์ก็ได้ - ท้ายๆอาจจะมีแบบฝึกหัดให้ทำ หรือให้เด็กลองร้องตาม จะได้ฝึกออกเสียง อาจให้ร้องกันทั้งห้องก็ได้เด็กจะได้ไม่อาย  อะไรก็ว่ากันไป - อาจมีการบ้านให้เด็กแต่งประโยค ที่คล้ายๆกับประโยคในเพลงน่ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 23:07:24

ความคิดเห็นที่ 12 สำหรับแบบฝึกหัดฝึก pronounciation ซึ่งเป็นพื้นฐานการพูดออกสำเนียงที่ถูกต้อง แนะนำอันนี้ค่ะ ดีมากๆ "Pronunciation Workshop" http://www.pronunciationworkshop.com/ หลังจากที่ลองพวก materials ฝึก speaking ด้วยตัวเองมาหลายอัน อันนี้เป็นอันที่เราฝึกออกเสียง,ฝึกทำรูปปากตามวิธีของเค้าแล้วได้ผลอะ สามารถพูดออกเสียงคำได้ถูกต้องเป๊ะๆแบบ native speakers จริงๆ อันนี้ก็ดีค่ะ ทำให้เข้าใจว่า pattern ของจังหวะและโทนเสียงในการออกเสียงคำภายในประโยค มันมี pattern หลักๆอะไรบ้าง , pattern แบบนี้ใช้เมื่อต้องการสื่ออารมณ์ไหน เป็นต้น แต่จะมีแต่เป็นหนังสือ+ CD mp3 ไม่มีเป็นคลิปวีดีโอมีครูมาฝึกออกเสียงให้ดูการใช้รูปปากแบบอันข้างบนอะ "American Accent Training" http://www.amazon.com/American-Accent-Training-Audio-Edition/dp/0764173693/refเนียง Thai-lish แบบที่เราคุ้นชินมาจากครูๆสอนภาษาอังกฤษคนไทยที่สอนเราด้วยสำเนียง Thai-lish แบบนี้มาตลอดตั้งแต่อนุบาลยันม.ปลาย เลยคิดว่าน่าจะให้เด็กๆฝึกฟัง และฝึกออกเสียงตัวอักษร,สระ หรือคำศัพท์ต่างๆ ให้ถูกต้อง ก่อนจะฝึกพูดจริงๆจังๆอะค่ะ ไม่งั้นเด็กจำการออกเสียงแบบผิดๆ แล้วมันจะติดสำเนียง Thai-lish ไปจนโตแบบที่เด็กไทยส่วนใหญ่เป็นกัน เพราะร่างกายมันจำและคุ้นชินการใช้รูปปากแบบผิดๆไปแล้ว แล้วมันจะมาแก้สำเนียงการออกเสียงคำให้ถูกต้องทีหลังเอาตอนโตได้ยากมากกกๆๆ ส่วนเรื่องฟัง แนะนำให้ใช้พวกข้อสอบเก่า part listening ของ Toefl ,SAT อะไรพวกนี้มาสอนเลยค่ะ ( หรือ Ielts ก็ได้ ถ้าต้องการสำเนียงบริติช แต่ควรเลือกสอนสำเนียงบริติชก็บริติชไปเลย อเมริกันก็อเมริกันไปเลย ผสมกันเด็กจะจำไปใช้แบบสับสนค่ะ ) ปูพื้นไปเลย มีประโยชน์ในระยะยาว เพราะเด็กหลายคนจบม.