คุณเฟย์จ๋า :) คุณเฟย์เป็นไร! หนักขนาดเห็นความตาย
มาอยู่ตรงหน้าแบบกระทันหันเลยเหรอคะ โอย! ตกใจนะเนี่ย
หายแล้วใช่ไหม เป็นห่วงนะ หวังว่าจะไม่มีอะไรแล้วนะคะ
เล่าได้เล่าบ้างนะคะ เล่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่ห่วงน่ะ
และเดี๋ยวนี้ดีดิเป็น expert นะ :) รู้เยอะจริงๆ เรื่องการรักษาตัว
ทั้งแผนปัจจุบัน ทั้งการแพทย์ทางเลือก ศึกษามามาก
เอาตัวเองทดลองมาก็มาก :) ที่เจ๋งๆ จนแพทย์แผนปัจจุบันเอาไปใช้
ช่วยคนไข้ก็ยังมีเลย เจ๋งจนเดี๋ยวนี้แพทย์แผนปัจจุบันบางคน
ที่ปฏิเสธการแพทย์ทางเลือก ยัง(พอ)ฟังเรา(บ้าง)เลย :) ปล่าวโม้นะคะ
เราแค่รู้เยอะพอควรจริงๆ เผื่อจะมีทางเลือกมานำเสนอได้
เผื่อมีอะไรเราจะพอช่วยได้บ้างนะคะคุณเฟย์ที่รัก :)
แต่ที่จริงคิดและหวังว่าเรื่องร้ายนี้คงหมดไปจากชีวิตคุณเฟย์แล้ว
และตอนนี้คุณเฟย์คงสบายดีและแข็งแรงมากๆ
ส่วนเรื่องดีดิ ก็ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจค่ะ :)
และขอบคุณที่บอกว่าเราเข้มแข็ง (ดีใจเวลามีคนชมว่าเข้มแข็ง
เพราะมักรู้สึกว่าเรายังสู้ไม่พอหรือเปล่า เราอ่อนแอหรือเปล่า)
ก็พยายามค่ะ :)
พยายามเข้มแข็งอยู่ เพราะว่าชีวิตยังมี ขันธ์ห้ายังอยู่
ก็พยายามให้เป็นขันธ์ห้าที่มีคุณภาพ
ดาวน์ตัน episode ล่าสุด ดีดิน้ำตาแทบร่วงอยู่สองสามครั้ง
และน้ำตาซึมเมื่อมื้อกลางวัน (เปิดมาเจอฉายซ้ำพอดีตอนกินข้าว)
ฉากแค่ไม่กี่วินาที ไม่กี่นาที ไม่กี่ภาพ ไม่กี่คำพูด
มันช่างสะท้อนความโหดร้ายของสงคราม
มองในแง่โลก ก็ต้องถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
ทำไมต้องฆ่าฟันกัน ทำไมต้องสู้รบ ทำไมต้องมีคนบาดเจ็บล้มตาย
สาหัส พิการ ฯลฯ
มองในแง่ธรรม นี่แหละคือสังสารวัฏ วัฏสงสาร
Wheel of Rebirths
ก็ต้องพูดว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัย
มีที่มาที่ไป ทุกอย่างเป็นเพียงกระแสแห่งเหตุและปัจจัยส่งรับสืบทอดกันมา
เราเวียนเกิดเวียนตาย กันมานักต่อนักแล้ว
เกิดมาในยุคแห่งทุกข์เข็ญเช่นตอนนี้ เช่นตอนสงครามโลก
เช่นยุคฮิตเลอร์ อาจยิ่งทุกข์เข็ญกว่านี้ หรือในยุคดีเลิศประเสริฐศรี
อะไรๆ ก็สุข งดงาม โสภา ไปหมด ก็เกิดก็เป็นก็พบกันมาหมดแล้ว
เวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้
ท่านผู้รู้จึงถามว่า "แล้วเบื่อหรือยัง"
พระพุทธองค์ทรงบอกว่า
เราเห็นใครเป็นอย่างไร สุข ทุกข์ จน รวย สูง ต่ำ ดำ ขาว
