ความคิดเห็นที่ 1 งานหนักจริง และถ้าต้องผ่อนบ้าน ส่งน้องเรียนด้วย ก็หนักหน่อยเรื่องค่าใช้จ่าย แต่การเป็นอาจารย์ก็สามารถทำเรื่องขอตำแหน่งทางวิชาการได้ ซึ่งมีเงินเพิ่มเติมตรงส่วนนี้อยู่แล้วหลังได้ตำแหน่งวิชาการ และถ้าทำวิจัย โดยได้รับเงินทุนสนับสนุน ก็มีเงินในส่วนของงานวิจัยด้วยเช่นกัน แต่ถ้าสอนอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเพิ่มเติม ก็คงตั้งตัวลำบากแหละค่ะ จากคุณ : nukanka เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 20:42:17

ความคิดเห็นที่ 2 แรก ๆ อาจจะมีปัญหา แต่พอทำได้สัก 3-4 น่าจะดีขึ้น สอนพิเศษ งานวิจัย ทำ ผศ ทำ รศ ศ. ได้เงินค่าตำแหน่ง แต่คิดเรื่องเงินเป็นหลัก ทำงาน เอกชนน่าจะดีกว่า หรือรัฐวิสหกิจ น่าจะโอเคกมากว่า จากคุณ : mak2010 เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 20:46:34

ความคิดเห็นที่ 3 ประสบการณ์จากแฟนนะคะ หลังจากที่แฟนจบดร.มา ก็ต้องสมัครเข้าใหม่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย (ต้องลาออกเพื่อสมัครทุนบุคคลภายนอกของมหาวิทยาลัย ใช้ทุนของมหาวิทยาลัย 9 ปี เงินเดือนไม่ถึง 3 หมื่น ต้องผ่อนบ้านให้บุพการีและน้องอยู่ที่ตจว. ตอนนี้ไม่มีรถต้องขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ไม่มีเวลาทำหรอกค่ะผศ. อะไรนั่น งานที่ม.เยอะแยะมากมายเห็นทำเอกสารอะไรเต็มไปหมด แถมมียัดเยียดไปประชุม ไปโน่นนี่ตจว.อีก มีสอนอีกอาทิตย์ละ 19 คาบ มีเด็กโปรเจคอีก ดีอยู่ที่ได้กลับบ้านที่ตจว.เสาร์-อาทิตย์ แต่ก็มีบางทีที่มีงานวันอาทิตย์ด้วย หนักเอาการค่ะ จากคุณ : mathelogy เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 21:20:59 A:101.108.115.25 X: TicketID:289094

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าโปรไฟล์คุณดีๆ เช่นประจำอยู่ม.ดังๆ หรือประสบการณ์เยอะๆ หรือจบมาจากยูระดับโลก แค่ไปบรรยายอบรมก็วันละหลายหมื่นแล้วครับ จากคุณ : กินอะไรหรือยัง เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 21:24:35

ความคิดเห็นที่ 5 หนักเอาเรื่องเลยครับ แค่ผ่อนรถคันเดียวก็ยังจะไม่เหลือเงินใช้จ่ายแล้วเลย และปัจจุบันนี้อาจารย์เป็นแค่พนักงาน จะถูกใช้งานมากกว่าข้าราชการ ต้องทำงานเสาร์อาทิตย์ด้วยก็มี แม้จะมีเบิกค่าสอนเกิน ก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร (บางที่เค้าจะคิดตามปริมาณนักศึกษาด้วย อาจจะได้เยอะหน่อย แต่งานก็หนัก) ส่วนจะทำตำแหน่งวิชาการอะไรนั้น แรก ๆ คิดว่ายากเอาการเลย และแถมอาจจะโดนบีบให้ต้องทำวิจัยด้วย สำหรับผมนะ แรก ๆ อย่าเพิ่งสร้างภาระอะไรจะดีที่สุด รอให้อยู่ตัวก่อน มองหาลู่ทางหารายได้เสริมไปด้วยน่าจะดีขึ้น จากคุณ : Canon in Science Major เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 21:30:20

