ความคิดเห็นที่ 1 ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่าการเรียนการสอนทางไกลไม่เหมาะสมกับการเรียนภาษาใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าผู้เรียนมีหลายระดับ การจัดชุดการเรียนแบบสำเร็จรูปที่ใช้ได้กับทุกคน จะทำให้คนที่ภาษาดีอยู่แล้วเบือหน่าย ส่วนคนที่ทักษะภาษาแย่ก็จะตามบทเรียนไม่ทัน ผู้สอนไม่ได้เห็นอากัปกริยา อาการของผู้เรียน เพื่อที่จะ design บทเรียนให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน และผมได้ดูหลักสูตร B.A.(English) ของ มสธ.แล้ว พบว่าเน้นแต่ภาษาอังกฤษแบบทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน การนำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษ อังกฤษเฉพาะสาขา หรืออังกฤษเพื่อวิชาชีพ มากกว่าจะเป็นการเรียนภาษาและวรรณคดีอังกฤษอย่างที่หลักสูตร ป.ตรีภาษาอังกฤษในมหาลัยปิดส่วนใหญ่จะเป็นกัน(เช่น อ.บ.(ภาษาอังกฤษ) ของจุฬาฯ หรือ ศศ.บ.(ภาษาอังกฤษ) ของรามคำแหง) ถ้าเน้นทักษะบูรณาการแบบนี้ไปเทคคอร์สภาษาข้างนอกเอาก็น่าจะได้ เว้นแต่ว่าคุณอยากได้ป.ตรีอีกใบ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 01:54:01 A:58.9.136.107 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 2 เรียนเป็นความรู้เฉยๆ ค่ะ ไม่ได้เรียนเพื่อเอาวุฒิ จากคุณ : Youzen เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 02:00:33

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเรียนเอาความรู้เฉยๆ ไปเทคคอร์สตามสถาบันภาษาต่างๆเอาก็ได้ครับ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 03:23:22 A:58.9.136.107 X: TicketID:338978

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อปีที่แล้วเราก็เกือบจะลงเรียน B.A.(English) ของ มสธ. แต่พออ่านเนื้อหาหลักสูตรแล้วเรามีความคิดเหมือนๆกับคุณอึมนะ คือมันเน้นอังกฤษเฉพาะสาขาหรืออังกฤษเพื่อวิชาชีพมากกว่าที่จะเน้นโครงสร้างแท้ๆที่แข็งแกร่งของ English studies อีกทั้งเนื้อหาที่ต้องอ่านมันเยอะมากๆจนตาลาย แต่เผอิญเราชำนาญพวกอังกฤษเฉพาะสาขากับอังกฤษเพื่อวิชาชีพค่อนข้างหลายสาขาเพราะเราทำงานแปลเอกสารมาแล้วหลายปี และทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเราแข็งแกร่งไม่แพ้คนจบเอกอังกฤษระดับปริญญาโท(เพื่อนๆนักแปลที่จบอังกฤษระดับปริญญาโทมักจะขอให้เราช่วย edit (ตรวจแก้) ภาษาอังกฤษที่พวกเขาเขียน)   เพียงแต่เรากะจะไปเรียนเอาปริญญาตรีเท่านั้นเองเพราะเราจบแค่มัธยมต้น แต่เราเรียนภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองในต่างแดนกับการทำงานด้านภาษาอังกฤษมาหลายสิบปี เลยพอพิจารณาแล้ว เห็นว่าการพยายามอ่านหนังสือ มสธ. 4 ปีเพื่อเอาปริญญาตรีมา มันกลายเป็นตัวถ่วงให้เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ช้าลงไปมากๆ เราเลยตัดสินใจทิ้งปริญญาตรีมันซะเลย ไม่เอามัน แต่มุ่งเดินหน้าเรียนแต่วิชาที่จะแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง โดยการไปหา พวก textbooks ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาษาอังกฤษตัวเอง มาเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างเช่นพวกวิชา phonetics, phonology, syntax โดยมีวัตถุประสงค์คือตอนนี้เราพูดชัดอยู่แล้ว แต่ต้องการศึกษาให้ลึกกว่านั้น (เคยเรียน phonetics แบบกระโดดๆข้ามๆไป แค่เพื่อเอาไปสอนนักเรียนออกเสียงภาษาอังกฤษตอนเราทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เลยพอรู้บ้าง แต่ไม่ลึก) และในส่วนของ syntax นั้น เรียนเพื่อตรวจสอบโครงสร้างประโยคที่เราพยายามเรียนรู้โดยการหัดเขียนมันพลิกแพลงด้วยตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดทางด้านวิชาการในระดับสูงๆ ส่วนพวก literature นั้นเราไม่สนใจเลย เพราะตอนนี้เราพูดและเขียนภาษาอังกฤษแนว formal มากๆ (พวกหนังสือราชการ) กับอังกฤษแบบ business กับ academic writing กับเขียนภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากฎหมายยากๆได้โดยไม่หลุดอยู่แล้ว แค่นี้เราก็หากินได้แล้ว ในอีก 4 ปี ข้างหน้าถ้าเราเรียนตามเป้าที่เรากำหนดให้ตัวเองได้สำเร็จ ภาษาอังกฤษเราจะกระโดดก้าวหน้าไปไกลมากกว่าไปลงเรียนหล้กสูตรปริญญาตรีเอกอังกฤษ เพราะเราไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วคือ "การอ่านภาษาอังกฤษที่ใช้ในวิชาชีพตั้งมากมาย" และเรียนวิชานอกเรื่องที่เราไม่สนใจ เช่นไทยศึกษาหรืออะไรทำนองนั้น (จำชื่อวิชาไม่ได้แล้ว) นั่นเอง ในกรณีของ จขกท ถ้าคุณมีปริญญาตรีอยู่แล้ว แค่อยากเรียนภาษาอังกฤษไว้ใช้งานจริง ลองติดตามกระทู้คุณ lovelypriest ที่ให้ links ไปเรียนภาษาอังกฤษฟรีใน youtube แล้วคุณเข้าไปเรียนให้หมด youtube คุณจะได้พื้นฐานที่แข็งแกร่งมา เป็นต้นทุน จากนั้นเมื่อต้องการเรียนระดับยากๆให้เลยปริญญาตรีกับปริญญาโท โดยการเรียนด้วยตัวเอง ก็ให้ใช้ google ดีๆ แค่ลองใช้ keywords คือ English studies คุณจะรู้ว่าศาสตร์สาขานี้ประกอบไปสาขาวิชาย่อยแขนงไหนบ้าง แล้วคุณก็ไปหา textbooks (ถ้าเป็นเซียน google จะหาของฟรีได้หมด) วิชาพวกนี้มาเรียนเอง โดยเลือกเรียนแต่สาขาที่ตัวเองสนใจ ^ ถ้าวางแผนการเรียนของตัวเองได้ถูกต้อง คุณน่าจะทาบรัศมีหรือแม้กระทั่งเอาชนะคนเรียน B.A.(English) จากมหาลัยปิดได้ หรือเผลอๆเก่งเกินคนจบปริญญาโทด้านภาษาอังกฤษได้ เพราะในยุค Internet เราสามารถใช้ google ค้นได้หมดว่าบัณฑิตหรือมหาบัณฑิตภาษาอังกฤษเรียนรู้วิชาอะไรบ้าง ได้ครบทุกกระบวนท่าเพลง แล้วเรียนด้วยตัวเองให้รู้เท่าหรือรู้มากกว่าพวกเขาได้สบายๆ แต่จะทำสำเร็จหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และพรแสวง แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 06:10:36 แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 06:06:30 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 05:59:28