ปลายไป อาจต้องสอบ toefl ,SAT เพื่อสมัครสอบมหาลัยภาคอินเตอร์ หรือจบมหาลัยไปอาจต้องสอบ Toefl , Ielts เพื่อสมัครเรียนต่อUต่างประเทศ ข้อสอบเก่าพวกนี้มันจะมีไฟล์เสียง mp3 มีไฟล์ที่เป็นตัวข้อสอบและ transcription พร้อมเฉลยมาให้เลย ถ้าทางโรงเรียนไม่มี ก็ลอง googling ดูค่ะ มันจะมีหลายเวปให้ download ไม่ก็ซื้อพวกหนังสือ Toefl ของ Cambridge, Barron, Delta's Key อะไรพวกนี้ที่มันมีแผ่น CD แถมมาอะค่ะ เราฟังสำเนียงและสปีดระดับ native speakers ออกได้ทุกวันนี้เพราะฝึกเอาจากการฟัง+ทำข้อสอบเก่า part listening ของ toefl ย้อนหลัง6ปีอะ เด็กๆจะได้ศัพท์ที่เป็นเรื่องราวของชีวิตในรั้วมหาลัยไปด้วยในตัว พวกที่เป็นวีดีโอหรือ CD ฝึกภาษาของไทยๆไม่แนะนำ เพราะส่วนใหญ่จะพูดยานคางเกินและใช้ประโยคทื่อๆที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งในชีวิตจริงไม่มีใครพูดแบบนั้นกันอะ แต่จริงๆวิธีที่ฝึกการ"พูด-ฟัง"ได้ผล และเราชอบและสนุกกับมันที่สุด คือฟังจากการดูหนัง หรือซีรี่ย์ฝรั่งสนุกๆ ที่เป็นเรื่องราวใกล้ตัว แล้วเปิดซับภาษาอังกฤษค่ะ แล้วดูอีกรอบแบบปิดซับ จบซีนนึงก็ pause แล้วให้เด็กๆออกมาพูดตามตัวละครให้เป๊ะ ได้ฝึกด้วย เพื่อนๆได้ฮาด้วย ทำบ่อยๆหูกับลิ้นมันจะคุ้นชินไปเรื่อยๆจนเรา"พูด-ฟัง" ได้คล่องเอง คหสต. เราว่าฝึก พูด-ฟัง จากแบบฝึกหัดหนังสือเรียนภาษาอังกฤษมันน่าเบื่อมากและไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่อะค่ะ เพราะมันน่าเบื่อมากเด็กเลยไม่ค่อยอยากทำไม่อยากสนใจ เราว่าเด็กไทยยุคไหนๆก็เป็นกันหมดอะ กับแบบเรียนภาษาอังกฤษ ^^' แล้วสุดท้ายก็จะไม่ได้ skill การพูด-ฟังติดตัว เพราะไม่ได้ฝึกฝนอย่างเป็นประจำและต่อเนื่อง เลยอยากแนะนำให้วางแผนการสอนแบบที่เด็กๆได้"เล่น"สนุก ในการฝึก พูด-ฟัง กับเพื่อนๆของเค้าโดยไม่เบื่อ เพราะจะทำให้เค้าอยากฝึกฝนต่อเองต่อๆไป และเป็นวิธีการฝึกที่เห็นผลจริง ใช้ได้ในชีวิตจริง จะดีกว่าค่ะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะอาจารย์ :) จากคุณ : :) เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 00:40:14 A:125.24.228.100 X: TicketID:045092