ความคิดเห็นที่ 6 ป.เอก ที่เรารู้จัก ไม่ถึง สองหมื่นด้วยซ้ำไป แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่นิสัยและความตั้งใจของคน 2-3 ปี นั่นแหล่ะถึงจะเริ่มเข้าที่ ถ้ามาจากศูนย์และไม่มีแบ็คใหญ่ๆ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 23:01:52

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนนี้รับทุน ป.เอก ตอนแรกๆ ก็กังวลกับเรื่องชีวิตหลังเรียนจบนะ เพื่อนๆ ที่มันไม่เรียนสูงแบบเรา มันทำงานมีบ้านมีรถกันหมดแล้ว เราก็พยายามวางแผนการใช้เงิน เราพยายามเก็บออมจากเงินทุนที่ได้รายเดือนนี่แหละ หุงข้าวทำกับข้าวกินเอง นานๆ จะซื้อเสื้อผ้าที เช่าบ้านในระยะเดินไปมหาวิทยาลัยไม่เหนื่อย ไปเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ ปีละ 1-2 ครั้งพอ ตอนนี้เรามีเงินเก็บ (จากค่าใช้จ่ายรายเดือน + เงินเก็บส่วนตัว) เพียงพอสำหรับซื้อรถยนต์เงินสดแล้ว ดีใจ อิอิ กลับไปเหลือผ่อนบ้านอย่างเดียวกับส่งเสียพ่อแม่ เงินเดือน ม.เอกชน ไม่น่าจะลำบากเกินไป เพราะทุกวันนี้อยู่แบบประหยัดเราก็อยู่ได้ ถ้าต่อไปมีครอบครัวก็มีคนช่วยกันจ่าย อิอิ ป.ล. เราก็มาจากศูนย์ล่ะ แถมหนี้สินเต็มตัวกว่าจะเรียนจบ ป.ตรี พ่อแม่อาชีพรับจ้างไม่มีสวัสดิการ เมื่อแก่ตัวไปเราต้องดูแลค่าใช้จ่ายให้เอง แต่เราเชื่อว่าการเรียนให้สูงนี่แหละที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น และช่วยเหลือคนอื่นหรือสังคมได้ จากคุณ : สาวบ้านนา เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 23:22:40 A:91.176.114.53 X: TicketID:316175

ความคิดเห็นที่ 8 ^ คห4> ไม่เห็นเคยได้ยินเลยค่ะ จากคุณ : jackfruit_k เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 00:32:28

ความคิดเห็นที่ 9 คห 4 น่าจะเป็น rare item ค่าตอบแทนส่วนใหญ่อิงระเบียบราชการทั้งนั้น จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 01:17:08

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าไปบรรยายให้เอกชนจะไม่อิงตาม rate ราชการครับ จะได้เท่าไหร่สุดแท้แต่จะตกลง แต่กรณีที่ความเห็นที่ 4 พูดถึง ถ้าเป็นหลายหมื่น น่าจะเป็น rate ที่จ่ายให้ทั้งทีมมากกว่าคนคนเดียวครับ คงเป็นลักษณะที่ไปจัด workshop มากกว่า ถ้าประสบการณ์ไม่เยี่ยมจริงๆไม่มีทางได้ค่าตอบแทนถึงขนาดนั้นครับ จากคุณ : Tony Almeida เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 01:34:56