ความคิดเห็นที่ 5 หลากหลายความคิด ไม่เท่ากับความคิด และความรู้สึกของตัวเองเพียงคนเดียว การเรียนรู้ และฝึกทักษะทางภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตาม จำเป็นที่จะต้องมีการฝึกฝน และเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถามว่า เรียน มสธ. ดีไหม ... ตอบได้เลยว่า อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ ไม่มีใครตัดสินใจอะไรแทนเราได้ การอ่านหลักสูตรและวัตถุประสงค์ของการศึกษาเพียงอย่างเดียว ช่วยให้เห็นภาพความคิดรวม ๆ ของชุดวิชานั้น ๆ ได้ก็จริง แต่แก่นแท้ของการเรียนในแต่ละชุดวิชา ไม่เหมือนกับหลักสูตรซะทีเดียว ... ไม่เถียงเพื่อน ๆ ข้างบนว่า คนเก่งอาจจะเบื่อกับการเรียนแบบนี้ คนไม่เก่ง พื้นฐานไม่ดี ก็จะตามเพื่อนไม่ทัน อันนี้เรื่องจริง สำหรับการเรียนเอกอังกฤษของมสธ. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ... ต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนด้วยว่า คุณขยัน และเอาใจใส่กับบทเรียนมากแค่ไหน เชื่อว่า ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ... ถ้าตั้งใจที่จะเรียนรู้ และสนุกกับมัน ก็จะมีความสุขกับการเรียน โดยเฉพาะกับการทำงานเป็นกลุ่ม ... ผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายความคิด เจอกันแค่ตัวหนังสือ กระทบกระทั่งกันง่ายมาก จริง ๆ ... แต่ถ้าเราเลือกที่จะมาเรียนเพื่อหาความรู้ใส่ตัวด้วยความแน่วแน่ สิ่งที่จะมาบั่นทอนจิตใจ มันไม่มีผลอะไรเลยกับชีวิตเรา ... ใครทำงานก็ให้คะแนน ใครไม่ทำงานก็ไม่มีคะแนน ... จริงไหม? จากคุณ : Jewja เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 10:08:34

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าไม่ชอบงานกลุ่ม ไม่ควรเรียนหลักสูตรนี้ครับ เพราะมีงานกลุ่มตลอด ที่เรียน ๆ กันอยู่นี่บางคนจะฆ่ากันตายเพราะงานกลุ่มนี่แหละ ยิ่งต้องทำงานแบบไม่เจอกันไม่เห็นหน้ากันยิ่งหนักกว่าเดิม บางทีก็หายไปดื้อ ๆ ปล่อยให้เพื่อนรอจนหมดหรือใกล้หมดเวลาส่งงานโดยไม่บอกอะไรสักคำ ติดต่อก็ไม่ได้ บางทีก็โผล่มาแต่ตอนต้นกับตอนท้ายโดยไม่มีส่วนร่วมในการทำงานเลย และอีกหลายอย่างที่สรุปแล้วหลักสูตรนี้ไม่เหมาะกับคนไม่ชอบงานกลุ่มอย่างยิ่งครับ จากคุณ : Timin2101 เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 10:10:22

ความคิดเห็นที่ 7 - เห็นบอกว่าไม่ชอบทำงานกลุ่มมาตั้งแต่สมัยเรียน ป.ตรี ... งานกลุ่มมีแน่นอน มีตลอดไปด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 1 เทอม 2 เป็นต้นไป โดยเฉพาะรหัสวิชาที่ขึ้นต้นด้วย 14XXX - เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย จะไหวไหม ... หลายคนก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย มีน้อยมาก ที่เรียนอย่างเดียว พวกเขายังทำได้เลย ทำไมคุณจะทำไม่ได้ ยิ่งถ้าเรียนจบ ป.ตรี มาแล้ว พื้นฐานก็น่าจะมีอยู่บ้าง ช่วยคุณได้แน่นอน ... อย่ากังวลในเรื่องนี้ - ถามตัวเองด้วย ว่าอยากเรียนเพราะอะไร ในเมื่อไม่อยากได้ วุฒิ อีกใบ แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 10:39:46 จากคุณ : Jewja เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 10:11:57

