ความคิดเห็นที่ 1 ป้ายของเทศบาลสงขลาเชิญเที่ยวงานสมโภช 170 ปี แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 11:13:14 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:12:59

ความคิดเห็นที่ 2 ทางเข้าศาลเจ้า วันถ่ายภาพมีรถเทศบาลบังอยู่ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:14:35

ความคิดเห็นที่ 3 หน้าศาลเจ้าหลักเมืองสงขลา อยู่ฝั่งตรงข้ามก้วยเตี๋ยวใต้ถุนโรงงิ้ว เรื่องเดิมที่ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12260419/W12260419.html จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:16:07

ความคิดเห็นที่ 4 ป้ายอักษรภาษาจีน จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:16:52

ความคิดเห็นที่ 5 เข้าไปด้านใน จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:17:31

ความคิดเห็นที่ 6 เสาหลักเมือง (มุมแคบต้องทะยอยถ่ายภาพทีละชั้น) จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:18:27

ความคิดเห็นที่ 7 ช่วงกลาง จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:19:07

ความคิดเห็นที่ 8 ช่วงบน จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:19:35

ความคิดเห็นที่ 9 ช่วงยอด จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:20:10

ความคิดเห็นที่ 10 องค์เทพเจ้าประธานด้านหลังเสาหลักเมือง จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:21:25

ความคิดเห็นที่ 11 ด้านล่างองค์เทพเจ้าประธาน (ซ้ายมือ) หันหน้าเข้าไหว้เทพเจ้า จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:22:39

ความคิดเห็นที่ 12 ด้านล่างองค์เทพเจ้าประธาน (ขวามือ) หันหน้าเข้าไหว้เทพเจ้า จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:23:32

ความคิดเห็นที่ 13 รอบ ๆ ศาลเจ้าด้านซ้ายมือหันหน้าเข้าไหว้เทพเจ้า จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:24:49

ความคิดเห็นที่ 14 อีกภาพ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:25:22

ความคิดเห็นที่ 15 ด้านขวามือ ห้นหน้าเข้าไหว้เทพเจ้า จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:26:51

ความคิดเห็นที่ 16 ด้านข้างฝาผนังด้านขวามือ หันหน้าเข้าไหว้เทพเจ้า จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:27:35

ความคิดเห็นที่ 17 ประวัติการบูรณะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 11:30:34 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:28:27

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพพระปิยะมหาราช  เสด็จเยี่ยมเมืองสงขลา จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:29:56

ความคิดเห็นที่ 19 ธงทิวรอบ ๆ เสาหลักเมืองสงขลา จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:32:59

ความคิดเห็นที่ 20 ป้ายภาษาจีนด้านหน้าและภายในศาลเจ้า ไม่ชัดเพราะสะท้อนแสง แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 11:34:25 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:34:04

ความคิดเห็นที่ 21 2 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:35:02

ความคิดเห็นที่ 22 3 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:35:32

ความคิดเห็นที่ 23 4 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:35:59

ความคิดเห็นที่ 24 5 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:36:23

ความคิดเห็นที่ 25 6. จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:36:49

ความคิดเห็นที่ 26 7 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:37:13

ความคิดเห็นที่ 27 8. จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:37:38

ความคิดเห็นที่ 28 ทางเข้าไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อสงขลา และ พระปิยะมหาราช จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:38:41

ความคิดเห็นที่ 29 ภายในของศาลเจ้าที่แยกออกมาด้านซ้ายมือ เมื่อหันหน้าเข้าไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:40:09

ความคิดเห็นที่ 30 เจ้าพระยาเถี้ยนเส้ง ณ สงขลา จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:41:24

ความคิดเห็นที่ 31 รัชกาลที่ 3 กับ รัชกาลที่ 5 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:42:24

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณที่นำภาพมาให้ชมครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:42:56

ความคิดเห็นที่ 33 เซี่ยวกางทั้งสององค์ ด้านหน้าประตูเปิดปิดเข้าไปไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:43:11

ความคิดเห็นที่ 34 สภาพด้านนอกศาลเจ้า พอดีช่วงก่อนนักเรียนจะเข้าชั้นเรียน จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:44:32

ความคิดเห็นที่ 35 ภาพถ่ายด้านนอกศาลเจ้าหลักเมืองสงขลา จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:45:13

ความคิดเห็นที่ 36 ถนนสายไปศาลเจ้าหลักเมืองสงขลา จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:45:47

