ความคิดเห็นที่ 1 ส่วนตัว 1   ปานกลาง  แต่ดีกว่า เขมร นิดหนึ่ง 2  เพราะอโยธยาเป็นอานาจักรที่ใหญ่สุดในแถวนี้ 3   ผลิตเองสิครับ 4   ความคิดผู้นำคงคิดว่ามีแม้น้ำล้อมถือว่าทำเลดีมากๆๆ และศัตรูต้องพายเรือมาเสียเวลาช้ากว่าจะถึง 5  คงไม่เสียใจมั้ง ได้แยกเป็นอิสระ เหมือนได้เอกราช ดีจะตาย ไม่ต้องรบให้เหนื่อย 6  ร 1   ร 2  ครับ  ตอนนั้น ยังรบกับพม่าอยู่ 7  ใช้ของแลก เช่น ข้าว  เครื่องของมีค่า  ทอง เงิน  นาก 8   พระองค์เจ้าหญิงพลับ อายุ 82 ปี   9  เพราะ ร3 มีอายุเยอะสุด และ ขุนนาง พร้อมใจกันสนับสนุน ครับ 10 ถูกต้องครับ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 00:59:49 จากคุณ : สุดยอดเทพ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 00:56:59

ความคิดเห็นที่ 2 2. ปราบอยุธยาได้ประโยชน์หลายทางครับ ทั้งทางการค้าทะเล 2 ด้าน การขยายอำนาจ และบั่นทอนอำนาจไม่ให้เป็นอุปสรรคในภายหลัง 3. สมัยพระเจ้าตากสินได้ปืนจากเดินมาร์ก ส่วนหนึ่งยึดจากหัวเมืองที่ไปปราบ เงินทองอาจได้จากหัวเมืองที่ยึดได้ และเนื่องจากยุทธศาสตร์ของพระเจ้าตาก เป็นการซุ่มโจมตีเป็นหลักเป็นการรบประชิดตัว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ปืนไฟและปืนใหญ่เป็นจำนวนมาก นอกเสียจากจะเป็นการรบแบบประจันหน้ากัน หรือตั้งรับจะใช้ปืนมาก 4. เลือกใช้ยุทธศาสตร์ผิดครับ การตั้งรับในตัวเมืองควรเป็นหนทางสุดท้าย เพราะโอกาสแพ้สูงมาก คนเสนอกลศึกอื่นอาจจะมีแต่มันก็ขึ้นอยู่กับแม่ทัพจะเชื่อใคร สมัยสงครามเก้าทัพจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ 5. เอกราชเป็นใครก็อยากได้ครับ แต่ถ้าเป็นเอกราชไม่ได้ ใครให้ข้อเสนอดีกว่าก็ต้องเลือกฝ่ายนั้นเป็นธรรมดา 7. น่าจะเป็นเหรียญทอง แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 05:33:15 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 05:31:11 จากคุณ : EspressoFx เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 05:30:08

ความคิดเห็นที่ 3 7 การค้าขายของไทยในสมัยก่อน    ใช้เงินพดด้วงที่ทำจากเปลือกหอย     แล้วการค้ากับต่างประเทศเราใช้อะไรซื้อขายครับ       จะว่าใช้่เงินไทย     ต่างชาติคงไม่เอาเงินที่ทำจากเปลือกหอย +++++ ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า พดด้วง คือ เงินตราไทยโบราณหล่อจากเงิน (Silver) ส่วนเปลือกหอย เราเรียกว่า "เบี้ย" อย่าได้เอามาปะปนกัน การค้าในสมัยโบราณมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน เช่น แจกันหมิง ๑ ใบแลกกับผ้าทอ ๓๐ พับ พอใจไหม ถ้าไม่พอใจก็ไม่เอา การค้าของชาวต่างประเทศเมื่อเดินทางเข้ามาจะเป็นหน้าที่ของกรมท่ารายงานไปยังขุนนางต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ การเจรจาสินค้าและการเดินเรือต่าง ๆ ต่างแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยมูลค่าแตกต่างกัน โดยใช้ความเป็นค่าของน้ำหนักเงิน และน้ำหนักทอง (Silver Weight and Gold Weight) คือการชั่งน้ำหนักและดูเปอร์เซนต์ของเงินและทอง มีการกำหนด Exchange Rate กันมานานแล้วครับ ในสมัยอยุธยา รับเงินทุกสกุลจึงไม่ต้องกังวลแต่ประการใด สำหรับเรื่องหอยเบี้ยนั้น หอยเบี้ยเราได้นำเข้าจากต่างประเทศที่บรรทุกเข้ามาขาย โดยเขาจะไปเอาหอยจากหมู่เกาะนิโคบาร์นำเข้ามา ทางพระคลังก็จะรับซื้อไว้ ปีไหนได้หอยมาก Exchane Rate หอยเบี้ยก็จะเฟ้อ เช่น ปีนี้นำเข้าหอยเบี้ยมามาก ก็จะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนที่ ๑๐๐๐ หอยเบี้ยต่อ ๑ เฟื้อง (ซึ่งปรกติ ๘๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง) เป็นต้น บางครั้งหอยเบี้ยขาดแคลนร้านตลาดก็จะกำหนดราคาเอง เป็น ๔๐๐ เบี้ยต่อเฟื้อง ทำให้ของราคาแพง ทางพระคลังจึงต้องเร่งหาหอยเบี้ยเข้ามาเสริมในตลาดแบบนี้เป็นต้น จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 07:26:34