ความคิดเห็นที่ 8 มาต่อกันที่หลักสูตรกันบ้าง เอาที่เคยเจอมานะ -  ชุดวิชา 14111 ทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ... ชุดวิชานี้ เป็นชุดวิชาแรกที่จะต้องเรียนในระบบออนไลน์ การทำงานจะมีงานทุกอาทิตย์ ขอย้ำว่า ทุกอาทิตย์ มีงานมากที่สุดของชุดวิชา 14XXX ... เป็นชุดวิชาที่ให้เราคุ้นเคยกับการเรียนออนไลน์ คุ้นเคยกับการทำงานเป็นกลุ่ม และคุ้นเคยกับการฝึกทักษะการเขียน ฟัง อ่าน (ฝึกพวกนี้โดยที่เราไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนฝึก เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องไวยากรณ์) ใครที่เรียนวิชานี้ แล้วบอกว่า จะเขียนไปได้ยังไง ไวยากรณ์ก็ยังไม่ได้เรียน เขียนก็ไม่ได้ ไวยากรณ์ก็ห่วยขั้นเทพ จะเอาอะไรไปเขียน จะได้คะแนนอย่างไร ... คะแนนส่วนใหญ่ได้มาจากเพื่อน ขอแค่สื่อสารให้เพื่อนเข้าใจ ว่างานของเราคืออะไร ไม่ต้องใช้คำศัพท์ให้มันเริ่ดหรูนัก แต่ขอให้สื่อสารรู้เรื่อง ทำตามเกณฑ์ที่เขากำหนด อย่าเพิ่งออกนอกกรอบ เราก็จะได้คะแนนในส่วนนี้ - ชุดวิชา 14212 ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ... ชุดวิชานี้ มีงานแค่ 2 ชิ้น งานยักษ์ ... งานกลุ่ม 1 ชิ้น และงานเดี่ยว 1 ชิ้น ... ตำราเป็นยังไง บอกได้เลยว่า อ่านไป ก็ไม่จำ พวกนี้อาศัยการฝึกทักษะจริง ๆ -  ชุดวิชา 14213 การอ่านภาษาอังกฤษ 1 ... ชุดวิชานี้ มีงานกลุ่มนะ จำไม่ได้ว่างานกลุ่มมีเยอะแค่ไหน คร่าว ๆ ประมาณ 5-6 งานนี่แหละ เป็นพวกเดาคำศัพท์จากบทความที่ได้อ่าน การจับใจความสำคัญ ... หนังสือชุดวิชานี้ มีเทคนิคของการอ่าน ถ้าเข้าใจเทคนิค การอ่านจะไม่ใช่เรื่องยาก ... ข้อสอบชุดวิชานี้ หินมาก ... พวกเทพ ๆ ยังบ่นกันเป็นแถบ ๆ ... -  ชุดวิชา 14214 การเขียนภาษาอังกฤษ 1 ... ชุดวิชานี้ เน้นการเขียนให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ได้ใช้ ชุดวิชา 14212 ก็ที่นี่แหละ เขียนไม่ถูกก็โดนหักคะแนนเป็นจุด ๆ กันไป -  ชุดวิชา 14215 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น ... ชุดวิชานี้ สนุกนะ เกี่ยวกับโครงสร้างของคำ หรือประโยคในภาษาอังกฤษโดยการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เรียนเกี่ยวกับระบบเสียงและระบบคำ หน่วยคำ ความหมายของคำ -  ชุดวิชา 14216 การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ... ชุดนี้สนุกเหมือนกัน ได้เห็นถึงความหลากหลายของแต่ละวัฒนธรรม ของแต่ละชนชาติ ไม่มองว่า วัฒนธรรมไหนดีกว่า ด้อยกว่า ทุกวัฒนธรรมมีความดีในตัวเอง ... ข้อสอบชุดวิชานี้ ทำเอาหลาย ๆ คนตกม้าตายไปตาม ๆ กัน เพราะมัวแต่ไปท่องจำ ที่ไหนได้ วิเคราะห์ซะ สนุกไปเลย ... *** นี่คือ ส่วนที่ได้เรียนไปแล้ว ทุกชุดวิชา ทำงานเป็นกลุ่มหมด *** ถามว่า ได้อะไรไหม ... ได้แน่นอน บอกไม่ได้ว่า ได้อะไรบ้าง เพราะความคาดหวังของคนเราจะไม่เหมือนกัน หวังมาก หวังน้อย แตกต่างกันออกไป ต้องลงมาสัมผัสด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่ต้องเรียนต่อ ... จากคุณ : Jewja เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 10:31:33

