|
ครูเจมส์ (3)
ก็สอนหลักการใช้ภาษาอังกฤษ สำนวน เทคนิควิธีการเรียน คลิปนี้เรื่อง How NOT to Learn English บทนี้ครูเค้าก็รวบรวมมาจากเรื่องจริงที่ครูเจอตอนสอน เป็นตอนแรกของ 2 ตอนจบและมีเทคนิคในการเรียนมาบอกจ้าและอย่าลืมทำแบบฝึกหัดท้ายบทเช่นเคย
How NOT to Learn English
นั่นเป็นแพลนของผมเกี่ยวกับจะไปเที่ยว เพราะผมจะไปกัมพูชา สวัสดีครับ คุณครูเจมส์ครับ ผมกำลังเลือกระหว่าง 2 เล่มนี้ ... เอาหละครับ วันนี้เป็นบทเรียนพิเศษ ที่ผมชอบคือบทนี้มันเป็นพาร์ท 1 และเราจะมีบทต่อไปกัน บทเรียนนี้สร้างมาจากข้อผิดพลาดที่คุณครูเห็นนักเรียนทำกันอยู่บ่อยๆนะครับ แต่มันไม่เพียงแต่ข้อผิดพลาดเท่านั้นที่นักเรียนทำกัน แต่สิ่งสำคัญของบทเรียนนี้คือ ข้อผิดพลาดเหล่านี้นั้นจะช่วยให้นักเรียนเก่งภาษาอังกฤษให้ดีได้อย่างไรกัน น่ะครับ ไม่ว่าคุณครูจะได้สอนนักเรียนกันมาอย่างไร โอเคนะครับ ดังนั้นบทเรียนในวันนี้ก็คือ How NOT to Learn English พาร์ท 1 ครับ อาจจะเป็นซีรีส์มี 20 ตอน, ไม่ 20 นะ 10 พาร์ท, เมเนเจอร์บอก มีพาร์ทเดียว, ขอโทษครับ 555+ How NOT to Learn English เป็นมุขคุณครูน่ะครับ
เอาหละ มิสเตอร์ อี ปฏิเสธจะทำตามในบทนี้ เพราะว่าเค้าใช้เวลาทั้งหมดที่ผ่านทำอยู่ 51 ครั้งครับที่คุณครูรู้น่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้เรียนภาษาอังกฤษ
How NOT to Learn English
1. Watch and repeat EVERYTHING from T.V. (movies, music) 2. Use your electronic translator ALL the time. 3. Talk ONLY to people from your language group 4. Please repeat this phrase. All the time "They know what I saying." 5. Try nothing that is not from your culture.
1. Watch and repeat EVERYTHING from T.V. (movies, music)
ขั้นแรก Watch and repeat EVERYTHING from T.V. (movies, music ดูและพูดซ้ำทุกๆอย่าง จาก โทรทัศน์, ภาพยนตร์, ดนตรี และอื่นๆ ครั้งหนึ่งคุณครูมีนักเรียนอยู่คนนึง คุณครูเกือบจะทะเลาะกับนักเรียนแล้วครับ ว่าทำไมนักเรียนถึงจะทำให้คุณครูจะทะเลาะด้วยได้