ความคิดเห็นที่ 11 ถึงได้ใช้คำว่า rare item ไงคะ และยังเป็นการคุยกันคนละเรื่องเดียวกันด้วย จขกท ถามถึง ดร.เงินเดือน 2 หมื่น ซึ่งก็คือ เงินเดือนคนจบใหม่คนเดียว แต่กลับมีการเอางานชั่วคราวที่ไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไรของคนมีประสบการณ์สูงทั้งทีมมาตอบเหมือนเรื่องรายได้ไม่เป็นปัญหา สำหรับคนจบใหม่ ต่อให้หลุดเข้าไปอยู่ในทีมที่ว่าได้ หารออกมาแล้วก็ไม่เท่าไรหรอกค่ะ แล้วก็รับทำมากไม่ได้ด้วยเพราะจะกระทบกับงานประจำ สิ่งที่ คห 4 บอกมามันเป็นข้อมูลพาฝันมากไปหน่อย จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 07:41:08

ความคิดเห็นที่ 12 อยู่ได้ค่ะถ้าประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย นั่งรถเมล์ไปทำงาน หรือผ่อนรถมือสองก็ไม่ลำบากมาก ค่าอาหารก็ถูก แถมซื้อกลับบ้านไม่ต้องทำกับข้าวเลยก็ได้ แต่ก็ต้องสักพักถึงจะซื้อบ้านได้ สวัสดิการก็ดีนะคะ ใช้สิทธิ์ให้ลูกเรียนที่สาธิตได้เลย ไม่ต้องลุ้น เก็บเงินเพื่อบริจาคและต้องบำเพ็ญประโยชน์กับรร. จากคุณ : simiach เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 07:52:08

ความคิดเห็นที่ 13 ต้องแยกตอบเป็นเรื่องๆ ไป ถามว่า เงินเดือน 20,000 อยู่ได้ไหม ก็ต้องตอบว่า อยู่ได้ คนทั่วไปได้ไม่ถึง 20,000 ยังอยู่กันได้ ถามว่า งานหนักไหม ก็คงต้องบอกว่า หนักพอควร อย่างที่หลายๆ ท่านว่าไว้ ยิ่งออกนอกระบบ กลายเป็นพนักงานด้วยแล้ว งานยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก และถ้าต้องการรายได้เพิ่มจากเดิม ก็ต้องขวนขวายหางานวิจัย หาตำแหน่งเสริม ถ้ารวมกับภาระงานสอน (ยิ่งมาใหม่ยิ่งมีงานสอนมาก) งานก็จะยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องเงินไม่พออยู่หรอกครับ แต่เป็นเรื่องรายได้ไม่เหมาะสมกับความสามารถต่างหาก เพราะวุฒิระดับ ป.เอก ถ้าทำงานเอกชน จะได้รายได้เกือบหกหลักเลยทีเดียว ซึ่งแตกต่างจากเงินเดือนอาจารย์มากๆ ทำให้รู้สึกไม่คุ้มค่า เพราะกว่าจะเรียนจบมาได้ ก็กินเวลาไปหลายปีครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 10:10:16

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นอาจารย์จบป.โท ได้เงินเดือน 7890 บาทเอง อยู่ ม. ต่างจังหวัด ยังอยู่ได้เลยถ้าไม่ hiso มากก็มีเงินเก็บ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เงิน ส่วนเรื่องงานการบรรยายข้างนอก แล้วแต่ดวงสำหรับอาจารย์ใหม่ (อาจารย์เก่ามักจะได้ก่อน) ถ้าองค์กรมีเงินจ้างไปพูดก็ได้เยอะ ถ้าองค์กรไม่มีเงินก็ได้ของที่ระลึกแทนครับ เป็นคนใหม่เข้าไปก็โดนเอาเปรียบ ทนๆเอาหน่อยสักปี ทุกอย่างก็ดีขึ้นครับ การรับงานนอกขึ้นอยู่ว่าจบป.เอกด้านไหนมา ถ้าเป็นที่นิยมของตลาดเช่น ด้านธุรกิจ วิศวกรรม เป็นต้น สามารถไปเป็นอาจารย์สอนปริญญาโท ม.เอกชนได้ครับ ส่วนเรื่องงบวิจัย (เงินหลวงสำหรับโครงการวิจัยเท่านั้น) ที่ได้ยินมานั้นอาจารย์ได้เงินตรงนั้นเยอะ ขอบอกว่าใครที่บอกว่ารวยจากเงินตรงนั้นบอกได้คำเดียวว่าอมเงินวิจัยมาเป็นของตนเอง เช่น ประมาณงบไว้เกินจริงแต่มีค่าใช้จ่ายนิดเดียว ที่เหลือเข้ากระเป๋า จริงๆทางมหาวิทยาลัยจะมีค่าตอบแทนต่างหากสำหรับผู้วิจัยให้เรื่องละหมื่นบาท โดยประมาณ ครับกับวิจัยหนึ่งเรื่อง( แล้วแต่ scale งานวิจัย) แล้วแต่นโยบายแต่ละที่ด้วยครับ จากคุณ : มือใหม่ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 10:16:19 A:1.47.180.112 X: TicketID:084558