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนเทอมนี้ เป็นปี 3 เทอม 1 ... ชุดวิชาที่กำลังลงทะเบียนคือ - ชุดวิชา 14317 การอ่านภาษาอังกฤษ 2   วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเรียนรู้กลวิธีที่จาเป็นในการอ่านข้อเขียน เอกสาร และบทความภาษาอังกฤษ ตลอดจน แนวทางในการหาความหมายจากประโยค ย่อหน้า และวิธีการเขียนแบบต่าง ๆ 2. เพื่อเพิ่มพูนความรู้เรื่องโครงสร้าง ศัพท์ และสานวนภาษาอังกฤษต่าง ๆ 3. เพื่อเพิ่มพูนทักษะการอ่านเพื่อเก็บข้อมูลจากสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจาวัน การอ่าน เพื่อความรู้ทั่วไป การอ่านเพื่อจุดมุ่งหมายทางวิชาการ และการอ่านเพื่อความบันเทิง คาอธิบายชุดวิชา กลวิธีในการอ่าน การฝึกทักษะการอ่าน การเพิ่มพูนความรู้เรื่องโครงสร้าง ศัพท์ และสานวน ภาษาอังกฤษ โดยใช้ข้อเขียนทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจาวัน เช่น ป้ายประกาศ หนังสือพิมพ์ และบทความโฆษณา - ชุดวิชา 14318 หลักการแปลภาษาอังกฤษ   วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีและหลักการแปล ตลอดจนปัญหาพื้นฐานของ การแปล 2. เพื่อฝึกทักษะการแปลประโยคและข้อเขียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย คำอธิบายชุดวิชา ทฤษฎีพื้นฐานของการแปลสมัยปัจจุบัน หลักการแปล ขั้นตอนการแปล ลักษณะของงานแปลในปัจจุบัน ปัญหาพื้นฐานของการแปล การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยตั้งแต่ระดับประโยคจนถึงข้อเขียนประเภทต่าง ๆ การวิเคราะห์สาเหตุของข้อผิดพลาดในการแปลและแก้ไขข้อบกพร่อง - ชุดวิชา 14320 สัทศาสตร์เบื้องต้น วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางด้านแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสัทศาสตร์ของ ภาษาอังกฤษ เพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร 2. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทางานของระบบเสียงและกฎของการเปลี่ยนแปลง ของเสียง 3. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับหลักและวิธีวิเคราะห์ระบบเสียงจากข้อมูล เพื่อหาหน่วยเสียง 4. เพื่อให้สามารถฟัง ออกเสียง และถอดเสียงจากสัญลักษณ์ของพยัญชนะและสระต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ 5. เพื่อให้สามารถวิเคราะห์เสียงพยัญชนะ สระ และทำนองเสียงในภาษาอังกฤษ รวมทั้ง ข้อบกพร่องที่มักพบอยู่เสมอและแก้ไข คำอธิบายชุดวิชา แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับสัทศาสตร์ของภาษาอังกฤษ การทำงานของระบบเสียงและ การเปลี่ยนแปลงของเสียง การวิเคราะห์ระบบเสียง ฝึกฟังเสียง ออกเสียง และถอดเสียงจากสัญลักษณ์ ของพยัญชนะและสระต่าง ๆ ทางสัทศาสตร์ ฝึกฟังและออกเสียงพยัญชนะ สระที่เกิดจากฐานกรณ์ต่าง ๆ และลักษณะการทางานของฐานกรณ์ การวิเคราะห์เสียงพยัญชนะ สระและทำนองเสียง ข้อบกพร่องในด้านการออกเสียง และการแก้ไข ****************************************************** คงพอแค่นี้ คงจะพอเป็นแนวทางในการตัดสินใจได้ ว่าควรจะเรียนดีหรือเปล่า ... ****************************************************** แถม ... ทักษะการฟัง กับ พูด คงต้องฝึกฝนกันเอาเอง เพราะตอนนี้ก็กำลังฝึกอยู่ ไม่ใช่เฉพาะฟัง กับ พูด รวมไปถึงการอ่านด้วย อยากได้แบบไหน ก็คงต้องฝึกฝน รอให้เขามาป้อนเข้าปากเลย คงเป็นไปไม่ได้ การเรียนช่วยให้รู้ในเรื่องของหลักการและเทคนิค ส่วนทักษะ คงต้องอาศัยการฝึกฝนด้วยตนเอง ... แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 10:42:06 แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 10:37:21 จากคุณ : Jewja เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 10:36:07