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อ ๗. มีหลักฐานว่าเมื่อครั้งต้องจ่ายเงินให้ฝรั่งเศสเมื่อเกิดเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ นั้น  ไทยชำระด้วยเหรียญทองเมกซิกันจากถุงแดงของรัชกาลที่ ๓  จึงอาจจะเป็นได้ว่า การค้าขายในสมัยก่อนใช้มาตราทองคำเป็นอัตราแลกเปลี่ยน จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 08:28:44

ความคิดเห็นที่ 5 8 อยากทราบว่าโอรสธิดาของรัชกาลที่1-3นี่    โอรส-ธิดาแต่ละรัชกาลใครที่มีชีวิตอยู่ยืนยาวที่สุด    และเสียชีวิตในปีไหนครับ   ++++ พระราชโอรส พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๑ ที่มีพระชนม์อยู่นานสุด คืออยู่มาหลายแผ่นดิน (มิได้หมายความว่าอายุจะยืนที่สุดในบรรดาโอรสด้วยกัน) คือ พระองค์เจ้าหญิง พลับ สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๒๔๐๙ อายุ ๘๒ พระราชโอรส พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๒ ที่มีพระชนม์อยู่นานสุด คืออยู่มาหลายแผ่นดิน (มิได้หมายความว่าอายุจะยืนที่สุดในบรรดาโอรสด้วยกัน) คือ พระองค์เจ้าหญิง แม้นเขียน สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๒๔๕๖ อายุ ๙๐ พระราชโอรส พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๓ ที่มีพระชนม์อยู่นานสุด คืออยู่มาหลายแผ่นดิน (มิได้หมายความว่าอายุจะยืนที่สุดในบรรดาโอรสด้วยกัน) คือ พระองค์เจ้าหญิง บุตรี (กรมหลวงวรเสรฐสุดา) สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๒๔๕๐ อายุ ๙๐ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 09:58:19

ความคิดเห็นที่ 6 10 จาก Wiki บอกว่า พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ เป็นธิดาของรัชกาลที่4ที่ประสูตินอกเศวตฉัตร ปี 2394      ข้อมูลผิดพลาดรึเปล่าครับ    เพราะว่ารัชกาลที่4พอลาผนวชก็ขึ้นครองราชย์เลย     ดังนั้นถ้าประสูติปี 2394 ก็น่าจะประสูติในเศวตฉัตรนี่ครับ ++++ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ประสูตวันพุธ เดือนยี่ แรม ๑๕ ค่ำปีกุญ ตรงกับวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ประสูติเมื่อบรมราชาภิเษกแล้ว เพราะก่อนหน้าที่ทรงถือเพศบรรพชิต จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 10:11:50

ความคิดเห็นที่ 7 1.ระดับราชสำนัก หลังสิ้นสงครามเก้าทัพขาดการติดต่อ พม่าก็ไม่มีแรงยกทัพมาอีก แต่ระดับชาวบ้านคงมีการไปมาอยู่ แถบลำปาง ตาก กลุ่มไทใหญ่ยังมีกองกำลัง จนรบชนะเจ้าเมืองแพร่คนสุดท้าย จน ร.5 ต้องส่งกองทัพไปปราบ 2.ยะไข่มีเทือกเขาอาระกันขวาง  ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ ถึงตีแตกชนะก็ยึดไม่ได้เด็ดขาด ขนาดพระมหามัยมุณี ยังพยายามมาหลายยุค เพื่อชักพระข้ามเขามา ศิลปยะไข่เป็นมหายาน บางวัดเป็นแบบตันตระ ตองอูต้องการตัดท่อน้ำเลี้ยงที่ทำให้มอญเติบใหญ่   การเดินทางมาฝั่งไทยเป็นการเริ่มขยายดินแดนทางตะวันออก จะว่าเป็นการชิมลางก็ได้ เพราะ ทางเหนือก็เจอจีน ไทใหญ่ ตะวันตกยะไข่ อินเดีย ใต้ แปร มอญ เหลือแต่ตะวันออกที่ยังไม่เคยกรีฑาทัพไป การไปครั้งนี้เตรียมการได้เพราะมีบุเรงนอง เป็นแม่ทัพใหญ่ ลำพังพระเจ้าหงสาคนเดียว คงไม่สามารถต่อกรอยุธยาโดยง่าย แถมเส้นทางกลับก็คนละทาง ขึ้นเหนือ แทนที่จะกลับทางเจดีย์สามองค์ ซึ่งใกล้หงสากว่าคงเป็นการสำรวจภูมิประเทศไปในตัว นานเตี๊ยะบาเยงจึงรบกับขุนนางที่ไล่ตามมาแถบนั้น จนเป็นที่จดจำในความจงรักภักดี 4.มุขน้ำหลาก ให้กับพม่ามากกว่าเมืองอื่นเข้ามาตี แถมไม่ได้ใช้150ปี ย่อมต้องอ่อนเชิงเป็นธรรมดา สมัยพระนเรศจึงไม่ตั้งรับ ยกทัพไปรอ แต่ยาสะวินของพม่ากล่าวขัดแย้งกัน ว่าทัพพระมหาอุปราชยกทัพมาที่กำแพงเมือง(น่าจะเป็นเกาะเมือง)แล้วพระนเรศ ท้าทำยุทธหัตถี แต่พระมหาอุปราชเกิดอุบัติเหตุ ต้องกระสุนปืนสิ้นพระชนม์ จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 10:12:16