ความคิดเห็นที่ 15 @คห.13 เรียนป.เอกก็ได้ทุนเรียนไม่ใช่หรือ เค้าให้ทุนไปเรียนเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และความรู้ แทบไม่เคยเจอเลยที่จะใช้ทุนส่วนตัวเรียน คนที่เลือกจะเป็นอ. เค้าต้องรู้แล้วสิว่าเงินเดือนมันเท่าไร กฎกติกา อัตราเงินตอบแทนมันเห็นอยู่ชัดๆ ถ้าไม่พอใจเรื่องเงินเดือน ก็อย่ารับทุนเรียนที่กลับมาเป็นอ. หรือข้าราชการ จากคุณ : simiach เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 12:28:02

ความคิดเห็นที่ 16 #15 ผมไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องทุนเลยนะครับ คนละเรื่องกันครับ แล้วก็ คนเรียนเอกไม่ได้รับทุนทุกคนหรอก ที่ไม่ได้รับก็มีเหมือนกัน (แต่อาจจะมีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่ขวนขวายหาเงินเรียนเอง จะไปเรียนเมืองนอกกัน) และอีกอย่าง เรื่องการรับทุน ข้อกำหนดทุน กับความเหมาะสมของเงินเดือน มันคนละเรื่องกันครับ ผมไม่เห็นด้วย ถ้าจะลากเอามาปนเป็นเรื่องเดียวกัน การรับทุนหรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง ความเหมาะสมของกติกาการรับทุนก็อีกเรื่องหนึ่ง ความเหมาะสมของฐานเงินเดือนอาจารย์ในประเทศไทยก็อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมเข้าใจว่า ที่เรากำลังคุยๆ กันอยู่นี้ คือประเด็นเรื่องเงินเดือนที่ได้รับนะครับ ซึ่งผมเห็นว่า เงินเดือนพออยู่ได้แน่นอน แต่เงินเดือนไม่เหมาะสมกับความสามารถ (คนละประเด็นกัน) เพราะเงินเดือนอาจารย์ ต่างจากเงินเดือนเอกชนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการจูงใจคนเก่งให้มาเป็นอาจารย์ได้ ปัญหามันก็คล้ายๆ กับครูระดับประถมฯ มัธยมฯ ทุกวันนี้นั่นแหละครับ เงินมันน้อยเกินกว่าจะจูงใจให้คนเก่งๆ มาทำงานเป็นครู ได้ ก็จะเหลือแต่คนที่มีอุดมการณ์สูงจริงๆ (ซึ่งมีอยู่ไม่มาก) กับคนที่มีทางเลือกไม่มากเท่านั้น ปล. เสริมจากคำพูดที่ว่า กว่าจะเรียนจบก็กินเวลาหลายปี ผมหมายถึงว่า กว่าจะเรียนจบได้ ก็ต้องเสียเวลาเพิ่มไปเยอะ ซึ่งก็น่าจะรวมเป็นการเสียโอกาสได้อย่างหนึ่งได้ ถึงแม้ว่าคนเรียน ต้องยอมรับการเสียโอกาสตรงนี้ แต่ผมก็คิดว่าคนเรียนก็ควรได้อะไรเพิ่มให้พอสมควรแก่การยอมเสียโอกาส (หมายถึงโอกาสในการได้ทำงาน) ตรงนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 55 13:03:22 จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 12:57:47