ความคิดเห็นที่ 10 เราแนะนำว่า ใครก็ตามที่คิดจะเอาดีด้านภาษาอังกฤษจะต้องไม่หลงเข้าใจผิดคิดว่า "จบปริญญาด้านภาษาอังกฤษแล้วจะต้องเก่งพร้อมสรรพเสมอไป" คือจริงๆแล้วสิ่งที่จะทำให้คนเก่งอังกฤษระดับเทพๆได้มันคือ 1. ประสบการณ์การทำงานด้านภาษาอังกฤษของจริง 2. ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าจากตำราต่างประเทศด้าน English studies ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ไม่ใช่เขียนเป็นภาษาไทยให้นักศึกษาในมหาลัยไทยเรียน เราลองเทียบเนื้อหาหลักสูตรเอกอังกฤษของรามกับของ มสธ. ดู แล้วพบว่า ของรามมีเนื้อหาที่สอนให้นักศึกษาใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานได้อย่างถูกต้องมากกว่าของ มสธ. เราเคยซื้อ textbooks ปริญญาตรีเอกอังกฤษของรามมาครบทุกเล่ม แล้วอ่านแค่จับใจประเด็นว่า "พวกนักศึกษาเอกอังกฤษเขาต้องเรียนอะไรกัน" ^ จากนั้นเราไปหา textbooks จากต่างประเทศในเรื่องพวกนี้ ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษมาศึกษาเองหมด และนำไปใช้ในการทำงานจริงคือเขียนภาษาอังกฤษมาหลายปี ในการทำงานแปลไทยเป็นอังกฤษ  และค้นคว้าด้วยตัวเองเรื่อง teaching English as a foreign language มาหลายปี เพื่อเอาไว้สอนตัวเอง แต่ไม่เคยคิดจะไปสอนคนอื่นเพราะรู้ว่าสังคมไทยไม่จ้างครูที่ไม่จบปริญญาอย่างเรา ถ้าให้เราเรียนเอกอังกฤษรามเราคงอยากเรียนเล่นๆสนุกๆนะ เพราะเนื้อหามันน่าสนใจดี แต่เราลงทะเบียนเรียนไม่ได้เนื่องจากเรามีวุฒิการศึกษาแค่มัธยมต้นเท่านั้นเอง  บางคนแนะนำให้เราไปเรียน กศน. เอาวุฒิ ม.6 แต่เราไม่อยากเสียเวลา เพราะเอาเวลาไปหาเงินจะดีกว่า ^ ยกตัวอย่างเช่นขณะนี้เรากำลังแปลงานไทยเป็นอังกฤษชิ้นยาวที่เราคิดค่าแปลลูกค้าหน้าละ 1,200 บาท ซึ่งเราแปลได้วันละ 10 กว่าหน้า วันๆก็ได้เงินเกิน 12,000 บาท  สบายๆแล้ว เลยไม่รู้จะไปเรียน กศน. เพื่อเอา ม.6 แล้วดั้นด้นไปเอาปริญญาด้านภาษาอังกฤษทำไมกัน   คือเผอิญมีลูกค้าที่จ้างเราทำงานด้านภาษาอังกฤษราคาแพงๆโดยดูจากความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของเรา ไม่ได้ดูจากปริญญา   ^ เราก็เลยพยายาม think positive ว่า "การไม่มีปริญญามันกลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราพยายามเรียนภาษาอังกฤษแข่งกับคนจบวุฒิสูงๆด้านภาษาอังกฤษเพื่อไปแข่งขันกันในตลาดงาน และมันเป็นเกมชีวิตที่ท้าทายดีมากๆ" ตอนนี้เราพยายามฝึก writing ระดับสูงๆ ไปเรื่อยๆ ความทะเยอะทะยานของเราไม่ใช่ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกด้านภาษาอังกฤษ แต่เราอยากเขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเอาไปขายในต่างแดนให้ได้เงินมหาศาล เราอยากเป็นเหมือน Agatha Christie ที่ไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนและไม่ได้เรียนหนังสือในมหาลัย แต่เธอเขียนภาษาอังกฤษได้สวยงามจนเขียนหนังสือขายมีชื่อเสียงทั่วโลก แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 12:19:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 12:14:48

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณ คุณอืม คุณ Jewja และคุณหมอดูมากนะคะ ทำให้เราตัดสินใจได้แล้ว งั้นเราไม่ลงเรียนแล้วค่ะ  เมื่อวานเข้าดูหนังสือของราม สนใจหลายเล่ม คงซื้อมาดูก่อนค่ะ จะดูคุณหมอดูไว้เป็นแนวทางค่ะ เคยอ่านมาหลายกระทู้แล้ว เราชอบภาษาแต่ไม่เลือกเรียนภาษามาเรียนสายวิทย์ เพราะคิดว่ามันหาเรียนข้างนอกได้นี่แหละค่ะ จากคุณ : Youzen เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 14:15:12

ความคิดเห็นที่ 12 เราเรียนได้มากเพราะ "ว่างมากยังไงล่ะ" ที่เราพูดไว้ใน คคห 10 ว่าเราทำงานแปลเอกสารวันเดียวได้เงินเกิน 12,000 บาทนี่ไม่ได้มีงานแบบนี้ทุกวันนะ บางทีรับงานง่ายกว่านั้นก็ทำวันเดียวได้แค่ 6,000 กว่าบาท (เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่านักแปลรวยเละ จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก) คืองานราคาดีๆหรือราคารองๆน่ะ มันเข้าห่างเว้นระยะกัน ทำให้พอเราได้เงินก้อนใหญ่มาเราก็มีทุนรอนอยู่ในมือมากพอที่จะอยู่ว่างๆได้นานมากๆ และในช่วงว่างนี้หละเป็นโอกาสทองที่เราจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของการไม่ทำงานรับเงินเดือน แต่ถ้าเราทำการตลาดผิดพลาดหาลูกค้าไม่ได้เราก็ตายสนิทเหมือนกัน แต่เท่าที่ทำงาน freelance มาเกิน 15 ปี แล้วยังไม่เคยถึงกับว่างงานจนอดตายเลย เราก็เลยใจกล้าเรียนรู้เพื่อเอาความรู้ไปใช้งานจริงๆปริญญามีไม่มีไม่สนแล้วหละตอนนี้ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่อดตายแน่ๆ ซึ่งในช่วงว่างไม่มีงานแปลเอกสารนานๆเราก็รับสอนภาษาอังกฤษหารายได้พิเศษเล็กๆน้อยบ้าง ลองไปดูผลงานการคิดค้นวิธีสอนภาษาอังกฤษให้กับคนที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษจากไม่กระดิกหูเลย ที่เราสาธิตหลักการเอาไว้ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12178322/K12178322.html แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 14:59:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 14:56:00

ความคิดเห็นที่ 13 d จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 15:20:41