มีคำไม่สุภาพในภาษาอังกฤษในเพลงแรป(ที่มีคำไม่ ผ่านเซนเซอร์มากมายในเพลง) คนที่ร้องเพลงนี้ควรจะไปอยู่บนสับเวย์(รถไฟใต้ดิน) และนักเรียนของคุณครูก็ร้องเพลงตามนั้น คุณครูบอก ถ้าเธอร้องเพลงนี้อีกครั้งนึง คุณครูจะ...(จัดการ) โชคดีที่นักเรียนบอก เอ่อ ผมทวนเพลงน่ะครับ แต่ นักเรียนไม่รู้ว่า สิ่งที่เค้าร้องนั้นไม่ดี แต่ในวัฒนธรรมของเค้า(นักเรียน)หมายถึง มันโอเค แต่ในวัฒนธรรมนี้ เอ่อ (มันไม่ได้ครับ) ดังนั้น เพียงพูดตามหรือร้องตาม(ไม่พอครับ ต้องพูดตามหรือร้องตามในสิ่งที่ถูกที่ควรหรือเหมาะสมด้วยครับ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบคือโฆษณาแมคโดนัลในคานาดา I'm lovin' it! I'm lovin' it! I'm lovin' it! อ่านตำราแกรมม่ามา คุณพูดเช่นนั้นไม่ได้ I love it! แต่นักเรียนบอกว่า แต่แมคโดนัลด์บอกผมนี่ I'm lovin' it! เป็นภาษาอังกฤษที่ดีนี่ เพราะ I'm lovin' it! ผมบอกโอ้ แมคโดนัลด์ขายอะไรที่แย่นะ เอ้ยขอโทษครับ แมคโดนัลด์ขายอาหาร ไม่แย่นะ อย่ามาฟ้องผมนะ โรดัลด์(ชื่อต้นของแมคโดนัลด์) โอเคนะ (อาหาร)มันน่ารัก ไปกินแฮปปี้มีลไป เอ่อ แมคโดนัลด์ก็พยายามขายอาหารของเค้า เค้าก็เลยใช้ภาษาแบบเปลี่ยนจากแบบแผนหลักภาษาเพื่อทำให้มันเกิดประโยชน์เค้า ซึ่งคุณเอาไปใช้ไม่ได้นะครับ ลองไปใช้ที่ธนาคารเวลาสัมภาษณ์งาน I'm lovin' work in your company. 555+ แล้วคุณก็จะไม่ได้งานครับ(ล้อเล่น) โอเคนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานแบงค์นะครับ
2. Use your electronic translator ALL the time.
ตอน นี้ นี่คือสิ่งที่คุณครูชอบอีกอย่างนึง เครื่องแปลภาษาอิเลกทรอนิกส์ อันนี้มันไม่ใช่อิเลกทรอนิกส์แต่คุณครูไม่มีอันอื่นเลยครับ ...คุณครูได้นั่งลงสอนคุณในคลาสเรียน ครูสาบานครับ คุณครูสอนอย่างนี้ แบบนี้ สดครับ ดูสิครับดีนะครับ ดีที่ได้มองเห็นนักเรียนนะครับ นักเรียนไม่ทานขนมขบเคี้ยว คุณครูหมายถึงคุณนักเรียนเพียงแต่ตั้งใจในสิ่งที่คุณครูสอนเพราะมันสำคัญมาก
คุณครูมีนักเรียนที่มาเข้าคลาสเรียนจำนวนหนึ่งและเค้าจ่าย เงินเพื่อให้คุณครูได้สนทนากับเค้า คุณครูจะพูดกับเค้าแบบ โอเค (มองหน้านักเรียนแล้วก้มลงเล่นโทรศัพท์ในมือ) ในขณะนั้นเอง คุณครูก็พูดไปประมาณ 10 นาทีได้ เค้าก็เขียน 1 ประโยคลงในเครื่องมือ(อิเลกทรอนิกส์นั่น)ของเค้า และ 20 นาทีต่อมา นักเรียนเข้ามา "ครูครับ 20 นาทีที่แล้ว ครูพูดคำนี้ คำนี้แปลว่าอะไรครับ" ครูบอก "นี่เธอ นั่นมัน 20 นาทีที่แล้วโน่น" นักเรียนเค้าใช้ translator เครื่องแปลภาษา