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่าคงอยู่ที่ภาระกับวิถีการใช้ชีวิตแหละครับ คนมีภาระต้องดูแลพ่อแม่ ส่งน้องเรียน ผ่อนบ้านผ่อนรถ (ภาระจำเป็น) ยังไงก็ยากที่จะพอ ขนาดอาจารย์จบเอกที่ผมเคยเรียนด้วย แกจบจากยูออฟลอนดอน ยังบอกเลยว่ายังขอเงินที่บ้านใช้อยู่เลย >"< แต่ถ้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีภาระ เป็นคนสมถะ กินง่ายอยู่ง่าย  แบบว่าอยู่หอพัก กินข้าวโรงอาหาร (ฟังดูออกน่าสงสาร) ยังไงก็อยู่ได้ คนอื่นเงินน้อยกว่านี้เขาก็ยังอยู่ได้เลย >"< ก็อย่างที่คุณปั๊ปโปะจังว่ามานั้นแหละ กว่าจะจบได้เรียนยากแสนยาก แต่เงินตอบแทนเมื่อเทียบกับความสามารถไม่สมดุลกันเลย ก็เลยเข้าใจเหตุผลว่าคนเป็นอาจารย์เลือกที่จะได้เงินน้อยกว่างานเอกชนเพราะสิ่งที่ทดแทนคือได้ความสุขความพอใจจากการทำงานที่เป็นตัวของตัวเอง(ถูกจริต) อยู่นานไปก็จะปรับตัวได้เอง เพราะเดี๋ยวค่าตอบแทนก็จะค่อยๆ ขยับตัวขึ้นตามประสบการณ์และตบะที่สะสมไว้นานปี ดังนั้นถึงงานจะหนัก ทั้งต้องสอนต้องทำวิจัยหรือต้องทำงานอื่นใดอีกจิปถะ แต่คนเก่งๆ ที่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดาจำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ก็เคยเห็นดร บางคนที่อาศัยตำแหน่งวิชาการตัวเอง(ระดับผศ รศ) วิ่งรอกหากินข้างนอกแบบไม่ละอายใจ(ไม่รู้สึกตัวเอง) ไม่สนใจสอนเลื่อนสอนตลอดแล้วมาเมกอัพคลาสวันเดียวรวด แล้วยังมีหน้ามาโม้ให้นักศึกษาฟังว่าตัวเองได้งาน(นอก)งานนั้นงานนี้ มีโพไฟล์เป็นหางว่าว ฟังแล้วก็ได้แต่อนาจใจ จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 13:35:32

