|
เคล็ดลับไม่มี มีแต่หลักความจริง
สมัยเราอยู่ต่างแดนตอนเริ่มฟังฝรั่งพูดรู้เรื่องใหม่ๆโดยต้องกำกับฝรั่งว่า
"Please speak sl:-)." ^ คำที่โดนกรองคือ "เอส แอล โอ ดับเบิ้ลยู วาย"
เราอยากฝึกฟังภาษาอังกฤษเร็วๆให้รู้เรื่องเราก็ไปหาหนังฝรั่งมาดู กว่าเราจะฟังภาษาอังกฤษที่พูดเร็วๆรู้เรื่องหมดเราใช้เวลาประมาณ 5 ปี!
^ ใช่ 5 ปี!
ที่นานก็เพราะว่าเรา "โง่"
เราใช้วิธีการที่โง่ๆนั่นก็คือ ฟังแล้วพยายามคิดว่า "เสียงที่ได้ยินมานี้ มันเทียบเป็นสระกับพยัญชนะชุดไหนผสมกัน"
ถ้าคิดไม่ออกก็เขียนลงกระดาษแล้วเปิด dictionaries หาตัวอักษรส่วนที่เหลือมาเติมให้เต็มคำที่เราฟังไม่รู้เรื่อง "เหมือนเล่น hangman"
แต่ยิ่งเรียนก็ยิ่งสับสน เพราะพยัญชนะกับสระชุดเดียวกันอยู่ในคำศัพท์ตัวหนึ่งออกเสียงอย่างหนึ่ง แต่อยู่ในคำศัพท์อีกตัวหนึ่งออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง (มันไม่ตายตัวเหมือนภาษาไทย)
ยกตัวอย่างเช่น
sabotage ตัว a ตัวที่ 2 ออกเสียงเป็น อา
แต่ package ตัว a ตัวที่ 2 ออกเสียงเป็น อิ
duck suck 2 คำนี้ตัว u ออกเสียงเหมือนกัน
แต่ lettuce คำนี้ตัว u ออกเสียงเป็น อิ
chip ch ออกเสียงเป็น ch chef ch ออกเสียงเป็น sh yacht ch ไม่ออกเสียง machine ch ออกเสียงเป็น sh
rest e ออกเสียงเป็น เอ
forest e ออกเสียงเป็น อิ ^ ตัวอย่างพวกนี้เป็นแค่ความสับสนของวิธีการที่ฝรั่งเจ้าของภาษาออกเสียงภาษาอังกฤษ "แค่เป็นคำโดดๆ" เท่านั้นนะ
แต่เวลาเป็น connected speech คือพูดเร็วๆต่อเนื่องกัน มันจะมีปรากฎการณ์ 3 อย่างเกิดขึ้นคือ
1. sounds change 2. sounds disappear 3. sounds join together
เช่น There is not any. พูดเร็วๆเป็น There isn't any. ^ แดริสเซิ่นเทนิ ออกเสียงแบบคนอังกฤษ ถ้าไปเจอคนอเมริกันขี้เกียจเผลอๆกลายเป็น แดเริ้นเออะนิ
สิ่งที่เราเขียนมาเคร่าๆนี้ คนที่เก่งวิชา phonetics จะรู้ทางหนีทีไล่หมด
ถ้าคุณได้ครูที่เก่ง phonetics สอนคุณ โดยเริ่มสอนว่า
เสียงในภาษาอังกฤษทั้งหมดมีกี่เสียง แล้วมันผสมกันออกมากี่เสียง แล้วเขียนเป็นตัว IPA ยังไง และ transcribe (เขียนเทียบเสียงทั้งประโยคด้วยตัว IPA) ยังไง และ intonation อยู่ตรงไหน ฯลฯ
^ และสอนคุณว่าการที่จะออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องหมดต้องใช้อวัยวะส่วนไหน และใช้อย่างไร
^ ถ้าคุณได้ครูเก่ง phonetics สอนคุณพูดให้ถูกต้อง เมื่อคุณพูดได้ถูกต้องคุณก็รู้ว่า "จะคาดหวังว่าศัพท์ที่คุณรู้พอรวมเป็นประโยคเวลาเจ้าของภาษาพูดมันน่าจะออกมาเป็นเสียงแบบไหน" ไม่ใช่เดาสุ่มแบบที่เราเรียนแบบ hangman ครูเก่งๆจะย่นระยะเวลาเรียน listening ให้คุณได้หลายปี!