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าสอนร่วมกันกับอีกท่านก็น่าจะร่วมกันหาแนวทาง หรือสอนในทางที่ล้อกัน เช่น เขาสอนฟัง เราสอนพูด หรือ กำหนดกิจกรรมร่วมกันให้ชัดเจนไปเลย สมมติว่าจะสอนให้เด็กได้พัฒนาการทักษะการฟังและพูด ก็ควรเจาะจงไปว่าจะให้บรรลุเป้าหมายอะไร จะให้กล้าพูด คิดและพูดได้เป็นธรรมชาติ ในเวลาจำกัด หรือ ไม่มีการจำกัดเวลา แต่ต้องการให้พูดถูกต้องตามอักขระไวยากรณ์ ให้พูดโต้ตอบในกลุ่ม หรือ ให้พูดโต้ตอบเป็นเรื่องราวระหว่างคู่เรียน รูปแบบการเรียนการสอนกับสิ่งที่ต้องการให้เด็กไปถึงหรือบรรลุตามวัตถุประสงค์การเรียนการสอน น่าจะมีการกำหนดไว้แล้วอย่างชัดเจน หรือถ้าโรงเรียนมีนโยบายการเรียนการสอนที่ต้องการให้เด็กสอบผ่าน ก็อาจเอาเนื้อหาที่กำหนดจะออกข้อสอบมาเป็นตัวตั้ง และให้นักเรียนได้เรียนในบริบทเดียวกัน... สมมติ..ถ้าจะให้โต้วาทีกัน ก็น่าจะมีเนื้อหานำเข้ากระทู้มาให้นักเรียนฟัง/ดู เช่น คลิปสารคดี หรือข่าวภาษาอังกฤษ เราตั้งกระทู้ให้นร.โต้วาที โดยนร.ได้ฟังและรับข้อมูลมาก่อนจากการดูสื่อที่เราให้ จะทำให้เด็กมีไอเดียที่จะต่อยอดได้ มีศัพท์ในหัว ซึ่งมันก็จะอยู่ในสิ่งที่ฟังและดูแล้วนั่นเอง การเตรียมข้อมูลเพื่อโต้วาที นร.ต้องร่วมกันทำงานหากต้องการให้เป็นคะแนนเก็บด้วย ก็บอกไปเลยว่า ให้ทุกคนมีประเด็นที่จะพูด และหากติดขัดเรื่องคำศัพท์ การแต่งประโยคอย่างไร ก็ต้องมีเวลาให้ได้ซักถามจากครูผู้สอน หากนร.สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมในการสนับสนุนประเด็นของตน และมีการผลิตสื่อเพื่อใช้ประกอบการโต้วาทีด้วยก็ยังให้เป็นคะแนนเพิ่มเติมได้อีก บอกนร.ว่าต้องการให้ออกเสียงให้ถูกต้อง ครูผู้สอนก็ต้องฟังนร.พูดเตรียมก่อนมีการโต้วาทีกันจริง ๆ คิดว่ารูปแบบนี้ก็น่าสนใจ ทำให้นร.ได้ร่วมกันทำงานเป็นกลุ่มด้วย ใน 1 ชั้นเรียน ก็น่าจะทำได้มากกว่า 1 เรื่อง การจัดโต้วาที 1 เรื่อง มีสองกลุ่ม ฝ่ายค้านกับสนับสนุน จัดให้น้อยคน/กลุ่ม จะได้ร่วมกันทำงานง่ายไม่ต้องรอหลาย ๆ คน จะได้พูดกันเยอะหน่อย ^ ^ จากคุณ : Panjasila เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 01:09:20