ความคิดเห็นที่ 37 หันหลังให้กับทางไปศาลเจ้าหลักเืมืองสงขลา ดูเงียบเหงาเพราะไม่ใช่วันถนนคนเดิน กอปรกับช่วงถ่ายภาพประมาณบ่ายโมงเศษ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:47:02

ความคิดเห็นที่ 38 ภาพแผนที่ทางอากาศจาก google map จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:48:41

ความคิดเห็นที่ 39 อีกภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศ (ภาพของ google อาจจะไม่ update มากนัก) น่าจะจบการนำเสนอแต่พอสังเขปครับ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:49:56

ความคิดเห็นที่ 40 เจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์  ณ สงขลา)  ได้บันทึกไว้ใน พงษาวดารเมืองสงขลา, ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๕๓, หน้า ๑๕ ว่า เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงนำทัพลงไปขับไล่พม่าที่เมืองไชยาในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ นั้น  ประจวบกับเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นที่เมืองสงขลา  จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสด็จไปจัดราชการที่เมืองสงขลา  แล้วได้โปรด  “...ให้ปักหลักเมืองสงขลาที่บ้านบ่อยางลงไว้...”  ก่อนที่จะเสด็จกลับกรุงเทพฯ   เสาหลักเมืองที่บ้านบ่อยางนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสาหลักเมืองปัจจุบันนี้อย่างไรบ้างครับ? ที่เรียนถามนี้เพราะต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๓๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ทรงนำทัพขึ้นไปขับไล่พม่าที่เมืองเชียงใหม่  ก่อนเสด็จกลับก็ทรงปักเสาหลักเมืองไว้ในบริเวณหอพระแก้วร้างเมืองเชียงใหม่เหมือนกัน จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 17:37:08

ความคิดเห็นที่ 41 บ้านบ่อยาง คือ ตำบลบ่อยาง เป็นเขตพื้นที่ในตัวเมืองของสงขลา หรือเป็นตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา อยู่ในเขตเทศบาลนครสงขลา ในปัจจุบัน ส่วนในปี 2328 ที่มีการปักหลักเมืองสงขลา เท่าที่ทราบไม่เคยพบเห็นหรือทราบเกี่ยวกับเสาีสมัยรัชกาลที่ 1 ว่ามีการปักเสาหลักเมืองไว้แถวไหนของสงขลา อาจจะเป็นการปักเขตหลักบริเวณของตัวเมืองก็ได้ (สันนิษฐานเอา) เพราะถ้าเป็นเสาหลักเมือง  คงจะต้องมีการบูชาและทะนุบำรุงสืบมา หรืออาจจะมีการเปลี่ยนเสาใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นได้ โดยเปลี่ยนเสาใหม่แทนที่ในพื้นที่เดิมแล้ว จัดทำศาลเจ้าแบบจีนตามคตินิยมของตระกูล ณ สงขลา ที่บรรพบุรุษเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนโพ้นทะเล เพราะเท่าที่ทราบก็ทราบว่ามี เสาหลักเมืองสงขลา ที่ไหว้ ๆ สืบต่อกันมาก็เสาต้นนี้ครับ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 20:34:58

ความคิดเห็นที่ 42 ที่เรียนถามเรื่องหลักเมืองสงขลาก็เพื่จะเทัียบกับหลักเมืองเชียงใหม่  ซึ่งหลักเมืองเชียงใหม่ถ้าไม่ได้แผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ มาประกอบก็คงจะเข้ารกเข้าพงตามตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ไปด้วย หลักเมืองเชียงใหม่หรือที่เรียกกันว่าเสาอินทขีลนั้น  สอบทานจากเอกสารหลักฐานหลายฉบับพอจะได้เค้าว่า  เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ทรงปักหลักมืองเชียงใหม่นั้น  ทรงปักไว้ในบริเวณที่เป็นหอพระแก้วร้าง  ซึ่งเดิมเคยเป็นมหาวิหารที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต  ก่อนที่พระไชยเชษฐาจะย้ายไปเวียงจันทร์ แต่เมื่อตอนที่สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ทรงปักหลักเมืองเชียงใหม่นั้น  เชียงใหม่ยังเป็นเมืองร้างเพราะพระเจ้ากาวิละมีไพร่พลน้อยไม่พอที่จะรักษาเมืองจึงต้องไปตั้งมั่นอยู่ที่เวียงป่าซางเมืองลำพูน  หลักจากนั้นอีกเกือบ ๑๐ ปีจึงเริ่มเข้ามาหักล้างถางพงแล้วจึงอพยพผู้คนเข้ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่  จ่อมาภายหลังสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสด็จทิวงคตแล้ว  พระเจ้ากาวิละจึงย้ายเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองไปปักไว้ในบริเวณวัดเจดีย์หลวง  ส่วนบริเวณที่ปักเสาหลักเมืองเดิมได้สร้างวัดชื่อ วัดอินทขีลขึ้นแทน  ในแผนที่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ยังปรากฏชื่อวัดนี้อยู่  แต่ต่อมามีการตัดถนนข้างศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ผ่านแนววัดนี้ไป  ไม่ทราบว่าตอนที่ตัดถนนนั้นวัดนี้เป็นวัดร้างไปแล้วหรือยัง  จึงเหลือแต่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งตากแดดตากฝนอยู่ริมถนน  เพิ่งจะมีการฟื้นฟูสร้างวิหารขึ้นครอบองค์พระนั้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เรื่องราวของหลักเมืองสงขลาหากสืบสาวลึกลงไปอาจจะได้ความอะไรเหมือนหลักเมืองเชียงใหม่ก็ได้  เพราะผู้ที่บันทึกเรื่องหลักเมืองสงขลาไว้ก็เป็นเจ้าเมืองสงขลาเดิม จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 23:09:56