ความคิดเห็นที่ 18 อ.มหาวิทยาลัยของรัฐส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ มีบางส่วนเป็นพนักงานของรัฐใช่มั้ยคะ ที่เป็นข้าราชการระบบเงินเดือนมันอยู่ที่กพ. ซึ่งเป็นฐานเงินเดือนเหมือนกันกับข้าราชการทั่วไป ถ้าจะปรับให้ได้รับเงินเดือนขึ้นก็ต้องปรับทั้งข้าราชการทั้งหมด ทุกระดับการศึกษา ไม่งั้นก็จะโดนเรื่องเลือกปฎิบัติ ต้องถามกลับว่ามีรัฐเงินมั้ยที่จะจ่ายขนาดนั้น หรือถ้าจะให้ค่าตอบแทนพิเศษเค้าก็ทำให้แล้วเช่นค่าตำแหน่งทางวิชาการ หรือค่าจ้างเวลาอ.ได้ทุนวิจัยส่วนนึงก็จะได้เป็นค่าจ้างด้วย แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรเพราะจิตวิญญาณนักวิชาการ บางทีงบไม่พออาจต้องควักกระเป๋าตัวเอง กรณีพนักงานมหาวิทยาลัย ถึงเงินเดือนจะสูงกว่า แต่สวัสดิการสู้ไม่ได้ และบางทีเงินก็ไม่ได้อย่างที่คาดหวังเพราะมหาวิทยาลัยบางแห่งหาเงินไม่เก่ง ทุกวันนี้นักศึกษาจ่ายค่าหน่วยกิตไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุน เหตุเพราะต้นทุนที่แพงที่สุดคือค่าสมองของเหล่าอ.ทั้งหลายมันราคาต่ำกว่าราคาตลาด กลไกของประเทศจนๆอย่างเรามันถึงเดินไปได้ไม่ล้มคว่ำก็เพราะมีบุคลากรเหล่านี้ เงินน่ะใครอยากได้ แต่ด้วยเงื่อนไขต่างๆทำให้อ.หรือข้าราชการทั้งหลายรับความภาคภูมิใจ แทนเงินเดือนสูงๆ ถ้าจะไปทำกับเอกชน เราอาจจะรู้เห็นน้อยแต่ในแวดวงที่รู้จัก ไม่มีใครไม่หาทุนไปเรียนเอก ไม่ว่าทางบ้านจะจน จะรวย เป็นความภาคภูมิใจว่าเราเก่ง มีความสามารถ กลับมาก็รับราชการ ด้วยความภูมิใจ อยู่แบบพอเพียง จากคุณ : simiach เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 14:10:06

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นรายได้จรครับ ที่รู้เพราะไปตรวจการจ้างองค์กรทีหน่วยงานจ้างมาฝึกอบรมให้แล้วบังเอิญแอบไปเปิดใบเซ็นรับเงินของวิทยากรที่กำลังสอนอยู่ โปรไฟล์ไม่ด้เป็นอ.มหาวิทยาลัย แต่ประสบการณ์เป็น Project manager บ.ดังๆหลายที่ เค้าได้วันละ 30,000 บรรยาย 6 ชม. 3 วัน สรุปโปรเจกนั้นได้ไปเกือบแสน แล้วอย่างหน่วยงานผมถ้าจ้างมาบรรยายอบรมทั้งวันก็เหมาจ่ายวันละ 20,000 แล้วครับ เพราะฉะนั้นหาคอนเน็คชั่นดีๆไว้ครับ แล้วก็พยายามพรีเซ้นต์ตัวเองว่าเชี่ยวชาญเรื่องไหน เดี๋ยวนี้จะเห็นว่ามี ดร. หลายคน จบมาแล้วไม่ไปสอนในสถาบันการศึกษา หรือทำงานบริษัท แต่ไปเปิดบริษัทที่ปรึกษา รับสอนตามหน่วยงานใหญ่ๆ อย่างหน่วยงานผม ถ้าดังมากๆหรือหาคนที่รู้เรื่องมาสอนได้ยากเพราะเป็นเรื่องเฉพาะ เคยจ่ายวิทยากรวันละ 5 หมื่นก็มีครับ จบป.เอกมา เอาไปสร้างมูลค่าได้เยอะครับ แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 55 18:51:55 จากคุณ : กินอะไรหรือยัง เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 18:50:01

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้ารับราชการ ก็ลองคำนวณ cash inflow กับ cash outflow ว่าในปัจจุบันและอนาคตรายได้จะตอบสนองความต้องการของชีวิตหรือ แล้วจะตัดสินใจง่ายเอง ถ้าเน้นเงินมากๆก็เอกชนเลยครับมีประสบการณ์มากและผลงานโดดเด่น รวมไปทั้งมี connection เดี๋ยวก็รุ่ง เรื่องงานหนักอย่างไรก็ต้องสู้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ส่วนเอกชนเค้าใช้คุณคุ้มค่าตัวแน่ๆ เส้นทางไหนก็ทำให้คุณรวยได้ทั้งนั้นมันอยู่ตัวคุณได้พิสูจน์ตัวเองมีดีกว่าปริญญาเอก อย่างไปยึดติดปริญญามันมาก อย่าให้น้ำเต็มแก้ว ความรู้ใหม่ๆมันพัฒนาตลอดเวลา จากคุณ : มือใหม่ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 18:54:52 A:115.67.160.68 X: TicketID:084558

