|
องค์ความรู้ในเรื่อง Constitutional Monarchy
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (อังกฤษ: constitutional monarchy) เป็นระบอบการปกครองอย่างหนึ่ง โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าจะมาจากการสืบเชื้อสายพระราชบัลลังก์หรือการเลือกตั้ง โดยมีพระราชอำนาจถูกจำกัดอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร เพราะฝ่ายบริหารมีนายกรัฐมนตรีจากประชาชนเป็นหัวหน้าหรือประมุขอยู่แล้ว การปกครองแบบนี้เรียกอีกชื่อว่า ราชาธิปไตยแบบจำกัด หรือ ปรมิตตาญาสิทธิราชย์ (limited monarchy) ซึ่งไม่เหมือนกับราชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจทางการเมืองเบ็ดเสร็จและไม่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ปัจจุบัน รัฐแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มักปกครองด้วยระบบรัฐสภา อาทิ ออสเตรเลีย เบลเยียม กัมพูชา แคนาดา เดนมาร์ก ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สเปน สวีเดน ไทย สหราชอาณาจักร และภูฏาน โดยภูฏานเป็นประเทศล่าสุดที่เปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในประเทศไทย การปกครองตามแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ รู้จักกันแพร่หลายว่า "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ซึ่งเรียกรวมการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญกับประชาธิปไตยระบบรัฐสภา http://th.wikipedia.org/wiki/ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (อังกฤษ: democratic form of government with the King as Head of State) เป็นชื่อเรียกระบอบการปกครองในประเทศไทย ที่รวมเอาทั้งรูปแบบการปกครอง (อังกฤษ: form of government) ประเภทประชาธิปไตยโดยมีรัฐสภา (อังกฤษ: parliamentary democracy) กับรูปแบบรัฐ (อังกฤษ: form of state) ประเภทการปกครองราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (อังกฤษ: constitutional monarchy) ไว้ในคำเดียวกัน
สำหรับที่มาของวลีที่ว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" นั้น เพิ่งจะมีขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 2 ความว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ทั้งนี้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ ได้ให้ความเห็นไว้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ถูกร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังอนุรักษนิยม ซึ่งขณะนั้นมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนทางการเมืองที่สำคัญ แต่การปรากฏขึ้นครั้งแรกนี้ ยังไม่ได้ยืนยันความเป็นชื่อเฉพาะของระบอบการปกครองแต่อย่างใด หากแต่การปรากฏขึ้นซ้ำในภายหลัง คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 และ พ.ศ. 2519 เป็นสองฉบับแรกที่ยืนยันความชอบธรรมของ "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"สมศักดิ์ได้ให้ความเห็นไว้อีกว่า หน้าที่ (function) ของการยืนยันในสองฉบับมีความต่างกัน โดยฉบับ พ.ศ. 2511 เพื่อต่อต้านการเมืองและพรรคการเมืองสมัยใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น และฉบับ พ.ศ. 2519 เพื่อต่อต้านฝ่ายซ้าย
ภายในระบอบการปกครองเช่นนี้ของประเทศไทย แตกต่างไปจากธรรมเนียมการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่จะมี อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแต่ในทางพิธีการ ทั้งนี้เพราะพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย ทรงมีพระราชอำนาจทางการเมืองเกินกว่าที่เป็นในประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญประเทศอื่น เช่น ทรงสามารถแสดงพระราชดำรัสสด, บริหารงานสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งต่างๆ เช่น องคมนตรี โดยไม่มีผู้สนองบรมราชโองการ
ทั้งนี้ หากกล่าวถึงการเป็นประมุขในทางพิธีการของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ก็คือ เป็นพิธีการที่ทรงบริหารอำนาจอธิปไตยแทนปวงชนโดยแบ่งแยกอำนาจนั้นเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ อำนาจอธิปไตยนั้นผ่านมายังสภานิติบัญญัติที่เรียก "รัฐสภา" ฝ่ายบริหาร อำนาจอธิปไตยนั้นผ่านมายังกลุ่มผู้บริหารสูงสุดที่เรียก "คณะรัฐมนตรี" และฝ่ายตุลาการ อำนาจอธิปไตยนั้นผ่านมายังศาลทั้งหลาย ซึ่งมีสามประเภท คือ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ แต่ความจริงแล้ว องค์กรเหล่านั้นเป็นปวงชนหรือผู้แทนของปวงชนที่บริหารอำนาจด้วยตนเองเพื่อประโยชน์ของปวงชนและโดยการควบคุมของปวงชน ส่วนพระมหากษัตริย์เป็นแต่เชิดให้กิจการดำเนินไปด้วยดีตามพระราชภารกิจทางพิธีการที่รัฐธรรมนูญมอบให้เท่านั้น
สำหรับพระมหากษัตริย์นั้น ตามรัฐธรรมนูญแล้ว มีพระราชสถานะที่ได้รับการเคารพสักการะ (อังกฤษ: revered worship) และไม่อาจทรงถูกละเมิดได้ (อังกฤษ: inviolable) กับทั้งผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้เลย ตามหลักที่ว่า "พระมหากษัตริย์ไม่อาจทรงทำผิด เพราะพระมหากษัตริย์ไม่อาจทำอะไรได้เลย" (อังกฤษ: the King can do no wrong, for the King can do nothing) หรือหลักที่ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงปกเกล้า แต่ไม่ทรงปกครอง" (อังกฤษ: reign but not rule) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีการลงนามสนองพระบรมราชโองการทุกครั้งไป โดยรัฐบาล หรือรัฐสภาเพื่อ "อนุมัติ" ให้พระมหากษัตริย์ทรงกระทำได้ผ่านสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ มิใช่โดย"พระองค์เอง" การละเมิดหลักการสำคัญนี้ ถือเป็นการทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ http://th.wikipedia.org/wiki/ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ภาพข้างล่าง เป็นปท.ที่ปกครองในระบอบนี้
จากคุณ |
:
dicky5
|
เขียนเมื่อ |
:
30 มิ.ย. 55 20:22:48
|
|
|
|
|