พิการ แข็งแรง เลว ดี ฯลฯ
เราทั้งหลายล้วนเคยเป็นมาแล้วทั้งหมดเช่นกัน
วงล้อแห่งการเกิดหมุนไปไม่สิ้นสุด
เราเวียนเกิดเวียนตาย(หลอกๆ)กันมานานเหลือเกิน
โดยมีเหตุมีปัจจัยของมัน
ไม่มีความบังเอิญในธรรม(ชาติ)ทั้งหลายทั้งปวง
ในพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่าบังเอิญ
ครูบาอาจารย์สอนว่า
ให้เอาคำว่า "ทำไม" ออกไปจากประโยคทั้งหลาย
ก็จะเหลือแต่ 'ความเป็นจริง' ที่มันเป็นเช่นนั้นเอง ด้วยเหตุปัจจัย
ที่ประจวบเหมาะ มารวมกันพอดี ณ ขณะนั้น ณ เรื่องราวนั้น
อย่างเช่น
ทำไมคนเราจึงแตกต่างกัน
เอา 'ทำไม' ออกซะ
ก็จะเหลือแต่ fact ว่า
คนเราแตกต่างกัน
ทำไมอาหารยังไม่เสร็จซักที โมโหหิวแล้วนะ
ก็เอา 'ทำไม' ออกซะ
ก็จะเหลือแค่
อาหารยังไม่เสร็จ และ ฉันยัวะแล้วนะ
ทำไมเค้าทำไม่ได้ดั่งใจเราเลยนะ
ก็จะเหลือแค่
เค้าทำไม่ได้ดั่งใจเรา
ทำไมคนนั้นคนนี้พูดจากับเราอย่างนี้
ก็จะแค่
คนนั้นคนนี้เค้าพูดจากับเราแบบนี้
ถ้าตัดคำว่าทำไมออกซะ ทุกข์จะลดลงมาก
ดีกรีความเครียด ความไม่ได้ดั่งใจ ก็จะลดลง
สติจะมา ใจจะวาง ไม่เคร่งเครียดกับอะไรทั้งนั้น
ไม่พยายามเค้นหาคำตอบที่บางครั้งมันก็หาไม่ได้
ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันกำลังเป็นไปตามเรื่องของมัน
ไม่ตั้งหน้าตั้งตาหวังว่าทุกอย่างจะได้อย่างใจ
เลิกคาดหวังหรือตั้งความหวังในใครต่อใครหรือเรื่องใดๆ
หรือหวังบ้างแล้วก็วางลง แบบได้ตามใจก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ความยึดมั่นถือมั่นก็จะเบาบางลง
แล้วก็ตั้งสติ ค่อยๆ ใช้ปัญญาพิจารณา
ว่าเรื่องไหนควรวาง ทำอะไรไม่ได้
เรื่องไหนควรหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป
เหมือนกันเลยค่ะคุณเฟย์ คือ ดูซ้ำหลายครั้งก็ไม่เบื่อ :)
จะอัดเอาไว้ (แต่ที่ไม่พอ hard disk เต็มอยู่เรื่อย)
ก็จะอัดแต่ละสัปดาห์ ได้ตอนสองตอน แล้วระหว่างสัปดาห์ก็ดูซ้ำๆ
จนอิ่ม จนหนำใจ พอจะมี episode ใหม่ก็(จำใจ)ลบ
episode ที่เก่าสุดทิ้งไป ประมาณนั้น
บาง episode ถูกใจมากๆ ก็ขอเก็บไว้ก่อนบ้าง
ไปหาลบอย่างอื่นแทน :)
อย่างคุณเฟย์ว่าเนอะ :) แต่ละคนก็มีเหตุผลในความคิดและ
การกระทำของตน ... episode ล่าสุดสื่อสารความโหดร้าย
ของสงครามได้ดีจริงๆ แล้วก็สื่อสารให้เห็นถึงนิสัยคนนะ
อาทิเช่น เมื่อพลังมืดฝ่ายคุณโอไบรอันกับโธมัสกลับมาเจอกันอีก!
