| 
						
							|  การเสียกรุงทั้งสองครั้ง พม่าข้ามแม่น้ำไปตีเกาะเมืองได้อย่างไร   |  |  
เนื่องจากสภาพเกาะเมืองเป็นเกาะธรรมชาติ มีแม่น้ำสามสายล้อมรอบ ในฤดูน้ำหลาก นอกจากเกาะเมืองก็ไม่มีที่ดอนที่อยู่ใกล้ต้องถอยไปแถบทุ่งภูเขาที่พระเจ้าบุเรงนองเคยตั้งทัพ หรือบางปะหันที่พอไม่ลุ่มมาก
 
 เมืองตองอู อังวะ เป็นเมืองติดแม่น้ำสะโตง อิรวดี ด้านหนึ่งคล้ายพิษณุโลก ย่อมเข้าใจธรรมชาติข้อด้อย ที่อยุธยาเหนือกว่า
 
 จากพงศาวดารที่อ้างอิงสาเหตุที่พม่าสามารถยกทัพไปยังเกาะเมืองได้
 
 เสียกรุงครั้งที่๑ พระยาจักรีเปิดประตูเมืองให้
 
 
 เสียกรุงครั้งที่๒ เผาฐานกำแพงจนทรุดเข้าเมืองได้
 ภายหลังมีอ้างว่าอยุธยาป้องกันอย่างดีแต่พม่าขุดอุโมงค์มาเผารากกำแพง
 
 หรือ
 สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียกรุงครั้งที่ 2 มาจาก "คนทรยศ" ตามคำให้การของชาวกรุงเก่า หน้า 174 บอกว่า
 ... มีคนไทยชื่อ พระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศาสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า
 สัญญาว่าจะเปิดประตูคอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี และประตูที่พระยาพลเทพเปิดให้ ก็เป็นประตูเมืองทางทิศตะวันออก
 เข้าใจว่าคงเป็นบริเวณหัวรอ หรือจะห่างจากบริเวณนี้ก็ไม่เท่าใด ซึ่งพม่าก็ได้
 ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยามาทางนี้ ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้ โดยเข้าไปได้ในเวลากลางคืน
 
 ส่วนวันตามคำบอกของชาวกรุงเก่านั้น ตรงกับวันที่กรุงแตกดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เชลยไทยได้เห็นในขณะนั้น...
 
 http://www.thaipost.net/node/20519
 
 
 ปัญหาคือ พม่าข้ามแม่น้ำยังไง แม้ฤดูแล้งน้ำไม่ได้แห้งขอด น้ำไหลเชี่ยวมีวังน้ำวน
 
 ถึงมีไส้ศึกเปิดประตูเมืองให้ ก็ต้องใช้แพขนาดใหญ่แบบสะพานแพ ถึงยกทัพเข้าไปเผาเมืองได้ ต้องทำเป็นขบวนการไม่ใช่คนๆเดียวจะสั่งได้ ถ้าอยุธยาอ่อนแอจนมีกลุ่มแปรพักษ์ เข้าพวกมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดทางให้พม่าเข้ามา
 
 ถ้ามีการป้องกันอย่างดี การขุดอุโมงค์ มีเทคโนอะไรที่สามารถ ขุดอุโมงค์ข้ามแม่น้ำได้ มีบางแหล่งว่าข้ามแม่น้ำไปขุดที่ริมกำแพงเกาะเมือง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกำแพงล้อมเกาะโดยรอบ ปืนมีขนาดใหญ่ เวรยามไม่เห็นเลยหรือ
 
 "ฝ่ายอยุธยายังมีเงินพอจะซื้อปืนคาบศิลาและปืนใหญ่ด้วย ปืนใหญ่บางกระบอกยาวถึง 9 เมตร และยิงลูกปืนใหญ่น้ำหนักกว่า 45 กิโลกรัมและ
 ครั้งเมื่อพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก ทหารพม่าได้ไปพบปืนคาบศิลาใหม่กว่า 10,000 กระบอก และเครื่องกระสุนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ใช้ แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการล้อมนาน 14 เดือนก็ตาม"
 
 http://th.wikipedia.org/wiki/การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
 
 
 เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
 เสด็จไปตีเมืองพม่า เมื่อ พ.ศ. 2336 (กล่าวถึงการเสียกรุงครั้งที่๒)
 
 ....ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ     จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
 มิได้พิจารณาข้าไท              เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
 
 ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ     ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
 สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา  จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
 ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน          จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
 เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี  จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา
 
 เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ  เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
 เสียทั้งตระกูลนานา     เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร
 สารพัดจะเสียสิ้นสุด    ทั้งการยุทธก็ไม่เตรียมฝึกสอน
 จึงไม่รู้กู้แก้พระนคร     เหมือนหนอนเบียนให้ประจำกรรมฯ
 
 http://www.surasiha.com/2336.asp
 
 
 สุนทรภู่ตั้งข้อสังเกตุเรื่องเสียกรุง ครั้งที่สองไว้ ในนิราศพระบาท ความว่า
 
 ๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์        เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
 แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน  จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
 มโหรีปี่กลองจะก้องกึก           จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
 ดูพาราน่าคิดอนิจจัง               ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
 ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก    ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
 แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา       เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
 กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก    ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
 เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
 กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก                ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
 ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย          โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
 หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค         ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
 เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย       ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวงฯ
 
 
 รบกวนผู้รู้ชี้แนะด้วย ขอบคุณครับ
 
						 
						
							| จากคุณ | : 
ต็กโกวคิ้วป้าย   |  
							| เขียนเมื่อ | : 
3 ก.ค. 55 13:19:33 |  
							|  |  |  
 |