ความคิดเห็นที่ 14 หลักการสำคัญอยู่ที่การบริหารจัดการเวลาและความมุ่งมั่น คนที่มาเรียนมสธ.ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ที่สำเร็จการศึกษาได้ก็มากมาย พึงรับทราบไว้ว่าเรียนมสธ.เอกอังกฤษในหลักสูตรแบบออนไลน์นี่เลี่ยงไม่พ้นที่ต้องทำงานกลุ่ม เพราะเขาออกแบบระบบไว้เช่นนี้คือให้นักศึกษามาจับกลุ่มช่วยกันเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่การศึกษาด้วยตัวเองแบบโดดเดี่ยวเหมือนในสาขาวิชาอื่นแล้วรวบยอดไปสอบเอาตอนปลายภาค หากถูกบังคับไว้ด้วยการทำงานกลุ่มซึ่งในแต่ละวิชามีจำนวนครั้งที่ต้องส่งงานไม่เท่ากัน จะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องทำงานร่วมกับเพื่อนเพราะมีคะแนนเก็บในส่วนงานกลุ่มสูงถึงสี่สิบคะแนน ผู้ที่ประเมินคะแนนเก็บสี่สิบคะแนนให้นี้ไม่ใช่ท่านอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิเสียทั้งหมด แต่เป็นเพื่อนร่วมวิชาและเพื่อนร่วมกลุ่มที่รู้จริงบ้างไม่รู้จริงบ้าง คะแนนที่อาจารย์ให้ก็มีเหมือนกันแต่จะคิดอ้างอิงตามสัดส่วนจากคะแนนที่เพื่อนร่วมกลุ่มประเมินความร่วมมือในการทำงานเป็นหลัก ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อบรรเทาภาระอาจารย์ผู้สอนจากการต้องมาตรวจการบ้านดูแลนักศึกษาที่มีจำนวนมหาศาล โดยการให้นักศึกษาศึกษาจากตำราแล้วไปสอนกันเอง ให้คะแนนกันเอง เพื่อนร่วมกลุ่มในแต่ละวิชาเลือกเองไม่ได้เพราะระบบจะสุ่มจับกลุ่มให้ แน่นอนว่าไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน แต่ละคนมีภูมิหลังทางการศึกษาและอุปนิสัยใจคอแตกต่างกันไป ที่เก่งขั้นเทพก็มี ที่อ่อนแอสุดขีดก็มี ที่พอใช้ได้ไม่ย่ำแย่อะไรก็มี หากโชคดีได้เพื่อนที่มีพื้นฐานความรู้ดี นิสัยดีงาม มีระเบียบวินัยและจิตใจไม่คับแคบ งานกลุ่มก็จะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ไปๆ มาๆ ก็ออกจะสนุกสนานดี คือดีกว่าท่องตำราทำการบ้านมั่วๆ ส่งไปตามลำพัง หากโชคร้ายเจอเพื่อนร่วมกลุ่มแบบกากๆ พื้นฐานไก่กา ห่วยไม่พอยังขี้เกียจและมีสันดานคดโกงเห็นแก่ตัว ก็จะพาให้ชอกช้ำระกำจิต ขำไม่ออกจนพาลเกลียดชังการทำงานกลุ่มไปเลยก็ได้ เพื่อนร่วมกลุ่มสามารถทำให้คะแนนเก็บคุณดิ่งลงเหว หรือลอยละล่องขึ้นฟ้าได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจและความเมตตาของเขาและเธอเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าอาจารย์ไม่สามารถมาติดตามดูพฤติกรรมหรือตรวจสอบวัดระดับฉันทาคติรายบุคคลได้ตลอดเวลา แต่หากคิดว่าไม่ได้รับเป็นธรรมจากการประเมินของเพื่อนก็สามารถร้องเรียนเป็นกรณีๆ ไป อนึ่งว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษของมสธ.นี้ไม่ได้เรียนแบบเจาะลึกเข้มข้นเฉพาะด้านเหมือนในมหาวิทยาลัยปิดอื่นๆ หากอยากเป็นนักแปลแล้วมาเรียนก็ไม่แนะนำ หรือเป็นนักแปลอาชีพอยู่แล้วคิดจะมาเรียนก็ไม่แนะนำ เว้นแต่คุณจะมีเวลาว่างเหลือเฟือในชีัวิตและนึกสนุกอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในมุมมองส่วนตัวเห็นว่าหลักสูตรนี้น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทบทวนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ได้มาจากการเรียนในสมัยมัธยมซึ่งอาจจะอ่อนปวกเปียกอยู่ให้แน่นหนาแข็งแรงขึ้นและประยุกต์ไปใช้งานแบบเรียบๆ ง่ายๆ ได้ดีขึ้นมากกว่า จากคุณ : NoxNoctis เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 17:47:38