ความคิดเห็นที่ 8 9. สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าแผ่นดิน จะต้องผ่านระบบ "เอนกนิกรสโมสรสมมติ" คือจะต้องมีการประชุมร่วมกันสามฝ่ายระหว่างเชื้อราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ว่าเชื้อพระวงศ์ผู้ใดที่สมควรได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อที่ประชุมเห็นชอบแล้ว จึงอัญเชิญผู้นั้นขึ้นครองราชสมบัติต่อไป ซึ่งระบบ "เอนกนิกรสโมสรสมมติ" นี้ ได้ใช้ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 5 เป็นพระองค์สุดท้ายที่ได้ขึ้นครองราชย์ด้วยระบบนี้ หลังจากนั้นจึงได้เปลี่ยนมาเป็นการกำหนดองค์รัชทายาทไว้ล่วงหน้าอย่างในปัจจุบัน ดังนั้นการที่รัชกาลที่ 3 ได้ขึ้นครองราชย์แทนที่จะเป็นโอรสของรัชกาลที่ 1 หรือรัชกาลที่ 2 องค์อื่น ก็เป็นเพราะที่ประชุมได้เห็นพ้องกันแล้วว่าพระองค์คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้นที่สมควรจะรับราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบิดา (ถ้าใช้ราชาศัพท์ไม่ถูกต้องตรงไหนก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ) จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 22:39:46

ความคิดเห็นที่ 9 ๓. สมัยพระเจ้ากรุงธนฯ ปืนเล็กบางส่วนมาจากทางดัตช์ถวายมาให้ บางส่วนซื้อมาโดยผ่านการค้าของกัปตันเหล็ก หรือก็คือ ฟรานซิส ไลท์ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นที่ พระยาราชกปิตัน  ปืนใหญ่เราหล่อเองเป็นส่วนมากสมัย ร.๑ ครับ ส่วนของเดนมาร์กไม่มีปืนมาขายหรือให้นะครับ ๔. แนวคิดยุทธศาสตร์ป้อมเมืองของอยุธยา จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อหัวเมืองพิษณุโลกยังขึ้นตรงกับอยุธยาครับ สังเกตดู ตอนที่ใช้ยุทธวิธีนี้หนแรก พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ต้องถอย เพราะทัพจากพิษณุโลกจะยกลงมากระหนาบ แต่ครั้งหลัง ๆ พอพิษณุโลกตกเป็นของพม่า อยุธยาก็รอวันแพ้อย่างเดียว คำว่าพิษณุโลกอยู่ใต้อำนาจนั้น ต้องหมายรวมไปถึงการกวาดต้อนคนพิษณุโลกมาอยู่อยุธยาอย่างเช่นสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยนะครับ ๖. ไม่รู้ว่าจะนับตั้งแต่สมัยไหน พ่อขุนบางกลางท่าว, พ่อขุนรามคำแหง,สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑(ขุนหลวงพะงั่ว) , สมเด็จพระราเมศวร, สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ,สมเด็จพระไชยราชาธิราช,สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ,สมเด็จพระมหาธรรมราชา,สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง,สมเด็จพระสรรเพชรที่ ๘ (พระเจ้าเสือ),พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ,พระเจ้าอุทุมพร,สมเด็จพระเจ้ากรุงธน, ร.๑,ร๒,ร๓ ไม่ได้บอกช่วงเวลามา เลยจัดให้หมด จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 06:55:34

ความคิดเห็นที่ 10 ^ พึ่งสังเกตว่าข้อ6กำกวม     ที่จะถามคือกษัตริย์ไทยองค์สุดท้าย       ที่เคยเข้าสนามรบจริงน่ะครับ     ใช่ร.4รึเปล่า จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 13:10:32