|
1. อาณาจักรอยุธยามีการพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครองมาตลอดระยะเวลา 400 กว่าปีครับ โดยมีความพยายามรวมศูนย์ทางอำนาจให้กลายเป็นรัฐที่กษัตริย์เป็นผู้ปกครองจากส่วนกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
ดูอย่างระบบการปกครองในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง ตอนปลายอยุธยาได้ครับ ว่าอำนาจจากส่วนกลางมั่นคงเพียงใด มั่นคงจนแม้ส่วนกลางจะรบชิงอำนาจกันทุกรัชกาล แต่หัวเมืองกลับไม่กระด้างกระเดื่องหรือแยกตัวออกไป และขุนนางหัวเมืองก็ไม่ได้มีอิทธิพลในท้องที่มากมายแบบสมัยก่อนที่เป็นเจ้าเมืองกันได้สืบทอดชั่วลูกหลาน (สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง ตำแหน่งพระยาเมืองต่างๆเวียนกันเป็นเก้าอี้ดนตรีทีเดียว)
2. เช่นเดียวกับรัฐขนาดใหญ่ข้างเคียงอย่างพม่าหรือเวียดนาม ที่มีความพยายามจะรวมศูนย์กลางทางอำนาจสู่กษัตริย์เช่นกัน เช่นสภาหลุดดอของพม่าที่เป็นสภาขุนนาง-มุขมนตรี อันทรงอำนาจ ที่ช่วยกษัตริย์บริหารประเทศและจัดระเบียบหัวเมือง (ระบบแต่งตั้งเจ้าไปกินเมืองแบบที่พม่ากระทำมาแต่โบราณเริ่มๆเสื่อมและหายไป ในยุคราชวงศ์ตองอูยุคหลัง และแทนที่ด้วยระบบหลุดดอ) หรือทางเวียดนามที่ขุนศึกตระกูลตรึน-ตระกูลเหงียน ก็พยายามตั้งฐานอำนาจของตนให้เหนือกว่ากลุ่มอำนาจท้องถิ่นอื่นๆ
3. ในสมัยรัชกาลที่ 1-3 เอง ไทยก็มีการผนวกหรือควบกลืนรัฐขนาดเล็กที่เป็นกันชนกับรัฐใหญ่อื่นๆเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบหัวเมือง (ไม่ใช่ประเทศราชหรือเมืองออกอีกต่อไป) เช่นกันครับ เช่นการผนวกเอาเวียงจันทน์มาเป็นหัวเมืองแทนประเทศราช (เพื่อตอบโต้เวียดนาม), การแยกสลายแว่นแคว้นปัตตานีให้ย่อยลงไปอีก จนแทบกลายสภาพเป็นหัวเมืองของไทย, การแตกสลายแคว้นไทรบุรี, การยกเมืองต่างๆในภาคอีสานขึ้นเป็นหัวเมืองในระบบราชการของไทย แทนระบบเดิมที่เป็นกึ่งรัฐอิสระที่มาสวามิภักดิ์
ดังนั้นผมคิดว่า แม้อาณาจักรแถวนี้จะพัฒนาสู่ระบบการรวมศูนย์อำนาจได้ช้ากว่าทางจีนหรือเกาหลี แต่ก็ค่อยๆพัฒนาเรื่อยมาครับ ทำให้แม้ไม่มีลัทธิจักรวรรดินิยมเข้ามา รัฐขนาดใหญ่ก็จะเริ่มกลืนรัฐกันชนขนาดย่อมๆเข้ามา และกลายเป็นรัฐที่ปกครองรวมศูนย์ในที่สุด
จากคุณ |
:
อุ้ย (digimontamer)
|
เขียนเมื่อ |
:
22 มิ.ย. 55 06:47:32
|
|
|
|
|