แต่ถ้าเรียนด้วยตัวเองโดยการฟังซ้ำๆกัน ก็ตัวใครตัวมัน เหมือนที่เราเคยมั่วมาแล้ว 5 ปี...555+++...
ลองไปศึกษา IPA ดูได้ที่ website แห่งนี้
http://en.wikipedia.org/wiki/Wikipedia:IPA_for_English ..................................................................
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ
คนไทยเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับต้นๆเน้น grammar
ไปอ่านกระทู้ยอดนิยมที่ห้องไกลบ้าน คือกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12150063/H12150063.html
^ คนปั่นกระทู้นั้นได้รับความนิยมได้ gifts บานเบอะ เพราะคนไทยเป็นจำนวนมากคิดเหมือนเขาคือ "ต้องแม่น grammar" ก่อน ต้องทุ่มเงินให้มากๆเพื่อเรียน grammar
^ แต่เราคิดไม่เหมือนเขา เราแสดงความคิดเห็นไปก็ไม่มีคนไทยอยากอ่าน เพราะความคิดเราแหกคอก นั่นก็คือเวลาเราสอนนักเรียนระดับต่ำๆมากๆ เราไม่สอน grammar โดยการบรรยายยาวเป็นภาษาไทย ไม่สอนเหมือนติวเตอร์ทั่วๆไป
"แต่เราสอนฟังกับพูดก่อน โดยการเปิดเสียงฝรั่งให้นักเรียนฟัง แล้วใหันักเรียนพูดเลียนแบบ ถ้าฟังไม่ทันและหรือพูดไม่ได้เราจะบอกว่าเสียงที่ฟังไม่ทันเข้าข่ายปรากฎการณ์อะไรบ้างเช่น ตรงไหนมี sounds change ตรงไหนมี sounds disappear ตรงไหนมี sounds join together และต้องใช้อวัยวะออกเสียงอันไหนอย่างไรถึงจะพูดตามให้ชัด และในระหว่าง drill คือฟังแล้วพูดซ้ำๆ เราค่อยๆสอน grammar ในหลายๆ topics ไปตัวอย่างประโยคที่เราคิดขึ้นมาเพิ้อให้นักเรียนเอาไปฝีกพูดพลิกประโยคกลับไปกลับมา โดยเปลี่ยน subject, verb, object และ modifier ซึ่งเป็นการเรียน listening, speaking กับ grammar ในระดับพื้นฐานไปพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ที่เราเรียกว่า improvisation
^ ถ้าคนที่เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับไม่กระดิกหูเลย เรียนด้วยวิธีนี้ พอรู้ศัพท์กับ grammar มากพอ จะฟังรู้เรื่องแล้วพูดได้ไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องไปเสียเงินเรียนตั้งหลายโรงเรียนกวดวิชาเหมือนคนที่ปั่นกระทู้นี้ที่ห้องไกลบ้าน http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12150063/H12150063.html
^ กระทู้ที่ว่านี้ดังระเบิดเพราะคนอ่านอยากรู้มากๆว่าโรงเรียนสอนภาษาไหนสอน grammar เก่ง โรงเรียนไหนสอน reading เก่ง โรงเรียนไหนสอน writing เก่ง
^ แต่เราคิดตรงกันข้ามกับคนปั่นกระทู้นั่น
นั่นก็คือเราคิดว่าการสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดก็คือ
"สอนทักษะพื้นฐานให้ผู้เรียน ไปจนถึงระดับที่เขาช่วยตัวเองได้แล้ว และเรียนต่อเรื่องยากๆที่เหลือได้ด้วยตนเอง (สอนว่าจะเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองได้อย่างไร ไม่ใช่บอกว่าถ้าอยากเก่งทักษะไหนก็ให้ไปที่ติวเตอร์ไหน) "
แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 14:29:35
แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 09:07:39
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 55 23:29:50
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 55 23:26:42
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
16 มิ.ย. 55 23:18:04
|
|
|
|
|