ความคิดเห็นที่ 43 ก่อนหน้าที่ต้นสกุล ณ สงขลาจะมาครองเมืองสงขลา พื้นที่นี้เดิมเป็นของสกุล สุลต่านสุไลมาน ต้นสกุล ณ พัทลุง ท่านนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ตามคำบอกเล่าเดิม แต่ช่วงหลังมักจะมีลางท่านกล่าวว่าท่านนับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ สมัยท่านสร้างป้อมปราการเมืองสงขลาที่สร้างโดยพวกดัชท์ หรือวิลันดา มีปรากฎในแผนที่ของฝรั่งเศสเรียกว่าเมือง singora ปากทางเข้าเมืองสงขลา เสมือนมีสิงห์สองตัวเฝ้าอยู่ คือ เกาะหนู เกาะแมว ในปัจจุบัน ก่อนรุ่นหลังที่ลูกหลานท่านแพ้สงครามกับอยุธยา ป้อมปราการจึงถูกรื้อถอนทำลายไปมาก ดังนั้น หลักเมืองไม่น่าจะมีมาแต่สมัยนั้น ต่อมาต้นสกุล ณ สงขลา มารักษาเมืองและผูกส่วยสาอากร ตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช แทนอำนาจเดิมของสกุลสุไลมาน ที่ลดน้อยถอยลง การตั้งศาลหลักเมืองก็ยังไม่มี ประเด็นที่มีการตั้งสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นเรื่องน่าสนใจเพราะ ไม่ชัดเจนว่า การตั้งครั้งนั้น ได้ตั้งตรงจุดไหนของบ้านบ่อยาง เพราะไม่เคยได้ยินหรือฟังตำนานเล่าขานเรื่องนี้ เลยขอตราไว้ก่อนว่่า (สันนิษฐานว่า) น่าจะมีการตั้งเสาหลักเมืองเดิมตรงจุดปัจจุบันนี้ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเสาใหม่สมัยรัชกาลที่ 3 เพราะช่วงสงครามคงจะไม่มีเวลาเลือกไม้ทำเสาหลักเมือง หรือทำพิธีกรรมอะไรมากมายนัก บ้านเมืองวุ่นวายต้องรบกับหลายเมืองไปจนถึงมาเลย์ พอช่วงรัชกาลที่ 3 ปัญหาศึกสงครามภายนอกน้อยลง การทำนุบำรุงศาสนาและพิธีกรรมจึงทำได้เต็มที่ ภาพประกอบจาก internet ไว้จะนำภาพถ่ายสุสานสุลต่านสุไลมาน มานำเสนอกำัลังค้นหาภาพก่อนครับ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 23:37:01

