|
ในการทำงานแปลถ้าคุณไม่เก่งภาษาแบบเป็นธรรมชาติอยู่แล้วและไม่ iq เกิน 200 กว่าจะได้เงินมันลำบากมากๆเหมือนที่คุณ K.Senior พูด ถูกต้องเลย
เมื่อ 25 ปีที่แล้วเราเริ่มต้นทำงานด้านภาษาอังกฤษโดยการสอน conversation ให้พวกคนรวย เราเอาเงินมาหมุนเช่าห้องแถวติวภาษาอังกฤษ ทีแรกมีนักเรียนแค่ 2-3 คน ติวๆไปนักเรียนไปบอกปากต่อปากเรามีนักเรียนแน่นไปหมด
^ แต่ไอ้ความโง่นี่หละ มันทำให้อยากเป็นนักแปลเหลือเกิน วันๆแทนที่จะเตรียมการสอนให้ดีๆเรามัวแต่หัดแปล แล้วเกิดบ้าขึ้นมาแบ่งสมบัติกับหุ้นส่วนที่เปิดโรงเรียนติวด้วยกันแล้วไล่เธอไปมีผัวฝรั่งรวยๆ...555+++....แล้วเรากระโดดเข้าไปทำงานแปลเต็มตัว แปลๆไปนะ ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด ทำให้เราเลิกกับแฟนไป 3 คน แล้วเรากลายเป็นติดเหล้างอมแงม นี่ถ้าเราไม่แปลแต่ติวภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆนะป่านนี้เรามีเงินหลายสิบล้านหรือเผลอๆเป็นร้อยล้านไปแล้วจากการสอนภาษาอังกฤษ
แต่จะอย่างไรก็ตาม 25 ปี ผ่านไป หลังจากรักษาอาการป่วยพิษสุราเรื้อรังหาย และชุบชีวิตใหม่ เรากลายเป็นแปลไทยเป็นอังกฤษได้รวดเร็วและสวยงามมากๆจนหาตัวจับได้ยาก ระดับเราทำงานแปลแค่วันเดียวรับงานราคาแพงๆ (โดยอาศัยเครือข่ายพวกเพื่อนๆที่เรียนด้านภาษาวุฒิสูงๆรับงานมาให้เรา) เงิน 10,000.00 - 15,000.00 เราหาแค่วันเดียวก็ได้แล้ว แต่งานมันก็ไม่มีทุกวันหรอก คือนานๆทำทีก็พออยู่รอด
คิดๆย้อนหลังไปเมื่อสมัยเราเป็นติวเตอร์ใหม่ๆ เราสอนศัพท์เก่งมากๆ แต่สอนอย่างอื่นไม่เก่ง แต่จากการพยายามหัดเขียนภาษาอังกฤษทุกวันในการแปลไทยเป็นอังกฤษมานานกว่า 20 ปี และค้นสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษจากเน็ตมาศึกษามากๆ เรื่องประหลาดมันก็เกิดขึ้น คืออยู่ดีๆก็มีนักเรียนอ่อนอังกฤษมากๆมาเรียนอังกฤษพื้นฐานกับเรา กับบางรายเก่งพอสมควรมาเรียนอังกฤษระดับอ่านเขียนยากๆกับเรา จากการพยายามเขียนบทเรียนให้นักเรียนที่เก่งมากเก่งน้อยในระดับที่ไกลกันลิบลับแบบนี้มาหลายเดือน เรากลายเป็น "เห็นทางสว่าง" นั่นก็คือ
เรารู้วิธีสอน grammar ไปพร้อมๆกับสอนฟังกับพูด ซึ่งเหมาะสำหรับสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนที่อ่อนๆมากๆ
และเรารู้วิธีสอน reading กับ writing ในภาษาอังกฤษไปพร้อมๆกัน ซึ่งเหมาะสำหรับสอนนักเรียนในระดับค่อนข้างเก่ง
สรุปแล้วมันก็ได้อย่างเสียอย่างหนึ่งเหมือนๆกับที่เต๋าสอนว่า
ในหยางมีหยินในหยินมีหยาง ไม่มีอะไรหยินหรือหยาง 100%
นั่นก็คือ ถ้าเราไม่ suffer ordeal ในการแปลเอกสารราคาถูกๆตั้งหลายปีกว่าจะได้ค่าแปลเยอะๆ แบบนี้ แต่เดินหน้าเป็นติวเตอร์ เราก็รวยเละและคงดังเรื่องสอนศัพท์ไม่แพ้ อ. สงวน วงศสุชาติ แต่เราคงเขียนภาษาอังกฤษได้ไม่เก่งเท่านี้ แต่การที่เรา suffer ordeal โดยการทนทุกข์ทรมาณหลายปีในการพยายามหัดเขียนประโยคภาษาอังกฤษเร็วๆแบบสายฟ้าแล่บ (แบบพลิกตำราแทบไม่ทัน) ในการแปลไทยเป็นอังกฤษ มันทำให้ตอนนี้ถ้าเรากลับไปเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษใหม่เราจะกลายเป็นติวเตอร์คนเดียวที่สอนได้ทุกทักษะในภาษาอังกฤษโดยที่นักเรียนไม่ต้องวิ่งไปเรียน grammar ที่หนึ่ง ศุัพท์อีกทีหนี่ง conversation อีกที่หนึ่ง และ writing อีกที่หนึ่ง
ตอนนี้งานเราผีเข้าผีออก บางทีเราก็มีงานเยอะ (ทั้งแปลทั้งสอนภาษาอังกฤษ) บางทีเราก็ไม่ค่อยมีงานทำ คือเราเป็นคนขี้เกียจอ้ะ บางทีพ่อแบ่งเงินให้เราใช้เราก็ขี้เกียจรับงานซะงั้น แต่เราเอาเวลาไปเล่นกับ computer(เราเป็นนักทดสอบ software)น่ะ...555+++...วันๆเราใช้เวลาหมดไปกับการฝึกกินอาหาร macrobiotic ฝึกโยคะ ฝึกมวยจีน ฝึกลมปราณ กับเสริมสวยให้ตัวเองให้ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งรูปร่างหน้าตาดูดิขึ้นเรื่อยๆ และสมองดีขึ้น เรื่อยๆ คือเราใช้เวลาดูแลสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตให้ตัวเองค่อนข้างเยอะมากกว่าจะทำงาน...อิๆๆ...นี่ถ้าเรามัวแต่ทำงานแปลอย่างหนักป่านนี้เราไม่มีทางได้ทำกิจกรรมดีๆเพื่อสุขภาพและความงามให้แก่ตนเองหรอกนะ...
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 15:40:34
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ค. 55 15:32:34
|
|
|
|
|