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องฟัง แนะนำให้เปิดเพลงสากลที่ร้องช้าๆชัดๆให้นักเรียนฟังและหัดร้อง เพราะการร้องเพลงเป็นการหัดพูดอย่างหนึ่ง ฝึกออกเสียง I'm, time, fire, file, mile เสียงยาวและเสียงสั้น get, gait, den, Dane, pen, pain ฯลฯ ส่วนการพูด ให้นักเรียนจับกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กๆประมาณกลุ่มละ 5 คนแล้วผลัดกันพูดคนละ 1-2 ประโยคสลับกันไปเรื่อยๆ แล้วครูวนเวียนไปฟังและช่วยแก้ไขบางประโยคที่นักเรียนพูดไม่ถูกต้อง จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 01:55:33

ความคิดเห็นที่ 15 ดิฉันไม่แน่ใจนักว่านักเรียนม.ปลายที่เมืองไทยใช้คอร์สบุ๊คอะไร จัดระดับนักเรียนอย่างไร ดิฉันสอน adult learners เมืองอาหรับ ส่วนใหญ่ใช้ New Headway หรือไม่ก็ Cutting Edge  หรือ Language leader ตามอารมณ์ของผู้บริหาร แต่ส่วนใหญ่แล้ว course syllabus ของแต่ละคอร์สบุ๊คก็คล้ายกันหมด นักเรียนแบ่งกลุ่มกันตามระดับความรู้ภาษาอังกฤษค่ะ beginners, elementary, pre-in, etc.   ดิฉันสอนโดยแบ่งทักษะในกลุ่มทีมสอน แยกกันไปว่าใครสอน อ่าน เขียน ฟัง   แต่ละระดับจะมีคอร์สบุ๊คหลัก  ส่วนใหญ่คนสอนจะดู coursebook outline แล้วพยายามสอนโดยคุมระดับคำศัพท์ กับหัวข้อเรื่องให้สอดคล้องกันทั้งทีม นักเรียนจะได้ใช้ความรู้ที่ได้มาเป็นฐานในการฝึกทุกทักษะ เช่นสัปดาห์แรก เรามักเริ่มด้วย greeting, talking about personal information สำหรับครูที่สอนฟัง ก็เลือกแบบฝึกหัด listen for personal details ตามระดับของนักเรียน เช่นถ้า beginners ก็ต้วมๆ เตี้ยมๆ ฟังชื่อ สะกดคำ ตอบอายุ เบอร์โทรศัพท์       elementary หรูขึ้นนิด เพิ่ม nationality occupation DOB ถ้าคุณมีคอร์สบุ๊คน่าจะเลือกเนื้อหาบทเรียนได้ไม่ยากค่ะ   เรื่องสอนฟังนั้นคุณน่าจะสำรวจ resource ของโรงเรียนนะคะ ว่าเขามีอะไรอยู่บ้าง เคยใช้อะไร แบบไหน  ข้อสอบฟังส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการทำใหม่เพราะยุ่งยากเรื่องอัดเสียง คุณน่าจะหาดูได้ว่าแนวข้อสอบเป็นแบบไหน สอบกลางปีครอบคลุมหัวข้ออะไรบ้าง สิ้นปีครอบคลุมอะไร ดู course Outline กับรู้ระดับของนักเรียนก่อนนะคะ ถามอาจารย์อีกท่านดูก็คงได้กระมังว่านักเรียนของเราระดับไหน รู้สองอย่างนี้แล้วคุณหา materials ได้ไม่ยากหรอกค่ะ จากคุณ : น้ำคำ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 02:19:26

ความคิดเห็นที่ 16 ขอประทานโทษเถอะคุณ   คุณไม่ทราบจุดประสงค์วิชา หรือ course objective ที่กำหนดในsyllabusหรือก่อนที่จะขอข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่   เราว่าคุณจะหลงทางในการสอนได้นะ   วิธีสอนทั่วไป ในเมื่อเน้นสองทักษะ ฟัง-พูด ก็ต้องให้ฝีกทั้งสองให้ปฏิสัมพันธ์ เช่น ฟังข่าวสักเรื่องแล้วให้พูดสรุป หรือวิจารณ์ แล้วแต่จะออกแบบ      หรืออาจจะให้ฟังประกาศสั้นๆ เช่นประกาศเลื่อนสอบเนื่องจากน้ำท่วม แล้วให้นศ.ไปสร้างบทสนทนาว่าโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนให้รู้ข่าว      อะไรทำนองนี้ ให้ฝึกเหมือนชีวิตจริง เพราะชีวิตจริงจะมีการฟังพูดปฏิสัมพันธ์กันตลอดเป็นธรรมชาติ          สำคัญต้องไปค้นหาcourse outline/description/objective มาก่อน อย่างอื่นว่ากัน     ปล.คหสต. ไม่ต้องไปสอน accent เอาฟังพูดให้เข้าใจก่อนเถอะ จริงๆ ในโลกนี้สำเนียงล้านแปด พูดอังกฤษปัจจุบัน accent does not matter! หากจะสอนก็แค่ intonation หรือ stress คำเพื่อเน้น accuracy จะดีกว่าเพราะมันมีผลต่อการสื่อสาร     แล้วโรงเรียนไม่มีแผนการสอนที่คนเก่าเขาสอนแจกให้หรือ ยังไงก็ไปปรึกษาหัวหน้าหมวดสิ พูดให้นุ่มนวล ประนีประนอมกับเพื่อนร่วมงานอย่าไปว่าอาจารย์คนอื่นใครเขาล่ะ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 04:14:58 จากคุณ : โจแดง เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 04:10:16