ความคิดเห็นที่ 15 ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจว่า มสธ. จัดตั้งขึ้นมาเพื่ออะไรก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาดูว่า มสธ. จะมอบอะไรให้คุณได้บ้าง  การเรียนของ มสธ. ไม่เหมือนกับการเรียนแบบอื่นๆ ดังนั้นการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษของ มสธ. ก็เหมือนกัน ในเมื่อจะเอาระบบการเรียนของหลักสูตรนี้ไปเทียบกับราม ผมคิดว่ามันก็เป็นคนละประเด็นกัน มันเทียบกันไม่ได้ ระบบเรียนทางไกลแบบแห้ง กับระบบที่เข้าไปในห้องเรียนแบบราม ถ้าจะเทียบอย่างนี้แล้ว เรียนราชภัฏก็คงได้ประโยชน์มากกว่า... ผมพูดในฐานะที่เป็นนักศึกษาคนนึงที่ได้เข้าเรียนวิชานี้ด้วย ระบบการเรียนของ มสธ. เป็นระบบที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดที่การเรียนทางไกลจะสามารถเอื้อให้เกิดผลได้ ณ ในขณะเวลานี้ ถ้าคุณจะคาดหวังว่า อาจารย์จะมานั่งอัดวิดีโอแล้วคุณเอามาดูแล้วพูดตาม หรือฝึกฝนตาม เหมือนรายการ Follow Me สมัยก่อนมันก็ไม่ใช่แบบนั้น ตำราต่างๆ เป็นตำราแบบแห้งที่คุณต้องอ่านและค่อยๆ ทำความเข้าใจ ถ้าไม่มีเพื่อนที่คอยอธิบายให้ฟังก็หมดสิทธิ์เข้าใจเหมือนกัน เพื่อนผมคนหนึ่ง โทรมาโอดโอยตลอดว่าตกวิชาที่ผมคิดว่ามันไม่ยากนัก แต่ผมก็หมดปัญญาอธิบายหรือช่วยเหมือนกัน เพราะผมก็ตะลอนเดินทางเหมือนกัน  ย้ำครับ ตำราต่างๆ ถูกออกแบบมาเป็นระบบโมดูล มันก็ยากเหมือนกัน ถ้าคุณไม่มีกลุ่มเพื่อนที่คอยตามงานกัน ไม่ค่อยเตือนให้อ่าน  ข้อด้อยที่สุดของการเรียนทางไกลคือจำนวนบุคลาการกับจำนวนบุคลากรที่ไม่สัมพันธ์กัน ดังนั้นถ้าคาดหวังว่าจะได้ Feedback จากอาจารย์มันจะน้อยมาก เพราะการเรียนวิชาที่เป็นทักษะ คุณต้องอ่านเอาเองเท่านั้นจากตำราที่อาจารย์เขียนไว้  ถ้าหวังจะพึ่งเว็บบอร์ดก็อย่าหวังเลยเพราะส่วนใหญ่จะดราม่าซะเยอะ... สำหรับผมการเรียน มสธ. ตอบโจทย์เรื่องเวลากับเอกสารประกอบการสอนได้เป็นอย่างดี เรื่องทักษะการฟังและพูด ผมไม่ห่วง เพราะในชีวิตประจำวันผมก็เจออยู่แล้ว ผมขอสรุปแล้วกัน การเรียนในโลกนี้ ถ้าคุณยึดติดกับการป้อนเข้าปาก ไม่มีระบบใหนจะเหมาะสมกับคุณเท่ากับระบบไทยๆ อีกแล้ว การเรียน มสธ. เน้นที่ตนเองเป็นศูนย์กลาง เน้นความมีวินัย เน้นผู้ที่มีฐานหรือพื้นความรู้อยู่แล้ว เอามาต่อยอดให้มันงอกเงย ดังนั้นเพื่อตอบโจทย์ตรงนี้ วิชาบางวิชามันจึงไม่ยากและก็ไม่ง่าย แต่มันกลางค่อนไปทางง่าย มันจึงทำให้พวกที่พื้นความรู้ดีเบื่อ ส่วนพวกที่พื้นความรู้แย่ก็หน่าย... เพราะจะเน้นที่งานกลุ่ม ที่ชนิดที่ว่าพวกชอบบินเดี่ยวต้องมีเรื่องมาทะเลาะกับพวกแอบส่งงานเสมอๆ  แต่อย่างไร ผมก็รักหลักสูตรนี้ และอาจารย์ผู้อสอนนะที่พยายามจะเอาระบบการสอนทางไกลมาใช้กับการเรียนภาษา... จากคุณ : Air Bender เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 17:54:44

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับคห.14&15 ค่ะ อย่างน้อยการเรียนมสธ.ก็ทำให้เรารู้จักความรับผิดชอบต่องานและเวลา  รวมทั้งความรู้ด้านภาษาที่ได้เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะไม่มากอย่างที่คาดหวังไว้เพราะบางวิชาก็ต้องเอาความรู้เก่ามาช่วยมาประยุกต์ใช้  แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ทำอะไรเลย จากคุณ : หนูวรรณ เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 20:04:16

ความคิดเห็นที่ 17 แก้ไข แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 21:50:37 จากคุณ : โลกสีน้ำเงินเข้ม เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 21:47:53

ความคิดเห็นที่ 18 ผมก็เรียนที่นี่นะ มสธ แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 55 21:50:22 จากคุณ : โลกสีน้ำเงินเข้ม เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 21:50:02

ความคิดเห็นที่ 19 บางคนทำงานอยู่ในอำเภอเล็ก ๆ ไกล ๆ คงไม่มีโอกาสมาเรียนคอร์สภาษาอังกฤษในเมือง หากจะเรียนแบบนี้ ผมคิดว่าก็เข้าท่าดีนะ เพราะมันก็ห่างไกลไม่ค่อยมีอะไรทำ ดีกว่าเผาเวลาทิ้ง จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 00:02:27

ความคิดเห็นที่ 20 บอกได้เลยค่ะว่า...ถ้าจะเอกอังกฤษที่ มสธ.ต้องแบ่งเวลาให้เป็น เพราะงานกลุ่มมีแน่นอนและตลอดชีพด้วย เพราะจะมีชุดวิชารหัส ขึ้นด้วย 14 ทั้งหลายที่ต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์และมีส่งงานทั้งเดี่ยวทั้งกลุ่ม อาทิตย์นึงส่งชิ้นนึงหรือแล้วแต่ชุดวิชาว่าคะแนนเก็บจะมีมากน้อยเท่าใด งานก็จะเยอะตามเท่านั้น หากแบ่งเวลาเป็น คนทำงานก็เรียนได้ค่ะ ได้อะไรมั้ย....จากการเรียนออนไลน์ BA Eng กับ มสธ. สำหรับความรู้เท่าหางอึ่งพื้นฐานไม่มากมายอย่างดิฉัน ก็ได้มาเยอะพอดูค่ะ ปัจจัยตัวเดียวที่เราจะได้มากหรือน้อยคือการฝึกฝนบ่อย ๆ ใช้ให้บ่อย และ ไม่ทิ้งภาษาอังกฤษเลยแม้แต่วันเดียว นำบทเรียนที่ได้เรียนมาทบทวนด้วยการเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ทำแบบฝึกหัดซ้ำไปมา หนักกว่าเรียนในห้องตรงที่ ตัวเราเองต้องใจแข็งพอที่จะบังคับตัวเองให้ฝึกฝนตามแนวทางที่ มสธ.แนะนำไว้ในหนังสือ หรือท่านอาจารย์แนะนำ เพื่อพัฒนาภาษาของเรา ตัวเราตอนนี้จากแต่งประโยคไม่ได้เลย พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ฟังก็ไม่รู้เรื่องผ่านหูไปเหมือนลมกรอก ตอนนี้จับใจความได้บ้าง และจะพยายามต่อไปค่ะ ตกมั้ย ก็มีตกค่ะ แต่ก็ไม่ท้อ ก็เราชอบเรียนด้านนี้ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนมหาลัยปิดหรือสอบเข้ามหาลัยอย่างหลาย ๆ คน เลยมีทางเลือกไม่กี่ทางที่จะเรียนไป และทำงานที่บ้านไปได้โดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียนน่ะค่ะ คุณ จขกท.ถ้าไม่ชอบงานกลุ่ม ก็อย่าลงเลยค่ะ หลาย คห.พูดไว้ก็จริง นักศึกษาจะทะเลาะกันเสียสุขภาพจิตวัน ๆ เพราะงานกลุ่มที่บางกลุ่มโชคร้ายเจอคนมาเรียนแต่ไม่มาทำงานกลุ่ม ถึงเวลาจะเอาคะแนนจากเพื่อน หรือไม่มาทำอะไรเลย มากดส่งงานใหม่ให้เพื่อนในกลุ่มโดนหักคะแนนไม่ประเมินเพื่อนเอาตอนเที่ยงคืน แบบนี้ ไม่ไหวจะเคลียร์ ถ้าไม่ชอบงานกลุ่ม แนะนำเลยค่ะ อย่าลงเลย...T Tสู้ ๆ ค่ะ จากคุณ : Chacharay เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 23:06:53