ความคิดเห็นที่ 44 มีตำถามเรียนถามเพิ่มเติมว่า ที่ตั้งศาลหลักเมืองในปัจจุบันนี้อยู่ที่บ้านบ่อยางหรือไม่? ถ้าใช่การฝังหลักเมืองในรัชกาลที่ ๓ จึงน่าจะเป็นการฝังหลักเมืองแทนเสาเดิมที่อาจชำรุดผุผังไป  เพราะเดิมเสาหลักเมืองเชียงใหม่  และลำปางนั้นมีหลักฐานตรงกันว่า เป็นเสาที่ปักลงไว้ในดินปล่อยให้ตากแดดตากฝนโดยไม่มีศาลาหรือหลังคาปกคลุม  และโดยที่เมืองสงขลานั้นเป็นเมืองริมทะเล  อาจจะเป็นได้ว่าเสาหลักเมืองที่เป็นเาไม้เมื่อตากแดดตากฝนไว้านวันย่อมจะถูกไแน้ำเค็มกัดกร่อนให้ผุพังลงได้  หรือมิฉะนั้นไม้ที่ใช้ทำเสาหลักเมืองอาจเป็นไม้ในพื้นที่ที่ไม่ใช่ไม้เนื้อแข็งที่สามารถทนสภาพดินฟ้าอากาศได้ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 09:42:44

ความคิดเห็นที่ 45 ใช่ครับ บ้านบ่อยาง คือ ตำบลบ่อยาง ในปัจจุบัน ที่ตั้งศาลเจ้ายังตั้งอยู่ในตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา ประมาณว่า ห่างจากทะเลสาบสงขลา ด้านหน้าเกาะยอ ที่จะเป็นน้ำกร่อย ถึงน้ำเึึึค็ม เวลาน้ำทะเลหนุนเต็มที่ ไม่น่าจะเกิน 100 เมตร ตามที่กะประมาณเอาครับ สมัยโบราณน่าจะเป็นที่โล่งเห็นทะเล และรับสายลม แสงแดด และไอน้ำเต็ม ๆ ไม่มีบ้านเรือนปิดบังเหมือนปัจจุบัน หมายเหตุ แก้ไขคำผิด+เพิ่มเติมข้อมูล แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 16:07:32 จากคุณ : เขียนบน iPhone (ravio) เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 10:04:27

ความคิดเห็นที่ 46 สุดยอดครับ สงขลาบ้านเรา จากคุณ : beertonghtc เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 23:58:39

ความคิดเห็นที่ 47 สวยจังเลยครับ เข้ามาไหว้เจ้าพ่อเสือ ที่ซุกอยู่ที่พื้นด้วยครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 15:37:57

ความคิดเห็นที่ 48 นอกเรื่องนะฮะ คห 34 ซ้ายมือใต้ถุนโรงงิ้วนั่น ก๋วยเตี๋ยวอร่อยนะฮะ ^^ แต่แคบนิดนึง จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 16:03:07

ความคิดเห็นที่ 49 เพิ่งไปมาเมื่อวานค่า ^^ กำลังเตรียมงานกันคึกคักเลย จากคุณ : inmost เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 23:24:01

ความคิดเห็นที่ 50 ประวัติการฝังเสาหลักเมืองครั้งที่ 1 ครับ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 06:53:03

ความคิดเห็นที่ 51 รายละเอียดสิ่งของที่ใช้ในงานการฝังเสาหลักเมืองครับ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 07:04:05

ความคิดเห็นที่ 52 การฝังเสาครั้งที่ 2 มีขึ้นในปี 2460 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เพราะเสาเดิมที่เป็นไม้ โดนปลวกกัดกินผุไปครับ ดังนั้นเสาหลักเมืองที่เห็นในปัจจุบันนี้ ก็น่าจะเป็นเสาปูนซิเมนต์แล้วครับ และจากหลักฐานนี้ ทำให้ทราบว่าเสาต้นแรกมีการทำพิธีฝังขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งในหลายแหล่งข้อมูล หรือแม้แต่ป้ายบอกประวัติศาลเจ้าแห่งนี้ ก็ระบุว่ารัชกาลที่ 3 พระราชทานเสามาให้ครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 07:13:27 จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 07:08:59

ความคิดเห็นที่ 53 ฤกษ์ที่ใช้ในการฝังเสาหลักเมืองครั้งที่ 2 ครับ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 07:16:29

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณ #Oceanophila# ที่มาเพิ่มเติมขยายความข้อมูล เพื่อเป็นแนวทางศึกษาค้นคว้าต่อไป และขอนำพงษาวดารที่ #V_Mee# ได้อ้างอิงถึงไว้ โดยได้เพิ่มเติมไว้ที่กระทู้นำเสนอแล้ว พงษาวดารฉบับเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา) ตาม link http://goo.gl/GNntB เพิ่งจะจัดเรียงเสร็จในวันนี้นำมาจาก  #CVT บ้านโป่ง#  ครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 23:02:24 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:26:13