ความคิดเห็นที่ 17 โห ถามทีเดียว คำตอบมาเป็นชุดเลย แสดงว่าเรื่องนี้คนสนใจเยอะ ดีครับ เด็กไทยจะได้เก่งๆ ที่มีคนแนะนำให้หารือกับอาจารย์เก่านั้นผมว่าเข้าท่านะ ยังไงๆขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าขิงอ่อน เรายกมือไหว้ขอความรู้เขาดีๆ เขาคงบอกแหละน่า จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 18:13:27

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ จากทุกๆ ท่านเลยนะครับ ช่วยได้เยอะเลยตอนนี้ จากคุณ : bug_leon (bug_leon) เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 23:20:53

ความคิดเห็นที่ 19 สมัย ม.ปลาย ที่ รร  อาจารย์มักจะให้ role play อ่ะครับ ค่อนข้างบ่อยมาก คิดบทเอง เฉลี่ยบทกันเอง 2-3 คนก็ว่ากันไป ก็สนุกดีนะครับ ฝึกความกล้าในการพูดภาษาอังกฤษด้วย(แถมยังช่วยฝึก acting ต่างๆ เวลาพูดด้วยนะครับ เสียงสูงต่ำทำนองนี้) ละก็จะมีฟังเสียงจากเทปอ่ะครับ แล้วเติมคำใน dialogue ว่าคำหรือประโยคที่หายไปคืออะไร ส่วนความเห็นของผมนะครับถ้าอยากให้เด็กได้รับภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่ คุณต้องพูดภาษาอังกฤษในคลาสเลยครับ เวลาเด็กจะถามจะตอบก็ให้เป็นภาษาอังกฤษด้วย แต่อันไหนที่ต้องอธิบายหน่อยก็ใช้ภาษาไทยประกอบเอาครับ สมัย ม ปลายผมวิชานี้อาจารย์ฝรั่งจะสอน ก็จะได้สำเนียงด้วยนิดหน่อย และตอนเรียนมหาลัยอาจารย์คนไทยสอนก็จริงครับ แต่ท่านไม่พูดภาษาไทยเลย จะถามอะไรอังกฤษเท่านั้น ซึ่งผมว่ามันดีต่อเด็กมากๆ ครับ เพราะผมว่าภาษาถ้าไม่ได้ใช้บ่อยๆ เรียนไปเยอะขนาดไหนมันก็เท่านั้นแหละครับ ^^ จากคุณ : Ashmore เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 01:56:33

ความคิดเห็นที่ 20 เขียนแผนการสอนหรือหน่วยการเรียนรู้ก่อนครับ ร่างโครงไว้ก่อนก็ได้ ต้องเรียนรู้อะไรบ้างในรายวิชาครับ จากคุณ : คิดว่ามันแปลก เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 10:09:29

ความคิดเห็นที่ 21 ๑. หยิบหลักสูตร ภาษาอังกฤษ ในชั้นที่คุณสอน มาดู ๒. วิเคราะห์หลักสูตร จากนั้นทำกำหนดการสอน เป็นเรื่องๆ รายชม. ๓. เขียนแผนการสอน (หัวใจของครู) ๔. หยิบเทคนิคต่างๆ ที่ ทุกคนช่วยกันเสนอแนะ มาใส่ในแผนการสอน อาจารย์ ก็จะสอนได้อย่างมั่นใจ และลูกศิษย์ก็บรรลุวัตถุประสงค์ตามหลักสูตร ฝากอาจารย์ด้วยว่า อย่าลืมสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม ให้นักเรียนด้วยทุกครั้ง ที่มีโอกาส จากคุณ : thursday_s เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 12:01:17

ความคิดเห็นที่ 22 h จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 13:31:38