เล่าเแบบเร็วๆนะครับ เรื่องจริง วันนึง นักเรียนคนนึงของผมได้โต้เถียงกับผม เค้าบอกว่า "เครื่องแปลภาษานี่ดีนะครับ มันดีกว่าน่ะครับ ผมต้องการ(ใช้)เครื่องมือนี้นะครับ" เพราะว่าคุณครูบอกให้เค้าใช้ พจนานุกรมแบบเป็นตัวเล่มหนังสือน่ะครับ และเค้าบอก "ไม่ครับ" ดังนั้นคุณครูมีนักเรียนสองคน และทั้งคู่มาจากประเทศเดียวกัน ซึ่งมันเท่ากัน คุณครูให้เล่มพจนานุกรมกับนักเรียนคนนึง อีกคนนึงคุณครูให้ใช้เครื่องแปลภาษา แล้วคุณครูบอกทั้งคู่ว่า ให้หาคำว่า //ด่เ่ฟรเฟงฟ// โอเคไม่เป็นไร ดังนั้นเค้าก็หาคำนี้กัน นักเรียนคนที่ใช้ เครื่องแปลภาษา 5 วินาที เสร็จแล้ว เค้าบอก "คุณครูครับ ผมทราบคำตอบครับ" "ดีครับ" ครูบอก "รอ รอก่อนนะครับ"
จำได้มั๊ยครับ เค้ามีเครื่องมือ เค้าปิดหน้าจอลง นักเรียนอีกคนนึง "โอ้ (หาอยู่) สะกดยังไงครับ" คุณครูก็สะกด "อ้อ" แล้วเค้าก็หาต่อไปประมาณ 5 นาที นักเรียนก็อ่านคำนั้น "คำตอบคืออันนี้ครับ" คุณครูพูดหันนักเรียนคนนั้นว่า "ดีครับ ดี" คุณครูหันไปที่นักเรียนที่มีเครื่องแปล และคุณครูบอกเค้าว่า "จำได้มั๊ยว่าคำนี้หมายความว่าอะไร" นักเรียนหยิบเครื่องแปลภาษาขึ้นมา ครูบอก "อ๊ะ วางลง บอกครูว่าแปลว่าอะไร" เกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนหรอครับ?
อัน นี้ตลกทีเดียวครับ นักเรียนตอบ "ผมไม่ทราบครับ" "แน่สิครับ คุณไม่ทราบ สมองคุณฉลาดจริงๆครับ ถ้าคุณพิมพ์ปุ่มแล้วได้คำแปล สมองคุณจะทำเช่นนี้ครับ(จะจำว่าพิมพ์ปุ่มแต่ไม่จำคำแปล) มันเมคเซนส์ สมองคุณจะไม่จำเพราะว่า(การจิ้มๆพิมพ์)มันง่าย" ตอนนี้นักเรียนที่ใช้เล่มพจนานุกรม จะต่างไปครับ ทำไมหรอครับ? ก็เพราะนักเรียนที่ใช้เล่มพจนานุกรม สิ่งที่เค้าทำก็คือ เค้าต้องจำครับ เพราะว่ามันยากเกินไป สมองบอกว่า จำนี่ เพราะว่า คุณต้องใช้เวลา(ถึง) 5 นาที ค้นหาคำแปล มันยากมากๆ และสิ่งต่อมาก็คือ ตอนที่คุณอ่าน คุณได้เรียนรู้คำใหม่ มันไม่มีทางเลือก แบบ โอ บีๆๆๆ ไม่.. ไม่.. (หาคำศัพท์ในพจนานุกรมไล่ไปที่ตัวบี ที่ตรงกับคำที่หาอยู่)
ดังนั้น ประโยชน์คือสมองพยายามจำครับ ไม่ใช่ครั้งแรกแต่คุณเริ่ม จำเพราะคำนั้นมันเริ่มหายาก และประโยชน์ที่สองคือสมองเรียนรู้คำอื่นไปด้วย นักเรียนคนนี้ตอนที่เค้าดูบทเรียนใน 5 นาที แล้วเค้าก็เข้าใจ ถ้าต้องการจะ"จำ"ภาษาอังกฤษ วางดิกชันนารี่ลงและเริ่ม(ใช้สมอง)จำแทน นั่นเป็นแมชชีนที่ดีที่สุดครับ เอาหละครับ คุณครูไม่มีเวลามากนะครับ ดังนั้นคุณครูจะไปอย่างรวดเร็ว คุณต้องตั้งใจนะครับ ครูจะทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ครูจะพูดให้ช้าลงนะครับ 55 และสอนให้เร็วขึ้น โอเค