ความคิดเห็นที่ 55 ความจากพงษาวดารเมืองสงขลาฉบับเจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์  ณ สงขลา) ในประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๕๓  กล่าวไว้ว่ามีการปักหลักเมืองสงขลาไว้ ๒ คราว คือ คราวแรก สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงปักหลักเมืองไว้ที่บ้านบ่อยางไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ คราวเสด็จไปตีเมืองปัตตานี ครั้งที่สอง ในรัชกลที่ ๓ ดังที่ คุณ Oceanophila  ถ่ายภาพมาให้ดูกัน การฝังหลักเมืองครั้งที่ ๒ นี้ก็มีบันทึกในพงษาวดารเมืองสงขลาฉบัยเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) เหมือนกัน แต่ครั้งหลังเจ้าพระยาวิเชียรคีรัคงจะได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง แต่เมื่ออ่านรายละเอียดในหนังสือของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวังที่คุณ Oceanophila  นำมาแสดงไว้ในความเห็นที่ ๕๒ แล้ว  ที่อ้างถึงการฝังหลักเมืองในรัชกาลที่ ๒ นั้น  ที่ถูกเป็นการฝังสมัยรัชกาลที่ ๓  เมื่อ จ.ศ. ๑๒๐๔ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๘๕  แต่ก็ชวนให้น่าเชื่อว่า เสาหลักเมืองที่สมเด็จพระบวรราชเจ้าทรงปักไว้กลางแจ้งนั้นคงจะผุผังไปเพราะสภาพอากาศ  จึงได้ขอพระราชทานไม้ชัยพฤกษ์ไปปักใหม่ในรัชกาลที่ ๓  แล้วถึงรัชกาลที่ ๖ ก็ชำรุดอีกทั้งที่อยู่ในร่มแล้ว  จึงได้มีการทำเสาหลักเมืองครั้งที่ ๓ ตามเอกสารข้างต้น จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:35:42

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณความรู้ดีๆ สาระดีๆค่ะ เราคนสงขลาก็ไม่ได้รู้ทุกคน ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้... เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:48:40

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล ผมเป็นคนสงขลา ยังไม่เคยเดินเข้าไปข้างในศาลหลักเมืองเลยครับ จากคุณ : เจ้าเด็ก เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:28:32

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณ จขกท   ค่ะ รีวิวแบบนี้ทำมาอีกนะคะ   เยี่ยมค่ะ โหวตให้นะคะ จากคุณ : Jintawanee เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 12:06:46

ความคิดเห็นที่ 59 ศาลหลักเมืองสงขลามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ ตัวอาคารสร้างตามแบบศาลเจ้าจีนแตกต่างจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในจังหวัดต่างๆ ที่มักสร้างอาคารเป็นทรงจตุรมุข หรือตรีมุข ตามแบบอย่างไทย ทั้งที่ธรรมเนียมคติการวางเสาหลักเมืองนัน้มาจากทางพราหมณ์ ยิ่งดูในรายการที่ใช้ในพิธีแล้วจะเห็นว่าเป็นแบบพุทธ มีการนิมนต์พระสงฆ์ไทยมาประกอบพิธี หาใช่พระจีนไม่ครับ ถ้าใครเคยมาที่ถนนนางนางจะทราบว่าต้นถนนที่ตัดกับถนนพัทลุงนั้น เป็นย่านชุมชนชาวมุสลิม มีมัสยิดบ้านบน อยู่ละแวกนั้นด้วยครับ ดังนั้นจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมืองสงขลาเป็นเบ้าหลอมของคนหลากหลายเชื้อชาติมาแต่โบราณ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 23:28:54

ความคิดเห็นที่ 60 สอบถามเพิ่มเติมเนื่องจากไม่เคยเข้าไปสักการะที่ศาลหลักเมืองสงขลาครับ ทำไมถึงต้องมีลักษณะเป็นฉัตรแบบจีนครอบเสาหลักเมืองไว้ครับ จากคุณ : เตาอั้งโล่ (เตาอั้งโล่) เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 10:43:54

ความคิดเห็นที่ 61 อันนี้ต้องถามท่านที่รู้เรื่องประเพณีนี้ครับว่าทำไมต้องครอบฉัตร แต่ตอนที่ผมไปเมื่อสองสามปีก่อน ไม่มีการครอบฉัตรผ้าแบบนี้ครับ ยอดของเสาหลักเมือง ก็เป็นคล้ายดอกบัวตูม อย่างเสาหลักเมืองทั่วๆไปครับ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 16:12:13

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณสำหรับข้อมูลและรูปประกอบค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 12:56:22