ความคิดเห็นที่ 21 เรียนมสธ.เอกeng ค่า จากคุณ : k n (นทีทอง) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 55 19:42:33

ความคิดเห็นที่ 22 เพิ่งลงไปเทอม 1/55 นี้เองค้า ยังไงขอคำแนะนำบ้างนะคะ จากคุณ : รักเราเท่าฟ้า เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 14:50:25

ความคิดเห็นที่ 23 อาจเข้ามาอ่านช้าไปหน่อยแต่ก็อยากเพิ่มข้อมูลอีกนิดสำหรับคนที่อยากเรียนแต่เข้ามาช้าเหมือนกัน ตอนนี้เราอยู่ปี2 เรียนEng ไปแล้ว 2 วิชา ตอนเรียนคิดว่าลำบากนะทำงานหนักมาก ขนาดเราจบ ป.ตรีมาแล้วจากมหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่งยังแบบว่า...สุดๆ เหมือนกัน แต่พอจบคอร์สแล้วอยากบอกรัก มสธ ขึ้นมาจับใจ แม้ว่าเราจะได้เพื่อนร่วมกลุ่มที่กากๆ ไปบ้าง แต่ถ้าเรามุ่งทำงาน และเรียนรู้จากเพื่อนที่เทพๆมันก็โอนะ ใครจะเรียนขอบอกว่าให้รีบเข้าไปลงทะเบียนออนไลน์ซะแต่แรกๆคอยตรวจสอบข่าวคราว มสธ ให้ไว เพื่อนกากๆอาจมาจากการลงทะเบียนช้าก็ได้ และให้ลง 14111 เพื่อฝึกเรียนออนไลน์ก่อน เราไม่รู้ดันไปลงออนไลน์ 2 วิชา เล่นเอาสาหัสหนำซ้ำเข้าเรียนช้า พลาดงานไปหลายงาน โดนตัดคะแนน ซ้ำเพื่อนก็ยังให้คะแนนเราน้อย ทั้งที่เราทำงานคนเดียว แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย เราอยากได้คะแนนจากเขา เราก็คอมเม้นท์เขาดีๆ ให้คะแนนเขาดีๆ เกินจริงไปบ้างอย่าเถรตรงมาก เราเองก็เกือบได้ H แต่ดันมีคะแนนเก็บน้อยไปนิด แต่คิดว่าไม่เป็นไรเป็นประสบการณ์ไปแล้วกัน คราวหน้าจะได้พยายามมากขึ้น ที่สำคัญเรารักอาจารย์อ่ะเชื่อไหม ไม่เคยเห็นตัวจริงแต่เราสัมผัสได้ถึงความทุ่มเทเอาใจใส่ของอาจารย์ อาจารย์เข้าถึงได้ตลอด มาตอบกระทู้ที่บอร์ดเสมอ ไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องเรียนได้ทางอีเมล อาจารย์ไม่เคยละเลย มีอะไรเข้าถามได้ที่บอร์ด คนที่มาตอบก็มักเป็นคนที่รู้เรื่องและหลากหลาย กลุ้มใจก็ไประบายได้มีคนพร้อมให้กำลังใจและแนะนำ ใครที่บอกว่าสงสัยอะไรจะถามอาจารย์เป็นการส่วนตัวเหมือนมหาวิทยาลัยปิดไม่ได้ ผิดค่ะ เมลถามอาจารย์ได้ อาจารย์ตอบมาทุกครั้ง หรือไปโพสต์ไว้ที่บอร์กลางก็ได้ ผุ้รู้มากมายคอยดูแลคุณอยู่ เรียนมหาวิทยาลัยปิดคุณจะไม่ได้รับเท่านี้แน่นอน มันเจ๋งตรงฟ้องอาจารย์ได้ อาจารย์จะเข้าไปตรวจสอบให้อิอิ เรียนมหาวิทยาลัยปิดคุณคิดว่าทำได้ง่ายๆเหรอ พอดีใช้มือถือพิมพ์ ผิดเยอะมาก แก้หลายครั้งขออภัยด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 12:53:40 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 12:45:34 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 06:23:42 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 06:04:42 จากคุณ : อุ่นหนาฝาคั่ง เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 06:02:17