3. Talk ONLY to people from your language group
ตอน นี้ Talk ONLY to people from your language group ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ กลุ่มคนที่พูดภาษาเดียวกับคุณ, คุณพูดภาษาเดียวกัน ใช้หลักภาษา(แกรมม่า)แบบเดียวกัน คุณใช้ภาษาอังกฤษด้วยแกรมม่าเเบบเดียวกับที่คุณใช้ในภาษาคุณ (ใช้ภาษาอังกฤษแต่วางแกรมม่าตามหลักภาษาไทย) แน่นอน, เค้าพูด(เรียงประโยค)เหมือนกับที่คุณทำ, ดังนั้นนั่นมันเข้าใจได้
แต่ ถ้าคุณใช้ภาษาต่างกัน เช่น คนที่มาจากญี่ปุ่น, คนที่มาจากเมกซิโก ทั้งสองพูดภาษาอังกฤษ ถ้าคนญี่ปุ่นใช้แกรมม่าแบบ(แกรมม่าของ)ภาษาญี่ปุ่นมาใช้ในภาษาอังกฤษ, คนสแปนิชใช้, หรือคนเมกซิกันใช้แกรมม่าแบบสแปนิชมาใช้กับภาษาอังกฤษ เค้าจะไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เค้าจะมองซึ่งกันและกัน แล้วพูด "คุณพูดอะไรเนี่ย?" ดังนั้นเค้าใช้แกรมม่าแบบภาษาอังกฤษเท่านั้นจะเหมือนว่าเข้าใจกันได้ทันที เลยครับ ใช่มั๊ยครับ
ดังนั้น หลายๆคนกล่าวว่า ผมคุยกับคนที่มาจากประเทศผม เค้าเข้าใจผมเลยนะ แน่ครับเค้าต้องเข้าใจครับ เค้าพูดสแปงลิชเหมือนคุณนี่ครับ(สแปงลิช = อังกฤษ + สแปนิช) ภาษาเค้าเพอร์เฟค แต่ไม่ใช่กับภาษาอังกฤษ โอเคนะครับ
4. Please repeat this phrase. All the time "They know what I saying."
ตอน นี้ต่อมา นี่คือข้อที่คุณครูชอบบบ..อันนี้เลยครับ มันยอดเยี่ยม คุณครูจะสอนบางอย่างและนักเรียนคุยร่วมกันในชั้นเรียน จะช้าจะเร็ว มันก็จะเกิดขึ้น โอเคนะครับ นักเรียนคนหนึ่งที่ภาษาอังกฤษไม่ใคร่ดีนัก เค้ากล่าวว่า "They know what I saying." ตอนนี้พวกนักเรียนทราบว่า นั่นเป็นภาษาอังกฤษแบบผิด อย่าใช้ตามนะครับ ครูเจมส์ไม่ได้สอนมาแบบนั้นนะครับ
จำได้มั๊ยครับ นี่คือแบบที่ "ไม่ให้เรียนรู้" แบบพวกนี้นะครับ นักเรียนบอก "คนฟังรู้เรื่องว่าผมพูดอะไรนะครับ เค้าเข้าใจผมนะครับ" ครูบอก "เอ้อ ใช่นะครับ แต่พวกนักเรียนก็กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษนะครับ อย่าจ่ายตังค์เพื่อมาเรียนภาษาอังกฤษแบบผิดๆครับ" เวลาคุณพูด ครูเข้าใจครับ แต่ภาษาอังกฤษนี้ฟรี แล้วผมจะพูด(ภาษาอังกฤษยังไง).. อย่างนี้ครับ