ยังกับแม่เหล็กสองอันที่มันดูดกันอย่างแรง
แยกกันอยู่ยังน้อยลง เพลาๆ ไปบ้าง (หรือเปล่า)
พอกลับมารวมกันเท่านั้น โอ้โห... รังสีอำมหิตแผ่กระจาย!
ท่านถึงได้ว่า อย่าคบคนพาล เพราะจะยิ่งพากันดำดิ่งไปสู่ความมืดมิด
link ที่คุณเฟย์ให้มา เดี๋ยวจะไปอ่านให้จุใจนะคะ :) ขอบคุณมาก
นี่มาโพสต์กระทู้ก่อนเพราะว่าเดี๋ยวจะนอนดึกไป (โพสต์สั้นๆ ไม่ค่อยเป็น)
แอบเล่าว่าตอน season แรกจบ ก็อดไม่ได้ ไปหาอ่าน เรื่องย่อของ
season 2 ทั้งๆ ที่ธรรมดาไม่ชอบรู้เรื่องก่อน
โชคดีตอนนี้ผ่านมาเกินครึ่งปี ลืมที่อ่านล่วงหน้าไว้หมดแล้ว
เว้นอันเดียว ทำไมจำไม่ลืม เฮ้อ...และมันยังไม่เกิดในสี่เอพิโสดที่ผ่านมาซะด้วย
ก็ไม่เป็นไร รู้แล้วก็คอยลุ้นต่อ ว่าพอเรื่องมันเกิด
แล้วเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
ดีใจที่มีคนเข้าเยี่ยมชมตั้ง ๑๗ ล้านคนในปีเดียว :)
จะได้มีเงินบูรณะได้อย่างสบายๆ ไปอีกนานละทีนี้ :)
เคยได้ยินได้อ่านว่าหลายคฤหาสน์ หลายปราสาท
ก็อยู่ไม่ได้เอาทีเดียว เรื่องค่าบำรุงรักษาดูแลนี่แหละ
โลกก็อย่างนี้แหละ มีแต่ภาระ
แบกขันธ์ห้าของตนๆ ธรรมดาๆ ก็หนักเหลือจะหนักแล้ว
ไหนจะต้องกิน ต้องมีที่อยู่ ต้องมีปัจจัยสี่ ต้องมีภาระหน้าที่โน้นนี้
แล้วยังต้องแบกบ้าน แบกคฤหาสน์ เพชรนิลจินดา
แบกตำแหน่งหน้าที่ แบกหัวโขนสารพัดหัว
แบกอะไรต่ออะไรไว้เยอะแยะไปหมด
(พูดแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่อยากมีกะตังค์เยอะๆ นะคะ
แค่เรื่องการดูแลสุขภาพก็ใช้เงินไม่น้อย
และเพราะคิดว่า ณ วันนี้ เราจะไม่ให้เงินใช้เรา
แต่เราพอจะสามารถเป็นผู้ 'ใช้' เค้า(เงิน) ได้ดีพอควร)
ดังพระพุทธองค์ทรงให้ tips สุดเลิศเอาไว้ :)
อย่าเอาทุกข์มาทับถมตนเองที่ไม่มีทุกข์
แบกให้น้อยๆ แต่ที่จำเป็นเข้าไว้
ก็จะเบาหน่อย สบายหน่อย :)
Along the way, take time to smell the flowers!
(ประโยคโปรดปรานนี้ คงเคยโพสต์แล้วแน่ในเรือสหมิตร)
กู๊ดไนท์เจ้าค่ะ...Sleep tight! :)
เพื่อนๆ คงดูโอลิมปิคกันสินะสองอาทิตย์นี้
^-^