ความคิดเห็นที่ 21 ตาม*4 มีจริงนะ เรารู้จักอยู่ 3 คน ไม่รู้เยอะหรือน้อย จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 15:56:22

ความคิดเห็นที่ 22 เอาแค่ว่า ถ้าผมไม่เล่นทองกับหุ้นไปด้วย ลูกเมียผมคงอดตายไปแล้วครับ จากคุณ : กุ้งบก เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 55 01:43:27

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นด้วยกับที่ว่าเงินเดือนไม่คุ้มกับความพยายาม ระยะเวลาและความอดทนที่ลงทุนไป เฮ้อ เห็นแต่บ่น ๆ กัน เมื่อไรเงินเดือนจะเทียบได้กับบริษัทเอกชนซะทีน้า จากคุณ : production เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 55 17:13:54

ความคิดเห็นที่ 24 รบกวนถามนิดหนึ่งค่ะ เห็นหลายๆท่านพูดถึงเงินทุนวิจัย เงินทุนวิจัยของไทยสามารถนำมาใช้เป็นงบส่วนตัวได้ด้วยหรือคะ ???? ตามความเข้าใจของตนเองคนที่ได้รับทุนวิจัย อาจจะได้เงินค่าตอบแทบต่างหากมาส่วนหนึ่งเป็นนรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นมาซึ่งเป็นรายได้ตายตัวต่อการทำงานวิจัยนั้นๆ ซึ่งก็คงไม่ได้มากมายอะไร  ส่วนเงินที่เหลือต้องนำไปใช้ในการทำงานวิจัยจริงๆ  ตนเองมองว่าการนำเงินวิจัยมาใช้เป็นเงินส่วนตัวนั้นไม่น่าจะทำได้ เพราะเงินทุนวิจัยน่าจะถูกควบคุมโดยมหาวิทยาลัย เช่น ได้ทุนมาก้อนหนึ่ง อันดับแรกก็ต้องถูกหักให้มหาวิทยาลัยเพื่อเป็น indirect cost กี่ % ก็ว่ากันไป ส่วนที่เหลือไม่นับผลตอบแทนรายได้ในการทำงานวิจัย ควรจะถูกนำมาใช้ในงานวิจัย โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นฝ่ายควบคุมงบประมาณค่ะ ______________________________________________ ส่วนเรื่องภาระงานอาจารย์ในไทยนั้น เห็นแล้วยอมรับว่าเยอะจริงๆ  ในแง่ของรายได้ เหมือนจะมีรายได้เสริมเข้ามา ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละมหาวิทยาลัย และภาควิชาค่ะ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 55 07:16:39 จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 55 07:08:52

ความคิดเห็นที่ 25 สำหรับทุนวิจัย หลาย ๆ ท่านคงหมายถึงค่าตอบแทนนักวิจัยครับ เช่น ของสกว. จะมีการกำหนดอัตราค่าตอบแทนนักวิจัยไว้ตามระดับประสบการณ์ ซึ่งหมวดงบประมาณนี้ของโครงการ ไม่สามารถย้ายเงินจากส่วนอื่นมาเพิ่มเป็นค่าตอบแทนได้ครับ แต่บางหน่วยงานที่ให้ทุนวิจัย (เช่น องค์การมหาชนบางแห่ง) ก็เปิดโอกาสให้นักวิจัยเสนออัตราค่าตอบแทนไปตอนเสนองบประมาณโครงการได้ครับ ถ้าไม่สูงจนเกินไป ก็ไม่มีปัญหาครับ จากคุณ : Tony Almeida เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 22:26:08