"คุณ จ่ายเงินมาเพื่อบางอย่างที่สำคัญกว่า นี้ครูซีเรียสนะครับ คุณจ่ายเงินมาเพื่อสิ่งที่สำคัญมากกว่าเงิน ปล่อยให้คนอื่นๆใช้เงินไปครับ คุณใช้จ่ายด้านเวลาครับ ดัง นั้นคุณ "ใช้เวลา" เรียนมันอย่างถูกวิธีครับ คุณสามารถหาเงินมาชดเชย(เงินที่เสียไป)ได้ แต่คุณไม่สามารถชดเชยเวลา(ที่เสียไป)หรือชีวิตคุณ(ช่วงที่ใช้เวลาไป)ได้ครับ โอเคนะครับ ซีเรียสนะครับ ชดเชยไม่ได้ครับ คุณจะใช้เวลาเพื่อเรียน ใช้เวลาเพื่อเรียนแบบที่ถูกครับ ดังนั้นตอนนี้คุณจะไม่พูดว่า "They understanding what I am saying." "They understand what I am saying. ครับ" โอเค เข้าใจนะครับ
5. Try nothing that is not from your culture
และ ข้อ 5. (Try nothing that is not from your culture) นี่คือที่ครูชอบครับ ครูมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง ครูอยู่ในคานาดา เค้าบินมาจากกัมพูชา ไม่ใช่กัมพูชาครับ จากรัสเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี อืม อาหารเกาหลีนะ เอ่อ.. อินเดีย, ไม่มากเท่าไหร่นะ แต่นักเรียนมาจากทั่วโลกเลย แล้วเค้าก็... ครูสอนตอนวันศุกร์ นักเรียนก็รู้ว่านี่เรื่องจริง เธอสามารถเอาไปคุยกับนักเรียนได้
ทุกวันศุกร์ ครูจะเอาคุกกี้มาแจก และที่ครูเอาคุกกี้มาเพราะมันเป็นอาหารที่คนคานาดาเค้าทานกันเป็นปกติ(ใน ชีวิตประจำวัน) แล้วคุณครูมีนักเรียนที่บินมา(เรียน)จากทั่วโลก ลองนึกภาพดูนะครับบินมาด้วยเครื่องบิน ทราบมั๊ย วิธี(เดินทางที่)อันตรายที่สุดที่อาจเสียชีวิตได้ แล้วคุณครูให้คุกกี้เค้า และเค้าบอก "ไม่ครับ" คุณครูถาม "ทำไม" "มันไม่ใช่อาหาร(แบบที่)ผม(ทานประจำ)อะครับ"
ครูพยายามอธิบายครับ "ตกลงนี่กันนะครับ วัฒนธรรมคือภาษา, ภาษาคือวัฒนธรรม" เรา ใช้คำต่างๆเพื่อส่งผ่านตรรกะความคิด,ความเชื่อต่างๆ, ความเข้าใจต่างๆของเรา เมื่อคุณไม่เป็นส่วนร่วมหนึ่งของวัฒนธรรม คุณจะไม่สามารถเข้าใจความจำเป็นของถ้อยคำต่างๆได้ครับ
ตัวอย่าง ที่คุณครูชอบ เล่าแบบรวบรัดนะครับ นี่เป็นความจริงเกี่ยวกับคุณครูครับ "พูดภาษาเยอรมัน" แปลว่า มัน too late สายไป you're not late, you're too late. คุณไม่ได้มาช้าไปแต่มันสายไปครับ ถ้าคุณมาช้าไป 1 วินาที มัน too late สายไปเสียแล้วครับคุณ ในภาษาอังกฤษ เราก็แค่พูดว่า late มาช้า, มาสาย วัฒนธรรมของพวกเรานั้นแตกต่างกัน
แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 09:00:18
แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 08:57:02
จากคุณ |
:
lovelypriest
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 55 08:53:21
|
|
|
|
|